การประกาศข่าวประเสริฐ: วิธีที่หญิงพรหมจารี 10 คนในพระคัมภีร์รับองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้

วันที่ 08 เดือน 09 ปี 2020

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น แต่ที่สุดปลายยุคยังมาไม่ถึง เพราะว่า ประชาชาติกับประชาชาติ และอาณาจักรกับอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดกันดารอาหารและแผ่นดินไหวในที่ต่างๆ แต่สิ่งทั้งหมดนี้เป็นการเริ่มต้นของความทุกข์เหมือนเมื่อเริ่มคลอดลูก(มัทธิว 24.6-8) บัดนี้ มหันตภัยกำลังเกิดขึ้นทั่วโลกในจำนวนที่มหาศาลมากขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น ไวรัสโคโรนาในอู่ฮั่น ตั๊กแตนโลคัสท์ในแอฟริกา ไฟป่าในออสเตรเลีย และความวิบัติอื่นๆ ต่างก็ได้อุบัติขึ้นตามติดกันมา ดวงจันทร์สีเลือดทั้งสี่ก็ได้ปรากฏขึ้นแล้วเช่นกัน คำเผยวจนะทั้งหลายในเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น โดยหลักๆ ก็ได้ลุล่วงไปแล้ว นั่นคือ องค์พระผู้เป็นเจ้าต้องได้ทรงกลับมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรื่องราวหนึ่งซึ่งค้างคาอยู่ในจิตใจของผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจำนวนมากก็คือเรื่องนี้ที่ว่า พวกเราจะสามารถเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาในการรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า “เวลานั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือนหญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตน ออกไปรับเจ้าบ่าว เป็นคนโง่ห้าคน และเป็นคนมีปัญญาห้าคน คนโง่เหล่านั้นเอาตะเกียงของตนไปแต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปด้วย คนที่มีปัญญานั้นเอาน้ำมันใส่ขวดไปกับตะเกียงของตนด้วย(มัทธิว 25:1-4) เราสามารถเห็นได้จากข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ว่า หญิงพรหมจารีที่มีปัญญาตระเตรียมน้ำมันตะเกียงและรอคอยการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเคารพ ในท้ายที่สุด หญิงเหล่านั้นก็สามารถที่จะต้อนรับพระองค์ได้ และสามารถที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงในอาณาจักรสวรรค์ได้ ดังนั้น พี่น้องชายหญิงมากมายเชื่อว่า ตราบที่พวกเขาอ่านข้อความคำสอนในพระคัมภีร์อย่างสม่ำเสมอ เข้าร่วมการชุมนุม ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าอย่างขยันขันแข็ง และรอคอยอย่างเคารพ นี่หมายความว่าพวกเขาได้ตระเตรียมน้ำมันไว้แล้วและพวกเขาเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา และหมายความว่า พวกเขาจะได้รับการยกขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ ทว่านี่ก็เป็นการปฏิบัติของพวกเรามานานหลายปีแล้ว และตอนนี้ มหันตภัยทุกลักษณะก็ได้มาถึงแล้ว แต่เรากลับยังไม่ได้รับองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย นี่ทำให้พวกเราไม่มีทางเลือกนอกจากต้องคิดทบทวนและถามตัวพวกเราเองว่า การดำเนินพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปจนเสร็จสิ้นในหนทางนี้นั้น คือการเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาอย่างแท้จริงหรือ? พวกเราจะสามารถรับองค์พระเยซูเจ้าและได้รับการยกขึ้นไปก่อนที่ความทุกข์ลำบากจะมาหรือไม่?

สารบัญ
การอ่านข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการดำเนินพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปจนเสร็จสิ้นอย่างขยันขันแข็ง: นี่ทำให้เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาอย่างนั้นหรือ?
หญิงพรหมจารีที่มีปัญญาคืออะไร?
1) พระดำรัสที่พระเจ้าทรงแสดงออกมานั้นครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และเป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยของพระเจ้า

2) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยความล้ำลึก และตีแผ่ความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์และความลับทั้งหลาย
3)พระดำรัสของพระเจ้าสามารถจัดเตรียมเสบียงอาหารและจัดเตรียมเส้นทางสำหรับผู้คนได้

การอ่านข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการดำเนินพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปจนเสร็จสิ้นอย่างขยันขันแข็ง: นี่ทำให้เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาอย่างนั้นหรือ?

พวกเราลองคิดย้อนไปถึงพวกธรรมาจารย์ หัวหน้าปุโรหิต และพวกฟารีสีทั้งหลาย พวกเขาล้วนอ่านข้อความคำสอนของพระคัมภีร์มาอย่างดี และตระกูลของพวกเขาได้รับใช้พระเจ้ามาหลายชั่วอายุคน พวกเขาเชื่อฟังธรรมบัญญัติ ยึดปฏิบัติตามพระบัญญัติ ทำงานอย่างขยันขันแข็ง และถึงขั้นได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อาจกล่าวได้ว่า พวกเขาได้ทำงานไปอย่างมากมายเลยทีเดียว ได้ทนฝ่าความทุกข์ไปมิใช่น้อย และได้รอคอยการทรงมาถึงของพระเมสสิยาห์อย่างเคารพ ตามมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเรา พวกเขาควรได้เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาผู้ซึ่งได้ตระเตรียมน้ำมันไว้แล้ว พวกเขาควรได้มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์มากกว่าผู้ใดในการที่จะรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และในการที่จะได้รับความรอดและพระคุณของพระองค์ ว่าแต่ ข้อเท็จจริงนั้นคืออะไร? เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาทรงพระราชกิจ ผู้คนเหล่านี้ไม่เพียงได้ล้มเหลวที่จะจำองค์พระเยซูเจ้าได้ แต่พวกเขาถึงขั้นเชื่อบนพื้นฐานของมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาว่า “ใครที่ไม่ได้ถูกเรียกขานว่า ‘พระเมสสิยาห์’ ย่อมไม่ใช่พระเจ้า” พวกเขาสามารถได้ยินอย่างชัดเจนว่า พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่กระนั้น พวกเขาก็ได้ใช้พื้นฐานของมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขามากล่าวโทษพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าว่าแปลกแยกไปจากข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ พวกเขาใช้การนี้เป็นเหตุผลข้ออ้างที่จะปฏิเสธว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าพระองค์เอง และพวกเขายังรีบฉวยโอกาสจากการนี้ ทำการตัดสินและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาหาได้มีความเคารพพระเจ้าอยู่ในหัวใจของพวกเขาเลยแม้เพียงเสี้ยว พวกเขาไม่เข้าใจ ทั้งยังไม่แสวงหาหรือเจาะลึกในเรื่องนี้ พวกเขาถึงขั้นทำงานกับรัฐบาลโรมันในการตอกตรึงองค์พระเยซูเจ้าไปบนกางเขน และในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ถูกพระเจ้าลงโทษ ดังนั้น สามารถกล่าวได้หรือว่า พวกฟาริสีนั้นเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา? พวกเขากังวลเกี่ยวกับตัวเองก็เพียงในเรื่องของการตรากตรำทำงานและการดำเนินงานไปจนเสร็จสิ้นด้วยการค้ำจุนธรรมบัญญัติต่างๆ ของพันธสัญญาเดิมเท่านั้น แต่พวกเขาไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พวกเราไร้ความสามารถที่จะได้ยินพระเสียงของพระเจ้า พวกเขาสามารถถูกเรียกได้เลยว่าเป็นหญิงพรหมจารีที่โง่ที่สุด แล้วสิ่งใดเล่าที่ทำให้เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาอย่างแท้จริง? จงอ่านต่อไปเพื่อค้นพบให้มากขึ้น

หญิงพรหมจารีที่มีปัญญาคืออะไร?

องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยตรัสไว้ครั้งหนึ่งว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น10:27)เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’(มัทธิว25:6) จากข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ พวกเราสามารถเห็นได้ว่า โดยหลักแล้ว หญิงพรหมจารีที่มีปัญญานั้นมีความสามารถที่จะรับเจ้าบ่าวได้ เพราะพวกนางเชื่อในความสำคัญของการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า เพื่อพวกนางได้ยินใครบางคนโห่ร้องว่าเจ้าบ่าวกำลังมา หญิงพรหมจารีที่มีปัญญาก็เริ่มออกมาทันทีเพื่อที่จะรับเขา และพวกนางก็แสวงหาและเจาะลึก ในท้ายที่สุด พวกนางจึงได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้า และดังนั้น พวกนางจึงรับองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ เหมือนกันไม่มีผิดกับที่หญิงชาวสะมาเรียได้ยินองค์พระเยซูเจ้าตรัส ดังที่ถูกบันทึกไว้ในข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ว่า “เพราะเธอมีสามีถึงห้าคนแล้ว และคนที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเธอ เรื่องนี้เธอพูดจริง(ยอห์น 4:18) ถึงตอนนั้นแล้ว นางจึงตระหนักว่า มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถทราบและตรัสถึงสิ่งต่างๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของนาง ด้วยความอัศจรรย์ใจ นางจึงโห่ร้องต่อผู้คนซึ่งอยู่แถวนั้นว่า “มานี่ มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดที่ฉันเคยทำ ท่านผู้นี้จะเป็นพระคริสต์ได้ไหม?” (ยอห์น 4:29) นางได้ระลึกรู้จากพระวจนะของพระองค์ว่า องค์พระเยซูเจ้าก็คือพระเมสสิยาห์ผู้ซึ่งการเสด็จมาของพระองค์นั้นได้มีการทำนายเอาไว้แล้ว และแล้วเปโตรก็มา—ตลอดครรลองแห่งกาลเวลาที่เขาอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาได้เห็นว่าพระวจนะที่ถูกตรัสและพระราชกิจที่ถูกกระทำโดยองค์พระเยซูเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ปกติธรรมดาจะสามารถพูดและทำได้ จากพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า เขาระลึกรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ยังมีนาธานาเอล ยอห์น อันดรูว์ และคนอื่นๆ ซึ่งล้วนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาตระหนักอย่างแน่ใจว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าพระองค์เอง และพวกเขาได้ทอดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะติดตามพระองค์ มีเพียงผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา

ข้อเท็จจริงด้านบนเป็นหลักฐานว่า ไม่ใช่ผู้คนทั้งหมดที่อ่านข้อความคำสอนของพระคัมภีร์ เข้าร่วมการชุมนุม ทำหน้าที่รับผิดชอบต่อพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างขยันขันแข็ง และรอคอยอย่างเคารพจะเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา เหนือสิ่งอื่นใด หญิงพรหมจารีที่มีปัญญาคือบรรดาผู้ที่ใส่ใจในพระสุรเสียงของพระเจ้า และเมื่อพวกเขาได้ยินผู้อื่นเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาก็สามารถที่จะวางมโนคติที่หลงผิดและการจิตนาการของพวกเขาลง และเจาะลึกในพระราชกิจของพระเจ้าด้วยหัวใจที่ถ่อมใจแสวงหา ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้รับความรู้แจ้งเกี่ยวกับพระเจ้า ระลึกรู้พระสุรเสียงของพระเจ้า และรับพระเจ้าไว้ ในขณะที่สำหรับพวกที่ไม่ให้ความสนใจที่จะฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ผู้ที่ไม่แสวงหาแม้หลังจากที่ได้ยินความจริงกำลังถูกแสดงออกมา ผู้ที่ขาดวิจารณญาณ ผู้ที่เกาะติดกับคำพูดตามตัวอักษรของข้อความคำสอนในพระคัมภีร์ และผู้ที่เชื่อว่า โดยการตรากตรำทำงาน โดยการสละตัวเอง และทำของถวาย พวกย่อมจะสามารถได้ทำการต้อนรับการทรงปรากฏของพระเจ้า—พวกเขาล้วนเป็นหญิงพรหมจารีโง่ และในท้ายที่สุด พวกเขาก็จะสูญเสียความรอดและพระคุณของพระเจ้าไป

เพื่อหลีกเลี่ยงการกลายไปเป็นหญิงพรหมจารีโง่และถูกพระเจ้าทอดทิ้งและกำจัดทิ้งท่ามกลางมหันตภัยทั้งหลาย ณ ชั่วขณะวิกฤตินี้ที่การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องได้รับการรับไว้ พวกเราควรกลายมาเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาและมุ่งเน้นตัวเองอยู่กับการแสวงหาที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ในหนังสือวิวรณ์ได้เขียนไว้ว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20) คำเผยวจนะเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในวาระสุดท้าย พระองค์ทรงมาเพื่อดำรัสพระวจนะ ดังนั้น พวกเราสามารถหยั่งรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าได้อย่างไรหรือ? อันดับถัดไป พวกเราจงมาสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับหลักการต่างๆ อีกสักเล็กน้อย

1) พระดำรัสที่พระเจ้าทรงแสดงออกมานั้นครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และเป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยของพระเจ้า

ดังที่พวกเรารู้กันถ้วนหน้าว่า ในปฐมกาล พระเจ้าได้ทรงใช้พระดำรัสนี่เองในการทรงสร้างโลก พระดำรัสของพระเจ้าครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ ทันทีที่พระดำรัสหนึ่งของพระเจ้าได้ถูกตรัสออกมา พระดำรัสนั้นย่อมสัมฤทธิ์ผลในความเป็นจริง มันเป็นดั่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ในหนังสือปฐมกาลว่า “‘จงเกิดความสว่าง’ ความสว่างก็เกิดขึ้น” (ปฐมกาล 1:3)‘น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น’ ก็เป็นดังนั้น” (ปฐมกาล1:9) พระยาห์เวห์ได้ตรัสกับโมเสสว่า “จงกล่าวแก่ชุมนุมชนอิสราเอลทั้งหมดว่า เจ้าทั้งหลายต้องบริสุทธิ์ เพราะเรายาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์(เลวีนิติ 19.2) ยังมีพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ตีแผ่พวกฟารีสีไว้เช่นกันว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23.13)

ทันทีที่พวกเราได้ยินพระวจนะของพระเจ้า พวกเราจะกลายเป็นตระหนักรู้ว่า ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาสามัญเลยที่จะสามารถกล่าวพระวจนะเหล่านี้ได้ พระวจนะของพระเจ้าสามารถบัญชาทุกสรรพสิ่ง ทุกสรรพสิ่งถูกก่อร่างขึ้นและทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระวจนะของพระองค์ พวกที่ต่อต้านและไม่เชื่อฟังพระเจ้าทั้งหมดสามารถถูกพระวจนะของพระองค์ประนามสาปแช่งได้ การได้ยินพระวจนะเหล่านั้นเป็นแรงบรรดาลใจอันน่าเกรงขามสำหรับพวกเรา และพวกเราสามารถรู้สึกได้ว่า พระอุปนิสัยของพระองค์นั้นไม่ยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองจากมนุษย์ใด ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นเป็นตัวแทนพระสถานะและสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างครบถ้วน และว่าในยุคสุดท้าย พวกเราต้องระลึกรู้ว่า สิ่งที่พวกเราได้ยินนั้นเป็นพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาหรือไม่ นี่เองคือวิธีที่เราจะสามารถได้รับวิจารณญาณ

2) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยความล้ำลึก และตีแผ่ความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์และความลับทั้งหลาย

ดังที่พวกเรารู้กันถ้วนหน้าว่า องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกไว้มากมายในช่วงระหว่างกาลสมัยที่พระองค์ได้เสด็จมาทรงพระราชกิจ มีที่ได้ทรงตรัสว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) รวมถึง “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้(มัทธิว 7:21) เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกที่รายล้อมทางเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อยู่นี่เอง พวกเราจึงรู้ว่า เฉพาะบรรดาผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงและกลายเป็นผู้คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาสวรรค์เท่านั้น ที่จะสามารถเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ นี่คือบางสิ่งที่พวกเราคงจะไม่มีวันได้รู้เลย หากองค์พระเยซูเจ้ามิได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกนี้ต่อพวกเรา

ที่มากกว่านั้นก็คือ พระเจ้าคือพระเจ้าพระองค์หนึ่งซึ่งทรงพินิจพิเคราะห์ความลึกของหัวใจผู้คน พระเจ้าทรงมีความเข้าใจเกี่ยวกับพวกเราอย่างครบถ้วนละเอียดลออ นั่นคือ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถเปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเราและสิ่งที่อาศัยอยู่ในหัวใจของพวกเราได้ ตัวอย่างเช่น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสถึงเรื่องของนาธานาเอลใต้ต้นมะเดื่อ เรื่องของการทรงอนุญาตให้นาธานาเอลได้ระลึกรู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าก็คือพระเมสสิยาห์ผู้ซึ่งการเสด็จมาของพระองค์นั้นได้มีการทำนายเอาไว้แล้ว ยังมีมัทธิวคนเก็บภาษีผู้ซึ่งระลึกรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าก็เพราะพระเยซูได้ตรัสถึงเนื้อหาของคำอธิษฐานของเขา ในที่นี้ พวกเราสามารถมองเห็นได้เลยว่า พระวจนะของพระเจ้าไม่เพียงเปิดเผยความลึกล้ำเท่านั้น แต่ยังตีแผ่ความเสื่อมทรามและความลับทั้งหลายของมวลมนุษย์ไปด้วย นี่คือหนทางหนึ่งซึ่งพวกเราสามารถหยั่งรู้ว่า บางสิ่งนั้นใช่พระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่

3)พระดำรัสของพระเจ้าสามารถจัดเตรียมเสบียงอาหารและจัดเตรียมเส้นทางสำหรับผู้คนได้

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา(ยอห์น 14:6) พระเจ้าพระองค์เองคือความจริง พระเจ้าทรงสามารถแสดงความจริงสำหรับเสบียงอาหารของมวลมนุษย์โดยสอดคล้องกับความต้องการที่จำเป็นของพวกเขาไม่ว่า ณ เวลาใดและในสถานที่ใด ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ มวลมนุษย์มิได้รู้วิธีที่จะใช้ชีวิตและวิธีที่จะนมัสการพระเจ้า ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงประกาศใช้ธรรมบัญญัติโดยผ่านทางโมเสสเพื่อที่จะทรงนำทางผู้คนในชีวิตของพวกเขา ดังที่ได้ตรัสไว้ในพระบัญญัติสิบประการนั่นเอง ว่า “เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ผู้ได้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์คือออกจากแดนทาส ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา(เฉลยธรรมบัญญัติ 5:6–7)ห้ามฆ่าคน ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา […] ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน ห้ามโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน […](เฉลยธรรมบัญญัติ 5:17–21) หลังจากได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผู้คนของกาลสมัยนั้นจึงได้รู้วิธีที่พวกเขาควรใช้ชีวิตและวิธีที่จะนมัสการพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจและเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรสวรรค์ พระองค์จึงทรงเริ่มสอนผู้คนว่า พวกเขาต้องสารภาพบาปของพวกเขาและกลับใจเสีย ทรงสอนว่าพวกเขาต้องยอมผ่อนปรนและอดทน สอนว่าพวกเขาต้องรักผู้อื่นเสมือนรักตนเอง สอนว่าพวกเขาต้องเป็นเกลือ และเป็นความสว่างของแผ่นดินโลกและอื่นๆ อีกมาก ดังตอนที่เปโตรได้ทูลคำถามนี้ต่อองค์พระเยซูเจ้าไปนั่นเองว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?” (มัทธิว18:21) พระเยซูได้ทรงบอกเปโตรไปตรงๆ ว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด(มัทธิว18:22) หลังจากที่ได้ยินพระวจนะเหล่านี้จากองค์พระผู้เป็นเจ้า เปโตรจึงได้เข้าใจว่า การยกโทษเป็นบางสิ่งที่พวกเราควรยึดปฏิบัติ การนี้มิใช่เป็นไปตามสภาพเงื่อนไขหรือมีขีดจำกัดเป็นจำนวนครั้งที่เฉพาะเจาะจง แล้วจากนั้น เปโตรจึงได้มีเส้นทางแห่งการฝึกปฏิบัติ

ด้วยเหตุนั้น หากตอนนี้ ใครบางคนให้ข่าวดีแก่พวกเราว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและเป็นพยานต่อพวกเราว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกำลังตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย พวกเราก็สามารถรับฟังและประเมินว่า หนทางนี้สามารถจัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับความต้องการที่จำเป็น ณ ปัจจุบันของพวกเราให้กับพวกเราได้หรือไม่ ตอนนี้พวกเราล้วนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการกระทำบาปแล้วจากนั้นก็สารภาพบาปเหล่านั้น อันเป็นสิ่งที่พวกเราไม่สามารถไขตัวเองให้หลุดพ้นไปได้เลย หากพระวจนะที่พวกเขาแบ่งปันมาสามารถชี้ชัดถึงเส้นทางที่จะทำให้ตัวพวกเราปลอดจากบาปและได้รับความบริสุทธิ์ได้ นี่ก็ย่อมหมายความว่า องค์พระเยศูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว พวกเราสามารถหยั่งรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าโดยการใช้พื้นฐานจากหลักการเดียวนี้เอง

การสามัคคีธรรมนี้จัดเตรียมเส้นทางให้กับเจ้าสำหรับการกลายมาเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาและการรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่? เราหวังว่า หากเรื่องนี้ได้มีประโยชน์สำหรับเจ้า เจ้าจะแบ่งปันมันให้กับผู้อื่น ความปรารถนาของเราก็คือ พวกเราทั้งหมดอาจกลายเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาซึ่งกำลังหลั่งรินหัวใจของพวกเราไปสู่การแสวงหาและการรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าอย่างเอาใจใส่ พวกเราอาจได้ทำการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพระองค์ในเร็วๆ นี้ก็เป็นได้นะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความบาปคืออะไร? คริสตชนสามารถเอาชนะความบาปได้อย่างไร?

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป” (ยอห์น...

สิ่งใดคือนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงใช้พระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน?

พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงบอกพวกเราอย่างชัดเจนในภาคพันธสัญญาเดิมว่า “เรา เราเองคือยาห์เวห์ และนอกจากเรา ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด” (อิสยาห์ 43:11)...

คำเทศนาเรื่อง: คริสตจักรของพระเจ้าที่แท้จริงคืออะไร? เราสามารถแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายได้อย่างไร?

โดยเบาดา ออสเตรเลีย โลกอยู่ในสภาพของความยุ่งเหยิง ด้วยความวิบัติทุกประเภทกำลังเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ ผู้คนมากมายกำลังนึกสงสัยว่า...

เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้คริสตชนทนทุกข์จากอาการป่วย?

โดย ตู๋ส้วย วลี “ตะเกียกตะกายหาหมอเมื่อคุณป่วย” สะท้อนความรู้สึกของผู้คนโดยตรงเกี่ยวกับความวิตกกังวล ความไร้หนทาง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger