สิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และสิ่งที่เป็นความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยกับพฤติกรรมที่ดี

วันที่ 06 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและติดตามพระทัยของพระเจ้าได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์เป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแบบอย่างและอุทาหรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่ติดตามพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ในวันนี้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้เสด็จมากระทำพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระองค์ การเชื่อฟังต่อพระองค์ คำพยานต่อพระองค์ เพื่อให้รู้จักพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและปกติของพระองค์ เพื่อให้เชื่อฟังพระวจนะและพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ซึ่งไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเพื่อเป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด รวมทั้งกิจการทั้งหมดที่พระองค์ทรงสำเร็จลุล่วงเพื่อพิชิตมนุษย์ บรรดาผู้ที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำและเป็นจริง และคำพยานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถทำให้ซาตานอับอายได้ พระเจ้าทรงใช้บรรดาผู้ที่ได้มารู้จักพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอน การจัดการ และการตัดแต่งของพระองค์ เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์ พระองค์ทรงใช้พวกที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามให้เป็นคำพยานต่อพระองค์ และเช่นเดียวกัน พระองค์จึงทรงใช้บรรดาผู้ที่อุปนิสัยได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และผู้ที่ได้รับพระพรของพระองค์จากการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อเป็นคำพยานต่อพระองค์ พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์สรรเสริญพระองค์ด้วยปากของเขา อีกทั้งพระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงได้รับการสรรเสริญและคำพยานจากผู้คนจำพวกของซาตาน ผู้ซึ่งยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์ เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ และเฉพาะบรรดาผู้ที่ได้มีการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติเป็นคำพยานต่อพระองค์ พระเจ้าจะไม่ทรงยินยอมด้วยความตั้งพระทัยให้มนุษย์นำความอับอายมาสู่พระนามของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า

อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงด้วยพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือ หากเจ้าเกาะติดอยู่กับประสบการณ์เก่าแก่ของเจ้าและกฎเกณฑ์ทั้งหลายของอดีต เช่นนั้นแล้วอุปนิสัยของเจ้าย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากพระวจนะแห่งวันนี้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ขอให้ผู้คนทั้งหมดเข้าสู่ชีวิตแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่เจ้ายังคงติดพันอยู่กับสิ่งภายนอกทั้งหลาย และสับสนเกี่ยวกับความเป็นจริง และไม่จริงจังกับความเป็นจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือใครบางคนซึ่งได้ล้มเหลวที่จะตามให้ทันพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใครบางคนซึ่งไม่ได้เข้าสู่เส้นทางแห่งการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การที่อุปนิสัยของเจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าสามารถตามทันพระวจนะปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ และขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความรู้ที่แท้จริงหรือไม่ นี่ไม่เหมือนกับสิ่งที่เจ้าได้เข้าใจไปก่อนหน้า การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าที่เจ้าได้เข้าใจไปก่อนหน้านั้นก็คือว่า ตัวเจ้าผู้ซึ่งมักด่วนตัดสินนั้นได้เลิกพูดจาอย่างสิ้นคิดแล้วโดยผ่านทางการบ่มวินัยของพระเจ้า แต่นั่นเป็นแค่หนึ่งแง่มุมของการเปลี่ยนแปลง ประเด็นที่วิกฤติที่สุด ณ ขณะนี้ก็คือ การติดตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นคือ ติดตามสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัส และเชื่อฟังสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ตรัส ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน และการทนทุกข์กับกระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้า หรือถูกจัดการ บ่มวินัยและตัดแต่งโดยพระวจนะของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังและความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าได้ และไม่ทำเป็นขอไปทีกับพระองค์ ภายใต้กระบวนการถลุงของพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่อุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลง โดยผ่านทางการเปิดโปง การพิพากษา การบ่มวินัย และการจัดการของพระวจนะของพระองค์เท่านั้นพวกเขาจึงจะไม่กล้าที่จะปฏิบัติตนอย่างมุทะลุอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหนักแน่นและสำรวมแทน ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือว่า พวกเรามีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้าและต่อพระราชกิจของพระองค์ได้ ต่อให้พระราชกิจไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พวกเขาก็มีความสามารถที่จะละวางมโนคติที่หลงผิดเหล่านี้และนบนอบได้อย่างเต็มใจ ในอดีตนั้น โดยหลักแล้ว การพูดคุยถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยอ้างอิงถึงการมีความสามารถที่จะละทิ้งตัวเอง อ้างอิงถึงการยอมให้เนื้อหนังได้ทนทุกข์ การบ่มวินัยร่างกายของคนเรา และการขจัดความเลือกชอบทางเนื้อหนังไปจากตัวคนเรา—ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทหนึ่งในอุปนิสัย วันนี้ ทุกคนรู้ว่า การแสดงออกตามความเป็นจริงของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็คือ การเชื่อฟังพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และการรู้จักพระราชกิจใหม่ของพระองค์อย่างแท้จริง ในหนทางนี้ ความเข้าใจที่มีมาก่อนเกี่ยวกับพระเจ้า ซึ่งถูกละเลงสีสันโดยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขานั้น สามารถถูกลบทิ้งไปได้ และพวกเขาสามารถบรรลุความเชื่อฟังและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าได้—นี่เท่านั้นที่เป็นการแสดงออกที่จริงแท้ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนที่ได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยแล้วคือบรรดาผู้ที่ได้เข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว

การแปลงสภาพในอุปนิสัยหมายถึงสิ่งใด? นั่นเกิดขึ้นเมื่อผู้รักความจริงคนหนึ่งยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์และก้าวผ่านความทุกข์และกระบวนการถลุงทุกลักษณะ ในขณะที่กำลังได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า บุคคลดังกล่าวได้รับการชำระให้สะอาดจากสารพัดพิษของซาตานภายในตัวเขา และหลุดพ้นจากอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขาอย่างครบบริบูรณ์ เพื่อที่เขาจะสามารถนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการทั้งปวงของพระองค์ได้ ไม่มีวันกบฏต่อพระองค์หรือต้านทานพระองค์อีกเลย นี่คือการแปลงสภาพในอุปนิสัยอย่างหนึ่ง…การแปลงสภาพในอุปนิสัยหมายความว่า เพราะความที่เขารักและสามารถยอมรับความจริงได้ ในที่สุดบุคคลนั้นจึงมารู้จักธรรมชาติที่ไม่เชื่อฟังของเขาซึ่งอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า กล่าวคือ เขาเข้าใจว่า มนุษย์นั้นถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างดิ่งลึกเกินไป เขาระลึกรู้ความไร้เหตุผลและความเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของมนุษย์ เขาระลึกรู้ความน่าสงสารและน่าเวทนาของมนุษย์ และในที่สุดก็มาเข้าใจธรรมชาติแก่นแท้ของมนุษย์ ด้วยการที่รู้ทั้งหมดนี้ เขาจึงกลายเป็นมีความสามารถที่จะปฏิเสธและละทิ้งตัวเองอย่างครบบริบูรณ์ ดำรงชีวิตอยู่โดยพระวจนะของพระเจ้า และปฏิบัติความจริงในทุกสรรพสิ่ง นี่คือใครบางคนที่รู้จักพระเจ้า กล่าวคือ นี่คือใครบางคนที่อุปนิสัยของเขาได้แปลงสภาพไปแล้ว

ตัดตอนมาจาก “วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

โดยหลักแล้ว การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยอ้างอิงถึงการเปลี่ยนสภาพของธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง สิ่งทั้งหลายของธรรมชาติของบุคคลหนึ่งนั้นไม่สามารถมองเห็นได้จากพฤติกรรมภายนอก สิ่งเหล่านั้นสัมพันธ์โดยตรงกับความมีคุณค่าและนัยสำคัญของการดำรงอยู่ของเขา นั่นก็คือ สิ่งเหล่านั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับทัศนะของบุคคลหนึ่งที่มีต่อชีวิตและค่านิยมทั้งหลายของเขา สิ่งทั้งหลายที่อยู่ในห้วงลึกของจิตใจของเขา และแก่นแท้ของเขา หากบุคคลหนึ่งไม่สามารถยอมรับความจริงได้ เขาย่อมจะไม่ก้าวผ่านการเปลี่ยนสภาพในแง่มุมเหล่านี้เลย เฉพาะโดยการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า การเข้าสู่ความจริงอย่างเต็มที่ การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของคนเราและทัศนะของคนเราที่มีต่อการดำรงอยู่และชีวิต การปรับทรรศนะของคนเราให้อยู่ในแนวเดียวกับของพระเจ้า และการกลับกลายมามีความสามารถที่จะนบนอบและอุทิศแด่พระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์เท่านั้น จึงจะพูดได้ว่าอุปนิสัยของคนเราได้เปลี่ยนสภาพไปแล้ว เจ้าอาจปรากฏว่ามีการนำความพยายามบางอย่างออกมาใช้ เจ้าอาจมีความยืดหยุ่นเมื่อประจันหน้ากับความยากลำบาก เจ้าอาจมีความสามารถที่จะดำเนินการจัดการเตรียมการเกี่ยวกับพระราชกิจจากเบื้องบนจนเสร็จสิ้นได้ หรือเจ้าอาจมีความสามารถที่จะไปแห่งหนใดก็ตามที่ถูกบอกให้ไป แต่เหล่านี้เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของพฤติกรรมและไม่เพียงพอที่จะนับว่าเป็นการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของเจ้า เจ้าอาจมีความสามารถที่จะล่องไปตามเส้นทางสารพัน ทนทุกข์กับความยากลำบากสารพัด และสู้ทนการเหยียดหยามอันใหญ่หลวง เจ้าอาจรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามาก และพระวิญญาณบริสุทธิ์อาจทรงพระราชกิจบางอย่างกับเจ้า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงขอให้เจ้าทำบางสิ่งที่ไม่คล้อยตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็ยังคงอาจจะไม่นบนอบ แต่ในทางกลับกัน เจ้าอาจจะมองหาข้อแก้ตัวทั้งหลาย อันเป็นการต้านทานและกบฏต่อพระเจ้า กระทั่งถึงจุดที่เจ้าวิพากษ์วิจารณ์และประท้วงต่อพระองค์ นี่จะเป็นปัญหาที่รุนแรง! นั่นจะแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงมีธรรมชาติที่ต้านทานพระเจ้าอยู่ และว่าเจ้ายังไม่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนสภาพไม่ว่าอันใดเลยก็ตาม

ตัดตอนมาจาก “สิ่งใดที่ควรรู้เกี่ยวกับการแปลงสภาพอุปนิสัยของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม อีกทั้งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เสแสร้งจากภายนอกหรือการปรับเปลี่ยนชั่วคราวที่ทำขึ้นเพราะความกระตือรือร้น ตรงกันข้าม มันเป็นการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยที่จริงแท้ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมเช่นนั้นไม่เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่ถูกจัดแสดงในพฤติกรรมและการกระทำภายนอกของบุคคลหนึ่ง การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยหมายความว่าเจ้ามีความเข้าใจและได้รับประสบการณ์กับความจริง และว่าความจริงได้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว ในอดีต เจ้าได้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เจ้าไร้ความสามารถที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ ความจริงเป็นเพียงคำสอนสำหรับเจ้าที่ไม่ได้ยึดติด บัดนี้อุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนสภาพแล้ว เจ้าไม่เพียงเข้าใจความจริงเท่านั้น แต่เจ้ายังปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงด้วย บัดนี้เจ้ามีความสามารถที่จะปล่อยสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชื่นชอบในอดีตไป สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคยเต็มใจทำ จินตนาการของเจ้า และมโนคติที่หลงผิดของเจ้า บัดนี้เจ้ามีความสามารถที่จะปล่อยสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่มีความสามารถที่จะปล่อยมันไปได้ในอดีต นี่คือการเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัย และยังเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของเจ้าด้วยเช่นกัน

ตัดตอนมาจาก “สิ่งใดที่ควรรู้เกี่ยวกับการแปลงสภาพอุปนิสัยของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในการแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เจ้าต้องไปถึงช่วงระยะเฉพาะหนึ่งในความเข้าใจตัวเองของเจ้า โดยตรงนั้นเอง เจ้าจึงจะสามารถค้นพบสารพัดพิษเยี่ยงซาตานที่นอนอยู่ภายในธรรมชาติของเจ้าได้ เจ้าต้องรู้ว่าการเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าหมายถึงอะไร ตลอดจนการกบฏต่อพระเจ้าหมายถึงอะไร และเจ้าต้องเรียนรู้ว่าจะประพฤติปฏิบัติตนอย่างไรให้คล้อยตามไปกับความจริงในเรื่องทั้งหมด เจ้ายังต้องได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อมนุษยชาติด้วยเช่นกัน เจ้าต้องครองมโนธรรมและเหตุผลเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าต้องไม่พูดอย่างอวดตัวหรือโกงพระเจ้า และเจ้าต้องไม่ทำสิ่งใดที่ต้านทานพระเจ้า เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าย่อมจะได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเจ้าแล้ว บรรดาผู้ที่มีอุปนิสัยซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วนั้นย่อมรู้สึกเคารพต่อพระเจ้าอยู่ลึกๆ ในหัวใจของพวกเขา และความเป็นกบฏของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าย่อมค่อยๆ ลดทอนลง ที่มากกว่านั้นก็คือ ในการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงนั้น พวกเขาไม่จำเป็นต้องให้ผู้อื่นมาคอยเป็นห่วงพวกเขาอีกต่อไป อีกทั้งพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงจำเป็นต้องทรงพระราชกิจแห่งการบ่มวินัยกับพวกเขา โดยพื้นฐานแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้า และมีความจริงปรากฏอยู่ในทรรศนะของพวกเขาที่มีต่อสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมดนี้รวมแล้วก็คือการได้กลายมาเป็นเข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว

ตัดตอนมาจาก “โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยมีคุณลักษณะเฉพาะอย่างหนึ่ง ซึ่งมีความสามารถที่จะนบนอบต่อสิ่งที่ถูกและอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริง ไม่สำคัญว่าผู้ใดให้คำแนะนำแก่เจ้า—ไม่ว่าพวกเขาจะเยาว์วัยหรือแก่ชรา ไม่ว่าเจ้าจะเข้ากันได้ดีหรือไม่ และไม่ว่าสัมพันธภาพระหว่างเจ้าจะดีหรือแย่—ตราบเท่าที่พวกเขาพูดบางสิ่งที่ถูกต้องและอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริง และยังเป็นประโยชน์แก่งานของพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถรับฟัง นำการนั้นมาปรับใช้ และยอมรับการนั้น และไม่สามารถได้รับผลกระทบจากปัจจัยอื่นใดได้ นี่คือแง่มุมแรกของคุณลักษณะเฉพาะนั้น ก่อนอื่น เจ้าสามารถยอมรับความจริง ตลอดจนสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้องและอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงได้ อีกแง่มุมหนึ่งคือการมีความสามารถที่จะแสวงหาความจริงเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับปัญหา เจ้าต้องไม่เพียงมีความสามารถที่จะยอมรับความจริงเท่านั้น แต่เจ้าต้องมีความสามารถที่จะแสวงหาความจริงด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้าเผชิญกับปัญหาใหม่ปัญหาหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกได้ ต่อมาเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและมองเห็นสิ่งที่เจ้าควรทำหรือปฏิบัติเพื่อนำพาเรื่องนั้นให้อยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงหลักธรรมและบรรจบกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า แต่ทว่าอีกแง่มุมหนึ่งคือการได้มาซึ่งความสามารถในการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าควรคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระองค์อย่างไร? การนี้ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ใดอยู่และพระองค์ทรงมีข้อประสงค์ใดจากการนั้น? เจ้าต้องจับความเข้าใจหลักธรรมนี้ กล่าวคือ จงดำเนินการหน้าที่ของเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และทำให้หน้าที่นั้นลุล่วงตามความพึงพอพระทัยของพระองค์ เจ้าต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและสิ่งที่เป็นผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาจากหน้าที่ของเจ้าด้วยเช่นกัน และเจ้าต้องมีความสามารถที่จะกระทำการด้วยความรับผิดชอบและความสัตย์ซื่อ ทั้งหมดเหล่านี้คือหนทางที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเจ้าไม่รู้วิธีที่จะคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าในสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน เช่นนั้นแล้ว เจ้าต้องทำความพยายามบ้างเพื่อที่จะทำการนั้นให้สำเร็จลุล่วงและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย หากเจ้าสามารถนำหลักธรรมทั้งสามประการเหล่านี้ไปปฏิบัติ ประเมินวัดว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตไปตามหลักธรรมเหล่านั้นอย่างแท้จริงดีเพียงใด และค้นหาเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะกำลังรับมือกับเรื่องทั้งหลายในลักษณะที่มีหลักการ ไม่ว่าเจ้าอาจเผชิญหน้ากับสิ่งใด และไม่สำคัญว่าปัญหาที่เจ้าอาจจำเป็นที่จะต้องจัดการด้วยคืออะไร เจ้าต้องสำรวจค้นหาหลักธรรมที่ถูกต้องเพื่อปฏิบัติตามอยู่เสมอ ว่ารายละเอียดของหลักธรรมแต่ละอย่างเหล่านี้ประกอบด้วยสิ่งใดบ้าง และหลักธรรมเหล่านั้นควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรเพื่อที่จะเจ้าได้ไม่ล่วงละเมิดหลักธรรมเหล่านั้น ทันทีที่เจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีความสามารถที่จะปฏิบัติความจริงได้โดยธรรมชาติ

ตัดตอนมาจาก “มีเพียงโดยการนำความจริงไปปฏิบัติเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถสลัดทิ้งพันธะของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในการไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้า เจ้าต้องเข้าใจว่าสิ่งใดไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและไม่อยู่ภายในอาณาจักรของการนั้น แต่เป็นพฤติกรรมที่ดีภายนอก สิ่งที่พระเจ้าทรงหมายถึงเมื่อพระองค์ทรงสนทนาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และสิ่งที่อยู่ในตัวผู้คนซึ่งพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะเปลี่ยนแปลง ผู้คนต้องเข้าใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เจ้าคิดว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย กับสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เป็นสองสิ่งที่แตกต่างกัน เป็นสองเส้นทาง สิ่งที่เจ้ามีในจิตใจของเจ้านั้นสุดท้ายแล้วก็จะไม่สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยก็คือเมื่อบุคคลสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าและเกี่ยวกับความจริงหลักธรรม และใช้ชีวิตตามความจริงหลักธรรม จนกระทั่งพวกเขาสัมฤทธิ์การนบนอบและมีหัวใจแห่งความเคารพต่อพระเจ้า ไม่มีความเข้าใจผิดอันใดเกี่ยวกับพระเจ้า และมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า และนมัสการพระองค์อย่างแท้จริง ด้วยวิถีทางแห่งการปฏิบัติความจริงและด้วยวิถีทางแห่งการถูกพิพากษาและตีสอน การถูกจัดการและตัดแต่ง และการถูกทดสอบและถลุงโดยพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าตรัสถึงคือสิ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับอุปนิสัยของบุคคล เช่นนั้นแล้ว ผู้คนหมายความถึงสิ่งใดเล่าเมื่อพวกเขาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย? พวกเขาหมายความว่าพฤติกรรมของคนเราดีขึ้น ว่าคนเราปรากฏให้เห็นว่าไร้เล่ห์มารยาและปฏิบัติตามกฎข้อบังคับเป็นอย่างดี ว่าวาทะของพวกเขามีอารยธรรม และว่าพวกเขาใส่ใจต่อมโนธรรมของพวกเขาในความสัมพันธ์ของพวกเขากับผู้อื่นและมีมาตรฐานทางศีลธรรม มีความแตกต่างหรือไม่ระหว่างการนี้กับสิ่งที่พระเจ้าตรัส? ไม่ว่าในการสัมพันธ์กับผู้คนหรือสิ่งของ แรงกระตุ้นทั้งหมดของเจ้า หลักธรรมเบื้องหลังการกระทำของเจ้า และมาตรฐานของเจ้าสำหรับการประเมินค่าต้องสอดคล้องกับความจริง และเจ้าจำเป็นที่จะต้องแสวงหาความจริงหลักธรรม ด้วยการนี้เท่านั้นจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้ หากเจ้าใช้มาตรฐานทางพฤติกรรมเป็นตัววัดอยู่เสมอ และมุ่งเน้นอยู่เสมอที่การเปลี่ยนแปลงภายนอกในพฤติกรรม แต่ไม่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ ซึ่งในกรณีนั้น เจ้าจะพัฒนาหัวใจที่แท้จริงแห่งความเคารพต่อพระเจ้าได้อย่างไร? หากบุคคลไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ เช่นนั้นแล้ว พฤติกรรมที่ดีไม่ว่าจำนวนเท่าใดก็ไม่ใช่หมายความว่าพวกเขาสามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้น ต่อให้คนเรามีพฤติกรรมที่ดีมากมายเพียงใดก็ตามที นั่นไม่ได้หมายความว่า มีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยของคนเราแล้ว

ตัดตอนมาจาก “คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

แก่นแท้ของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยและการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมแตกต่างกัน และการเปลี่ยนแปลงในการปฏิบัติก็แตกต่างกันเช่นกัน—ทั้งหมดนั้นแตกต่างกันในแก่นแท้ ผู้คนส่วนใหญ่วางการเน้นย้ำพิเศษไปที่พฤติกรรมในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา ผลลัพธ์ของการนั้นก็คือ เกิดการเปลี่ยนแปลงเฉพาะบางอย่างในพฤติกรรมของพวกเขา หลังจากที่พวกเขาได้เริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็หยุดการขับเคี่ยวกับผู้อื่น หยุดการหยามหมิ่นและการต่อสู้กับผู้คน หยุดการสูบสิ่งเสพติดและการดื่ม และหยุดการขโมยสมบัติสาธารณะอันใด—ไม่ว่าจะเป็นเพียงตะปูตัวหนึ่ง หรือไม้กระดานแผ่นหนึ่ง—และพวกเขาไปไกลถึงขั้นที่ไม่นำเรื่องไปฟ้องร้องขึ้นศาลไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทนทุกข์กับการสูญเสียหรือถูกกระทำในทางที่ผิด พวกเขาก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมบางอย่างจริงๆ อย่างปราศจากข้อกังขา เนื่องเพราะทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า การยอมรับหนทางที่แท้จริงย่อมทำให้ผู้คนรู้สึกดีเป็นพิเศษ และเนื่องเพราะบัดนี้พวกเขาก็ได้ลิ้มรสชาติพระคุณแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงมีความรู้สึกแรงกล้าเป็นพิเศษ และถึงขั้นที่ไม่มีอะไรเลยที่พวกเขาไม่สามารถละทิ้งหรือทนทุกข์ได้ กระนั้นก็ตาม หลังจากที่ได้เชื่อไปเป็นเวลาสาม ห้า สิบหรือสามสิบปีแล้ว ด้วยความที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย พวกเขาจึงจบลงตรงการไถลย้อนกลับไปสู่หนทางเก่า ความโอหังและความหยิ่งยโสของพวกเขายิ่งประกาศแจ้งออกมามากขึ้น พวกเขาเริ่มแข่งขันกันเพื่ออำนาจและผลกำไร พวกเขาละโมบในเงินทองของคริสตจักร พวกเขาทำสิ่งใดก็ตามที่รับใช้ผลประโยชน์ของตัวพวกเขาเอง พวกเขาใฝ่หาสถานะและความยินดีทั้งหลาย และพวกเขาได้กลายเป็นปรสิตในพระนิเวศของพระเจ้าไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว พวกที่รับใช้ในฐานะผู้นำนั้นส่วนใหญ่ถูกผู้คนทอดทิ้ง และข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์อะไรหรือ? การเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ในพฤติกรรมนั้นไม่มีความยั่งยืน หากไม่มีการปรับเปลี่ยนในอุปนิสัยชีวิตของผู้คนแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วไม่ช้าก็เร็ว ด้านเลวทราม ของพวกเขาก็จะแสดงตนออกมา เพราะแหล่งที่มาของการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของพวกเขานั้นคือความเร่าร้อน เมื่อควบคู่ไปกับพระราชกิจบางอย่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ณ เวลานั้นแล้ว มันง่ายที่สุดสำหรับพวกเขาที่จะกลายเป็นเร่าร้อน หรือไม่ก็แสดงความใจดีมีเมตตาออกมาชั่วเวลาหนึ่ง ในขณะที่พวกผู้ไม่เชื่อพูดกันว่า “การทำความประพฤติที่ดีงามหนึ่งอย่างนั้นง่าย สิ่งที่ยากก็คือ การทำความประพฤติที่ดีงามไปตลอดชีวิต” ผู้คนไร้ความสามารถในการทำความประพฤติที่ดีงามไปทั้งชีวิตของพวกเขา พฤติกรรมของคนเราถูกชี้นำโดยชีวิต ไม่ว่าชีวิตของคนเราคืออะไร พฤติกรรมของคนเราก็คือสิ่งนั้น และเฉพาะพฤติกรรมที่ถูกเปิดเผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเท่านั้นที่เป็นตัวแทนชีวิตตลอดจนธรรมชาติของคนเรา สิ่งทั้งหลายซึ่งจอมปลอมไม่สามารถอยู่ได้ยืนยาว เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด นั่นไม่ใช่การประดับประดามนุษย์ด้วยพฤติกรรมที่ดีงาม—จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อแปลงสภาพอุปนิสัยของผู้คน เพื่อที่จะทำให้พวกเขาเกิดใหม่ไปเป็นคนใหม่ ด้วยเหตุนี้ การพิพากษา การทดลอง และกระบวนการถลุงมนุษย์ของพระเจ้าจึงล้วนทำหน้าที่ในการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเขา เพื่อที่จะอาจจะสัมฤทธิ์การนบนอบเต็มที่และการอุทิศต่อพระเจ้า และมานมัสการพระองค์อย่างเป็นปกติ นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้า การมีพฤติกรรมดีมิได้มีความหมายเดียวกับการนบนอบต่อพระเจ้า นับประสาอะไรที่นั่นจะมีความหมายเท่ากับการเข้ากันได้กับพระคริสต์ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในพฤติกรรมนั้นมีพื้นฐานอยู่บนคำสอน และเกิดมาจากความรู้สึกเร่าร้อน การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมิได้มีพื้นฐานอยู่บนความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า หรืออยู่บนความจริง นับประสาอะไรที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นขึ้นอยู่กับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้ว่ามีหลายคราที่บางสิ่งที่ผู้คนทำนั้นได้รับการชี้นำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่นี่ก็มิใช่การแสดงออกของชีวิต นับประสาอะไรที่จะเป็นเรื่องเดียวกับการรู้จักพระเจ้า ไม่สำคัญว่า พฤติกรรมของบุคคลหนึ่งจะดีงามอย่างไร นั่นไม่ได้พิสูจน์ว่า พวกเขาได้นบนอบต่อพระเจ้า หรือพิสูจน์ว่า พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ การเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมทั้งหลายเป็นแต่เพียงภาพมายาชั่วครู่ชั่วยาม พวกมันเป็นแต่เพียงการสำแดงความกระตือรือร้น พวกมันไม่สามารถนับเป็นการแสดงออกของชีวิตได้

ตัดตอนมาจาก “ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนสามารถประพฤติดีได้ แต่นั่นไม่จำเป็นต้องหมายความว่า พวกเขาครองความจริง การมีศรัทธาแก่กล้าเพียงสามารถทำให้พวกเขายึดปฏิบัติตามคำสอนและติดตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายเท่านั้น พวกที่ปราศจากความจริงไม่มีหนทางในการแก้ปัญหาที่เป็นแก่นสาร และคำสอนก็ไม่สามารถเข้ามาประจำที่แทนความจริงได้ ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัยของพวกเขานั้นแตกต่างไป กล่าวคือ พวกเขาได้เข้าใจความจริงแล้ว พวกเขากำลังหยั่งรู้ประเด็นปัญหาทั้งหมด พวกเขารู้วิธีที่จะกระทำการโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า วิธีที่จะกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักธรรมความจริง และวิธีที่จะกระทำการเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และพวกเขาเข้าใจธรรมชาติของความเสื่อมทรามที่พวกเขาจัดแสดง เมื่อแนวคิดและมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเองได้รับการเปิดเผย พวกเขาสามารถหยั่งรู้และละทิ้งเนื้อหนังได้ นี่คือวิธีที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยได้รับการแสดงออก สิ่งหลักเกี่ยวกับผู้คนที่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแล้วก็คือว่า พวกเขาได้มาเข้าใจความจริงอย่างชัดเจนแล้ว และเมื่อดำเนินการสิ่งทั้งหลาย พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติด้วยความถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้นและพวกเขาไม่จัดแสดงความเสื่อมทรามบ่อยครั้งอย่างที่เป็นมา โดยทั่วไป บรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้แปลงสภาพไปแล้วนั้นดูเหมือนจะมีเหตุผลและหยั่งรู้เป็นพิเศษ และเนื่องจากการเข้าใจความจริงของพวกเขา พวกเขาไม่แสดงความชอบคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอหรือความโอหังมากอย่างแต่ก่อน พวกเขาสามารถมองทะลุและหยั่งรู้ความเสื่อมทรามมากมายที่ถูกเปิดเผยไปแล้ว ดังนั้นในตัวพวกเขาจึงไม่เกิดความโอหัง พวกเขาสามารถมีการจับความเข้าใจที่ผ่านการประเมินรอบคอบแล้วเกี่ยวกับสิ่งซึ่งเป็นที่ทางของมนุษย์ เกี่ยวกับวิธีประพฤติตนอย่างสมเหตุสมผล เกี่ยวกับวิธีรับผิดชอบต่อหน้าที่ เกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะไม่พูด และเกี่ยวกับสิ่งที่จะพูดและสิ่งที่จะทำกับผู้คนแบบใด นี่คือเหตุผลที่กล่าวกันว่าผู้คนเช่นนี้ค่อนข้างมีเหตุผล บรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขานั้นใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนของมนุษย์อย่างแท้จริง และพวกเขาครองความจริง พวกเขาสามารถพูดและมองเห็นสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความจริงอยู่เสมอ และพวกเขามีหลักธรรมในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาไม่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของบุคคล เรื่อง หรือสิ่งของ และพวกเขาทั้งหมดมีทัศนะของพวกเขาเองและสามารถค้ำจุนความจริงหลักธรรมได้ อุปนิสัยของพวกเขาค่อนข้างมั่นคง พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมา และไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาก็เข้าใจวิธีทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมและวิธีที่จะประพฤติตนให้พระเจ้าพึงพอพระทัย อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยไม่มุ่งความสนใจไปที่สิ่งซึ่งจะทำเพื่อให้ตัวพวกเขาเองดูดีในระดับผิวเผิน—พวกเขาได้รับความชัดเจนภายในเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำเพื่อให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพราะฉะนั้น จากภายนอกแล้ว พวกเขาอาจไม่ดูเหมือนว่ามีใจกระตือรือร้นมากนักหรือได้ทำสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นมีความหมาย มีคุณค่า และให้ผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง บรรดาผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยนั้นครองความจริงมากมายอย่างแน่นอน—และการนี้สามารถยืนยันได้โดยมุมมองเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายของพวกเขาและการกระทำอันมีหลักธรรมของพวกเขา พวกที่ไม่ครองความจริงนั้นยังไม่ได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอันใดในอุปนิสัยอย่างแน่นอน การเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งในอุปนิสัยมิใช่หมายถึงการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์ช่ำชอง โดยหลักแล้ว มันอ้างอิงถึงในกรณีตัวอย่างที่พิษซาตานบางอย่างภายในธรรมชาติของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปโดยเป็นผลมาจากการบรรลุความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและความเข้าใจความจริง นั่นกล่าวได้ว่า พิษซาตานเหล่านั้นได้ถูกชำระให้สะอาดแล้ว และความจริงซึ่งพระเจ้าทรงแสดงออกมานั้นหยั่งรากภายในผู้คนเช่นนั้น กลายเป็นชีวิตของพวกเขา และกลายเป็นรากฐานแท้จริงแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงจะกลายเป็นผู้คนใหม่ และเช่นนั้นเอง จึงได้รับประสบการณ์กับการแปลงสภาพของอุปนิสัย การแปลงสภาพอย่างหนึ่งในอุปนิสัยมิใช่หมายความว่า อุปนิสัยภายนอกทั้งหลายของผู้คนนั้นสุภาพอ่อนโยนขึ้นกว่าก่อนหน้านี้ มิใช่หมายความว่าพวกเขาเคยโอหัง แต่มาบัดนี้สามารถสัมพันธ์สนิทได้อย่างมีเหตุมีผล หรือว่าพวกเขาเคยไม่ฟังใครเลย แต่มาบัดนี้สามารถรับฟังผู้อื่นได้ การเปลี่ยนแปลงภายนอกเช่นนั้นไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นการแปลงสภาพในอุปนิสัย ก็แน่อยู่ว่า การแปลงสภาพทั้งหลายในอุปนิสัยนั้นย่อมรวมไปถึงสภาวะและการแสดงออกทั้งหลายดังกล่าว แต่ส่วนผสมผสานที่สำคัญยิ่งยวดก็คือ การที่ชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วภายใน ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกมานั้นกลายมาเป็นชีวิตแท้จริงของพวกเขา พิษซาตานทั้งหลายภายในได้ถูกกำจัดทิ้งไป และมุมมองทั้งหลายของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างครบบริบูรณ์ และไม่มีมุมมองใดเลยที่อยู่ในแนวเดียวกับมุมมองของทางโลก ผู้คนเหล่านี้สามารถมองเห็นกลอุบายและสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดงอย่างชัดเจนว่าสิ่งเหล่านั้นคืออะไร พวกเขาได้จับความเข้าใจแก่นสารแท้จริงของชีวิตแล้ว ด้วยเหตุนั้น ค่านิยมแห่งชีวิตของพวกเขาจึงได้เปลี่ยนแปลงไป—และนี่คือการแปลงสภาพชนิดที่เป็นรากฐานที่สุดและเป็นแก่นแท้แห่งการเปลี่ยนแปลงหนึ่งในอุปนิสัย

ตัดตอนมาจาก “ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย นั่นไม่ได้หมายถึงแค่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมไม่กี่อย่าง การได้รับความรู้เกี่ยวกับความจริงบ้าง การมีความสามารถที่จะพูดคุยเล็กน้อยเกี่ยวกับประสบการณ์ของคนเรากับทุกแง่มุมของความจริง หรือการเปลี่ยนแปลงบ้าง หรือกลายมาเป็นเชื่อฟังเล็กน้อยหลังจากได้รับการบ่มวินัย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ประกอบกันขึ้นเป็นการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยชีวิตของคนเรา เหตุใดเราจึงกล่าวการนี้? แม้ว่าเจ้าอาจมีความสามารถที่จะละวางสิ่งต่างๆ ไม่กี่สิ่งไว้ก่อนได้ แต่สิ่งที่เจ้ากำลังปฏิบัติก็ยังไม่ได้ไปถึงระดับของการนำความจริงไปปฏิบัติอย่างแท้จริงเลย หรือบางทีเนื่องเพราะเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอยู่พักหนึ่ง และสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย หรือรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันของเจ้าได้บังคับเจ้า เจ้าจึงได้ประพฤติตนในหนทางนี้ นอกจากนี้ เมื่อสภาวะจิตใจของเจ้ามั่นคงและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจ เจ้าก็มีความสามารถที่จะปฏิบัติได้ หากเจ้าได้ก้าวผ่านการทดสอบและทนทุกข์โดยผ่านทางการทดสอบเหล่านั้นเช่นเดียวกับที่โยบได้ก้าวผ่าน หรือดังเช่นเปโตรผู้ที่พระเจ้าทรงขอให้เขาตาย เจ้าจะมีความสามารถที่จะกล่าวว่า “ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากที่ได้ทำความรู้จักพระองค์แล้ว นั่นก็จะไม่เป็นอะไรเลย” ได้หรือไม่? การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถนำความจริงนั้นไปปฏิบัติภายในทุกสภาพแวดล้อมได้ นี่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของมนุษย์ บางครั้งมันอาจดูราวกับว่าเจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติของการกระทำของเจ้าไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังทำเช่นนั้นอยู่ ผู้คนมากมายมีหนทางใดหนทางหนึ่งในประพฤติกรรมภายนอกทั้งหลาย อาทิเช่น การมีความสามารถที่จะตัดครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาทิ้งและทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงระลึกได้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง หากทุกสิ่งที่เจ้าทำมีสิ่งจูงใจส่วนตัวอยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นและถูกปลอมปน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง เจ้าเพียงกำลังจัดแสดงการประพฤติอย่างฉาบฉวย พูดอย่างตรงๆ ได้ว่าการประพฤติของเจ้าคงจะถูกกล่าวโทษโดยพระเจ้า มันจะไม่ได้รับการสรรเสริญหรือจดจำโดยพระองค์ เมื่อทำการชำแหละเรื่องนี้เพิ่มเติม เจ้าก็กำลังทำชั่วและการประพฤติของเจ้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามพระเจ้า จากภายนอก เจ้าไม่ได้กำลังขัดจังหวะหรือรบกวนสิ่งใดและเจ้าก็ยังไม่ได้ทำความเสียหายแท้จริงหรือล่วงละเมิดความจริงใดๆ มันดูเหมือนจะมีเหตุผลและสมเหตุสมผล ถึงกระนั้นแก่นแท้ของการกระทำของเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำชั่วและการต้านทานพระเจ้า ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากพระวจนะของพระเจ้า เจ้าควรที่จะกำหนดว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าแล้วหรือยังและเจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่โดยการมองดูที่สิ่งจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเจ้า มันไม่ได้ขึ้นกับทรรศนะของมนุษย์ว่าการกระทำของเจ้าคล้อยตามจินตนาการแบบมนุษย์และเจตนาของมนุษย์หรือไม่ หรือว่าการกระทำเหล่านั้นเหมาะสมกับรสนิยมของเจ้าหรือไม่ สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นไม่สำคัญเลย ตรงกันข้าม มันขึ้นอยู่กับการตรัสของพระเจ้าว่าเจ้ากำลังคล้อยตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ ว่าการกระทำของเจ้าครองความจริงความเป็นจริงหรือไม่ และว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นไปตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระองค์หรือไม่ การประเมินวัดตัวเจ้าเองกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำ การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยและการนำความจริงมาปฏิบัติไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายและง่ายดายอย่างที่ผู้คนจินตนาการ เจ้าเข้าใจถึงการนี้ในตอนนี้หรือไม่? เจ้ามีประสบการณ์ใดๆ กับการนี้หรือไม่? เมื่อพูดถึงแก่นแท้ของปัญหา พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจมัน การเข้าสู่ของพวกเจ้าได้เป็นไปโดยผิวเผินอย่างเกินควร พวกเจ้าวิ่งวุ่นดำเนินงานทั้งวัน จากรุ่งอรุณจนถึงพลบค่ำ ตื่นแต่เช้าตรู่และเข้านอนดึก ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า และเจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าการเปลี่ยนสภาพเช่นนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใด นี่หมายถึงการเข้าสู่ของเจ้านั้นตื้นเขินเกินไป ใช่หรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจะได้เชื่อพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเจ้าอาจไม่สำนึกรับรู้ถึงแก่นแท้และสิ่งทั้งหลายที่ลึกซึ้งที่เกี่ยวข้องกับการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัย สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงสรรเสริญเจ้าหรือไม่? อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะรู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษหรือเป็นธรรมดาเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และเจ้าจะรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทรงพระราชกิจในตัวเจ้า ขณะที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ขณะที่เจ้ากำลังทำงานใดๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า การประพฤติของเจ้าจะเข้ากันได้อย่างกลมเกลียวกับพระวจนะของพระเจ้า และทันทีที่เจ้าได้รับประสบการณ์ในระดับใดระดับหนึ่งแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าวิธีที่เจ้ากระทำการในอดีตนั้นค่อนข้างจะเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากหลังจากที่ได้รับประสบการณ์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เจ้ารู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายบางอย่างที่เจ้าได้ทำในอดีตไม่เหมาะสม และเจ้าไม่พึงพอใจกับสิ่งเหล่านั้น และรู้สึกว่าโดยแท้จริงแล้วไม่มีความจริงในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้ทำเลย เช่นนั้นแล้วนี่พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำนั้นได้ถูกกระทำไปในการต้านทานพระเจ้า เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการปรนนิบัติของเจ้าเต็มไปด้วยการเป็นกบฏ การต้านทานและหนทางแห่งการกระทำของมนุษย์

ตัดตอนมาจาก “สิ่งใดที่ควรรู้เกี่ยวกับการแปลงสภาพอุปนิสัยของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ตอนนี้การเข้าสู่ชีวิตของพวกเจ้าอยู่ที่ช่วงระยะใดกัน? เจ้าได้มารู้แล้วว่ามุมมองของเจ้านั้นผิด แต่เจ้ายังคงสามารถพึ่งพามุมมองของเจ้าในการดำรงชีวิต และเจ้าใช้มุมมองนั้นเพื่อประเมินวัดพระราชกิจของพระเจ้าและเพื่อทำการตัดสินและพิจารณาทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ อธิปไตยของพระองค์ และรูปการณ์แวดล้อมที่พระองค์ทรงวางเข้าที่ให้กับเจ้า และเจ้าสามารถปฏิบัติต่ออธิปไตยของพระเจ้าด้วยวิถีทางแห่งมุมมองของเจ้าและวิธีการทั้งหลายของเจ้า นี่คือการปฏิบัติความจริงหรือ? ผลลัพธ์นี้คือผลลัพธ์ซึ่งสัมฤทธิ์หลังจากอุปนิสัยของคนเราถูกทำให้เปลี่ยนแปลงกระนั้นหรือ? ไม่ ไม่ใช่ ตอนนี้เจ้าเพียงแค่ยอมรับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นดีงามและถูกต้อง และหากจะดูที่พฤติกรรมภายนอกของเจ้า เจ้าไม่ทำสิ่งทั้งหลายซึ่งขัดกับความจริง นับประสาอะไรที่เจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายซึ่งทำการตัดสินพระวจนะของพระเจ้า เจ้ายังมีความสามารถที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการงานของพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน บุคคลเช่นนั้นได้ไปจากการเป็นผู้ไม่เชื่อเพื่อเป็นผู้ติดตามของพระเจ้าที่มีความประพฤติที่ถูกทำนองคลองธรรมของวิสุทธิชน เจ้าไปจากใครคนหนึ่งผู้ซึ่งดำรงชีวิตอย่างเด็ดเดี่ยวไปโดยปรัชญาในการดำรงชีวิตของซาตาน และโดยมโนทัศน์ หลักการ และความรู้ของซาตาน เพื่อเป็นใครคนหนึ่งผู้ซึ่งเมื่อได้ยินพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็รู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นดีงาม ถูกต้อง และเป็นความจริง ผู้ซึ่งต้องการที่จะดำรงชีวิตไปตามพระวจนะของพระเจ้า และผู้ซึ่งยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและรับเอาพระวจนะเหล่านั้นเป็นชีวิตของพวกเขา เป็นกระบวนการจำพวกนั้นนั่นเอง—ไม่มีอะไรอื่นนอกเหนือจากนั้น ในระหว่างช่วงเวลานี้ พฤติกรรมและหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายของเจ้า จะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงบางอย่างอย่างแน่นอน และจะแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิงอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ไม่สำคัญว่าพฤติกรรมและหนทางในการทำสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นจะแตกต่างไปในหนทางใด อีกทั้งมีสิ่งทั้งหลายมากมายเพียงใดที่แตกต่าง สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่สำแดงในตัวเจ้าไม่ใช่อะไรมากไปกว่าการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมและวิธีการของเจ้า การเปลี่ยนแปลงในความอยากได้อยากมีส่วนที่อยู่ภายในที่สุดของเจ้า และการเปลี่ยนแปลงในความทะเยอทะยานของเจ้า—ไม่ใช่อะไรมากไปว่าการนี้เลย ด้วยความพยายาม ตอนนี้เจ้าอาจมีความสามารถที่จะมอบชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้าได้ แต่เจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังสัมบูรณ์ต่อพระเจ้าในเรื่องที่เจ้าพบว่าเป็นที่น่ารังเกียจโดยเฉพาะได้ นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย บางทีหัวใจอันใจดีของเจ้าอาจจะทำให้เจ้าสามารถประพฤติตนในหนทางที่เป็นไปเพื่อวางชีวิตของเจ้าลงเพื่อพระเจ้าทันที โดยพูดว่า “ข้าพระองค์พร้อมและเต็มใจที่จะละวางโลหิตของชีวิตของข้าพระองค์เพื่อพระเจ้า ในชีวิตนี้ ข้าพระองค์ไม่มีความเสียใจและไม่มีข้อร้องทุกข์! ข้าพระองค์ได้ละวางในเรื่องของการแต่งงาน ในเรื่องของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ทางโลก ในเรื่องของศักดิ์ศรีและความมั่งคั่งทั้งหมด และข้าพระองค์ยอมรับรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงแผ่ออกมาให้เห็น ข้าพระองค์สามารถทานทนและรับเอาการเยาะเย้ยถากถางและการใส่ร้ายป้ายสีทั้งหมดของโลก” กระนั้นทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องทำคือ แผ่รูปการณ์แวดล้อมซึ่งไม่เหมาะสมกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าออกมาให้เห็น แล้วจากนั้นเจ้าก็ตะโกนใส่พระองค์และต้านทานพระองค์ นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย ยังเป็นไปได้อีกเช่นกันที่เจ้าสามารถแผ่ชีวิตของเจ้าออกมาให้เห็นเพื่อพระเจ้า และละวางผู้คนและสิ่งทั้งหลายซึ่งเจ้ารักมากที่สุด หรือสิ่งซึ่งหัวใจของเจ้าสามารถทนที่จะแยกจากกันได้น้อยที่สุด—แต่เมื่อเจ้าถูกเรียกให้พูดคำพูดที่ซื่อสัตย์กับพระเจ้าและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เจ้าก็พบว่าเป็นการค่อนข้างลำบากยากเย็นและไม่สามารถทำการนั้นได้ นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย จากนั้นก็เป็นอีกครั้งที่บางทีเจ้าไม่กระหายการปลอบประโลมฝ่ายเนื้อหนังในชีวิตนี้ ทั้งไม่กินอาหารดีๆ และไม่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี โดยแต่ละวันนั้นทำงานจนตัวเจ้าเองมอมแมมสกปรกและจนเหนื่อยล้า เจ้าสามารถทานทนความเจ็บปวดทุกลักษณะซึ่งเนื้อหนังนำพามาสู่เจ้า แต่ถ้าหากการจัดการเตรียมการของพระเจ้าไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจได้ และ ความคับข้องใจต่อพระเจ้า และความเข้าใจผิดทั้งหลายเกี่ยวกับพระองค์ก็เกิดขึ้นในตัวเจ้า และ ณ เวลาเช่นนั้น สัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าก็จะถูกเหนี่ยวรั้งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเจ้าปรารถนาที่จะหลบเลี่ยงและทรยศพระองค์ และไร้ความสามารถที่จะนบนอบอย่างครบบริบูรณ์ นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย เจ้าสามารถละวางชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้าได้ ดังนั้น เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถพูดคำพูดที่ซื่อสัตย์กับพระองค์ได้? เจ้าสามารถวางทุกสิ่งทุกอย่างภายนอกตัวเจ้าเองไว้ก่อนได้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่สามารถจงรักภักดีโดยเฉพาะต่อพระบัญชาและกิจซึ่งพระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าได้? เจ้าสามารถละวางชีวิตของเจ้าเพื่อพระเจ้าได้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่า เมื่อเจ้าเปิดเผยความรู้สึกทั้งหลายและค้ำจุนสัมพันธภาพของเจ้ากับผู้อื่น เจ้าจึงไม่สามารถยึดมั่นในจุดยืนที่จะค้ำจุนพระราชกิจของพระเจ้าและผลประโยชน์ของพระองค์ได้? เจ้าได้ทำปฏิญญาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าที่จะสละตัวเจ้าเองเพื่อพระองค์ตลอดชั่วชีวิตของเจ้า และที่จะยอมรับความทุกข์ใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับเจ้าได้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดเล่าหนึ่งเหตุการณ์ของการถูกปลดจากหน้าที่ของเจ้าจึงทำให้เจ้าจมลงสู่ความคิดลบ มากเสียจนเจ้าไม่สามารถคลานออกมาได้เป็นเวลาหลายวัน? หัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยการต้านทานต่อพระเจ้าและความคับข้องใจและความเข้าใจผิด—ทั้งหมดนั้นเป็นด้านลบ กำลังเกิดอะไรขึ้น? นี่คือความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย

ตัดตอนมาจาก “โดยการแก้ไขมโนคติที่หลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงสามารถเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการที่เชื่อในพระเจ้า (3)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

สิ่งใดหรือคือมูลฐานที่ผู้คนใช้ดำรงชีวิต? ผู้คนล้วนดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม—นี่คือผลสรุปรวบยอดของธรรมชาติแบบมนุษย์ ผู้คนเชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง พวกเขาทอดทิ้งสิ่งทั้งหลาย สละตัวเองเพื่อพระองค์ และสัตย์ซื่อต่อพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังคงทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเพื่อประโยชน์ของพวกเขาเอง โดยสรุป ทุกอย่างล้วนทำไปเพื่อจุดประสงค์ของการได้รับพระพรให้ตัวเอง ในสังคม ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว การเชื่อในพระเจ้าก็ทำไปเพื่อที่จะได้รับพระพรแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อประโยชน์แห่งการได้รับพระพรนี่เอง ผู้คนจึงละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและสามารถทานทนต่อความทุกข์มากมายได้ กล่าวคือ ทั้งหมดนี้คือหลักฐานเชิงประจักษ์ถึงธรรมชาติอันเสื่อมทรามของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม บรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยแล้วนั้นแตกต่างออกไป พวกเขาเชื่อว่า วิธีดำรงชีวิตอย่างเปี่ยมความหมาย วิธีลุล่วงหน้าที่ของบุคคลหนึ่งเพื่อที่จะมีค่าคู่ควรแก่การถูกเรียกว่ามนุษย์ วิธีนมัสการพระเจ้า และวิธีนบนอบและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย—ทั้งหมดนี้—เป็นรากฐานของสิ่งที่หมายถึงการเป็นมนุษย์ และเป็นภาระผูกพันที่ถูกลิขิตโดยฟ้าและถูกยอมรับรู้โดยแผ่นดินโลก หาไม่แล้ว พวกเขาก็คงจะไม่มีค่าคู่ควรแก่การถูกเรียกว่ามนุษย์ ชีวิตของพวกเขาก็คงจะว่างเปล่าและไร้ความหมาย พวกเขารู้สึกว่าผู้คนควรดำรงชีวิตอยู่เพื่อที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดี และเพื่อที่จะดำรงชีวิตด้วยชีวิตที่มีความหมาย เพื่อที่แม้แต่ยามที่เป็นเวลาตายของพวกเขา พวกเขาก็จะรู้สึกพอใจและไม่มีความเสียใจเลยแม้แต่น้อยนิด และรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า ในการเปรียบเทียบสองสถานการณ์เหล่านี้ที่แตกต่างกัน คนเราสามารถมองเห็นบุคคลหนึ่งซึ่งอุปนิสัยของเขาได้แปลงสภาพไปแล้ว และเพราะความที่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเขาได้แปลงสภาพไปแล้ว แน่นอนว่า ทรรศนะของเขาที่มีต่อชีวิตก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วด้วยเช่นกัน บัดนี้ด้วยการที่มีคุณค่าแตกต่างไป เขาจะไม่มีวันดำรงชีวิตอยู่เพื่อตัวเองอีกแล้ว และเขาก็จะไม่มีวันเชื่อในพระเจ้าเพื่อจุดประสงค์แห่งการได้รับพระพรอีกแล้ว บุคคลเช่นนั้นจะมีความสามารถที่จะกล่าวว่า “หากฉันตายหลังจากการที่ได้รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความตายคือสิ่งใดเล่าสำหรับฉัน? หากฉันสามารถรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมจะมีความสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยชีวิตที่เปี่ยมความหมาย และเช่นนั้นแล้ว ฉันย่อมจะไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า และฉันก็จะไม่ตายไปด้วยความเสียใจอันใด ฉันจะไม่มีคำพร่ำบ่นร้องทุกข์เลย” นี่มิใช่ทรรศนะต่อชีวิตซึ่งได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วหรอกหรือ? เพราะฉะนั้น สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของคนเราก็คือ การครองความจริงอยู่ภายในและการมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น ทรรศนะต่อชีวิตของคนเราจึงได้รับการเปลี่ยนแปลง และคุณค่าของคนเราจึงแตกต่างไปจากเมื่อก่อน การแปลงสภาพนั้นเริ่มต้นจากภายใน และจากชีวิตของคนเรา นั่นไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแค่เพียงภายนอกอย่างแน่นอน ผู้เชื่อใหม่บางคนทิ้งโลกฆราวาสไว้ข้างหลังหลังจากพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระเจ้า เมื่อพวกเขาเผชิญผู้ไม่เชื่อในเวลาต่อมา ผู้เชื่อเหล่านี้ก็มีสิ่งที่จะพูดน้อยนิด และพวกเขาไม่ค่อยติดต่อกับญาติและเพื่อนที่ไม่เชื่อของพวกเขา พวกผู้ไม่เชื่อพูดว่า “บุคคลนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว” แล้วผู้เชื่อก็คิดว่า “อุปนิสัยของฉันได้แปลงสภาพไปแล้วจริงๆ พวกผู้ไม่เชื่อเหล่านี้กำลังพูดว่าฉันได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว” โดยข้อเท็จจริงแล้ว อุปนิสัยของบุคคลเช่นนี้ได้แปลงสภาพไปแล้วจริงๆ หรือ? สิ่งที่เขาสำแดงเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงภายนอก ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงในชีวิตของเขา และธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเขายังคงฝังรากอยู่ภายในตัวเขา โดยไม่ถูกแตะต้องอย่างสิ้นเชิง บางครั้ง ผู้คนถูกความร้อนรนยึดไว้เพราะพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเปลี่ยนแปลงภายนอกบางอย่างอาจเกิดขึ้น และพวกเขาอาจทำความดีไม่กี่อย่าง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่เหมือนกับการสัมฤทธิ์การแปลงสภาพอุปนิสัย หากเจ้าไม่ครองความจริงและทรรศนะของเจ้าที่มีต่อสรรพสิ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แม้กระทั่งถึงจุดที่ไม่แตกต่างจากทรรศนะของผู้ไม่เชื่อ และหากคุณค่าและทรรศนะต่อชีวิตของเจ้าไม่ได้ปรับเปลี่ยนไปด้วย และหากเจ้าไม่มีแม้แต่ความเคารพต่อพระเจ้า—ซึ่งเป็นสิ่งน้อยที่สุดที่เจ้าควรครอง—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใกล้เคียงกับการได้สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเลย

ตัดตอนมาจาก “ความแตกต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงภายนอกกับการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เมื่อผู้คนรับประสบการณ์จนถึงวันที่ทัศนะที่มีต่อชีวิตของพวกเขาและความหมายกับพื้นฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยสิ้นเชิง เมื่อพวกเขาได้รับการปรับเปลี่ยนจนถึงกระดูกดำของพวกเขาแล้ว และได้กลายเป็นใครอีกคนหนึ่งแล้ว นี่ไม่น่าเหลือเชื่อหรอกหรือ? นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ การเปลี่ยนแปลงแบบทลายโลก มีเพียงเมื่อเจ้ากลายเป็นไม่สนใจในชื่อเสียงและโชควาสนา สถานภาพ เงินทอง ความยินดี พลังอำนาจและความรุ่งโรจน์ของโลกนี้ และสามารถปล่อยพวกมันไปได้อย่างง่ายดายเท่านั้น เจ้าจึงจะมีสภาพเหมือนของมนุษย์คนหนึ่ง บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ในท้ายที่สุดท้ายก็คือกลุ่มที่เป็นดังนี้นี่เอง พวกเขามีชีวิตอยู่เพื่อความจริง มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า และมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งที่ยุติธรรม นี่คือสภาพเหมือนของมนุษย์จริงแท้

ตัดตอนมาจาก “คนเราต้องเข้าใจว่ามีความคล้ายคลึงและความแตกต่างอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของผู้คน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

หากใครคนหนึ่งสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง มีหลักการในคำพูดและการกระทำของตน และสามารถเข้าสู่แง่มุมทั้งหมดของความจริงความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วใครคนนั้นก็คือบุคคลหนึ่งที่กลายเป็นได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าได้มีประสิทธิผลอย่างครบบริบูรณ์สำหรับผู้คนเช่นนั้น ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาได้มาซึ่งความจริง และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า หลังจากนี้ ธรรมชาติของเนื้อหนังของพวกเขา—กล่าวคือ รากฐานที่แท้จริงของการดำรงอยู่ดั้งเดิมของพวกเขา—จะสั่นสะเทือนจนแยกจากกันและพังทลาย หลังจากที่ผู้คนครอบครองพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาจะกลายเป็นผู้คนใหม่ หากพระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นชีวิตของพวกเขา หากนิมิตของพระราชกิจของพระเจ้า ข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อมนุษยชาติ วิวรณ์ของพระองค์ต่อพวกมนุษย์ และมาตรฐานสำหรับชีวิตที่แท้จริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาไปถึง กลายเป็นชีวิตของพวกเขา หากพวกเขาใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะและความจริงเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นเกิดใหม่ และได้กลายเป็นผู้คนใหม่โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า นี่คือเส้นทางซึ่งเปโตรใช้ไล่ตามเสาะหาความจริง นั่นคือเส้นทางแห่งการได้รับการทำให้เพียบพร้อม ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระวจนะของพระเจ้า และการได้รับชีวิตจากพระวจนะของพระเจ้า ความจริงที่แสดงออกโดยพระเจ้าได้กลายเป็นชีวิตของเขา และเมื่อนั้นเท่านั้นเขาจึงได้กลายเป็นบุคคลที่ได้มาซึ่งความจริง

ตัดตอนมาจาก “วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger