ใครคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว?
ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนมากมีความเชื่อและเชื่อว่ามีพระเจ้า พวกเขาเชื่อในพระเจ้าที่สถิตอยู่ในหัวใจของพวกเขา ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนในหลายๆ ที่จึงได้มาเชื่อในพระเจ้าหลายองค์ หลายร้อยหรือถึงกับหลายพันองค์ มีหลายองค์ขนาดนั้นเหรอ? ไม่ใช่แน่ ถ้าอย่างนั้นมีกี่องค์ องค์ไหนคือพระเจ้าเที่ยงแท้? ไม่มีบุคคลมีชื่อเสียงหรือบุคคลสำคัญที่ไหนตอบได้ เพราะมนุษย์มองเห็นพระเจ้าหรือติดต่อกับพระองค์โดยตรงไม่ได้ ทุกคนอายุขัยสั้น และสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์หรือเป็นประจักษ์พยานก็จำกัดมาก ดังนั้นใครจะเป็นคำพยานที่ชัดเจนให้พระเจ้าได้? คนที่เป็นได้มีน้อยและหาไม่ค่อยพบ พวกเรารู้ว่าพระคัมภีร์คือผลงานดั้งเดิมและมีสิทธิอำนาจที่สุดที่เป็นพยานให้แก่พระเจ้า พระคัมภีร์มีคำพยานว่าพระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง และตั้งแต่ทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ไม่เคยทรงหยุดนำชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงออกธรรมบัญญัติและพระบัญญัติให้มนุษย์ และพระคัมภีร์ยังเป็นพยานให้กับพระเจ้าในเนื้อหนัง ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาไถ่มวลมนุษย์ พระคัมภีร์เผยวจนะถึงการทรงกลับมาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างครบถ้วน และพามนุษย์ไปยังบั้นปลายที่สวยงาม ดังนั้นจึงชัดเจนว่าพระเจ้าที่พระคัมภีร์เป็นประจักษ์พยานคือพระผู้สร้าง พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว การนี้มีพื้นฐานที่ดีค่ะ บางคนถามว่า “พระเจ้าองค์นี้ที่พระคัมภีร์ให้การเป็นพยานถึงนั้นจริงๆ แล้วคือองค์ไหน? พระองค์มีพระนามว่าอะไร? พวกเราจะเรียกพระองค์ว่าอะไร?” พระองค์เคยทรงถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์ ต่อมาในเนื้อหนังพระองค์ทรงถูกเรียกว่าองค์พระเยซูเจ้า แล้วจากนั้นคำวิวรณ์ก็เผยวจนะว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระเจ้าองค์นี้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่ง และมวลมนุษย์ ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวผู้ทรงนำและช่วยมนุษยชาติให้รอดเสมอมา พระองค์ทรงเป็นนิรันดร์ พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และทรงปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นหากไม่ใช่พระผู้สร้างองค์นี้และพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว ก็คือพระเจ้าเทียมเท็จค่ะ ซาตานเป็นพระเจ้าเทียมเท็จ และทูตสวรรค์ที่ร่วงหล่นเหล่านั้นที่ติดตามมันกำลังแสร้งทำตัวเป็นพระเจ้า เพื่อหลอกลวงผู้คน โดยไม่มีข้อยกเว้น ตัวอย่างเช่น พระพุทธเจ้า เจ้าแม่กวนอิม เง็กเซียนฮ่องเต้ลัทธิเต๋า ล้วนเป็นพระเจ้าเทียมเท็จ ยังมีพระเจ้าเทียมเท็จอื่นๆ อีกมาก อาทิเช่น พวกที่อดีตจักรพรรดิแต่งตั้ง ยิ่งพระเจ้าของศาสนาอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แล้วทำไมพวกเราถึงพูดว่าพวกเขาคือพระเจ้าเทียมเท็จ? เพราะพวกเขาไม่ได้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก หรือสร้างมวลมนุษย์ นี่คือหลักฐานที่สมเหตุสมผลที่สุด พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ไม่สามารถสร้างทุกสรรพสิ่งหรือปกครองทุกสิ่งทุกอย่างได้ คือพระเจ้าเทียมเท็จ คุณคิดว่าพระเจ้าเทียมเท็จจะกล้ากล่าวอ้างว่ามันสร้างทุกสรรพสิ่งไหมคะ? ไม่ค่ะ แล้วมนุษย์ล่ะคะ? ไม่กล้าหรอก มันจะกล้ากล่าวอ้างว่ามันช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากซาตานได้ไหม? ไม่กล้าแน่นอน เมื่อความวิบัติมาถึงจริงๆ ถ้าคุณพยายามวิงวอนขอร้องพระเจ้าเทียมเท็จ มันจะปรากฏตัวไหม? มันจะทำไม่ได้หรอกค่ะ—มันจะซ่อนตัว ใช่ไหมคะ? เช่นนั้น พวกเราเห็นได้ว่าพระเจ้าเทียมเท็จช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไม่ได้ และการที่เชื่อในพวกมันก็คือความเชื่อที่สูญเปล่า การที่เชื่อในพวกมันจะเป็นการฆ่าตัวเอง และมีแต่จะจบด้วยการจมลงสู่การทำลายล้าง เพราะอย่างนี้ ความสำคัญของการกำหนดพิจารณาว่าใครคือพระเจ้าที่แท้จริง องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากค่ะ
เรามาดูกันค่ะว่า ในปฐมกาล 1:1 ว่าไว้อย่างไร “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” นี่คือข้อพระคัมภีร์แรกในพระคัมภีร์ ข้อพระคัมภีร์นี้มีสิทธิอำนาจและมีความหมายมาก มันแบ่งปันความล้ำลึกเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งกับมวลมนุษย์ ปฐมกาลยังเป็นบันทึกของการที่พระเจ้าทรงสร้างความสว่างและอากาศด้วยพระวจนะของพระองค์ รวมทั้งสัตว์และพืชทั้งปวง และการที่ทรงสร้างมนุษย์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระเจ้าทรงสร้าง ทรงฟื้นฟู และทรงเลี้ยงดูทุกสรรพสิ่ง พระองค์ประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเราเพื่อการดำรงอยู่ของพวกเรา มวลมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหมดมีชีวิตรอดภายใต้ธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงลิขิต นี่คือฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และเป็นสิ่งที่มนุษย์ ทูตสวรรค์ หรือวิญญาณชั่วของซาตานไม่อาจมีวันครอบครองหรือสัมฤทธิ์ได้ พวกเราสามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่า องค์หนึ่งเดียวที่สามารถสร้างทุกสรรพสิ่งและมวลมนุษย์ได้ คือพระผู้สร้าง พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว
พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ทรงปกครองทุกสิ่งทุกอย่าง พร้อมกันนั้น พระองค์ก็กำลังทรงนำทางและช่วยมนุษยชาติทั้งหมดให้รอด มาดูกันค่ะว่าในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ และหลังจากที่อาดัมและเอวาถูกซาตานทดลอง มนุษย์ก็มีชีวิตอยู่ในบาป พงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาทวีคูณบนแผ่นดินโลก แต่พวกเขาไม่รู้จะดำเนินชีวิตอย่างไร หรือจะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้อย่างไร ตามแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ โดยทรงออกธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ ทรงสอนมวลมนุษย์ว่าบาปคืออะไร พวกเขาควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร เพื่อให้รู้ว่าควรดำเนินชีวิตอย่างไรและควรนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าอย่างไร นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงนำมวลมนุษย์เข้าไปอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องสำหรับชีวิต ในช่วงปลายยุคธรรมบัญญัติ มวลมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกมากจนกระทั่งพวกเขาติดตามธรรมบัญญัติไม่ได้และทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปพอที่จะมอบด้วยซ้ำ หากเป็นเช่นนั้นต่อไป มวลมนุษย์ทั้งปวงก็คงจะถูกกล่าวโทษและประหารภายใต้ธรรมบัญญัติ เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นองค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนเองเพื่อมนุษยชาติในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปของพวกเรา โดยทรงรับเอาบาปของมนุษย์ไว้ หลังจากนั้นก็ไม่มีใครต้องมอบเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับบาปของพวกเขา ตราบที่พวกเขาเชื่อ สารภาพ และกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บาปของพวกเขาก็ได้รับการยกโทษ และพวกเขาก็จะสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างจากพระคุณของพระเจ้าได้ หากไร้เครื่องบูชาลบล้างบาปขององค์พระเยซูเจ้า ทุกคนคงจะถูกกล่าวโทษและประหารภายใต้ธรรมบัญญัติแล้ว และไม่มีทางที่วันนี้พวกเราจะยังคงอยู่ตรงนี้ได้ ดังนั้นพวกเราจึงรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง เป็นการทรงปรากฏของพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว พระวิญญาณของพระองค์คือพระวิญญาณของพระยาห์เวห์พระเจ้า พระองค์คือการทรงปรากฏของพระยาห์เวห์พระเจ้าในเนื้อหนัง ถ้าจะพูดให้ง่ายกว่านี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าได้เสด็จมายังโลกในฐานะมนุษย์เพื่อไถ่มวลมนุษย์ และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว
ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ และบาปของทุกคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้รับการยกโทษ แม้จะได้ชื่นชมสันติสุขและยินดีกับการยกโทษให้บาปและพระคุณทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ มวลมนุษย์ก็ไม่เคยหยุดทำบาป ผู้คนมีชีวิตอยู่ในวัฏจักรของการทำบาป สารภาพ และทำบาปอีก พวกเขายังไม่ได้บรรลุความบริสุทธิ์หรือควรค่าที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกในยุคสุดท้าย เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปและทำให้พวกเขาบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน เพื่อรับพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ดังที่พระองค์ทรงสัญญา ตอนนี้พระเจ้าได้เสด็จมาแผ่นดินโลกด้วยพระองค์เองในเนื้อหนัง พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โดยทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดำรัสพระวจนะหลายล้านคำ อันเป็นการเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า และบอกมวลมนุษย์ถึงรากเหง้าของการที่มนุษย์ทำบาปและต่อต้านพระเจ้า บอกว่าซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร พระเจ้าทรงพระราชกิจทีละขั้นตอนเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างไร จะปฏิบัติความเชื่อให้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์อย่างไร จะสัมฤทธิ์การนบนอบและความรักต่อพระเจ้าอย่างไร รวมทั้งจุดจบและบั้นปลายสุดท้ายของคนทุกประเภท ความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดำรัสไว้มีนานัปการ—ไม่มีสิ่งใดขาดพร่อง เมื่อเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงไว้มากแค่ไหน พวกเราก็ยืนยันได้ว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าเผยพระวจนะไว้ว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:13) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความจริงมากมาย นั่นไม่ใช่การลุล่วงคำเผยวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเหรอคะ? นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณขององค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจในเนื้อหนังเหรอคะ? ดังนั้นแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้าก็คือพระวิญญาณเดียวกัน และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือพระผู้ช่วยให้รอดที่เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างครบถ้วน มีแต่พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงแสดงความจริงได้ นอกจากพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่อาจทำสิ่งนี้ได้ ตลอดประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแสดงความจริงได้ สิ่งทั้งหลายที่กล่าวไว้โดยบุคคลมีชื่อเสียงและบุคคลสำคัญเหล่านั้นทั้งหมด และมารกับวิญญาณชั่วพวกนั้นที่แสร้งทำตัวเป็นพระเจ้า ล้วนเป็นเหตุผลวิบัติและคำโกหกที่ทำให้หลงผิด ไม่มีความจริงแม้แต่คำเดียว มีแต่พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงแสดงความจริงและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ ไม่มีความกังขาอันใดเลยเกี่ยวกับการนั้น
พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ได้ตรัสและทรงพระราชกิจเพื่อนำและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดมาตลอด พวกเราพูดได้อย่างมั่นใจว่า มีเพียงพระผู้สร้างที่ทรงสามารถสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งได้ และทรงปกครองเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์เท่านั้น ที่ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ และมีแต่พระเจ้าที่ทรงกังวลถึงชะตากรรมและความก้าวหน้าของมนุษย์ ตั้งแต่ที่ทรงทำพระราชกิจแห่งการสร้างโลกจนครบบริบูรณ์แล้ว พระเจ้าได้ทรงมุ่งเน้นไปที่มวลมนุษย์ โดยทรงเป็นผู้เลี้ยงพวกเราและจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องมีให้กับพวกเรา จัดเตรียมความอุดมสมบูรณ์ที่ยิ่งใหญ่ให้กับพวกเรา พระองค์มิได้ทรงออกห่างจากพวกเราและไม่สนพระทัยพวกเราหลังจากที่ทรงสร้างพวกเรา เมื่อมนุษยชาติได้เริ่มดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์แห่งยุคธรรมบัญญัติ โดยทรงออกกฎพระบัญญัติเพื่อทรงนำชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก เมื่อมนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเกินไปเพื่อรักษาธรรมบัญญัติไว้นั้น ทุกคนกำลังเผชิญหน้ากับการกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติและอยู่ในจุดที่ไม่อาจหวนกลับ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้าและทรงทำพระราชกิจแห่งการไถ่จนครบบริบูรณ์ด้วยพระองค์เองเพื่อยกโทษให้มวลมนุษย์จากบาปของพวกเขา อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาชื่นชมพระคุณและพระพรซึ่งพระเจ้าประทาน เมื่อยุคนั้นสิ้นสุดลง พระเจ้าได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้ง ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในครั้งนี้ เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดจากบาปและจากกำลังบังคับของซาตานอย่างครบถ้วน เพื่อนำทางมวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่สวยงาม แม้พระราชกิจของพระเจ้าในแต่ละยุคจะมีชื่อที่ต่างกันไปและพระองค์ก็ได้ทรงทำพระราชกิจที่ต่างกันจนครบบริบูรณ์แล้ว แต่ทั้งหมดนั้นทำโดยพระเจ้าองค์เดียว พระองค์ทรงมีเพียงพระวิญญาณเดียว และพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว นี่เป็นสิ่งที่โต้แย้งไม่ได้ เหมือนดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้ากระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง ช่วงระยะแรก—ซึ่งเป็นการทรงสร้างโลก—กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง และหากมิได้เป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา ช่วงระยะที่สองคือการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เองเช่นกัน ช่วงระยะที่สามนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีกที่บทอวสานแห่งพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง พระราชกิจแห่งการไถ่ การพิชิต การรับไว้ และการทำให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมีความเพียบพร้อมล้วนดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น หากพระองค์มิได้ทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ย่อมไม่สามารถเป็นตัวแทนแห่งอัตลักษณ์ของพระองค์ได้ และมนุษย์ก็ไม่สามารถทำพระราชกิจของพระองค์ได้ พระองค์ทรงนำทางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง ก็เพื่อทำให้ซาตานปราชัย เพื่อรับมวลมนุษย์เอาไว้ และเพื่อประทานชีวิตที่ปกติบนแผ่นดินโลกแก่มนุษย์ พระองค์ต้องทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง เพื่อแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์ และเพื่อพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) “พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่ทรงดำเนินการตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวันนี้ล้วนดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เอง และดำเนินการโดยพระเจ้าองค์เดียว ข้อเท็จจริงของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือข้อเท็จจริงของการที่พระเจ้าทรงเป็นผู้นำของมวลมนุษย์ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ ณ บทอวสานของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ ทุกสรรพสิ่งจะถูกจำแนกโดยสอดคล้องกับประเภท และกลับสู่ภายใต้อำนาจปกครองของพระเจ้า เพราะทั่วทั้งจักรวาลมีพระเจ้าองค์เดียวองค์นี้เท่านั้นทรงดำรงอยู่ และไม่มีศาสนาอื่นใด ผู้ที่ไม่สามารถสร้างโลกได้จะไม่สามารถนำโลกไปสู่บทอวสานได้ ในขณะที่พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกจะสามารถนำไปสู่บทอวสานได้อย่างแน่นอน ดังนั้นหากคนเราไร้ความสามารถที่จะนำยุคสู่บทอวสานได้ และเพียงมีความสามารถที่จะช่วยมนุษย์ฝึกฝนจิตใจของเขาได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่นอน และจะไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของมวลมนุษย์อย่างแน่นอน เขาจะไม่สามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนี้ได้ และทั้งหมดที่ไร้ความสามารถที่จะทำงานนี้ได้คือศัตรูและไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่นอน ศาสนาชั่วทั้งหมดเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และในเมื่อศาสนาเหล่านั้นเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า จึงเป็นศัตรูของพระเจ้า พระราชกิจทั้งหมดกระทำโดยพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวองค์นี้ และทั่วทั้งจักรวาลได้รับการบัญชาโดยพระเจ้าหนึ่งเดียวองค์นี้ โดยไม่คำนึงถึงว่านั่นเป็นพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอลหรือในประเทศจีน โดยไม่คำนึงถึงว่าพระราชกิจดำเนินการโดยพระวิญญาณหรือโดยเนื้อหนัง ทั้งหมดก็กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง และไม่สามารถทำได้โดยผู้อื่นใด เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ทั้งปวงอย่างแน่นอน พระองค์จึงทรงพระราชกิจโดยอิสระ ปราศจากการเหนี่ยวรั้งโดยสภาพเงื่อนไขใดๆ—นี่คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิมิตทั้งหมด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า) พวกเราเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่ามีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว มีพระผู้สร้างเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง ปกครองชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง นำชีวิตของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลก ช่วยมนุษย์ให้รอด และนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่สวยงามได้ เหมือนดังที่กล่าวไว้ในวิวรณ์ “เราคืออัลฟาและโอเมกา เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน” (วิวรณ์ 22:13) พระเจ้าเทียมเท็จไม่อาจสร้างทุกสรรพสิ่งได้ นับประสาอะไรที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดหรือสิ้นสุดยุคสมัยได้ พระเจ้าเทียมเท็จไม่อาจทำพระราชกิจที่พระเจ้าเที่ยงแท้ทรงปฏิบัติได้ พระเจ้าเทียมเท็จทำได้เพียงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ หรือแพร่กระจายความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ เพื่อทำให้ผู้คนหลงผิดและเสื่อมทราม พวกเขาอาจให้ความโปรดปรานเล็กน้อยเพื่อเอาชนะใจผู้คน และให้ผู้คนจุดเครื่องหอมให้ตนและนมัสการตนในฐานะพระเจ้า แต่พระเจ้าเทียมเท็จไม่อาจยกโทษให้บาปหรือแสดงความจริงเพื่อชำระความเสื่อมทรามของผู้คนให้บริสุทธิ์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่อาจช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากกำลังบังคับของซาตานได้ การที่พวกมันกล้าทำตัวเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แสดงให้เห็นว่าพวกมันชั่วและไร้ยางอายอย่างที่สุด และสุดท้ายแล้วก็จะถูกพระเจ้าทรงล่ามโซ่ตรวนและโยนลงไปในหลุมที่ไร้ก้นบึ้ง—พวกมันจะถูกลงโทษ ทุกคนที่ต่อต้านพระเจ้าจะถูกพระองค์ทรงลบล้างในที่สุด
ดังนั้น หากจะแสวงหาพระเจ้าเที่ยงแท้ คุณต้องมองหาองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสร้างและทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ นี่คือกุญแจสำคัญ มีเพียงโดยการนมัสการและเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวนี้ การยอมรับความจริงที่พระองค์ทรงแสดง และการได้รับความจริงเหมือนเป็นชีวิตของคุณเท่านั้น คุณจึงจะปลอดจากบาป รับความรอดจากพระเจ้า และเข้าสู่บั้นปลายที่สวยงามได้ ถ้าคุณไม่รู้ว่าพระเจ้าเที่ยงแท้คือองค์ใด คุณต้องแสวงหาและสืบค้น พวกเราต้องไม่เข้าใจผิดว่าพระเจ้าเทียมเท็จเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เพียงเพราะพวกมันแสดงการอัศจรรย์ได้หรือรักษาความเจ็บป่วยบางอย่างได้ นี่จะเป็นข้อห้าม เพราะพวกมันไม่ใช่พระเจ้าเที่ยงแท้ การนมัสการพระเจ้าเทียมเท็จเป็นการหมิ่นประมาทและต่อต้านพระเจ้า เทียบได้กับการทรยศต่อพระเจ้าเที่ยงแท้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าจะไม่ทนยอมรับการล่วงเกินของมนุษย์ ดังนั้นทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าเทียมเท็จจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษและทำลายล้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตราบที่พิภพเก่ายังคงมีอยู่ต่อไป เราจะทุ่มความเดือดดาลของเราไปที่ชนชาติต่างๆ ของมัน แถลงการณ์ประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราอย่างเปิดเผยให้ทั่วทั้งจักรวาล และนำการตีสอนมาให้ทุกข์แก่ผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนมัน เมื่อเราหันหน้าพูดกับจักรวาล มวลมนุษย์ทั้งปวงได้ยินเสียงเรา และในทันใดนั้นเอง ก็มองเห็นงานทั้งหมดที่เราได้ทำลงไปทั่วทั้งจักรวาล พวกที่ตั้งตนต่อต้านเจตจำนงแห่งเรา กล่าวคือ ผู้ที่ต่อต้านเราด้วยความประพฤติของมนุษย์ จะต้องตกอยู่ภายใต้การตีสอนของเรา เราจะนำเอามวลหมู่ดารามหาศาลในสวรรค์ชั้นฟ้ามาและทำให้พวกมันใหม่ และดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ก็จะถูกทำให้ใหม่เพราะเรา—ผืนฟ้าทั้งหลายจะไม่เป็นเหมือนดังที่พวกมันเคยเป็นอีกต่อไป และสิ่งต่างๆ นับหมื่นแสนบนแผ่นดินโลกจะถูกทำใหม่ ทั้งหมดจะกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยผ่านทางวจนะของเรา ประชาชาติทั้งหลายภายในจักรวาลจะถูกแบ่งกั้นสัดส่วนใหม่และแทนที่ด้วยราชอาณาจักรของเรา เพื่อที่ประชาชาติบนแผ่นดินโลกจะหายลับไปตลอดกาล และทั้งหมดจะกลายเป็นราชอาณาจักรหนึ่งซึ่งนมัสการเรา ประชาชาติทั้งมวลแห่งแผ่นดินโลกจะถูกทำลายและยุติการดำรงอยู่ ในบรรดามนุษย์ภายในจักรวาล ทุกคนที่เป็นของมารจะถูกทำลายจนสิ้นซาก และพวกที่บูชาซาตานทั้งหมดจะคว่ำคะมำลงโดยไฟของเราที่กำลังเผาผลาญ—นั่นก็คือ ยกเว้นบรรดาผู้ที่อยู่ในกระแสตอนนี้ ทั้งหมดจะกลายเป็นเถ้าถ่าน เมื่อเราตีสอนกลุ่มชนทั้งหลาย บรรดาผู้ที่อยู่ในโลกศาสนาจะคืนสู่อาณาจักรของเรา ถูกงานของเราพิชิตในขอบข่ายที่ต่างกันไป เนื่องเพราะพวกเขาจะได้เห็นการลงมาจุติขององค์หนึ่งเดียวผู้บริสุทธิ์โดยการขี่เมฆขาวแล้ว ผู้คนทั้งหมดจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา และจะได้รับการตีสอนที่สมน้ำสมเนื้อกับการกระทำของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดที่ได้ยืนต้านเราจะมีอันพินาศ นั่นคือ สำหรับบรรดาผู้ที่ความประพฤติของพวกเขาบนแผ่นดินโลกไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรา พวกเขาจะดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกต่อไปภายใต้การปกครองของบุตรทั้งหลายของเราและประชากรของเรา ทั้งนี้ก็เพราะวิธีการที่พวกเขาได้พ้นผิดด้วยตัวพวกเขาเอง เราจะเปิดเผยตัวเราต่อกลุ่มชนนับหมื่นแสนและชนชาตินับหมื่นแสน และด้วยเสียงของเราเอง เราจะส่งเสียงก้องไปบนแผ่นดินโลก ป่าวประกาศถึงการเสร็จสิ้นงานอันยิ่งใหญ่ของเราเพื่อที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 26)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ