การที่เข้าใจความรู้ตามหลักการพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยาหรือไม่นั้นหมายถึงการเข้าใจความจริงและการรู้จักพระเจ้า

วันที่ 07 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ผู้คนจำนวนมากยึดมั่นในพระวจนะของพระเจ้าเพื่ออ่านวันต่อวัน จนกระทั่งถึงจุดที่หมายมั่นอย่างพิถีพิถันที่จะจดจำบทตอนอันเป็นอมตะทั้งหมดที่มีในนั้นว่าเป็นทรัพย์สมบัติอันมีค่ามากที่สุดของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้นยังประกาศพระวจนะของพระเจ้าทุกหนแห่ง จัดเตรียมและช่วยเหลือผู้อื่นด้วยพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้คือการเป็นพยานต่อพระเจ้า คือการเป็นพยานต่อพระวจนะของพระองค์ คิดว่าการทำเช่นนี้คือการเจริญรอยตามทางแห่งพระเจ้า พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนี้คือการดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า ว่าการทำเช่นนี้คือการนำพระวจนะของพระองค์ไปสู่ชีวิตจริงของพวกเขา ว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสามารถได้รับการชมเชยจากพระเจ้า และได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม แต่แม้ในขณะที่พวกเขาประกาศพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่เคยปฏิบัติสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าเลยในทางปฏิบัติ หรือพยายามที่จะนำพาตัวพวกเขาเองไปในแนวเดียวกับสิ่งที่ถูกเผยในพระวจนะของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อได้รับการรักใคร่บูชาและความเชื่อใจจากผู้อื่นโดยเล่ห์เพทุบาย เพื่อเข้าสู่การบริหารจัดการด้วยตัวพวกเขาเอง และเพื่อยักยอกและขโมยพระสิริแห่งพระเจ้า พวกเขาหวังอย่างลมๆ แล้งๆ ว่าจะฉกฉวยโอกาสที่ได้จากการเผยแผ่พระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะให้ได้รางวัลเป็นการทำงานของพระเจ้าและการชมเชยจากพระองค์ กี่ปีแล้วที่ได้ผ่านไป แต่ไม่เพียงแต่ผู้คนเหล่านี้จะไม่สามารถได้รับการชมเชยจากพระเจ้าในขณะที่กำลังทำการประกาศพระวจนะของพระเจ้า และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถค้นพบหนทางซึ่งพวกเขาควรติดตามในขณะที่กำลังทำการเป็นพยานต่อพระวจนะของพระเจ้า และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่ได้ช่วยเหลือหรือจัดเตรียมให้กับตัวพวกเขาเองในขณะที่กำลังทำการช่วยเหลือและจัดเตรียมพระวจนะของพระเจ้าให้กับผู้อื่น และไม่เพียงแต่พวกเขาจะไม่สามารถทำความรู้จักพระเจ้า หรือปลุกความเคารพอันจริงแท้ในตัวพวกเขาที่มีให้กับพระเจ้า ในขณะที่กำลังทำการในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด แต่ในทางกลับกัน ความเข้าใจผิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายิ่งดิ่งลึกลงทุกที ความไม่เชื่อใจของพวกเขาในพระองค์ยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที และการจินตนาการทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระองค์ยิ่งเกินความจริงขึ้นทุกที เมื่อได้รับการจัดหาและได้รับการนำโดยทฤษฎีทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาดูราวกับว่าครบบริบูรณ์ในองค์ประกอบของพวกเขา ราวกับเป็นการใช้ทักษะทั้งหลายของพวกเขาด้วยความง่ายดายโดยไม่ต้องพยายาม ราวกับว่าพวกเขาได้ค้นพบจุดประสงค์ในชีวิตของพวกเขา ภารกิจของพวกเขาแล้ว และราวกับว่าพวกเขาได้รับชีวิตใหม่และได้รับการช่วยให้รอดแล้ว ราวกับว่า ด้วยพระวจนะของพระเจ้าที่กลิ้งผ่านลิ้นของพวกเขาอย่างแข็งทื่อรีบร้อนในระหว่างท่องขานนั้น พวกเขาได้รับความจริงแล้ว จับความเข้าใจในเจตนารมณ์ของพระเจ้าแล้ว และได้ค้นพบเส้นทางสู่การทำความรู้จักพระเจ้าแล้ว ราวกับว่า ในขณะที่กำลังทำการประกาศพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้มาเผชิญหน้ากับพระเจ้าบ่อยครั้ง บ่อยครั้งอีกเช่นกันที่พวกเขา “ซาบซึ้ง” จนร่ำไห้หลายครั้งหลายคราว และบ่อยครั้งที่ได้รับการทรงนำโดย “พระเจ้า” ในพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาดูเหมือนว่าได้เข้าใจถึงความกังวลห่วงใยอันจริงจังและเจตนารมณ์อันใจดีมีเมตตาของพระองค์อย่างไม่หยุดหย่อน และในขณะเดียวกัน ได้จับความเข้าใจในความรอดของมนุษย์จากพระเจ้าและการบริหารจัดการของพระองค์ ได้มารู้จักแก่นแท้ของพระองค์ และได้จับความเข้าใจในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ จากพื้นฐานของความคิดนี้ พวกเขาดูเหมือนว่าได้เชื่ออย่างหนักแน่นยิ่งขึ้นไปอีกในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ได้รับรู้มากขึ้นถึงสภาวะที่ได้รับการยกย่องของพระองค์ และได้รู้สึกถึงความโอ่อ่าตระการตาและความเหนือธรรมชาติของพระองค์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น เมื่อปักจมอยู่ในความรู้อันผิวเผินในพระวจนะของพระเจ้า มันคงจะดูเหมือนว่าความเชื่อของพวกเขาได้เติบโตขึ้น การตัดสินใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้ทนความทุกข์ได้มีความแข็งแกร่งขึ้น และความรู้ของพวกเขาในพระเจ้าได้ลึกซึ้งขึ้น พวกเขาหารู้ไม่ว่า จนกว่าพวกเขาได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง ความรู้ทั้งหมดของพวกเขาในพระเจ้าและแนวคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพระองค์นั้นมาจากการจินตนาการทั้งหลายอันเต็มไปด้วยปรารถนาและการอนุมานของพวกเขาเอง ความเชื่อของพวกเขาคงจะอยู่ได้ไม่นานภายใต้การทดสอบรูปแบบใดก็ตามจากพระเจ้า สิ่งที่เรียกว่าความเป็นจิตวิญญาณและวุฒิภาวะของพวกเขาแค่คงจะอยู่ได้ไม่นานภายใต้การทดสอบหรือการตรวจสอบของพระเจ้า ปณิธานของพวกเขาเป็นแต่เพียงปราสาทหลังหนึ่งซึ่งถูกสร้างขึ้นบนทราย และสิ่งที่เรียกว่าความรู้ในพระเจ้าก็ไม่ใช่อะไรมากไปกว่าเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นเรื่องหนึ่งของจินตนาการของพวกเขา ในข้อเท็จจริงนั้น ก็อย่างที่เป็นอยู่ ผู้คนเหล่านี้ ผู้ซึ่งได้ใช้ความพยายามมากมายไปในพระวจนะของพระเจ้า ไม่เคยได้ตระหนักเลยว่าอะไรคือความเชื่อที่แท้จริง อะไรคือการเชื่อฟังที่แท้จริง อะไรคือการเอาใจใส่ที่แท้จริง หรืออะไรคือความรู้ที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขายึดถือทฤษฎี จินตนาการ ความรู้ พรสวรรค์ ประเพณี ความเชื่อเหนือธรรมชาติ และกระทั่งค่านิยมด้านศีลธรรมแห่งความเป็นมนุษย์ และทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็น “ต้นทุน” และ “อาวุธยุทโธปกรณ์” สำหรับการเชื่อในพระเจ้าและการติดตามพระองค์ กระทั่งทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นรากฐานของความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าและการติดตามพระองค์ของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน พวกเขายังใช้ต้นทุนและอาวุธยุทโธปกรณ์นี้และทำให้สิ่งเหล่านี้มาเป็นเครื่องรางของขลังวิเศษซึ่งพวกเขาใช้ในการทำความรู้จักพระเจ้า สำหรับการเผชิญหน้าและการจัดการกับการตรวจสอบทั้งหลาย การทดสอบทั้งหลาย การตีสอน และการพิพากษาของพระเจ้า ในท้ายที่สุด สิ่งที่พวกเขาเก็บรวบรวมยังคงไม่ได้ประกอบไปด้วยอะไรมากไปกว่าข้อสรุปทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งปักจมอยู่ในความหมายแฝงทั้งหลายในทางศาสนา ในความเชื่อเหนือธรรมชาติในระบบศักดินา และในทุกสิ่งซึ่งมีลักษณะเพ้อฝันประโลมใจ พิลึกพิสดาร และพิศวงลี้ลับ แนวทางของพวกเขาในการรู้จักและนิยามพระเจ้าถูกประทับตราในแม่พิมพ์เดียวกันกับแม่พิมพ์ของผู้คนซึ่งเชื่อในฟ้าสวรรค์เบื้องบน หรือชายชราบนท้องฟ้าเพียงเท่านั้น ในขณะที่สภาวะความเป็นจริงของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งทรงครองและสิ่งทรงเป็นของพระองค์ เป็นต้น—ทั้งหมดซึ่งสัมพันธ์กับพระเจ้าพระองค์จริงเอง—คือสิ่งทั้งหลายซึ่งความรู้ของพวกเขาได้ล้มเหลวที่จะจับความเข้าใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่ความรู้ของพวกเขาได้แยกทางไปโดยสมบูรณ์ และแยกห่างกันมากถึงขนาดขั้วโลกเหนือกับขั้วโลกใต้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, คำนำ

สิ่งใดคือการสำแดงที่สำคัญที่สุดของความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสี? พวกเขาเพียงได้ตั้งใจอ่านข้อพระคัมภีร์เท่านั้น และไม่ได้แสวงหาความจริง เมื่อพวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้อธิษฐานหรือแสวงหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับได้ศึกษาพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้ศึกษาสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ และจึงได้แปรสภาพพระวจนะของพระองค์ไปเป็นทฤษฎีประเภทหนึ่ง ไปเป็นหลักคำสอนที่พวกเขาได้สอนให้ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่การตั้งใจอ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็น ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงได้ทำการนั้น? สิ่งใดคือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจอ่าน? ในสายตาของพวกเขา เหล่านี้ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า เหล่านี้ไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พระวจนะเหล่านี้จะใช่ความจริง แต่กลับเป็นการศึกษาวิจัยรูปแบบหนึ่งเสียมากกว่า ในสายตาของพวกเขา การศึกษาวิจัยเช่นนี้ควรได้รับการส่งต่อ ควรได้รับการเผยแพร่ และการนี้เท่านั้นจึงจะได้เป็นการเผยแพร่หนทางของพระเจ้าและข่าวประเสริฐ นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การประกาศ” และคำเทศนาที่พวกเขาได้ประกาศก็คือเทววิทยา

…พวกฟาริสีได้ปฏิบัติต่อเทววิทยาและทฤษฎีที่พวกเขาช่ำชองในฐานะความรู้ประเภทหนึ่ง เป็นเครื่องมือสำหรับกล่าวโทษผู้คนและประเมินวัดว่าผู้คนถูกหรือผิด พวกเขาถึงกับได้ใช้เครื่องมือนี้กับองค์พระเยซูเจ้า—นั่นคือวิธีที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถูกกล่าวโทษ การประเมินค่าผู้คนของพวกเขา และหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน ไม่เคยได้อยู่บนพื้นฐานของธาตุแท้ของพวกเขา หรือบนพื้นฐานของการที่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้พูดไปถูกหรือผิด นับประสาอะไรกับพื้นฐานของแหล่งที่มาและต้นกำเนิดของคำพูดของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ได้กล่าวโทษและประเมินวัดผู้คนบนพื้นฐานของคำพูดและหลักคำสอนที่ไม่ยอมอ่อนข้อซึ่งพวกเขาช่ำชอง และดังนั้น ถึงแม้ว่าพวกฟาริสีเหล่านี้รู้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำไม่ได้เป็นความบาป และไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย แต่พวกเขาก็ยังคงกล่าวโทษพระองค์ เพราะสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับความรู้และการศึกษาวิจัยที่พวกเขาช่ำชอง และทฤษฎีทางเทววิทยาที่พวกเขาได้ขยายความไว้ และพวกฟาริสีเพียงแค่ไม่ยอมคลายกำมือจากคำและวลีเหล่านี้ พวกเขาได้เกาะติดความรู้นี้ และจะไม่ปล่อยมือ ในท้ายที่สุดบทอวสานที่เป็นไปได้หนึ่งเดียวคือสิ่งใด? พวกเขาจะไม่ยอมรับรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา หรือไม่ยอมรับรู้ว่ามีความจริงในสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัส นับประสาอะไรที่จะยอมรับรู้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนั้นสอดคล้องกับความจริง พวกเขาได้พบข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลบางอย่างเพื่อกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า—แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ในหัวใจพวกเขา พวกเขาได้รู้หรือไม่ว่าความบาปเหล่านี้ที่พวกเขาใช้กล่าวโทษพระองค์ใช้ได้หรือไม่? พวกเขารู้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงยังคงกล่าวโทษพระองค์เช่นนี้? (พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งและทรงฤทธิ์ในจิตใจของพวกเขาจะทรงสามารถเป็นองค์พระเยซูเจ้า เป็นพระฉายาของบุตรมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งนี้) พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ และสิ่งใดคือลักษณะที่แท้จริงของการปฏิเสธของพวกเขาที่จะยอมรับการนี้เล่า? ได้มีบางสิ่งเกี่ยวกับการพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าในการนี้หรือไม่? สิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็คือ “พระเจ้าจะสามารถทำการนั้นได้หรือ? หากพระเจ้าได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ต้องทรงกำเนิดจากเชื้อสายที่โด่งดังอย่างแน่นอน ที่มากกว่านั้นก็คือพระองค์ทรงต้องยอมรับการสอนสั่งของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เรียนรู้ความรู้นี้ และอ่านข้อพระคัมภีร์มากๆ เพียงหลังจากพระองค์ทรงครองความรู้นี้แล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถรับตำแหน่งของ ‘การจุติเป็นมนุษย์’ ได้” พวกเขาเชื่อว่า ประการแรก พระองค์ไม่ทรงมีคุณสมบัติเช่นนั้น ดังนั้นแล้ว พระองค์จึงไม่ทรงเป็นพระเจ้า ประการที่สอง หากปราศจากความรู้นี้ พระองค์ก็จะไม่สามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่พระองค์จะทรงสามารถเป็นพระเจ้าได้ ประการที่สาม พระองค์ไม่สามารถทรงพระราชกิจนอกพระวิหารได้—ตอนนี้พระองค์ไม่ทรงอยู่ในพระวิหาร พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกคนบาปเสมอ ดังนั้นแล้วพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำจึงอยู่เหนือโพ้นวงเขตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า พื้นฐานของการกล่าวโทษของพวกเขามาจากที่ใด? จากข้อพระคัมภีร์ จากจิตใจของมนุษย์ และจากการศึกษาด้านเทววิทยาที่พวกเขาได้รับ เพราะพวกเขาพองโตด้วยมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความรู้ พวกเขาจึงเชื่อว่าความรู้นี้ถูกต้อง เป็นความจริง เป็นพื้นฐาน และไม่มีวันที่พระเจ้าจะทรงสามารถฝ่าฝืนสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาได้แสวงหาความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่ได้แสวงหา สิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาคือมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของพวกเขาเอง และประสบการณ์ของพวกเขาเอง และพวกเขาได้พยายามใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนิยามพระเจ้าและกำหนดพิจารณาว่าพระองค์ทรงถูกหรือผิด สิ่งใดคือบทอวสานท้ายสุดของการนี้? พวกเขาได้กล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าและตอกตรึงพระองค์กับกางเขน

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (3)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้คนที่มีศาสนาซึ่งเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ถูกลดทอนลงเป็น “ศาสนาคริสต์”? เป็นด้วยเหตุใดที่วันนี้ พวกเขาจึงถูกจำแนกให้เป็นกลุ่มศาสนา แทนที่จะเป็นพระนิเวศของพระเจ้า คริสตจักรของพระเจ้า เป้าหมายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า? พวกเขามีหลักความเชื่อหนึ่ง พวกเขารวบรวมพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำ และพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัส ลงในหนังสือเล่มหนึ่ง ลงในสื่อการสอนต่างๆ และจากนั้นก็เปิดโรงเรียนเพื่อรับและฝึกฝนนักเทววิทยาทุกลักษณะ นักเทววิทยาเหล่านี้กำลังศึกษาความจริงอยู่หรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้วพวกเขากำลังศึกษาสิ่งใดอยู่เล่า? พวกเขากำลังศึกษาความรู้ด้านเทววิทยาซึ่งไม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าหรือกับความจริงที่พระเจ้าตรัส และในการทำเช่นนั้น พวกเขากำลังลดทอนตัวพวกเขาเองลงสู่ศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์สนับสนุนสิ่งใด? หากเจ้าไปที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง ผู้คนจะถามเจ้าว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานเท่าใดแล้ว และเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าเพิ่งจะเริ่ม พวกเขาก็จะเพิกเฉยต่อเจ้า แต่หากเจ้ากอดพระคัมภีร์เข้าไป และพูดว่า “ฉันเพิ่งจบการศึกษาจากวิทยาลัยเทววิทยาชื่อนี้ๆ” เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะขอให้เจ้ามานั่งที่ที่นั่งอันทรงเกียรติ นี่คือศาสนาคริสต์ บุคคลสำคัญเหล่านั้นซึ่งยืนอยู่ที่แท่นปราศรัยล้วนได้ศึกษาเทววิทยา ได้รับการฝึกฝนที่โรงเรียนสอนศาสนา มีความรู้และทฤษฎีด้านเทววิทยา—โดยพื้นฐานแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบหลักของศาสนาคริสต์ ศาสนาคริสต์ฝึกฝนผู้คนเช่นนี้เพื่อเทศนาที่แท่นปราศรัย เพื่อไปรอบๆ ประกาศข่าวประเสริฐและทำงาน พวกเขาคิดว่าคุณค่าของศาสนาคริสต์ตั้งอยู่ในบรรดาผู้คนที่มีความสามารถเฉกเช่นนักศึกษาเทววิทยาเหล่านี้ ศิษยาภิบาลและนักเทววิทยาเหล่านี้ ซึ่งกระทำการเทศนา ผู้คนเหล่านี้คือต้นทุนของพวกเขา หากศิษยาภิบาลของคริสตจักรแห่งหนึ่งได้จบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนา เก่งในการขยายความข้อพระคัมภีร์ ได้อ่านหนังสือฝ่ายวิญญาณมาบ้าง และมีความรู้เล็กน้อยและรู้จักใช้คำพูด เช่นนั้นแล้วคริสตจักรนี้ก็จะเจริญรุ่งเรือง และมีกิตติศัพท์ดีกว่าคริสตจักรอื่นๆ อย่างมาก ผู้คนเหล่านี้ในศาสนาคริสต์สนับสนุนสิ่งใด? ความรู้ และความรู้นี้มาจากที่ใด? ความรู้นี้ได้ถูกส่งต่อลงมาจากสมัยโบราณ ในสมัยโบราณมีข้อพระคัมภีร์ซึ่งได้ถูกส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น แต่ละรุ่นอ่านและเรียนรู้ข้อพระคัมภีร์จนกระทั่งถึงกาลปัจจุบัน มนุษย์ได้แบ่งพระคัมภีร์ออกเป็นตอนๆ แตกต่างกัน และได้สร้างฉบับต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้ตั้งใจอ่านและเรียนรู้ แต่สิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ไม่ใช่วิธีเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้า หรือวิธีเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและบรรลุการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว แต่พวกเขากลับตั้งใจอ่านความรู้ที่บรรจุอยู่ในพระคัมภีร์แทน อย่างเก่ง พวกเขาก็ตรวจดูความล้ำลึกทั้งหลายที่บรรจุอยู่ภายใน พวกเขามองดูให้เห็นว่าคำพยากรณ์ใดจากหนังสือวิวรณ์ได้รับการทำให้ลุล่วงในช่วงเวลาหนึ่งๆ เมื่อความวิบัติครั้งใหญ่จะมาถึง เมื่อสหัสวรรษจะมาถึง—เหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่พวกเขาศึกษา และสิ่งที่พวกเขาศึกษาเชื่อมโยงกับความจริงหรือไม่? ไม่ เหตุใดพวกเขาจึงศึกษาสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับความจริง? ยิ่งพวกเขาศึกษาสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าพวกเขาเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งจัดหาตัวอักษรและหลักคำสอนให้กับตัวพวกเขาเองมากขึ้นเท่านั้น ต้นทุนของพวกเขาเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน ยิ่งพวกเขามีคุณสมบัติสูงขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งคิดว่าพวกเขามีความสามารถมากขึ้นเท่านั้น พวกเขายิ่งเชื่อว่าความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าสำเร็จลุล่วงมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขายิ่งมีแววที่จะคิดว่าพวกเขาย่อมได้รับการช่วยให้รอดและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น

…บรรดาผู้ที่อยู่ในศาสนาคริสต์ทั้งหมดซึ่งศึกษาเทววิทยา ข้อพระคัมภีร์ และแม้แต่ประวัติศาสตร์ของพระราชกิจของพระเจ้า—พวกเขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่? พวกเขาแตกต่างใดๆ จากผู้เชื่อและผู้ติดตามพระเจ้าที่พระเจ้าตรัสถึงหรือไม่? ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) พวกเขาศึกษาเทววิทยา พวกเขาศึกษาพระเจ้า มีความแตกต่างระหว่างผู้คนที่ศึกษาพระเจ้ากับพวกที่ศึกษาสิ่งอื่นๆ หรือไม่? ไม่มีความแตกต่าง พวกเขาเพียงแค่เป็นเช่นเดียวกันกับผู้คนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ ที่ศึกษาปรัชญา ที่ศึกษากฎหมาย ที่ศึกษาชีววิทยา ที่ศึกษาดาราศาสตร์—พวกเขาเพียงแค่ไม่ชอบวิทยาศาสตร์ หรือชีววิทยา หรือวิชาอื่นใดเท่านั้น พวกเขาเพียงแค่ชอบเทววิทยา ผู้คนเหล่านี้ศึกษาพระเจ้าโดยสำรวจค้นเงื่อนงำและการเปิดเผยในพระราชกิจของพระเจ้า—และสิ่งใดเล่าที่ออกมาจากการค้นคว้าวิจัยของพวกเขา? พวกเขามีความสามารถที่จะกำหนดพิจารณาได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริงหรือไม่? พวกเขาไม่มีวันจะสามารถ พวกเขามีความสามารถที่จะกำหนดพิจารณาน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือไม่? (ไม่) เพราะเหตุใดเล่า? เพราะพวกเขาดำรงชีวิตท่ามกลางคำและวลี พวกเขาดำรงชีวิตท่ามกลางความรู้ พวกเขาดำรงชีวิตท่ามกลางปรัชญา พวกเขาดำรงชีวิตท่ามกลางจิตใจและความคิดของพวกมนุษย์ พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะมองเห็นพระเจ้า พวกเขาจะไม่มีวันได้รับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าได้ทรงนิยามพวกเขาว่าเป็นสิ่งใด? ว่าเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ว่าเป็นผู้ไม่เชื่อ ผู้ปราศจากความเชื่อและผู้ไม่เชื่อเหล่านี้คลุกคลีกับชุมชนคริสเตียนตามที่เรียกกัน กระทำตัวเหมือนผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า กระทำตัวเหมือนคริสตชน—แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขานมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่? พวกเขาเชื่อฟังพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่? ไม่ เพราะเหตุใด? สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือ เป็นเพราะในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างโลก ว่าพระองค์ทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง ว่าพระองค์ทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ การไม่เชื่อนี้บ่งบอกสิ่งใดกัน? ความสงสัย การปฏิเสธ และแม้แต่ท่าทีแห่งการหวังว่าคำพยากรณ์ที่พระเจ้าตรัส—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพยากรณ์ที่เกี่ยวกับความวิบัติ—จะไม่เป็นจริงและจะไม่ถูกทำให้ลุล่วง นี่คือท่าทีที่พวกเขาใช้ในการปฏิบัติต่อการเชื่อในพระเจ้า และยังเป็นธาตุแท้และใบหน้าจริงของความเชื่อตามที่เรียกกันของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ศึกษาพระเจ้าเพราะพวกเขามีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องการศึกษาวิจัยและความรู้เกี่ยวกับเทววิทยา และสนใจข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าปัญญาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งกำลังศึกษาเทววิทยา “ปัญญาชน” เหล่านี้ไม่เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า ดังนั้นแล้ว พวกเขาจะทำสิ่งใดเมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ได้รับการทำให้ลุล่วง? ปฏิกิริยาแรกของพวกเขาคือสิ่งใดเมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และกำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจใหม่? “เป็นไปไม่ได้!” พวกเขากล่าวโทษผู้ใดก็ตามที่ประกาศพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า และถึงกับต้องการฆ่าพวกนั้น นี่คือการสำแดงของสิ่งใด? นี่ไม่ใช่การสำแดงของการที่พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยแท้หรอกหรือ? พวกเขาไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจของพระเจ้าและการทำให้พระวจนะของพระองค์ลุล่วง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเนื้อหนังที่จุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ กล่าวคือ “หากพระองค์ไม่ได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และพระวจนะของพระองค์ไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้า หากพระวจนะของพระองค์ได้รับการทำให้ลุล่วง และพระองค์ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ไม่ทรงเป็นพระเจ้า” สิ่งใดคือความหมายแฝงของการนี้? นั่นก็คือการที่พวกเขาไม่อนุญาตให้มีการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าตราบเท่าที่พวกเขาดำรงอยู่ นี่ไม่ใช่ศัตรูของพระคริสต์โดยแท้หรอกหรือ? นี่คือศัตรูของพระคริสต์ที่แท้จริง คำยืนยันเช่นนี้ดำรงอยู่ในชุมชนศาสนาหรือไม่? คำยืนยันเช่นนี้เกิดขึ้นดังมากและอย่างรุนแรงมากอีกด้วย กล่าวคือ “มันผิดที่พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ มันเป็นไปไม่ได้! การจุติเป็นมนุษย์ใดๆ คือการปลอมแปลง!” บางคนถามว่า “ผู้คนเหล่านี้ได้ถูกทำให้เข้าใจผิดหรือไม่?” ไม่อย่างเด็ดขาด พวกเขาเพียงแค่ไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อในการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พวกเขาไม่เชื่อในพระราชกิจแห่งการทรงสร้างโลกของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พวกเขาจะเชื่อในพระราชกิจแห่งการทรงถูกตรึงกางเขนและการทรงไถ่บาปมวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้า สำหรับพวกเขาแล้ว เทววิทยาที่พวกเขาศึกษาเป็นชุดต่อเนื่องของเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นหลักคำสอนหรือทฤษฎีประเภทหนึ่ง

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (3)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ผู้คนมากมายไม่ต่อต้านพระเจ้าและไม่ขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจอันหลากหลายและแตกต่างกันของพระเจ้า และนอกจากนั้นเพราะพวกเขามีความรู้และคำสอนแค่หางอึ่งที่จะใช้ประเมินพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มิใช่หรือ? แม้ว่าประสบการณ์ต่างๆ ของผู้คนเช่นนี้จะผิวเผิน แต่พวกเขาก็โอหังและหลงใหลในธรรมชาติ และพวกเขาคำนึงถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการเหยียดหยาม เพิกเฉยต่อการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยิ่งกว่านั้นใช้ข้อโต้แย้งเก่าๆ ไร้สาระของพวกเขาเพื่อ “ยืนยัน” พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขายังเล่นละครตบตาอีกด้วย และหลงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการเรียนรู้และความคงแก่เรียนของตัวเอง และหลงเชื่อมั่นว่าพวกเขามีความสามารถที่จะเดินทางข้ามโลกได้ ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พวกที่ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดูหมิ่นและทรงปฏิเสธหรอกหรือ และพวกเขาจะไม่ถูกยุคใหม่ขจัดสิ้นหรอกหรือ? พวกที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย ไม่ใช่ผู้คนตัวเล็กที่ไม่รู้เท่าทันและได้รับข่าวสารน้อยเกินไป ซึ่งเพียงกำลังพยายามอวดว่าพวกเขาหลักแหลมเพียงใดหรอกหรือ? ด้วยความรู้เรื่องพระคัมภีร์เพียงน้อยนิด พวกเขาพยายามนั่งคร่อม “สถาบันวิชาการ” ของโลก ด้วยคำสอนเพียงผิวเผินเพื่อใช้สอนผู้คน พวกเขาพยายามย้อนกลับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพยายามทำให้พระราชกิจหมุนรอบกระบวนการขบคิดของพวกเขาเอง เพราะพวกเขามีสายตาสั้นพวกเขาจึงพยายามมองดู 6,000 ปีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วยการชำเลืองครั้งเดียว ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับรู้ที่มีค่าคู่ควรต่อการกล่าวถึงแต่อย่างใด! อันที่จริงยิ่งผู้คนมีความรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตัดสินพระราชกิจของพระองค์ช้าลงเท่านั้น นอกจากนี้พวกเขาพูดถึงความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นในการตัดสินของพวกเขา ยิ่งผู้คนรู้เรื่องพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโอหังและหลงตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งประกาศการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างหยาบคายมากขึ้นเท่านั้น—กระนั้น พวกเขาก็พูดถึงทฤษฎีเท่านั้น และไม่เสนอหลักฐานจริงแท้ใดๆ ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่าอะไรเลย พวกที่เห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเล่นนั้นเป็นคนเหลาะแหละ! พวกที่ไม่ระมัดระวังเมื่อพวกเขาเผชิญกับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพูดมาก ด่วนตัดสิน ผู้ซึ่งให้อิสระเต็มที่แก่สัญชาตญาณตามธรรมชาติของพวกเขาที่จะปฏิเสธความถูกต้องของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ซึ่งดูแคลนและหมิ่นประมาทพระราชกิจด้วยเช่นกัน—ผู้คนที่ขาดความเคารพเช่นนี้ไม่ได้ขาดความรู้เท่าทันต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ? ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่โอหังอย่างหนัก ผู้คนที่ทะนงตนและไม่สามารถควบคุมได้โดยสันดานหรอกหรือ? แม้ว่าสักวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อผู้คนเช่นนี้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา พวกเขาไม่เพียงดูถูกพวกที่ทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังหมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เองอีกด้วย ผู้คนที่มุทะลุเช่นนี้จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งในยุคนี้และในยุคที่จะมา และพวกเขาจะต้องพินาศในนรกตลอดกาล! ผู้คนที่ขาดความเคารพและหลงระเริงเช่นนี้กำลังเสแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า และยิ่งผู้คนเป็นเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น พวกคนโอหังเหล่านั้นผู้ซึ่งปราศจากการควบคุมแต่กำเนิด และผู้ซึ่งไม่เคยได้เชื่อฟังผู้ใด ต่างก็ไม่เดินบนเส้นทางนี้ทั้งหมดหรอกหรือ? พวกเขาไม่ต่อต้านพระเจ้าวันแล้ววันเล่า พระเจ้าผู้ทรงใหม่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

มนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามและมีชีวิตในกับดักของซาตาน ผู้คนทั้งหมดมีชีวิตในเนื้อหนัง มีชีวิตในความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวและไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในหมู่พวกเขาที่เข้ากันได้กับเรา มีพวกที่บอกว่าพวกเขาเข้ากันได้กับเรา แต่ผู้คนเช่นนี้ทั้งหมดนมัสการรูปเคารพที่คลุมเครือ แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่านามของเราบริสุทธิ์ แต่พวกเขาก็ย่ำไปในเส้นทางที่ไปตรงกันข้ามกับเรา และคำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความโอหังและความมั่นใจในตนเอง นี่เป็นเพราะว่าโดยรากลึกแล้ว พวกเขาทั้งหมดต่อต้านเราและเข้ากันไม่ได้กับเรา ทุกวันพวกเขาแสวงหาร่องรอยต่างๆ ของเราในพระคัมภีร์และใช้การสุ่มค้นหาบทตอนที่ “เหมาะสม” ซึ่งพวกเขาอ่านอย่างไม่รู้จบและท่องจำเหมือนคัมภีร์ทั้งหลาย พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะเข้ากันได้กับเราหรืออะไรคือความหมายของการต่อต้านเรา พวกเขาแค่อ่านคัมภีร์ทั้งหลายไปอย่างมืดบอด ภายในพระคัมภีร์นั้น พวกเขากักขังพระเจ้าผู้คลุมเครือซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นและไม่สามารถมองเห็นได้ และนำมันออกไปชมดูในเวลาว่างของพวกเขา พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของเราภายในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้นและพวกเขาถือว่าเราเทียบเท่าพระคัมภีร์ กล่าวคือไม่มีพระคัมภีร์ไม่มีเราและไม่มีเราไม่มีพระคัมภีร์ พวกเขาไม่ใส่ใจต่อการดำรงอยู่หรือการกระทำของเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับอุทิศการให้ความสนใจอย่างที่สุดและเป็นพิเศษให้กับทุกๆ คำในคัมภีร์ ผู้คนอีกมากมายกว่านั้นถึงกับเชื่อว่าเราไม่ควรทำสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาจะทำเว้นแต่จะถูกบอกไว้ล่วงหน้าโดยคัมภีร์ พวกเขาให้ความสำคัญกับคัมภีร์มากเกินไป อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของวจนะและการแสดงออกต่างๆ มากเกินไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเขาจะใช้ข้อพระคัมภีร์จากพระคัมภีร์มาวัดทุกคำที่เราพูดและเพื่อกล่าวโทษเรา สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่หนทางแห่งการเข้ากันได้กับเราหรือหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง แต่เป็นหนทางแห่งการเข้ากันได้กับวจนะของพระคัมภีร์และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไม่ใช่งานของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พงศ์พันธุ์ผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ของพวกฟาริสีหรอกหรือ? พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากได้ตั้งข้อหาพระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์—พวกเขาก็ได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด อะไรหรือคือแก่นแท้ของพวกเขา? มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ? พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์ โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์ เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์นานาของพระคัมภีร์ เพื่อค้ำจุนความทรงเกียรติของพระคัมภีร์และเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของพระคัมภีร์ พวกเขาถึงกับตอกตรึงพระเยซูผู้ทรงเปี่ยมปรานีไว้กับกางเขน พวกเขาทำสิ่งนี้ก็แค่เพื่อประโยชน์แห่งการป้องกันพระคัมภีร์เท่านั้นและเพื่อประโยชน์แห่งการธำรงสถานะของทุกๆ คำในพระคัมภีร์ไว้ในหัวใจของผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงพอใจที่จะเลือกละทิ้งอนาคตของพวกเขาและเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อกล่าวโทษพระเยซูผู้ไม่ทรงปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์จนถึงแก่ความตาย พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นขี้ข้าของทุกๆ คำในคัมภีร์หรอกหรือ?

แล้วผู้คนในทุกวันนี้เล่า? พระคริสต์ได้เสด็จมาเพื่อปลดปล่อยความจริง แต่พวกเขากลับเลือกขับไล่พระองค์ออกไปจากพิภพนี้ เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับการเข้าสู่สวรรค์และได้รับพระคุณ พวกเขากลับเลือกปฏิเสธการมาของความจริงอย่างสิ้นเชิงเพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของพระคัมภีร์ และพวกเขากลับเลือกตอกตรึงพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังไว้กับกางเขนอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจในการดำรงอยู่นิรันดร์กาลของพระคัมภีร์ มนุษย์สามารถได้รับความรอดของเราได้อย่างไรในเมื่อหัวใจของเขาช่างมุ่งร้ายและธรรมชาติของเขาเป็นปรปักษ์ต่อเรายิ่งนัก เรามีชีวิตท่ามกลางมนุษย์ แต่มนุษย์ก็ไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของเรา ครั้นเราฉายความสว่างของเราไปบนมนุษย์ เขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันเลยแม้แต่น้อยถึงการดำรงอยู่ของเรา ครั้นเราปลดปล่อยความโกรธเคืองของเราใส่มนุษย์ เขาก็ปฏิเสธการดำรงอยู่ของเราด้วยความกร้าวแกร่งที่มากขึ้นไปอีก มนุษย์ค้นคว้าความเข้ากันได้กับวจนะและความเข้ากันได้กับพระคัมภีร์ แต่ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวมาอยู่เบื้องหน้าเราเพื่อแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง มนุษย์มองขึ้นมาหาเราในสวรรค์และอุทิศความกังวลสนใจเป็นพิเศษให้กับการดำรงอยู่ของเราในสวรรค์ แต่ไม่มีใครเลยที่เป็นห่วงเราในเนื้อหนัง เพราะเราที่มีชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์นั้นมีนัยสำคัญน้อยเกินไปแค่นั้นเอง พวกที่แสวงหาความเข้ากันได้กับวจนะในพระคัมภีร์เท่านั้นและผู้ที่แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเจ้าที่คลุมเครือเท่านั้นเป็นภาพที่น่าสังเวชต่อสายตาเรานัก นั่นเป็นเพราะว่าสิ่งที่พวกเขานมัสการนั้นคือวจนะที่ตายแล้วกับพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งสามารถมอบสมบัติล้ำค่าเกินบรรยายให้พวกเขาได้ สิ่งที่พวกเขานมัสการคือพระเจ้าองค์หนึ่งที่จะวางพระองค์เองไว้ในการควบคุมของมนุษย์—พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีตัวตน เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนี้จะสามารถได้รับอะไรจากเราเล่า? มนุษย์นั้นต้อยต่ำเกินไปจริงๆ สำหรับวจนะ พวกที่ต่อต้านเรา ผู้ที่เรียกร้องอย่างไร้ขีดจำกัดจากเรา ผู้ที่ไม่มีความรักในความจริง ผู้ที่กบฏต่อเรา—พวกเขาจะสามารถเข้ากันได้กับเราได้อย่างไรกัน?

พวกที่ต่อต้านเราคือพวกที่เข้ากันไม่ได้กับเรา นี่ก็เป็นกรณีเดียวกันกับในหมู่พวกที่ไม่รักความจริง พวกที่กบฏต่อเรานั้นยิ่งต่อต้านเราและเข้ากันไม่ได้กับเราเสียยิ่งกว่า เราส่งพวกที่เข้ากันไม่ได้กับเราทั้งหมดไปสู่มือของมารร้ายและเรายกพวกเขาให้กับความเสื่อมทรามของมารร้าย ให้พวกเขามีอิสระเต็มที่ในการเปิดเผยความมุ่งร้ายของพวกเขาและท้ายที่สุด ก็ส่งมอบพวกเขาให้มารร้ายได้สวาปาม เราไม่ใส่ใจว่ามีคนมากเท่าใดนมัสการเรา ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือเราไม่ใส่ใจว่ามีคนมากเท่าใดที่เชื่อในเรา ทั้งหมดที่น่าเป็นห่วงสำหรับเราคือมีคนมากเท่าใดที่เข้ากันได้กับเรา นั่นเป็นเพราะทุกคนที่เข้ากันไม่ได้กับเราเป็นพวกมารร้ายที่ทรยศเรา พวกเขาเป็นศัตรูของเราและเราจะไม่วางบรรดาศัตรูของเรา “ขึ้นแท่น” ในบ้านของเรา บรรดาผู้ที่เข้ากันได้กับเราจะรับใช้เราไปตลอดกาลในบ้านของเราและพวกที่ต่อต้านเราจะต้องทนทุกข์ไปตลอดกาลกับการลงโทษของเรา พวกที่ใส่ใจเพียงวจนะของพระคัมภีร์เท่านั้นและไม่กังวลต่อทั้งความจริงและการแสวงหารอยเท้าของเรา—พวกเขาต่อต้านเราเพราะพวกเขาจำกัดเราตามพระคัมภีร์ กักขังเราไว้ภายในพระคัมภีร์และดังนั้นจึงเป็นการหมิ่นประมาทเราจนถึงขีดสุด ผู้คนเช่นนี้สามารถมาอยู่เบื้องหน้าเราได้อย่างไร? พวกเขาไม่ให้ความใส่ใจต่อกิจการของเราหรือเจตจำนงของเราหรือความจริง แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับวจนะทั้งหลายแทน—วจนะที่ทำให้ตาย ผู้คนเช่นนี้จะสามารถเข้ากันกับเราได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger