เหตุใดในยุคสุดท้าย พระเจ้าจึงเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ มิใช่กายวิญญาณ?
เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงเพื่อทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย หลายคนจึงแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริง แล้วได้ต้อนรับการทรงกลับมาของพระองค์ พวกเขาได้เห็นว่าพระวจนะของพระองค์ช่างเปี่ยมสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ เห็นว่าเป็นความจริง และยืนยันว่านี่คือเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่มีสามัญชนคนไหนเปล่งถ้อยคำเหล่านี้ได้ เมื่อได้ยินเสียงของพระเจ้า พวกเขาก็ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถูกรับขึ้นสู่เบื้องพระบัลลังก์ และได้เข้าร่วมพิธีเสกสมรสของพระเมษโปดก ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร กิน ดื่ม และลิ้มรสพระวจนะทุกวัน หัวใจของพวกเขาสว่างขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่เพียงชื่นชมการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า แต่ยังได้รับความรู้แจ้งแห่งพระวจนะ ได้เรียนรู้ความจริงมากมาย และเข้าใจหลายสิ่ง พวกเขายังได้เรียนรู้ความล้ำลึกแห่งพระคัมภีร์มากมาย ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง พวกเขาเปี่ยมล้นด้วยความเชื่อ และความรักที่มีต่อพระเจ้าก็ลึกซึ้งขึ้น ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมากมายไม่กลัวการเผชิญหน้ากับการกดขี่ จับกุม และข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน พวกเขาทิ้งครอบครัวและสิ่งผูกมัดทางโลกไว้เบื้องหลัง มีหน้าที่แบ่งปันข่าวประเสริฐเพื่อให้คำพยานต่อพระเจ้า พวกเขาทนทุกข์กับการจับกุมและข่มเหงอันโหดเหี้ยมของพรรค แต่ก็ยังติดตามและเป็นพยานให้พระเจ้าอย่างกล้าหาญไร้ความกลัว พวกเขาไม่ปราชัย และไม่ถูกกวาดล้างไปแน่นอน พวกเขาเป็นพยานแก่พระเจ้าอย่างกึกก้อง ตอนนี้ ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถูกเผยแผ่ไปทุกประเทศบนแผ่นดินโลก และคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็ถูกก่อตั้งขึ้นในหลายที่ มีคนได้ยินเสียงของพระเจ้า และหันเข้าหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนผู้ที่สืบค้นงานของพระองค์ทางออนไลน์กำลังเพิ่มขึ้น นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” (มัทธิว 24:27) เช่นเดียวกับที่พระวจนะกล่าวว่า “ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน เราทำให้มนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตด้วยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และนบนอบต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา? ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ? ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา? ใครบ้างไม่คะนึงหาความดีงามของเรา? ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง? ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน? ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่? ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในฤทธานุภาพ? เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เราจะเผชิญหน้าประชากรที่เราเลือกสรรและกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมพละกำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน มนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี เฉลิมฉลองการมาของเราราวกับว่าทารกคนหนึ่งเพิ่งจะได้ถือกำเนิด ด้วยเสียงของเรา เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา นับจากนั้นเป็นต้นไป เราจะเข้าสู่เผ่าพันธุ์ของมนุษย์อย่างเป็นทางการเพื่อที่พวกเขาจะได้มานมัสการเรา ด้วยสง่าราศีที่เราแผ่รัศมีและวจนะในปากของเรา เราจะทำเช่นนั้นจนมนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเราและเห็นว่าฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออก และเห็นว่าเรายังได้ลงมาสู่ ‘ภูเขามะกอกเทศ’ แห่งทิศตะวันออกเช่นกัน พวกเขาจะเห็นว่าเราได้อยู่บนแผ่นดินโลกนานมาแล้ว ไม่ใช่ในฐานะบุตรของชาวยิวอีกต่อไป แต่ในฐานะฟ้าแลบแห่งทิศตะวันออก ด้วยเหตุที่เราได้คืนชีพมานานแล้ว และได้ไปจากท่ามกลางมวลมนุษย์แล้ว และจากนั้นได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยสง่าราศีท่ามกลางมนุษย์ เราคือพระองค์ผู้ทรงได้รับการนมัสการมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้ว และเรายังเป็นทารกที่ถูกคนอิสราเอลละทิ้งมาหลายยุคสมัยนับไม่ถ้วนก่อนปัจจุบันนี้แล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น เราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งเปี่ยมพระสิริแห่งยุคปัจจุบัน! ให้ทั้งหมดนั้นจงมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของเราและเห็นโฉมหน้าอันเปี่ยมสง่าราศีของเรา ได้ยินเสียงของเรา และเฝ้ามองกิจการของเรา นี่คือเจตจำนงครบถ้วนบริบูรณ์ของเรา มันคือจุดสิ้นสุดและจุดสุดยอดของแผนการของเรา รวมทั้งจุดประสงค์ของการบริหารจัดการของเรา กล่าวคือ การให้ทุกชนชาตินมัสการเรา ทุกภาษายอมรับเรา มนุษย์ทุกคนมอบความเชื่อของเขาในตัวเรา และผู้คนทุกคนอยู่ภายใต้การกะเกณฑ์โดยเรา!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวาน—การเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)
ถ้อยดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่เหมือนความสว่างจ้านั้น ได้เผยแผ่จากทิศตะวันออกสู่ตะวันตกแล้ว ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรจากทุกประเทศ ประกาศข่าวประเสริฐ เป็นพยาน และสรรเสริญพระเจ้าอย่างชื่นบาน ที่ทรงพิชิตซาตานและได้รับพระสิริทั้งปวง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงปรากฏและเริ่มทรงงานก่อนความวิบัติ อีกทั้งทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้น ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรของพระองค์ ได้เผยแผ่ไปในทุกชนชาติ แล้วจากนั้นความวิบัติจึงตามมา เราเห็นได้ว่า งานแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มที่พระนิเวศนั้น ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่แล้ว จากนั้น พระเจ้าก็ทรงใช้ความวิบัติทุกประเภท พิพากษาและตีสอนโลกนี้ ความวิบัติเหล่านี้ ช่วยแผ่กระจายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร เพื่อช่วยคนให้รอดจากบาปและกำลังบังคับของซาตานมากขึ้น ในอีกแง่คือ พระเจ้าทรงใช้ความวิบัติตีสอนและทำให้ยุคมืดและชั่วนี้จบลง เพื่อกวาดล้างเหล่ากองกำลังชั่วที่ต่อต้านพระเจ้า นี่คือผลที่จะเกิดจากงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงงานอันยิ่งใหญ่ และทรงสั่นสะเทือนโลกใบนี้ แต่หลายคนในโลกศาสนายังหลงผิดเพราะพญานาคใหญ่สีแดง และยังถูกผูกมัดจากกองกำลังศัตรูของพระคริสต์ในศาสนา พวกเขายึดติดอยู่กับแนวคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าควรเสด็จลงมาบนก้อนเมฆในรูปกายวิญญาณ พระองค์ไม่มีทางกลับมาในเนื้อหนัง ในฐานะบุตรมนุษย์ พวกเขาจึงมั่นใจว่า ผู้ที่ไม่ได้มาบนก้อนเมฆนั้นเทียมเท็จ และคำพยานที่บอกว่าพระองค์คือบุตรมนุษย์ก็เทียมเท็จ เป็นแค่การเชื่อในมนุษย์ ไม่เพียงไม่สืบค้นสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับคริสตจักร หรือการเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงเท่านั้น แต่พวกเขายังติดตามศัตรูของพระคริสต์ในศาสนา ดึงดันที่จะตัดสิน กล่าวโทษ และหมิ่นงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจึงยังไม่ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่กลับตกสู่ความวิบัติ ร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะอยู่หรือตาย หลายคนมีคำถาม หลังการคืนพระชนม์ องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏในรูปกายวิญญาณถึงสี่สิบวัน พระองค์จึงควรเสด็จกลับมาในกายวิญญาณ แต่ทำไมกลับทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เป็นบุตรมนุษย์ ไม่ทรงปรากฏในกายวิญญาณล่ะ? มีหลายคนที่ถามคำถามนี้ และมีหลายคนไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพราะทรงอยู่ในเนื้อหนัง ไม่ใช่กายวิญญาณ น่าเสียดายจริงๆ! พวกเขาพลาดโอกาสเดียวเพื่อได้รับความรอด ซึ่งจะเสียใจไปตลอดกาล ต่อไป ผมจะแบ่งปันสามัคคีธรรมสักเล็กน้อยเพื่อตอบคำถาม ว่าทำไมพระเจ้าทรงปรากฏในเนื้อหนัง ไม่ใช่กายวิญญาณ ในยุคสุดท้าย
อย่างแรก เรื่องการทรงปรากฏและทรงงาน ในยุคสุดท้ายนั้น เรายืนยันได้ว่าองค์พระเยซูเจ้า ทรงกลับมายังโลกในเนื้อหนัง ในฐานะบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย เพื่อทรงงาน เรื่องนี้อ้างอิงจากหลายคำเผยพระวจนะจากพระโอษฐ์ขององค์พระเยซูเจ้าเอง ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์กำหนด ไม่ว่าที่จริงองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในกายวิญญาณหรือทรงปรากฏในฐานะบุตรมนุษย์ พระเจ้าก็ทรงลิขิตไว้ล่วงหน้านานแล้ว และมนุษย์ไม่ได้เลือก ในฐานะมนุษย์ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือนบนอบ ไม่จำกัดสิ่งต่างๆ ตามมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของเราเอง ที่จริง ถึงการทรงปรากฏนั้นจะไม่เป็นไปตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุด มีความหมายและมีประโยชน์ต่อความรอดของเราที่สุด ไม่มีทางผิดไปได้ เราไม่อาจเข้าหา ตามสิ่งที่เราอาจจินตนาการ เราต้องเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา ไม่ใช่หญิงพรหมจารีโง่ เป็นหนทางเดียวที่จะต้อนรับการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้คนอาจยืนกรานที่จะยึดตามการจำกัดของพวกเขาเอง ไม่ยอมรับสิ่งใด นอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จลงมาบนก้อนเมฆ บอกปัดบุตรมนุษย์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ผลที่ตามมาของท่าทีเช่นนี้คืออะไร? พวกเขาจะตกลงสู่ความวิบัติ ถูกลงโทษ และพินาศอย่างแน่นอน หากเราเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา ก็ควรทำสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ แสวงหาและเงี่ยหูฟังเสียงของพระเจ้าเพื่อต้อนรับพระองค์ ยอมรับและนบนอบต่อพระองค์อย่างชื่นบาน ไม่ว่าจะทรงมาในรูปไหน ไม่พยายามเลือกเอาเอง ไม่อย่างนั้น เราจะกลายเป็นหญิงพรหมจารีโง่ ตกลงสู่ความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แล้ว ในยุคสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นกันแน่? พระเจ้าทรงกลับมาในกายวิญญาณ หรือในฐานะบุตรมนุษย์? ก่อนอื่น มาพูดถึงเรื่องปฏิสัมพันธ์กับใครง่ายกว่ากัน ระหว่างพระวิญญาณหรือบุตรมนุษย์ ทางไหนที่พระองค์จะตรัสกับเราได้ง่ายกว่า ผ่านพระวิญญาณหรือเนื้อหนัง? หลายคนก็คงจะตอบว่า ทั้งสองเรื่องนั้น เป็นบุตรมนุษย์ก็ย่อมง่ายกว่า ถูกต้องแล้วครับ นั่นคือ สาเหตุที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เมื่อทรงปรากฏและทรงงานในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุตรมนุษย์ ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางมวลมนุษย์ กิน ดื่ม และใช้ชีวิตกับเรา หลายคนติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า สามัคคีธรรม พูดคุย และมีปฏิสัมพันธ์กับพระองค์ ช่างอิสระและง่ายดาย ไร้ข้อห้ามหรือการจำกัดใดทั้งสิ้น พวกเขาต่างเป็นพยานให้ความดีงามขององค์พระเยซูเจ้า ได้รับการให้น้ำ ค้ำจุน และสนับสนุนโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้คนจึงได้เรียนรู้ความจริงมากมาย หลังจากพระองค์ทรงแสดงความจริงมากมายแล้ว ก็ทรงถูกตรึงกางเขน กลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมวลมนุษย์ ไม่ว่าใครก็ตาม ก็ได้รับการอภัยบาปได้ เพียงยอมรับองค์พระเยซูเจ้าว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด สารภาพบาปและกลับใจต่อพระองค์ แล้วพวกเขาจึงได้ชื่นชมสันติสุขและความชื่นบานที่ได้รับการอภัยบาป รวมถึงพระคุณที่พระเจ้าทรงประทาน หลังจากองค์พระผู้เป็นเจ้าถูกตรึงกางเขน คืนพระชนม์ แล้วเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ คนมากมายก็เริ่มแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระองค์ เป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอด เป็นการทรงปรากฏของพระเจ้า ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า ไปยังทุกประเทศบนโลกมานานแล้ว สิ่งนั้นพิสูจน์ว่า พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์เพื่อไถ่และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนััน ได้ผลมากที่สุด ผู้คนไม่อาจเห็นหรือสัมผัสพระวิญญาณได้ ไม่อาจตอบโต้กับพระองค์ได้ในทางนั้น เราไม่อาจสัมพันธ์สนิทกับพระวิญญาณได้ เมื่อพระวิญญาณตรัส ทุกคนต่างสั่นเทิ้มด้วยความกลัว แล้วเราจะสัมพันธ์สนิทในทางนั้นได้อย่างไร? อีกอย่าง ไม่มีทางที่พระวิญญาณจะถูกตรึงกางเขนได้ สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ จะถูกตรึงกางเขนได้อย่างไร? นี่แสดงให้เราเห็นว่า การที่พระเจ้าทรงงานในฐานะบุตรมนุษย์ย่อมดีที่สุด พระเจ้าได้รับพระสิริ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสร็จสิ้นงานแห่งการไถ่มวลมนุษย์ สิ่งนี้ทุกคนล้วนเห็นชัดเจน เรามั่นใจจากข้อเท็จจริงแห่งงานขององค์พระเยซูเจ้าได้ว่า ในงานของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานแห่งการไถ่หรืองานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในฐานะบุตรมนุษย์ ก็เหมาะสมที่สุด ส่งผลให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด อีกอย่าง การที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย ก็ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงโดยครบถ้วน “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” “บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” และ “บุตรมนุษย์ในวันของพระองค์” คนที่รู้พระคัมภีร์ดีย่อมเห็นว่า พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าถูกทำให้ลุล่วงแล้ว ทำไมหลายคนถึงยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดที่รายล้อมการทรงปรากฏและทรงงานของบุตรมนุษย์? ทำไมหลายคนถึงยังยืนกรานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสร็จลงมาบนก้อนเมฆในกายวิญญาณ? ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลาเบาปัญญานัก พระเจ้าทรงปรากฏและทรงงานในฐานะบุตรมนุษย์ ทรงถ่อมใจและซ่อนเร้น ไม่ใช่แค่เพราะมันได้ผลที่สุด แต่เพื่อให้เราได้เห็นพระอุปนิสัย เห็นว่าความถ่อมตนและซ่อนเร้นของพระองค์ดีงามเพียงใด พระเจ้าทรงพบปะกับมวลมนุษย์โดยตรงในฐานะบุตรมนุษย์ ทรงเป็นส่วนตัวกับเรา ทรงกิน ดื่ม และใช้ชีวิตอยู่กับเรา ทรงแสดงความจริงเพื่อให้น้ำ เลี้ยงดู และช่วยเราให้รอด นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า! ทำไมผู้คนถึงไม่เห็นสิ่งนี้? ดังเช่นที่พระวจนะกล่าวไว้ “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย… ด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นพระเจ้าจึงจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างไปกับมนุษย์ รับประสบการณ์ความทุกข์ของโลกนี้ และดำรงพระชนม์ชีพในพระกายเนื้อหนังปกติได้ เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์สามารถจัดหาให้กับมนุษย์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในฐานะสิ่งมีชีวิตซึ่งทรงสร้าง โดยผ่านทางการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านี่เองมนุษย์จึงได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอย่างครบถ้วน และไม่ใช่โดยตรงจากสวรรค์ในคำตอบของคำอธิษฐานของเขา เนื่องจากสำหรับมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนัง เขาไม่มีหนทางที่จะมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าหาพระวิญญาณของพระองค์ ทั้งหมดที่มนุษย์สามารถมาติดต่อได้คือเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และเพียงด้วยวิถีทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจหนทางทั้งหมดและความจริงทั้งหมดและได้รับความรอดอย่างครบถ้วน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “พระราชกิจที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ที่สุดต่อมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือพระราชกิจที่จัดเตรียมพระวจนะที่ถูกต้องทั้งหลาย เป้าหมายที่ชัดเจนทั้งหลายเพื่อไล่ตามเสาะหา และที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ มีเพียงพระราชกิจที่เป็นจริงและการทรงนำที่ถูกกาลเทศะเท่านั้นที่เหมาะกับรสนิยมของมนุษย์ และมีเพียงพระราชกิจจริงเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและต่ำช้าของเขาได้ การนี้สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้น มีเพียงพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและต่ำช้าก่อนหน้านั้นของเขาได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์มากกว่า)
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวไว้ชัดเจนมาก มีเพียงการบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ที่พระเจ้าจะชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดได้โดยถ้วนทั่ว และทรงนำเราไปสู่บั้นปลายอันงดงาม เราได้เป็นพยานด้วยตัวเอง ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงใช้ชีวิตเคียงข้างเรา ทรงสามัคคีธรรมความจริง และแก้ไขปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้เสมอ พระองค์เฝ้าสังเกตความเสื่อมทรามของมนุษย์ ทรงเขียนพระวจนะ และจัดเตรียมความจริงให้แก่เรา เราได้ชื่นชมพระวจนะอย่างแท้จริง และวิญญาณเราก็เป็นอิสระ ตอนที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมความจริงกับเรา เราถามคำถามได้ และพระองค์ก็ทรงตอบกลับอย่างใจเย็น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางมนุษย์ ตรัสและสามัคคีธรรมกับเรา ทุกคำพูด ท่าทาง แม้แต่ทุกความคิดของเรานั้น พระเจ้าทรงเห็นมันอย่างชัดเจนต่อพระเนตรพระองค์ พระองค์ทรงแสดงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลา ทรงนำความสว่างมาสู่อุปนิสัยเยี่ยงซาตาน มโนคติอันหลงผิด และจินตนาการของเราเกี่ยวกับพระองค์ ทรงแก้ไขสิ่งที่ผิดในความเชื่อ รวมถึงมุมมองการไล่ตามที่ผิดของเรา นี่คือวิธีที่พระเจ้าในรูปมนุษย์ทรงให้น้ำและเลี้ยงดูเรา สั่งสอน และสนับสนุนเราต่อหน้าด้วยพระองค์เอง นี่คือประสบการณ์ที่แสนวิเศษ และอบอุ่นหัวใจสำหรับเรา พระเจ้าทรงดีงามและเข้าถึงได้อย่างเหลือเชื่อ เราได้เห็นมุมมองอันดีงามนับไม่ถ้วน และได้รักพระองค์จากก้นบึ้งของหัวใจ พระคริสต์ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานอันยิ่งใหญ่ แต่พระองค์ถ่อมใจและซ่อนเร้นมาก ไม่เคยโอ้อวดหรือคุยโวว่าพระองค์คือพระเจ้า พระเจ้าปฏิสัมพันธ์กับเราแบบสบายๆ และอบอุ่น ไม่เคยบังคับใครให้เชื่อฟัง พระคริสต์ไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความโอหังหรือเย่อหยิ่ง พระวจนะของพระคริสต์นั้นไว้วางใจได้ ไร้คำโป้ปด การแสร้งทำ และกลอุบาย พระองค์ทรงทำเหมือนเราเป็นคนในครอบครัว ทรงพูดคุยกับเราอย่างจริงใจ สิ่งนี้ช่างอบอุ่นใจสำหรับเรานัก เราได้เห็นว่า ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระคริสต์นั้น ไม่มีความเสื่อมทรามใดเลย พระองค์ทรงครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ช่างกรุณา และบริสุทธิ์ พระคริสต์ทรงแสดงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลา เพื่อบำรุงเลี้ยง สนับสนุน และทรงนำเรา เรายิ่งมั่นใจขึ้นอีกว่า พระคริสต์ไม่เพียงครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่ยังครองแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ด้วย พระองค์คือการทรงปรากฏของพระเจ้าจริงๆ เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงในเนื้อหนัง การติดตามพระคริสต์มาจนถึงตอนนี้ ทำให้เรารู้ว่า พระคริสต์เป็นความจริง หนทาง และชีวิต นอกจากพระคริสต์ ก็ไม่มีคนดังหรือผู้ยิ่งใหญ่คนไหน แสดงความจริงและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ ในการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า เราเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นมากมาย เราเห็นแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เห็นว่าพระอุปนิสัยช่างบริสุทธิ์และชอบธรรม เรายังได้เห็นด้วยว่า พระเจ้าทรงถ่อมใจและซ่อนเร้น ทรงมีเมตตาและงดงามอย่างที่สุด สิ่งนี้ทำให้เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น นบนอบและรักพระองค์ งานในรูปมนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าช่างเปี่ยมความหมาย ไม่ใช่แค่ปิดช่องว่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า แต่ทำให้เราได้รับความรู้และความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเรื่องพระเจ้าด้วย ผ่านงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้ เราก็ค่อยๆ เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริง กำจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา เช่น ความโอหังและการเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เราใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์อย่างแท้จริง และได้รับพระคุณแห่งความรอดของพระเจ้า เราได้รู้สึกอย่างลึกซึ้งผ่านงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่างานของพระเจ้าในเนื้อหนัง สัมพันธ์กับชีวิตจริงและแท้จริงแค่ไหน! หากพระเจ้าไม่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เราคงไม่มีวันได้รับการให้น้ำและการค้ำจุนที่เป็นรูปธรรมจากพระเจ้าขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงการเข้าใจและได้รับความจริง ละทิ้งบาป และถูกพระเจ้าช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์เลย สิ่งนั้นบรรลุได้จากที่พระเจ้าทรงปฏิบัติงานพิพากษาในรูปมนุษย์เท่านั้น
ตอนนี้ ทุกคนควรเห็นชัดเจนแล้วว่า พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงและทรงงานพิพากษา ทั้งหมดก็เพื่อการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด หากพระเจ้าทรงปรากฏและทรงงานในกายวิญญาณ คนเสื่อมทรามอย่างเรา คงไม่มีโอกาสเข้าใจและได้รับความจริง เราคงไม่ได้ละทิ้งความเสื่อมทรามและถูกช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย อย่างไรก็ตาม หลายคนในโลกศาสนาเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย และรับรู้ว่าพระวจนะมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่เพราะพระองค์คือบุตรมนุษย์ที่มีรูปลักษณ์ปกติธรรมดา พวกเขาจึงตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ว่าเป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า ถึงกับต่อต้าน กล่าวโทษ และหมิ่นประมาทการทรงปรากฏและงานของพระองค์อย่างบ้าคลั่ง เราจึงอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเมื่อสองพันปีก่อน ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน เพราะองค๋พระเยซูเจ้าทรงมีรูปลักษณ์ที่ปกติ พวกฟาริสีจึงปฏิบัติราวกับพระองค์เป็นคนธรรมดา และด่วนตัดสินพูดว่า “นี่มิใช่ชาวนาซาเร็ธหรือ?” “นี่มิใช่บุตรของช่างไม้หรือ?” ไม่ว่าพระองค์จะทรงแสดงความจริงหรือการอัศจรรย์แค่ไหน พวกฟาริสีก็ไม่แสวงหา และจะไม่ยอมรับพระองค์ พวกเขากลับตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ว่าทรงขับผีด้วยความช่วยเหลือแห่งนายผี และสุดท้ายก็ตรึงพระองค์บนกางเขน กระทำบาปชั่วร้ายสุดขีด พวกเขาถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษ ตอนนี้ พระเจ้าทรงปรากฏและทรงงานในฐานะบุตรมนุษย์ถึงสองครั้ง แล้วทำไมผู้คนถึงจำพระองค์ไม่ได้ แถมยังต่อต้าน กล่าวโทษ และบอกปัดพระคริสต์? พวกเขาผิดพลาดกันตรงไหน? ก็เพราะพวกเขาเอาแต่ดูที่ภายนอก มองว่าพระคริสต์ดูเหมือนคนธรรมดา พวกเขาไม่สืบค้น และไม่รู้ความจริงทั้งปวงที่ทรงแสดง พวกเขาไม่เห็นแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ มัวแต่สู้และกล่าวโทษพระองค์เพราะมโนคติอันหลงผิดของตน พวกเขาจึงถูกลงโทษและสาปแช่ง พระคัมภีร์บอกว่า “คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา” (ยอห์น 3:36) ใครที่กล่าวโทษและต่อต้านบุตรมนุษย์ผู้แสดงความจริง ย่อมกำลังกระทำบาปแห่งการหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่ได้รับการอภัยไม่ว่าจะในโลกนี้หรือโลกหน้า หญิงพรหมจารีมีปัญญา ต้องเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงและสนใจพระสุรเสียง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้ายในฐานะบุตรมนุษย์ ตรัสและทรงงาน คนที่ยอมรับพระองค์ คือคนที่รักความจริง คนที่บอกปัด ต่อต้าน และกล่าวโทษบุตรมนุษย์ล้วนดูหมิ่นความจริง พระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งที่ทุกคนเป็นผ่านการทรงปรากฏและทรงงานของบุตรมนุษย์ นี่คือพระปัญญา และเปิดเผยพระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์
เพื่อจะสรุปเรื่องนี้ เรามาดูพระวจนะกันสักสองบทตอนนะครับ
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่ มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก เชื่อฟัง เคารพ และรักพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้ หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้ แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว? ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ? เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?)
“พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายกระทำผ่านมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ พระองค์จะทรงมอบทุกสิ่งแก่เจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พระองค์จะสามารถตัดสินทุกสิ่งที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเจ้า มนุษย์เช่นนั้นสามารถเป็นอย่างที่พวกเจ้าเชื่อว่าพระองค์เป็นได้หรือไม่? มนุษย์คนหนึ่งซึ่งเรียบง่ายธรรมดาจนไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง ความจริงของพระองค์ไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจพวกเจ้าอย่างถึงที่สุดกระนั้นหรือ? การเป็นพยานต่อกิจการของพระองค์ไม่เพียงพอที่จะโน้มน้าวใจพวกเจ้าอย่างที่สุดหรอกหรือ? หรือว่าเส้นทางที่พระองค์ทรงนำพามานั้นไม่ควรค่าให้พวกเจ้าเดินไป? เมื่อพิจารณาโดยรวมทุกอย่างแล้ว สิ่งใดที่เป็นเหตุให้พวกเจ้าชิงชังพระองค์ และเหวี่ยงพระองค์ทิ้งไปและรักษาระยะห่างจากพระองค์ มนุษย์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้แสดงความจริง มนุษย์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้จัดเตรียมความจริง และมนุษย์ผู้นี้นี่เองที่เป็นผู้ให้เส้นทางให้พวกเจ้าติดตาม อาจเป็นได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ายังคงไม่สามารถค้นพบร่องรอยของพระราชกิจของพระเจ้าภายในความจริงเหล่านี้? หากปราศจากพระราชกิจของพระเยซูแล้วไซร้ มวลมนุษย์ย่อมจะไม่สามารถลงมาจากกางเขน แต่หากปราศจากการจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้ บรรดาผู้ที่ลงมาจากกางเขนย่อมจะไม่มีวันสามารถได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าหรือเข้าสู่ยุคใหม่ได้เลย หากปราศจากการมาของมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันได้มีโอกาสที่จะมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า ทั้งยังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะมองเห็น เพราะพวกเจ้าทั้งหมดล้วนเป็นวัตถุที่ควรถูกทำลายสิ้นเมื่อนานมาแล้ว เนื่องจากการมาถึงของการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงยกโทษให้พวกเจ้าและแสดงความปรานีต่อพวกเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คำพูดที่เราต้องทิ้งไว้กับพวกเจ้าในตอนท้ายก็ยังคงเป็นคำพูดเหล่านี้ที่ว่า มนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้น มีความสำคัญยิ่งชีวิตต่อพวกเจ้า นี่คือสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วท่ามกลางมวลมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ