การเผชิญกับการเจ็บป่วยระยะสุดท้ายของลูกชาย

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย เลี้ยงซิน, ประเทศจีน

เมื่อสองปีก่อน ลูกชายฉัน เกิดเจ็บเอวขึ้นมาอย่างรุนแรง เราพาเขาไปตรวจ หมอบอกว่า ผลการตรวจน่ากังวล เราควรพาเขาไปที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด เพื่อตรวจเพิ่มเติม ตอนที่หมอพูดอย่างนั้น หัวใจฉันก็เต้นไม่เป็นจังหวะ ฉันรู้ว่า ลูกชายของฉันมีโอกาสที่จะป่วยหนัก แต่แล้วฉันก็คิดว่า ฉันทำหน้าที่และพลีอุทิศเพื่อพระเจ้ามาตลอด แถมยังทนทุกข์มามาก ขนาดเผชิญกับการกดขี่และจับกุมอย่างเลวร้ายจากพรรคคอมมิวนิสต์ ถูกญาติมิตรเยาะเย้ยนินทา ฉันก็ไม่เคยท้อถอย และกลับยึดมั่นในหน้าที่ พอคำนึงถึงทุกอย่างที่ทำเพื่อพระเจ้า ฉันก็คิดว่า พระองค์คงจะทรงคุ้มครองลูกชายฉันจากเรื่องร้ายแรง ผลตรวจออกมาว่า เขาเป็นมะเร็งตับและโรคตับแข็ง หมอบอกว่า เขามีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สามถึงหกเดือน คำพูดของหมอ เป็นเหมือนสายฟ้าผ่าลงมา ฉันได้แต่นั่งนิ่ง ชาไปหมดทั้งตัว ฉันยอมรับความเป็นจริงข้อนี้ไม่ได้เลย เขาเพิ่งอายุสามสิบเจ็ด จะเป็นโรคอะไรแบบนั้นได้ยังไง? ตอนนั้น มือฉันสั่นไปหมด ขณะถือผลตรวจในมือ พลางนึกสงสัยว่า หมอวินิจฉัยโรคผิดหรือเปล่า ฉันนั่งอยู่ที่ขอบเตียง นิ่งไป และตกอยู่ในภวังค์นานพอดู น้ำตาไหลอาบสองแก้ม คิดว่า “ลูกยังหนุ่มอยู่เลย เขาป่วยหนักขนาดนี้ได้ยังไง? โรคเดียวก็อันตรายถึงชีวิตแล้ว แต่นี่เป็นทั้งสองโรคเชียวหรือ? เขาเป็นเสาหลักของบ้าน ถ้าขาดเขาไป ครอบครัวของเราจะทำอย่างไร? สิ่งที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของคนคนหนึ่ง คือการฝังศพลูกตัวเอง” ฉันทุกข์ใจมากขึ้นเรื่อยๆ บรรดาญาติมิตรพากันต่อว่าฉัน ว่า “ถ้าเธอเชื่อในพระเจ้า แล้วลูกชายป่วยได้อย่างไร? พระเจ้าของเธอไม่ได้คุ้มครองเขาเลย เชื่อแล้วมีประโยชน์อะไร?” แถมบอกให้ ฉันลืมเรื่องความเชื่อและอยู่บ้านเพื่อดูแลลูกชายซะ การถูกพวกเขาตำหนิ ทำให้ฉัน รู้สึกทุกข์ใจมากจริงๆ ฉันเหมือนคน จะร้องไห้ตลอดเวลา สับสนและมึนงงไปหมด ฉันไม่แม้แต่อยากจะอธิษฐานหรืออ่านพระวจนะ มันมืดไปหมดเลยจริงๆ ฉันอธิษฐานว่า “พระเจ้า ลูกชายข้าพระองค์ป่วยหนัก ข้าพระองค์กำลังดิ้นรน และไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้ โปรดทรงนำให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยด้วยเถิด”

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “ในขณะกำลังก้าวผ่านการทดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือขาดพร่องความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบไม่มีผิด แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำพวกเขาทั้งหมดไปอีกด้วย ไม่สำคัญว่าเขาได้ถูกทดสอบอย่างไร เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้…พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องมีคือการมีความเชื่อและการมีทีท่าที่หนักแน่นและยืนหยัดเป็นพยาน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) จากพระวจนะ ฉันได้เห็นว่า การที่ลูกชายฉันมาป่วยหนัก เป็นเหมือนการทดสอบสำหรับฉัน ฉันต้องพึ่งพาความเชื่อให้ผ่านไปได้ ฉันนึกถึงโยบ ผู้ถูกพรากความมั่งคั่งและฝูงสัตว์ รวมถึงชีวิตลูกๆ อีกทั้งตัวเขายังปกคลุมไปด้วยฝีหนอง แม้เผชิญกับบททดสอบอันยิ่งใหญ่ เขาก็พร้อมสาปแช่งตัวเองก่อนติเตียนพระเจ้า และสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์ เขาเป็นคำพยานอันงดงามให้แก่พระเจ้า และตอนที่เขาประสบกับเรื่องทั้งหมดนั้น เขาก็ถูกเพื่อนๆ ล้อ ถูกภรรยาดุด่า และบอกเขาให้ทิ้งพระเจ้าและตายไปซะ จากภายนอก อาจดูเหมือนภรรยาและเพื่อนฝูงด่าทอเขา แต่เบื้องหลังนั้น คือซาตาน กำลังทดลองโยบด้วยคำพูดคน ให้เขาปฏิเสธและทรยศพระเจ้า แต่โยบไม่หลงกล และถึงกับประณามภรรยาของตนว่าเป็นหญิงโง่ ฉันรู้ว่า กลอุบายของซาตานอยู่เบื้องหลังการโจมตีของญาติมิตร ฉันต้องเป็นแบบโยบ และยืนหยัดเป็นพยานแก่พระเจ้า จะฟังคำพูดไร้สาระไม่ได้ ถึงจุดนั้น ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยทุกข์ใจหรือสิ้นหวังแล้ว

สองอาทิตย์ต่อมา เขาเข้ารับการผ่าตัด และมะเร็ง ก็ถูกควบคุมไว้ได้ค่ะ ฉันคิดว่า พระเจ้าอาจจะทรงกรุณาเขาเพราะความเชื่อของฉัน เขาอาจหายได้ ถ้าพระเจ้าทรงแสดงการอัศจรรย์บางอย่าง ฉันหวังว่าเขาจะรักษาหายเป็นปกติได้ คิดว่ามันคงจะยิ่งใหญ่ทีเดียว แล้วพระวจนะบทตอนนี้ ก็ผุดขึ้นมาในความคิด “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะ เปิดเผยมุมมองของฉันต่อความเชื่อและแรงจูงใจต่อพระพร ที่มีปัญหาได้อย่างเฉียบแหลม ฉันรู้สึก ละอายใจมาก เวลาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันไล่ตามพระพรและพระคุณมาตลอด หวังให้ทั้งครอบครัวได้รับการอวยพระพร ในเมื่อยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายแล้ว ถึงฉันจะไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้า วอนขอพระคุณอย่างโจ่งแจ้ง แต่ฉันก็ไม่ได้ไล่ตามความจริง และไม่เข้าใจพระเจ้าจริงๆ ฉันผิดที่อยากได้ชีวิตร้อยครั้งในยุคนี้ อยากมีชีวิตนิรันดร์ในยุคหน้า ฉันคิดว่า ในเมื่อฉันพลีอุทิศเพื่อพระองค์แล้ว พระองค์ก็คงจะรำลึกถึงและอวยพระพรฉัน ทรงควรคุ้มครองครอบครัวฉันจากความเจ็บป่วยและความวิบัติ ทำให้ชีวิตเราราบรื่น และไร้ซึ่งภยันตรายใดๆ ฉันเลย ทิ้งบ้านและการงานมาทำหน้าที่ มีความสุขอย่างยิ่งที่ได้สู้ทนกับความทุกข์ แต่พอลูกชาย ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง พอเห็นว่าเขาป่วย ฉันก็ตกอยู่ในความทุกข์ใจโดยสิ้นเชิง และเสียแรงขับในการทำหน้าที่ ฉันทำการคิดคำนวณยิบย่อย ว่าฉันอุทิศตน และทนทุกข์ไปมากแค่ไหน ทำการโต้เถียงกับพระเจ้า ติเตียนที่ไม่ทรงคุ้มครองลูกชายฉัน สถานการณ์ที่ฉันเจอ กับพระวจนะเรื่องการพิพากษาและการเปิดเผย แสดงให้ฉันเห็นว่า มุมมองในการไล่ตามเสาะหาของฉันมันผิด ฉันไม่ได้ล้มเลิกสิ่งต่างๆ เพื่อไล่ตามความจริง และกำจัดความเสื่อมทรามออกจากตัว แต่เพื่อแลกเปลี่ยนกับพระคุณและพระพร ฉันกระทำการแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า ใช้พระองค์ และโกงพระองค์ ฉันมุ่งมั่นไล่ตามให้พระเจ้าทรงคุ้มครอบครัวฉัน ให้เราไร้ซึ่งพายุ การเจ็บป่วย และความวิบัติ ฉันจะต่างจากคนในศาสนา ที่กินขนมปังจนอิ่มอย่างไร? ฉันได้เห็นว่า มุมมองในการไล่ตามของฉันชั่วช้าแค่ไหน ถึงจุดนั้น ฉันก็รู้สึก ติดหนี้พระเจ้ามาก และมาเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐาน พร้อมจะวางสุขภาพของลูกชายไว้ในพระหัตถ์ และนบนอบต่อกฎและการเตรียมการของพระองค์

จากนั้น ลูกชายของฉันต้องผ่าตัดอีกสามถึงสี่ครั้ง และเขาก็ดู อาการดีขึ้นเรื่อยๆ เขากินข้าวได้ดี พอทำกิจกรรมเบาๆ ได้บ้าง ฉันดีใจมากเลย โดยเฉพาะ ตอนที่เห็นเขาร้องเพลงและเต้นรำกับลูกชายเขา ดูมีสุขภาพดีมากทีเดียว ฉันรู้สึกว่า เขายังพอมีหวังอยู่ และคิดว่า จากมุมมองของมนุษย์ อาการป่วยของเขาคือถึงตาย และคงอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน แต่มันกลับนานกว่านั้นแล้ว และเขาก็สบายดีมาก มันคือพระพรและการทรงคุ้มครองจากพระเจ้า ถ้าอะไรๆ ยังเป็นแบบนั้นต่อไป ก็ดูท่าว่าเขาคงหายเป็นปกติได้ แต่สิ่งต่างๆ กลับไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด จู่ๆ เขาก็เกิดกินอะไรไม่ลงเลย หน้าท้องเขาเริ่มบวมมากขึ้นเรื่อยๆ แค่จะนั่ง ยังแทบทำไม่ได้ เขาเข้ารับการตรวจ และถึงแม้ มะเร็งที่เป็นอยู่จะไม่ได้ลาม แต่โรคตับแข็งของเขากลับแย่ลง และมีถุงน้ำในตับ ฉันรู้สึกเหมือน ความตายเริ่มคืบคลานเข้ามาหาลูกทีละนิด และฉันก็ตกสู่ความสิ้นหวังอีกครั้ง พอเห็นว่าอาการของลูก ดีขึ้นอย่างชัดเจน ฉันก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไมมันถึงแย่ลงอีก เขาเป็นลูกที่ดี เข้ากับทุกคนได้ดี และไม่เคยทำอะไรเลวร้ายเลย ทั้งญาติมิตร และเพื่อนบ้าน ต่างก็มีเรื่องดีให้พูดถึงเขา ถึงเขาจะไม่ตื่นเต้น กับความเชื่อของฉันมากนัก แต่ก็ไม่ได้ขวาง ทำไมเขาถึงป่วยหนักจนถึงชีวิตแบบนี้? ต่อมาฉันก็คิดว่า ตลอดที่เป็นผู้เชื่อมา ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐ เป็นส่วนสำคัญของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเสมอ ครอบครัวฉันเริ่มต่อต้านความเชื่อ เพราะการกดขี่และจับกุมของพรรค แต่ไม่ว่าจะถูกกดขี่แค่ไหน ฉันก็ไม่เคยถอยหนี และทำหน้าที่ต่อไปเสมอ ฉันสละไปตั้งหลายอย่าง ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้? นี่คือค่าตอบแทน จากการพลีอุทิศตลอดหลายปีของฉันหรือ? ถึงจะไม่พูดแบบนั้น แต่ฉันก็รู้สึก ว่าพระเจ้า ทรงไม่ชอบธรรม ฉันมองโลกในแง่ร้าย หดหู่ และสับสนตลอด มันรู้สึก ไม่เหลือความหวังเลย ฉันทุกข์ใจมาก และร้องไห้ตลอดเวลา

มีพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ฉันอ่าน “ความชอบธรรมไม่มีทางที่จะยุติธรรมหรือมีเหตุผล ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะชอบธรรมเช่นกัน เหตุใดหรือนี่จึงเรียกว่าความชอบธรรม? จากมุมมองแบบมนุษย์ หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ? พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด? การตัดสินพระทัยของพระองค์ควรขึ้นอยู่กับการนี้ที่ว่า ‘หากพวกเขามีประโยชน์ เราจะไม่ทำลายพวกเขา หากพวกเขาไม่มีประโยชน์ เราก็จะทำ’ กระนั้นหรือ? ไม่มีความจำเป็นเลย ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามอาจถูกจัดการด้วยวิธีใดก็ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า…แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร? ‘มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่กิจการอันเปี่ยมพระปัญญาของพระองค์?’ ในวันนี้ เจ้าควรมองเห็นว่า พระเจ้ามิได้ทรงทำลายซาตานเพื่อที่จะแสดงให้เหล่ามนุษย์เห็นว่าซาตานได้ทำให้พวกเขาเสื่อมทรามไปอย่างไรและพระเจ้าทรงช่วยพวกเขาให้รอดอย่างไร เพราะผู้คนได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเกินไป ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ควรจะมองดูบาปอันน่าสะพรึงกลัวของความเสื่อมทรามที่ซาตานกระทำต่อพวกเขา และเมื่อพระเจ้าทรงทำลายซาตาน พวกเขาก็ควรจะมองดูความชอบธรรมของพระเจ้าและเห็นว่าความชอบธรรมนั้นบรรจุพระอุปนิสัยและพระปัญญาของพระเจ้าอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นชอบธรรม แม้ว่านั่นอาจจะไม่อาจหยั่งถึงได้สำหรับเจ้า เจ้าก็ไม่ควรทำการตัดสินไปตามอำเภอใจ หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏให้เจ้าเห็นว่าไร้เหตุผล หรือหากเจ้ามีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับการนั้น และนั่นนำเจ้าไปสู่การกล่าวว่าพระองค์นั้นไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังไร้เหตุผลที่สุด เจ้าเห็นว่าเปโตรได้พบว่าบางสิ่งนั้นไม่อาจจับใจความได้ แต่เขาก็แน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้านั้นปรากฏอยู่ และแน่ใจว่าในสิ่งเหล่านั้นมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ เหล่ามนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจได้ ด้วยเหตุนั้น การที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย(“วิธีรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้า ทำให้ฉันเห็นว่า ความชอบธรรมของพระองค์ ไม่ใช่ยุติธรรมและสมภาคนิยมอย่างที่ฉันคิด และไม่ได้แปลว่าให้อะไรไป จะต้องได้กลับมาอย่างนั้น พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และแก่นแท้ของพระองค์นั้นชอบธรรม ดังนั้น ไม่ว่าจะทรงมอบหรือเอาสิ่งใดไป ไม่ว่าเราจะได้รับการอวยพระพร หรือทนทุกข์ผ่านบททดสอบ ก็ล้วนบรรจุพระปัญญาของพระองค์ทั้งสิ้น ทั้งหมดล้วนเป็น วิวรณ์แห่งพระอุปนิสัยอันชอบธรรม โยบติดตามหนทางของพระเจ้า ยำเกรงพระองค์และหลีกเลี่ยงความชั่วมาทั้งชีวิต เขาคือคนที่เพียบพร้อมในสายพระเนตร แต่พระเจ้า ก็ยังทดสอบเขาอยู่ดี ความเชื่อและความเคารพพระเจ้าของเขา ถูกยกระดับด้วยการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุด เขาก็เป็นพยานอันกึกก้องให้พระเจ้า และเอาชนะซาตานได้อย่างสมบูรณ์ แล้วพระเจ้าก็ทรงปรากฏ และอวยพระพระเขาอีกมากมาย สิ่งนั้นเปิดเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรม ฉันยังนึกถึงเปาโลด้วย เขาทนทุกข์มากมาย และเดินทางเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปทั่ว แต่เขาไม่ได้นบนอบหรือเคารพพระเจ้าอย่างแท้จริง เขาแค่อยากแลกเปลี่ยนการทำงานหนักของตน กับพระพรของพระเจ้า หลังจากทำงานไปพอสมควร เขาก็พูดว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า” (2 ทิโมธี 4:7-8) การทุ่มเทของเปาโล เปี่ยมด้วยความมุ่งมาดปรารถนา มันคือการทำธุรกรรมแลกเปลี่ยน อุปนิสัยของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย และเขาก็อยู่บนเส้นทางที่ต่อต้านพระเจ้า สุดท้าย เขาก็ถูกพระเจ้าทรงลงโทษ เราจะเห็นได้ว่า พระเจ้าไม่ได้ทรงมองว่าผู้คนดูทำงานหนักแค่ไหน แต่ดูว่า พวกเขารักและนบนอบต่อพระองค์จริงหรือเปล่า อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไหม นี่คือการสำแดงพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์และชอบธรรมได้ดีกว่า ฉันคิดว่า ฉันคงได้อะไรตอบแทนตามที่ให้ไป คิดว่าคงได้อะไรกลับมาเท่ากับที่อุทิศไป นั่นคือมุมมองการแลกเปลี่ยนแบบมนุษย์ ที่ต่างจากความชอบธรรมของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ในฐานะผู้เชื่อ ฉันได้ทำการพลีอุทิศ และทำเรื่องดีๆ ไปบ้าง แต่มุมมองการไล่ตามเสาะหาของฉันมันผิด และฉันไม่ได้นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ฉันยังติเตียนและต่อต้านพระเจ้าตอนที่ลูกชายเกิดเจ็บป่วย อุปนิสัยของฉันไม่ได้เปลี่ยน ฉันเป็นคนที่ต่อต้านพระเจ้า และเป็นของซาตาน ฉันไม่คู่ควร กับพระพรของพระเจ้าเลย ฉันตระหนักว่า ฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรม แต่กลับรู้สึกว่าในเมื่อทำการพลีอุทิศในหน้าที่ไปบ้าง พระเจ้าก็ควรคุ้มครองและเฝ้าดูแลลูกชายฉัน ฉันกำลังตัดสินงานของพระเจ้า ตามมุมมองแบบแลกเปลี่ยนของมนุษย์ไม่ใช่หรือ? ฉันนึกถึงสิ่งนี้จากพระวจนะ “ทุกคนมีบั้นปลายที่เหมาะสม บั้นปลายเหล่านี้ถูกกำหนดไปตามแก่นแท้ของแต่ละปัจเจกบุคคล และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับผู้คนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง พฤติกรรมชั่วร้ายของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถส่งผ่านไปยังบิดามารดาของพวกเขาได้ อีกทั้งความชอบธรรมของเด็กคนหนึ่งไม่สามารถแบ่งปันกับพ่อแม่ของพวกเขาได้ พฤติกรรมชั่วร้ายของบิดามารดาไม่สามารถส่งผ่านไปยังลูกๆ ของพวกเขาได้ และความชอบธรรมของบิดามารดาก็ไม่สามารถแบ่งปันกับลูกๆ ของพวกเขาได้ ทุกคนแบกรับบาปแต่ละอย่างของพวกเขา และทุกคนชื่นชมโชคลาภแต่ละอย่างของพวกเขา ไม่มีผู้ใดสามารถแทนที่บุคคลอีกคนหนึ่งได้ นี่คือความชอบธรรม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ฉันคิดว่า ในเมื่อฉันสละอะไรมากมายในความเชื่อ พระเจ้าก็ควรทรงรักษาลูกชายฉันให้หาย ไม่งั้น ฉันก็จะมองว่าพระองค์ไม่ชอบธรรม ฉันนี่มัน ไร้สาระจริงๆ! ไม่ว่าจะยอมลำบากไปมากแค่ไหน นั่นก็เป็นหน้าที่ของฉัน และเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง มันไม่เกี่ยวกับอาการป่วย ชะตากรรม หรือบั้นปลายของลูกฉันเลย ฉันไม่ควรใช้มัน เป็นอำนาจต่อรอง เพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า การเข้าใจเรื่องนี้ ช่างรู้สึกเป็นอิสระมาก

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอน ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจแก่นแท้ของมุมมองผิดๆ ของตัวเอง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่สำคัญว่าเกิดสิ่งทั้งหลายกับพวกเขาสักกี่อย่าง บุคคลชนิดที่เป็นศัตรูของพระคริสต์ไม่ลองพยายามเลยที่จะจัดการแก้ไขสิ่งเหล่านั้นโดยการสำรวจค้นหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะลองพยายามที่จะมองสิ่งทั้งหลายโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า—ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นเพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าทุกบรรทัดพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และไม่ยอมรับท่าทีอันถูกต้องซึ่งพระเจ้าตรัสว่าผู้คนควรที่จะมีในทุกเรื่อง มีพระเจ้าหนึ่งประเภทเท่านั้นที่พวกเขาเชื่อ นั่นคือ พระเจ้าเหนือธรรมชาติผู้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ คล้ายกับพระเจ้าเทียมเท็จทั้งหลายดังเช่นเจ้าแม่กวนอิมและพระพุทธเจ้าซึ่งแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เล็กน้อยด้วยเช่นกัน…ในจิตใจของพวกศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าควรได้รับการนมัสการในขณะที่ทรงซ่อนเร้นอยู่ข้างหลังแท่นบูชา เสวยอาหารที่ผู้คนถวาย สูดดมเครื่องหอมที่พวกเขาเผา ยื่นพระหัตถ์เข้าไปช่วยเมื่อพวกเขาเดือดร้อน มอบการช่วยเหลือและสนองคำร้องขอของพวกเขา—ตราบที่พระองค์ทรงมีความสามารถที่จะทำได้—หากพวกเขาจริงจังตั้งใจในคำวอนขอทั้งหลายของพวกเขา สำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์ มีเพียงพระเจ้าเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นพระเจ้า ในขณะเดียวกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำในวันนี้ประสบกับการดูถูกของพวกศัตรูของพระคริสต์ แล้วเหตุใดหรือจึงเป็นเช่นนั้น? เมื่อตัดสินโดยธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ สิ่งที่พวกเขาพึงประสงค์ไม่ใช่งานของการให้น้ำ การเป็นผู้เลี้ยง และการไถ่ซึ่งพระผู้สร้างทรงปฏิบัติกับสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า แต่เป็นความจำเริญและความสำเร็จในทุกสรรพสิ่ง การไม่ถูกลงโทษในชีวิตนี้ และการไปยังสวรรค์เมื่อพวกเขาตายลง มุมมองและความต้องการที่จำเป็นของพวกเขายืนยันแก่นแท้ของพวกเขาในความเป็นอริต่อความจริง(“พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และพวกเขาไม่ยอมรับแก่นแท้ของพระคริสต์ (ภาคที่หนึ่ง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะทุกคำนั้นตรงประเด็นมาก ในการทบทวน ฉันตระหนักได้ว่า ฉันมักรู้สึกเหมือนพระเจ้าควรตอบแทน ควรให้พระพรฉัน สำหรับทุกสิ่งที่ฉันทำในความเชื่อ พระองค์ควรทรงรักษาครอบครัวฉัน ให้ปลอดภัยและสบายดี ดังนั้น พอฉันเห็นว่า หลังการผ่าตัดอาการของลูกชายฉันดีขึ้นมาก ฉันก็รู้สึกว่านี่คือพระพร รู้สึกขอบคุณและเปี่ยมด้วยคำสรรเสริญ แต่พออาการของเขาเกิดแย่ลงอีก ฉันก็อยากให้พระเจ้าทรงแสดงการอัศจรรย์เพื่อรักษาเขา แต่พอพระองค์ ไม่ทำอย่างที่ฉันต้องการ ฉันก็เปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มแย้มเป็นโกรธเคือง โมโหที่พระเจ้าไม่คำนึงถึงการพลีอุทิศทั้งหมดของฉัน เพื่อคุ้มครองและรักษาลูกชายฉันให้หาย ฉันถึงกับ เสียใจในทุกสิ่งที่เคยให้ไป อารมณ์ของฉันหมุนไปเรื่อย ไม่ว่าฉันจะได้หรือเสียอะไรไป ในความเชื่อ ฉันไม่ได้นมัสการหรือนบนอบต่อพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้าง แต่กลับเห็นพระองค์เป็นวัตถุที่ตอบสนองความต้องการ และอวยพระพรฉัน แบบนั้นฉันจะต่างกับผู้ปราศจากความเชื่อที่นมัสการพระพุทธเจ้าหรือเจ้าแม่กวนอิมยังไง? นั่นไม่ใช่การเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง! พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์และเสด็จมาแผ่นดินโลกสองหน ทรงสู้ทนกับการหมิ่นพระเกียรติ การกล่าวโทษ ต้านทาน ความกบฏ และความเข้าใจผิดอันเหลือเชื่อของผู้คน ทั้งหมดนั้น ล้วนบอกเราถึง พระวจนะและความจริง เพื่อให้กลายมาเป็นชีวิตของเรา เราจะได้ใช้ชีวิตด้วยพระวจนะ รอดพ้นจากความเสื่อมทราม และถูกช่วยให้รอดในที่สุด พระเจ้าทรงยอมลำบากอย่างใหญ่หลวงเพื่อมวลมนุษย์ ตลอดหลายปีที่เชื่อมา ฉันเพลิดเพลินกับพระคุณและพระพรมาก ได้รับการให้น้ำและการค้ำจุนแห่งความจริงมากมาย แต่ฉันกลับ ไม่จริงใจกับพระเจ้าเลย นั่นทำให้พระองค์ทรงเจ็บปวดและผิดหวังมาก! ฉันเริ่มรู้สึก เป็นหนี้พระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ ใบหน้า อาบด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจและรู้สึกผิด ฉันอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เชื่อมาหลายปี โดยไม่ไล่ตามความจริง ตอนลูกชายป่วยก็ยืนหยัดเป็นพยานไม่ได้ แถมทำให้ทรงผิดหวัง ข้าพระองค์ เป็นหนี้พระองค์มาก ข้าพระองค์อยากกลับใจ และไม่ว่า ลูกชายจะอาการดีขึ้นหรือไม่ ข้าพระองค์ก็พร้อมนบนอบต่อกฏและการเตรียมการของพระองค์ โปรดทรงมอบความเชื่อ และอยู่กับข้าพระองค์ด้วย” หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกเหมือนภูเขาถูกยกออกไปจากอก ฉันรู้สึกตัวเบาขึ้นมาก และไม่กังวลเรื่องอาการป่วยของลูกชายเหมือนที่เคยแล้ว

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอน ที่ทำให้ฉันได้รับความเข้าใจใหม่ในเรื่องทั้งหมด “ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างหน้าที่ของมนุษย์กับการที่เขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งหรือไม่ หน้าที่คือสิ่งที่มนุษย์ควรจะทำให้ลุล่วง มันเป็นวิชาชีพที่สวรรค์ส่งมาของเขา และไม่ควรขึ้นอยู่กับการตอบแทน สภาพเงื่อนไขต่างๆ หรือเหตุผล เมื่อนั้นเท่านั้นที่เขากำลังทำหน้าที่ของเขา การได้รับพรคือเมื่อใครบางคนได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและได้ชื่นชมพรของพระเจ้าหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษา การถูกสาปแช่งคือเมื่ออุปนิสัยของใครบางคนไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาแล้ว คือตอนที่พวกเขาไม่ได้รับประสบการณ์กับการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแต่ถูกลงโทษ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับพรหรือถูกสาปแช่งก็ตาม สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ทำสิ่งที่ควรจะทำ และทำสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ นี่เป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่บุคคลคนหนึ่ง บุคคลซึ่งไล่ตามเสาะหาพระเจ้า ควรทำ เจ้าไม่ควรทำหน้าที่ของเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรเท่านั้น และเจ้าไม่ควรปฏิเสธที่จะกระทำเพราะกลัวถูกสาปแช่ง เราขอบอกสิ่งเดียวนี้กับพวกเจ้าว่า การปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์คือสิ่งที่เขาควรทำ และหากเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเขาได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือความเป็นกบฏของเขา โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นว่า การทำหน้าที่ของเรา ไม่เกี่ยวกับการได้รับพระพรหรือถูกสาปแช่ง สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ควรทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสม เหมือนกับพ่อแม่ที่เลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ ลูกๆ ก็ควรกตัญญู มันไม่ควรเป็นเรื่องการสืบทอดมรดก ไม่ควรมีเงื่อนไข นั่นเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด ที่คนเราควรทำ แต่ฉันกลับไม่ได้คิด ว่าจะตอบแทนความรักของพระเจ้าในหน้าที่ของฉันยังไง ฉันกลับอยาก ใช้หน้าที่ที่ทรงมอบหมาย มาทำข้อตกลงกับพระเจ้า ร้องขอพระคุณและพระพรจากพระองค์ จากสิ่งที่ฉันมอบให้เพียงเล็กน้อย หากไม่ได้ ฉันก็ติเตียนพระเจ้า ฉันไม่ได้มีมโนธรรมเลย แถมยังทำพระเจ้าผิดหวัง หลังจากที่ลูกชายของฉันป่วย ฉันก็เปี่ยมด้วยข้อเรียกร้อง มักเข้าใจผิด และติเตียนพระเจ้าอยู่เสมอ ความคิดนี้ ทำให้ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ฉันตั้งปณิธานเงียบๆ ว่าไม่ว่าลูกชายฉันจะดีขึ้นหรือไม่ ฉันก็จะไม่ติเตียนพระเจ้าอีก ต่อมา อาการของลูกชายฉันแย่ลงเรื่อยๆ สุขภาพของเขา ทรุดโทรมลงทุกวัน ฉันเจ็บปวด และทุกข์ใจมาก แต่ในหัวใจ กลับเป็นอิสระมากขึ้น

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะที่ว่า “พระเจ้าได้ทรงวางแผนแหล่งกำเนิด การถือกำเนิด อายุขัย อวสานของสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า ตลอดจนภารกิจของชีวิตของพวกเขาและบทบาทที่พวกเขาแสดงในมวลมนุษย์ทั้งปวงไว้แล้วอย่างครบถ้วน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านี้ได้ ทั้งนี้ นี่คือสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง การถือกำเนิดของสิ่งทรงสร้างทุกๆ สิ่ง ระยะเวลานานเพียงใดที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ ภารกิจของชีวิตของพวกเขา—ธรรมบัญญัติเหล่านี้ทั้งหมด ทุกๆ ธรรมบัญญัติเหล่านี้ ทรงลิขิตโดยพระเจ้า ดังที่พระเจ้าได้ทรงลิขิตวงโคจรของทุกเทห์ฟากฟ้า ทั้งนี้ วงโคจรไหนที่เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้ติดตาม เป็นเวลากี่ปี วิธีที่เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้โคจร เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้ติดตามธรรมบัญญัติใด—การนี้ล้วนแต่ทรงลิขิตโดยพระเจ้านานมาแล้ว โดยไม่เปลี่ยนแปลงเป็นเวลาหลายพัน หลายหมื่นปี การนี้ทรงลิขิตโดยพระเจ้า และการนี้คือสิทธิอำนาจของพระองค์(“เพียงโดยการแสวงหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถรู้จักกิจการของพระเจ้าได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จริงด้วย พระเจ้าคือพระผู้สร้าง และอายุขัยของเราอยู่ในพระหัตถ๋ เราจะอยู่นานแค่ไหน ทนทุกข์เท่าไหร่ ได้รับพระพรแค่ไหน ก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าจะไม่ทรงยืดอายุขัยให้ใคร แค่เพราะเขามีความประพฤติดี และจะไม่ทรงจบชีวิตใครก่อนเวลาเพราะพวกเขาทำชั่วมามาก ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว เมื่อเวลาที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหมดลง พระเจ้าก็จะทรงพรากชีวิตเขาไป ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าทรงกำหนดไว้นานแล้ว ว่าชีวิตของลูกฉันจะเป็นอย่างไร ทุกสิ่งที่ทรงทำนั้นชอบธรรม ฉันแค่ ต้องนบนอบต่อกฎและการจัดเตรียมของพระองค์ พอเข้าใจเรื่องนี้ ความเจ็บปวดของฉัน ก็บรรเทาลง ฉันรู้ว่า ไม่ว่าลูกจะเป็นอย่างไร ฉันก็ต้องทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และตอบแทนความรักของพระเจ้า

เดือนมีนาคมปีนี้ ฉันได้บอกลาลูกชายไปตลอดกาล แต่เพราะการนำของพระวจนะ ฉันจึงเผชิญกับการจากไปของเขาได้อย่างถูกต้อง และทนทุกข์น้อยลงมากทีเดียว สองปีมานี้ ตั้งแต่ที่ลูกชายฉันป่วยครั้งแรก ฉันก็ทนทุกข์มาก แต่การเจอเรื่องทั้งหมดนี้ ทำให้ฉันเห็นเป้าหมายและความเสื่อมทรามอันน่ารังเกียจในการไล่ตามพระพรในความเชื่อ เห็นว่าฉันถูกซาตาน ทำให้เสื่อมทรามอย่างหนักแค่ไหน ถ้าความเสื่อมทรามนี้ไม่ถูกแก้ไข ฉันก็จะติเตียนและต่อต้านพระเจ้าต่อไป ประสบการณ์นี้ ทำให้ฉันเห็นจริงๆ ว่า ความยากลำบากที่เจอ เป็นประโยชน์กับชีวิตฉันแค่ไหน ยิ่งกิจการของพระเจ้าเคลื่อนไปจากมโนคติอันหลงผิดของเรา ก็ยิ่งมีความจริงให้แสวงหาในนั้น และยิ่งเป็นความรอดของเรามากขึ้น

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตื่นจากความโอหังของผม

โดย จอห์นนี, อิตาลีผมเริ่มทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐในปี 2015 และประสบความสำเร็จอยู่บ้างภายใต้การทรงนำของพระเจ้า  บางครั้ง...

พระวจนะของพระเจ้าได้สั่นคลอนให้จิตวิญญาณของฉันตื่นขึ้น

โดย หนานหนาน ประเทศสหรัฐอเมริกา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ช่วงระยะปัจจุบันของพระราชกิจในเรื่องเหล่านี้ของพระเจ้าในยุคสุดท้าย...

จงเห็นพ่อแม่อย่างที่ท่านเป็น

โดย ซินเช่อ, เกาหลีใต้ ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันมักจะมองพ่อแม่ เป็นต้นแบบในการติดตามพระเจ้า ในความเชื่อนั้น พวกท่านดูกระตือรือร้น...

การทบทวนของ “ผู้นำที่ดี”

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ก็สอนให้ฉันเป็นมิตรกับผู้คน เป็นคนที่เข้าหาได้ และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าบรรดาคนรอบตัวมีปัญหาหรือข้อเสีย...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger