สิ่งที่เป็นชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณปกติ สิ่งที่เป็นการเข้าร่วมในพิธีทางศาสนา

วันที่ 06 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ความเชื่อในพระเจ้าทำให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติเป็นสิ่งที่จำเป็น ซึ่งเป็นรากฐานเพื่อให้ได้รับประสบการณ์ของพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริง การปฏิบัติในปัจจุบันของพวกเจ้าทั้งหมดในการอธิษฐาน ในการเข้ามาใกล้พระเจ้า ในการร้องเพลงสรรเสริญ การสรรเสริญ การทำสมาธิ และการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้านั้น รวมกันเป็น “ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ” หรือไม่? ไม่มีพวกเจ้าคนใดดูจะรู้เลย ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติไม่ได้จำกัดแค่การปฏิบัติสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่นการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การมีส่วนร่วมในชีวิตของคริสตจักร และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงการใช้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ใหม่และสว่างไสวด้วย สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าเจ้าปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นดอกผลที่มาจากการปฏิบัติของเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจริงๆ แล้วจะมีผลลัพธ์ใดๆ หรือนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผิวเผิน โดยไม่มีความคิดใดๆ ถึงผลลัพธ์ของพวกมัน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพิธีกรรมของศาสนา ไม่ใช่ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในคริสตจักร และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะเป็นประชากรของราชอาณาจักร การอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ทำไปเพราะความจำต้องทำและเพื่อให้ตามสมัยนิยมได้ทัน ไม่ใช่ทำเพราะความเต็มใจหรือทำจากหัวใจ ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะอธิษฐานหรือร้องเพลงมากเพียงใดก็ตาม ความพยายามของพวกเขาจะไม่ผลิดอกออกผล เพราะสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติเป็นเพียงกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนา พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ พวกเขามุ่งเน้นแค่การเอะอะโวยวายว่าพวกเขาปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น และพวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้กำลังนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ พวกเขาเพียงกำลังสนองความต้องการของเนื้อหนัง และปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นมองเห็น กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ต่างมีต้นกำเนิดจากมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ แต่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน และสำเร็จลุล่วงพระราชกิจภาคปฏิบัติ เช่นเดียวกับผู้คนในคริสตจักรหลักการพึ่งตนเองสามด้านที่จำกัดตัวเองแค่การปฏิบัติ เช่น การเข้าร่วมนมัสการตอนเช้าทุกวัน การถวายคำอธิษฐานตอนเย็นและการอธิษฐานขอบคุณก่อนมื้ออาหาร และการขอบคุณในทุกสรรพสิ่ง—ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติมากเพียงใดและไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติยาวนานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์และมีหัวใจที่ยึดติดกับวิธีการปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ เพราะหัวใจของพวกเขาถูกกฎเกณฑ์และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จับจองอยู่ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงไร้ความสามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงและปฏิบัติพระราชกิจกับพวกเขาได้ และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถรับคำสรรเสริญจากพระเจ้าได้ตลอดกาล

ตัดตอนมาจาก “เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ชีวิตประเภทใดคือชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ? ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณคือชีวิตที่หัวใจของเจ้าหันเข้าหาพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และมีความสามารถที่จะใส่ใจต่อความรักของพระเจ้า นั่นคือชีวิตที่เจ้าใช้อยู่ในพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีสิ่งอื่นใดจับจองหัวใจของเจ้า และเจ้ามีความสามารถที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ และได้รับการทรงนำโดยความสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้เพื่อทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ชีวิตแบบนั้นซึ่งเป็นชีวิตระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าคือชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะติดตามความสว่างของวันนี้ เช่นนั้นแล้วระยะห่างก็ได้เปิดขึ้นในสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้า—อาจแม้แต่ถึงขั้นรุนแรงก็เป็นได้—และเจ้าก็ปราศจากชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณปกติ สัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าสร้างขึ้นบนรากฐานของการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ เจ้ามีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณปกติหรือไม่? เจ้ามีสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าหรือไม่? เจ้าคือใครคนหนึ่งที่ติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่? หากเจ้ามีความสามารถที่จะติดตามความสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ และสามารถจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ได้ และเข้าสู่พระวจนะเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครคนหนึ่งที่ติดตามกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเจ้าไม่ติดตามกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครคนหนึ่งที่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีโอกาสที่จะทรงพระราชกิจภายในบรรดาผู้ที่ไม่มีความปรารถนาที่จะปรับปรุงตนเอง และผลก็คือผู้คนเช่นนั้นไม่มีวันที่จะมีความสามารถรวบรวมพละกำลังของพวกเขาได้ และนิ่งเฉยอยู่เรื่อยไป วันนี้ เจ้าติดตามกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่? เจ้าอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่? เจ้าได้โผล่พ้นจากสภาวะนิ่งเฉยแล้วหรือยัง? บรรดาผู้ที่เชื่อในพระวจนะของพระเจ้า ที่ยึดพระราชกิจของพระเจ้าเป็นรากฐาน และติดตามความสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้—พวกเขาทั้งหมดล้วนอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเจ้าเชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าแท้จริงและถูกต้องอย่างปราศจากความเคลือบคลุมสงสัย และหากเจ้าเชื่อพระวจนะของพระเจ้าไม่ว่าพระองค์จะตรัสว่าอย่างไร เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือใครคนหนึ่งที่ไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่พระราชกิจของพระเจ้า และด้วยหนทางนี้เองที่เจ้าจะทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วง

ตัดตอนมาจาก “รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติคือชีวิตที่ใช้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่ออธิษฐาน คนเราสามารถทำให้หัวใจของเขานิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และโดยผ่านทางการอธิษฐาน คนเราสามารถแสวงหาความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รู้พระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ด้วยการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ผู้คนสามารถได้รับความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้นและละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจในปัจจุบันของพระเจ้า นอกจากนี้พวกเขายังสามารถได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติใหม่ และจะไม่เกาะติดกับสิ่งเก่าๆ สิ่งที่พวกเขาปฏิบัติทั้งหมดจะเป็นไปเพื่อการทำให้การเติบโตในชีวิตสัมฤทธิ์ผล สำหรับเรื่องของการอธิษฐานแล้ว การอธิษฐานไม่ได้เกี่ยวข้องกับการพูดคำบางคำที่ฟังดูเสนาะหู หรือการร่ำไห้ออกมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสดงออกว่าเจ้าติดหนี้พระองค์มากเพียงใด ตรงกันข้ามจุดประสงค์ของการอธิษฐานนั้นคือ เพื่อฝึกอบรมตนเองในการใช้จิตวิญญาณ เปิดโอกาสให้คนเราสามารถทำให้ใจของตนสงบลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เพื่อฝึกอบรมตนเองในการแสวงหาการทรงนำจากพระวจนะของพระเจ้าในทุกๆ เรื่อง เพื่อให้หัวใจของตนสามารถเข้าใกล้ความสว่างใหม่ๆ ได้ในแต่ละวัน และเพื่อให้คนเราไม่นิ่งเฉยหรือเกียจคร้าน และอาจย่างเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องในการนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ ทุกวันนี้ผู้คนส่วนใหญ่มุ่งเน้นที่วิธีการปฏิบัติ แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นเพื่อไล่ตามเสาะหาความจริงและทำให้การเติบโตของชีวิตสัมฤทธิ์ผล นี่คือจุดที่พวกเขาได้หลงผิดไป นอกจากนี้ยังมีบางคนที่สามารถรับความสว่างใหม่ได้ แต่วิธีการปฏิบัติของพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขานำมโนคติอันหลงผิดเก่าๆ ทางศาสนามากับตัวพวกเขาในขณะที่พวกเขามองหาว่าจะได้รับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาได้รับจึงยังคงเป็นคำสอนที่แต้มสีไปด้วยมโนคติอันหลงผิดทางศาสนา พวกเขาไม่ได้รับความสว่างของวันนี้เลย ผลก็คือการปฏิบัติของพวกเขาจึงด่างพร้อย การปฏิบัติของพวกเขาเป็นการปฏิบัติเก่าๆ เดิมๆ ในรูปลักษณ์ใหม่ ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติได้ดีเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็เป็นพวกคนหน้าซื่อใจคด พระเจ้าทรงนำผู้คนให้ทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน ทรงเรียกร้องให้พวกเขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความเข้าใจใหม่ๆ ในแต่ละวัน และทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาไม่ล้าสมัยและทำสิ่งใดซ้ำซาก หากเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว แต่วิธีการปฏิบัติของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย และหากเจ้ายังคงกระตือรือร้นและติดธุระวุ่นวายกับเรื่องภายนอก แต่เจ้ายังไม่มีหัวใจที่สงบที่จะนำมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชื่นชมกับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย เมื่อเป็นเรื่องของการยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า หากเจ้าไม่วางแผนให้แตกต่างออกไป ไม่เริ่มทำการปฏิบัติของเจ้าในหนทางใหม่ และไม่ไล่ตามเสาะหาความเข้าใจใหม่ใดๆ แต่ยังเกาะติดกับสิ่งเก่าๆ และได้รับความสว่างใหม่เพียงจำกัดอยู่บ้าง โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงหนทางที่เจ้าปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นเจ้าจะอยู่ในกระแสนี้แต่ในนามเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้ว ผู้คนเหล่านั้นเป็นพวกฟาริสีของศาสนาที่อยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ตัดตอนมาจาก “เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่แท้จริงคือชีวิตแห่งการอธิษฐาน—เป็นชีวิตที่ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ กระบวนการของการถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นกระบวนการของการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ ชีวิตที่ไม่ได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่ชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่เป็นชีวิตของพิธีกรรมทางศาสนาเท่านั้น เฉพาะบรรดาผู้ที่ถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์บ่อยๆ เท่านั้นที่ได้เข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณ อุปนิสัยของมนุษย์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ณ ขณะที่เขาอธิษฐาน ยิ่งพระวิญญาณของพระเจ้าขับเคลื่อนเขามากเท่าใด เขาก็จะยิ่งกลายเป็นมั่นใจและเชื่อฟังมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้น หัวใจของเขาก็จะถูกชำระให้บริสุทธิ์ทีละน้อยด้วยเช่นกัน และอุปนิสัยของเขาก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลง นั่นคือผลของการอธิษฐานที่แท้จริง

ตัดตอนมาจาก “ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

เจ้าถือพิธีปฏิบัติทางศาสนาอยู่กี่อย่าง? เจ้าได้กบฏต่อพระวจนะของพระเจ้าและไปตามหนทางของเจ้าเองกี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งที่เจ้าได้นำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติเพราะเจ้าคำนึงถึงภาระทั้งหลายของพระองค์และพยายามที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง? เจ้าควรเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและนำพระวจนะไปปฏิบัติอย่างสอดคล้อง จงมีหลักธรรมในทุกการกระทำและทุกความประพฤติของเจ้า กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายถึงการยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายหรือการฝืนใจทำบางสิ่งเพียงเพื่อสร้างภาพ ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงการปฏิบัติความจริงและการดำเนินชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าต่างหาก การปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ครรลองแห่งการกระทำใดที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่กฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการปฏิบัติแห่งความจริง ผู้คนบางคนมีใจชอบที่จะดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเอง ยามอยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงของพวกเขา พวกเขาอาจกล่าวว่าพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า แต่ลับหลังคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและกระทำการแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เหล่านี้มิใช่พวกฟาริสีทางศาสนาหรอกหรือ? บุคคลหนึ่งซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริงและครองความจริงก็คือผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่ไม่อวดแสดงท่าออกมาภายนอกว่าเป็นคนเช่นนั้น บุคคลเช่นนั้นเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อเกิดสถานการณ์ทั้งหลายขึ้น และไม่พูดหรือกระทำการในแบบที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของพวกเขา บุคคลเช่นนี้สาธิตแสดงสติปัญญาเมื่อเกิดเรื่องราวทั้งหลายขึ้น และมีหลักธรรมอยู่ในความประพฤติทั้งหลายของเขาหรือของเธอไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร บุคคลประเภทนี้สามารถจัดเตรียมการปรนนิบัติที่แท้จริงได้ มีบางคนที่พูดแต่ปากว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า วันๆ พวกเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในความวิตกกังวล ทำตัวเศร้าสร้อย และแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ช่างน่าดูหมิ่นเสียจริง! หากเจ้าจะถามพวกเขาว่า “คุณบอกฉันได้ไหมเกี่ยวกับว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอย่างไร?” พวกเขาก็จะพูดไม่ออก หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าพูดออกไปภายนอกเกี่ยวกับการนี้ แต่จงสาธิตแสดงความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าโดยหนทางแห่งการปฏิบัติแบบลงมือจริงแทน และจงอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง บรรดาพวกที่แค่จัดการพระเจ้าด้วยคำพูดและจัดการพอเป็นพิธีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดกันทั้งนั้น! บางคนพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน และเริ่มร่ำไห้ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน โดยปราศจากการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ ผู้คนเช่นนี้ถูกครอบงำโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายทางศาสนา พวกเขาดำเนินชีวิตโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดแบบนั้น โดยเชื่อเสมอว่าพระเจ้าทรงยินดีในการกระทำเหล่านั้น และว่าพระองค์ทรงโปรดปรานการอยู่ในทางพระเจ้าแบบผิวเผินหรือน้ำตาอันเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า สิ่งดีอันใดหรือที่จะสามารถมาจากผู้คนที่ไร้สาระแบบนั้น? เพื่อที่จะสาธิตแสดงความถ่อมใจ บ้างก็แสร้งทำเป็นอ่อนโยนมีมารยาทยามพูดจาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น บ้างก็จงใจประจบประแจงยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยทำท่าทางเหมือนลูกแกะที่ไร้เรี่ยวแรง นี่เป็นลักษณะที่เหมาะสมกับประชากรแห่งราชอาณาจักรหรือ? ประชากรแห่งราชอาณาจักรนั้นควรมีชีวิตชีวาและเป็นอิสระ ไร้เดียงสาและเปิดเผย ซื่อสัตย์และน่ารัก และดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งอิสรภาพ พวกเขาควรมีความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี และสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด ผู้คนเช่นนั้นเป็นที่รักของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ บรรดาผู้ที่เป็นผู้กลับใจใหม่ในความเชื่อนั้นมีการปฏิบัติภายนอกมากเกินไป พวกเขาต้องก้าวผ่านช่วงเวลาของการถูกจัดการและการถูกทำลายเสียก่อน ผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ลึกๆ นั้นไม่อาจแยกออกจากผู้อื่นได้เมื่อดูภายนอก แต่การกระทำและความประพฤติทั้งหลายของพวกเขานั้นน่ายกย่อง ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถถือได้ว่าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐทุกวันแก่ผู้คนหลากหลายในความพยายามที่จะนำพวกเขามาสู่ความรอด ทว่าในท้ายที่สุดก็ยังกำลังดำเนินชีวิตโดยกฎเกณฑ์และคำสอนทั้งหลายอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถนำพระสิริมาสู่พระเจ้าได้ ผู้คนเช่นนั้นก็คือพวกบุคคลสำคัญทางศาสนา ตลอดจนพวกคนหน้าซื่อใจคดนั่นเอง

ตัดตอนมาจาก “ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ในการที่เชื่อในพระเจ้านั้น หากผู้คนปฏิบัติต่อความจริงเสมือนเป็นกฎข้อบังคับชุดหนึ่งที่ต้องยึดมั่น เช่นนั้นแล้วการเชื่อของพวกเขาก็จะไม่หมิ่นเหม่ที่จะแปรไปเป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนากลุ่มหนึ่งหรอกหรือ? และสิ่งใดเล่าคือความแตกต่างระหว่างพิธีกรรมทางศาสนาเช่นนั้นกับศาสนาคริสต์? ผู้คนเหล่านี้อาจมีความลึกซึ้งและก้าวหน้ามากขึ้นในวิธีที่พวกเขาพูดสิ่งทั้งหลาย แต่หากความเชื่อของพวกเขาได้ลดลงมาเป็นเพียงกฎข้อบังคับชุดหนึ่งและพิธีกรรมชนิดหนึ่ง เช่นนั้นแล้วนั่นไม่ได้หมายความว่าความเชื่อของพวกเขาได้แปรไปเป็นศาสนาคริสต์แล้วหรอกหรือ? (ใช่ มันหมายความเช่นนั้น) มีความแตกต่างระหว่างคำสอนเก่าๆ และคำสอนใหม่ๆ แต่หากคำสอนทั้งหลายไม่เป็นสิ่งใดมากไปกว่าทฤษฎีประเภทหนึ่ง และได้กลายเป็นเพียงพิธีกรรมหรือกฎข้อบังคับรูปแบบหนึ่งสำหรับผู้คน—และในทำนองเดียวกัน หากผู้คนไม่สามารถทั้งได้รับความจริงจากการนั้นและใช้การนั้นเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง—เช่นนั้นแล้วความเชื่อของพวกเขาจะไม่กลายเป็นเช่นเดียวกันกับศาสนาคริสต์อย่างไม่ผิดเพี้ยนหรอกหรือ? โดยแก่นแท้แล้ว นี่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์หรอกหรือ? (ใช่ นี่เป็นศาสนาคริสต์) เช่นนั้นแล้วในพฤติกรรมของพวกเจ้า และในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า พวกเจ้ามีทรรศนะและสภาวะที่เป็นเช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับทรรศนะและสภาวะของผู้เชื่อในศาสนาคริสต์ในสิ่งใดบ้าง? (ในการยึดมั่นกับกฎข้อบังคับต่างๆ และในการเตรียมตัวพวกเราเองให้พร้อมด้วยตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย) (ในการมุ่งเน้นที่รูปลักษณ์ของการเป็นฝ่ายจิตวิญญาณและการจัดแสดงพฤติกรรมที่ดี และการเปี่ยมศรัทธาและถ่อมใจ) เจ้าพยายามที่จะจัดแสดงพฤติกรรมที่ดีภายนอก โดยทำสุดความสามารถของเจ้าเพื่อตกแต่งตัวพวกเจ้าเองในรูปลักษณ์ฝ่ายจิตวิญญาณประเภทหนึ่ง และเจ้าทำบางสิ่งที่ค่อนข้างได้รับการรับรองว่ามีอยู่ภายในมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ โดยแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม เจ้ายืนอยู่บนแท่นสูงประกาศตัวอักษรและคำสอน โดยสอนให้ผู้คนทำดี มีคุณธรรม และเข้าใจความจริง เจ้าประกาศคำสอนฝ่ายจิตวิญญาณ โดยพูดสิ่งต่างๆ ฝ่ายจิตวิญญาณที่ถูกต้อง เจ้าวางท่าใหญ่โตว่าเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ และระบายความเชื่อฝ่ายจิตวิญญาณที่ผิวเผินในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดและทำ แต่ทว่าในทางปฏิบัติ และในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่เคยแสวงหาความจริง ทันทีที่เจ้าเผชิญปัญหา เจ้าก็กระทำการโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยโยนพระเจ้าทิ้งไป เจ้าไม่เคยได้กระทำการโดยสอดคล้องกับความจริงหลักธรรม อีกทั้งเจ้าไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความจริงคือสิ่งใด เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด หรือมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากมนุษย์คือสิ่งใด เจ้าไม่เคยได้ถือจริงจังกับเรื่องเหล่านี้ หรือแม้แต่กังวลสนใจเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวพวกเจ้าเอง การกระทำภายนอก และสภาวะภายในเช่นนี้ของผู้คน—กล่าวคือ ความเชื่อประเภทนี้—ประกอบด้วยความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่? หากไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างความเชื่อของผู้คนกับการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาเชื่อหรือพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้ากันแน่? ไม่ว่าผู้คนที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอาจจะเชื่อในพระองค์มานานกี่ปีแล้วก็ตาม แต่พวกเขาจะสามารถหรือพวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงได้กันแน่? (พวกเขาไม่สามารถทำได้) เช่นนั้นแล้วพฤติกรรมภายนอกของผู้คนเช่นนี้คือสิ่งใด? พวกเขาสามารถเดินไปในเส้นทางประเภทใด? (เส้นทางของพวกฟาริสี) พวกเขาใช้วันเวลาของพวกเขาเตรียมตัวพวกเขาเองให้พร้อมด้วยสิ่งใด? ไม่ใช่ด้วยตัวอักษรและคำสอนหรอกหรือ? พวกเขาไม่ได้ใช้วันเวลาของพวกเขาติดอาวุธให้ตัวพวกเขาเอง แต่งตัวพวกเขาเองด้วยตัวอักษรและคำสอนเพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองเป็นเหมือนพวกฟาริสีมากขึ้น เป็นฝ่ายจิตวิญญาณมากขึ้น และเหมือนผู้คนที่คาดว่าจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้นหรอกหรือ? สิ่งใดกันแน่ที่เป็นธรรมชาติของความประพฤติเหล่านี้ทั้งหมด? นั่นเป็นการนมัสการพระเจ้าหรือ? นั่นเป็นความเชื่อแท้จริงในพระองค์หรือ? (ไม่ นั่นไม่ใช่) ดังนั้นแล้ว พวกเขากำลังทำอะไร? พวกเขากำลังหลอกลวงพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่กำลังก้าวผ่านขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการหนึ่ง และเข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา พวกเขากำลังโบกธงแห่งความเชื่อและปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา โดยพยายามหลอกลวงพระเจ้าเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการได้รับพระพร ผู้คนเหล่านี้ไม่นมัสการพระเจ้าเลย ในท้ายที่สุด ผู้คนกลุ่มที่ว่านี้จะไม่ลงเอยเหมือนกับพวกที่อยู่ในคริสตจักรซึ่งคาดว่าจะรับใช้พระเจ้า และซึ่งคาดว่าจะเชื่อและติดตามพระเจ้าอย่างไม่ผิดเพี้ยนหรอกหรือ?

ตัดตอนมาจาก “โดยการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นนิตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความรอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในช่วงระหว่างครรลองแห่งการเข้าสู่ของมนุษย์ ชีวิตนั้นน่าเบื่ออยู่เสมอ โดยเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ซ้ำซากของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เช่น การอธิษฐาน การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการจัดการชุมนุม และดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกเสมอว่าการที่เชื่อในพระเจ้าไม่นำความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่ใดๆ มาให้ กิจกรรมฝ่ายจิตวิญญาณเช่นนั้นมักจะได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้นบนพื้นฐานของอุปนิสัยแต่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ ซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว ถึงแม้ว่าในบางครั้งผู้คนจะสามารถรับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ แต่การคิด อุปนิสัย รูปแบบการใช้ชีวิต และนิสัยแต่ดั้งเดิมยังคงหยั่งรากอยู่ภายใน และดังนั้นธรรมชาติของพวกเขาจึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง กิจกรรมที่เป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ผู้คนมีส่วนร่วมคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดมากที่สุด แต่ผู้คนมากมายยังคงไร้ความสามารถที่จะปล่อยพวกมันไปได้ โดยคิดว่ากิจกรรมที่เป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้รับการประกาศกฤษฎีกาจากพระเจ้า และแม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้กำจัดกิจกรรมเหล่านั้นออกไปโดยสิ้นเชิง สิ่งทั้งหลายเช่น การจัดการเตรียมการที่คนอายุน้อยๆ ทำเพื่องานเลี้ยงฉลองสมรสและเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว ของขวัญเงินสด งานเลี้ยง และวิธีทั้งหลายที่คล้ายกันที่ใช้เฉลิมฉลองในโอกาสอันชื่นบาน สูตรโบราณที่ได้ส่งต่อกันมา กิจกรรมอันเป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ไร้ความหมายทั้งหมดที่ดำเนินการเพื่อคนตายและพิธีฝังศพของพวกเขา สิ่งเหล่านี้น่าชิงชังมากยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับพระเจ้า กระทั่งวันแห่งการนมัสการ (ซึ่งรวมถึงวันสะบาโตที่โลกศาสนาถือปฏิบัติ) ก็เป็นสิ่งที่น่าชิงชังสำหรับพระองค์ และสัมพันธภาพทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์ทางโลกระหว่างมนุษย์และมนุษย์ทั้งหมดต่างเป็นที่น่ารังเกียจและถูกปฏิเสธจากพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก กระทั่งเทศกาลฤดูใบไม้ผลิและวันคริสต์มาสที่ทุกคนรู้จักก็ไม่ได้รับการประกาศกฤษฎีกาจากพระเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับของเล่นและการตกแต่งสำหรับวันหยุดเทศกาลรื่นเริงเหล่านี้ เช่น ป้ายคู่ ประทัดไฟ โคมไฟ ศีลมหาสนิท ของขวัญวันคริสต์มาส และเทศกาลคริสต์มาส—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รูปเคารพในจิตใจของพวกมนุษย์หรอกหรือ? การหักขนมปังในวันสะบาโต ไวน์ และป่านเนื้อดียิ่งเป็นรูปเคารพอย่างแน่ชัดเข้าไปใหญ่ วันเทศกาลตามธรรมเนียมประเพณีทั้งหมดที่เป็นที่นิยมในประเทศจีน เช่น วันเชิดหัวสิงโต เทศกาลแข่งเรือมังกร เทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลล่าปา และวันปีใหม่ และเทศกาลต่างๆ ในโลกศาสนา เช่น วันอีสเตอร์ วันพิธีบัพติศมา และวันคริสต์มาส เทศกาลที่ไม่สมควรทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการจัดการเตรียมการและส่งต่อมาจากยุคเก่าๆ ถึงวันนี้โดยผู้คนมากมาย จินตนาการที่มากมายและมโนคติที่ช่างคิดของมนุษยชาตินั่นเองที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นได้รับการส่งต่อมาจนถึงวันนี้ สิ่งเหล่านี้ปรากฏเหมือนว่าปราศจากข้อตำหนิ แต่อันที่จริงแล้วเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ซาตานใช้กับมนุษยชาติ ยิ่งสถานที่หนึ่งแน่นขนัดไปด้วยเหล่าซาตานมากเท่าใด และยิ่งสถานที่นั้นล้าสมัยและถอยหลังมากขึ้นเท่าใด ธรรมเนียมประเพณีแบบระบอบศักดินาก็ยิ่งตั้งมั่นอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้มัดผู้คนไว้แน่น ไม่ยอมให้มีที่ว่างเพื่อการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เทศกาลมากมายในโลกศาสนาดูเหมือนจะแสดงถึงความเป็นดั้งเดิมอันยิ่งใหญ่และดูเหมือนจะสร้างสะพานสู่งานของพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเชือกผูกที่มองไม่เห็นซึ่งซาตานใช้มัดผู้คนและขัดขวางไม่ให้ผู้คนมารู้จักพระเจ้า—สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน อันที่จริงแล้ว เมื่องานช่วงระยะหนึ่งของพระเจ้าแล้วเสร็จ พระองค์ได้ทรงทำลายเครื่องมือและลักษณะแนวแบบของช่วงเวลานั้นโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม “ผู้เชื่อที่เคร่งครัด” ยังเคารพบูชาวัตถุทางกายที่จับต้องได้เหล่านั้นต่อไป ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ส่งสิ่งที่พระเจ้าทรงมีไปไว้ข้างหลัง ไม่ศึกษาสิ่งนั้นเพิ่มเติมแต่อย่างใด และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรักพระเจ้าทั้งที่จริงแล้วพวกเขาได้ผลักพระองค์ออกไปนอกบ้านมานานแล้ว และวางซาตานไว้บนหิ้งเพื่อเคารพบูชา ภาพวาดของพระเยซู กางเขน นางมารีย์ การบัพติศมาของพระเยซู และอาหารค่ำมื้อสุดท้าย—ผู้คนเคารพสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้า ในขณะเดียวกันก็กู่ร้องซ้ำๆ ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาแห่งสวรรค์” ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรือ? จนถึงวันนี้ คำกล่าวและการปฏิบัติที่คล้ายกันมากมายที่ได้รับการส่งต่อมาท่ามกลางมนุษยชาตินั้นเป็นที่น่าชังสำหรับพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นขัดขวางหนทางข้างหน้าสำหรับพระเจ้าอย่างร้ายแรง และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดการเสื่อมถอยอย่างมากต่อการเข้าสู่ของมนุษยชาติ เมื่อลองไม่มองขอบเขตที่ซาตานได้ทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามแล้ว ภายในของผู้คนก็เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ เช่นกฎของวิทเนส ลี ประสบการณ์ของลอว์เรนซ์ การสำรวจโดยวอทช์แมน นี และงานของเปาโลอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจต่อมนุษย์ได้เลย เพราะภายในพวกเขานั้น พวกเขามีปัจเจกนิยม กฎหมาย กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ระบบ และสิ่งในทำนองนั้นมากเกินไป นอกเหนือจากแนวโน้มการเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบระบอบศักดินาของผู้คนแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้จับกุมและล้างผลาญมนุษยชาติแล้ว เสมือนว่าความคิดของผู้คนเป็นภาพยนตร์น่าสนใจที่เล่าเทพนิยายแบบสี่สี ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตน่ามหัศจรรย์ขี่ก้อนเมฆ ช่างจินตนาการจนพวกมันทำให้ผู้คนประหลาดใจ ทิ้งไว้ให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงและพูดไม่ออก หากให้พูดความจริง พระราชกิจที่พระเจ้าเสด็จมาทำในวันนี้โดยหลักแล้วคือการจัดการและขับไล่คุณลักษณะที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของพวกมนุษย์ และแปลงรูปทัศนะทางจิตใจของพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์ งานของพระเจ้าไม่ได้คงอยู่มาถึงวันนี้เพราะการรับมรดกตกทอดที่มนุษยชาติได้ส่งต่อมาโดยผ่านทางรุ่นต่อรุ่น แต่เป็นเพราะงานที่พระองค์ทรงริเริ่มและทำให้เสร็จสิ้นด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องมีการรับช่วงต่อสิ่งสืบทอดจากมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่บางคน หรือรับมรดกตกทอดจากงานใดๆ ที่มีธรรมชาติเป็นสิ่งแทนซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติในยุคอื่นๆ บางยุค มนุษย์ไม่จำเป็นต้องสนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เหล่านี้ วันนี้พระเจ้าทรงมีลักษณะการตรัสและการทรงงานอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นแล้ว เหตุใดมนุษย์ถึงสร้างปัญหาให้ตัวเองเล่า? หากมนุษย์เดินบนเส้นทางของวันนี้ภายในกระแสทางเดินปัจจุบันในขณะเดียวกันก็ดำเนินตามสิ่งสืบทอดของ “บรรพบุรุษ” ของพวกเขาต่อไปแล้ว พวกเขาจะไม่ไปถึงบั้นปลายของพวกเขา พระเจ้าทรงรู้สึกแขยงพฤติกรรมรูปแบบเฉพาะนี้ของมนุษย์อย่างมาก เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงชังช่วงเวลาหลายปี หลายเดือน และหลายวันของโลกมนุษย์

วิธีที่ดีที่สุดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์คือการรักษาส่วนเหล่านั้นในหัวใจที่ลึกที่สุดของผู้คนซึ่งได้ถูกยาพิษอย่างล้ำลึก ซึ่งจะทำให้ผู้คนสามารถเปลี่ยนแปลงการคิดและหลักศีลธรรมของพวกเขาได้ ประการแรก ผู้คนจำเป็นต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าพิธีกรรมทางศาสนา กิจกรรมทางศาสนา เวลาหลายปีและหลายเดือน และเทศกาลเหล่านี้ทั้งหมดเป็นที่ชิงชังสำหรับพระเจ้า พวกเขาควรแยกตัวให้เป็นอิสระจากการผูกมัดของการคิดแบบระบอบศักดินาเหล่านี้ และกำจัดทุกร่องรอยของความโน้มเอียงที่จะเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติที่หยั่งรากลึกของพวกเขา ทั้งหมดนี้รวมอยู่ในการเข้าสู่ของมนุษยชาติ พวกเจ้าต้องเข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงนำมนุษยชาติออกจากโลกทางโลก และอีกครั้งว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงนำมนุษยชาติออกจากกฎเฏณฑ์และข้อบังคับ นี่คือประตูที่พวกเจ้าจะผ่านเพื่อเข้าสู่ และถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับประสบการณ์ฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเจ้า แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ขัดขวางการเข้าสู่ของพวกเจ้า ขัดขวางเจ้าไม่ให้รู้จักพระเจ้า สิ่งเหล่านี้สร้างร่างแหที่ทำให้ผู้คนหลงติด

ตัดตอนมาจาก “งานและการเข้าสู่ (3)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger