พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำให้การเผยพระวจนะในหนังสือวิวรณ์ลุล่วง
โดย คังเจี้ยน (Kang Jian) ประเทศจีน
ตอนนี้พวกเราอยู่ในยุคสุดท้ายและองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมานานแล้ว—พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปฏิบัติช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระมนุษย์ให้สะอาดด้วยพระวจนะ แต่พระราชกิจนี้ไม่ใช่พระราชกิจที่อยู่ได้โดยลำพังตัวเองและบริบูรณ์ในตัวเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้นนั่นกลับเป็นพระราชกิจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าและสูงกว่าซึ่งได้รับการปฏิบัติบนรากฐานของพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู แต่กระนั้นผู้คนบางคนก็กล่าวว่า “พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายขัดแย้งกับการเผยพระวจนะในวิวรณ์ 22:18-19 ความว่า ‘ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าใครเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มเติมภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่คนนั้น และถ้าใครตัดถ้อยคำอะไรออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงตัดส่วนแบ่งของเขาที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและในนครบริสุทธิ์ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย’ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นส่วนที่เพิ่มในหนังสือวิวรณ์ในพระคัมภีร์ และใครก็ตามที่ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สูญเสียโอกาสของพวกเขาที่จะมีส่วนในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์” อันที่จริงแล้วนี่คือสมมติฐานและการคาดเดาจากพวกที่ไม่เข้าใจพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ และการนี้เป็นที่พูดกันโดยผู้คนที่ไม่ตระหนักรู้ถึงภูมิหลังของหนังสือวิวรณ์ มันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความจริงตามข้อเท็จจริงและแค่ไม่สามารถโต้แย้งได้!
ผู้คนที่เข้าใจพระคัมภีร์ทั้งหมดรู้ว่า หนังสือวิวรณ์เป็นเรื่องราวของนิมิตต่างๆ ที่ยอห์นอัครทูตได้เห็นภายหลังจากที่ท่านได้ถูกจักรพรรดิโรมันทรงเนรเทศไปยังเกาะปัทมอส นั่นเป็นเวลาไม่นานหลัง 90 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก่อนที่ภาคพันธสัญญาใหม่จะได้ถูกแผ่ออกมาให้เห็น และก่อนความครบบริบูรณ์ของพระคัมภีร์ทั้งหมดทั้งมวลซึ่งบรรจุทั้งภาคพันธสัญญาใหม่และภาคพันธสัญญาเก่า ดังนั้น เมื่อ “หนังสือเล่มนี้” ได้ถูกกล่าวถึงในวิวรณ์ 22:18-19 นั่นไม่ได้อ้างอิงถึงพระคัมภีร์ฉบับสมบูรณ์ในวันนี้อย่างแน่นอน อีกทั้งไม่ได้กำลังอ้างถึงภาคพันธสัญญาเก่า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นั่นกำลังอ้างอิงถึงแค่หนังสือวิวรณ์ หากผู้คนคิดว่า “หนังสือเล่มนี้” ซึ่งถูกเอ่ยถึงในวิวรณ์หมายถึงพระคัมภีร์ในวันนี้ เช่นนั้นแล้วก็มีปัญหาอย่างหนึ่งกับความเข้าใจของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราควรสังเกตว่าคัมภีร์กล่าวว่า เป็นมนุษย์นั่นเองที่ไม่สามารถเพิ่มให้กับหรือนำออกไปจากการเผยพระวจนะได้ นี่ไม่ได้รวมถึงพระเจ้าพระองค์เอง เพราะการเผยพระวจนะเหล่านี้เกี่ยวข้องกับพระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงดำเนินการในอนาคต และพระราชกิจเหล่านั้นสามารถได้รับการทำให้ลุล่วงได้ก็มีเพียงเมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงมาดำเนินการพระราชกิจของพระองค์แล้วเท่านั้น ดังนั้น มนุษย์ไม่สามารถเพิ่มให้กับหรือนำออกไปจากการเผยพระวจนะเหล่านี้ได้โดยตามอำเภอใจ พวกเราไม่สามารถจำกัดพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายให้อยู่ในการเผยพระวจนะในวิวรณ์ได้เพราะคัมภีร์สองบรรทัดเหล่านี้ อีกทั้งพวกเราไม่สามารถจำกัดวงพระเจ้าโดยการกล่าวว่า พระองค์ไม่ทรงสามารถดำเนินการพระราชกิจและตรัสพระวจนะที่ไม่ได้ถูกตรัสคำเผยพระวจนะไว้ในหนังสือวิวรณ์ เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง พระองค์ทรงควบคุมทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินการพระราชกิจของพระองค์เองนอกจากสิ่งที่ได้ถูกตรัสคำเผยพระวจนะ นี่เป็นบางสิ่งที่ไม่สามารถถูกกีดกั้นได้โดยผู้ใดและไม่สามารถถูกจำกัดวงได้โดยผู้ใด ในกรณีที่กล่าวในวิวรณ์ว่ามนุษย์ไม่สามารถเพิ่มให้กับหรือนำออกไปจากได้นั้น นั่นเป็นข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ มนุษย์ไม่สามารถรับข้อพึงประสงค์นี้ที่พระเจ้าทรงมีต่อเขาและสลับสับเปลี่ยนข้อพึงประสงค์นี้และวางข้อพึงประสงค์นี้กับพระเจ้า อีกทั้งมนุษย์ไม่สามารถใช้จดหมายและกฎเกณฑ์ต่างๆ ของพระคัมภีร์เพื่อหน่วงเหนี่ยวและจำกัดพระเจ้า หรือไม่อนุญาตให้พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจใหม่ หรือกล่าวสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ เพราะหากนี่เป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้จะไม่ได้เป็นการกำลังย้อนระเบียบธรรมชาติหรอกหรือ? ในเฉลยธรรมบัญญัติ 12:32 ในภาคพันธสัญญาเก่า กล่าวว่า “ทุกสิ่งที่ข้าพเจ้าบัญชาพวกท่านไว้นั้น จงระวังที่จะทำตาม ห้ามเพิ่มอะไรเข้าหรือตัดอะไรออกไป” เหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ควรสังเกต ไม่ใช่ใช้เพื่อเรียกร้องจากพระเจ้า เมื่อพระเยซูทรงกำลังปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในยุคพระคุณ พระองค์ไม่ได้ทรงสังเกตสิ่งเหล่านี้ แต่พระองค์กลับได้ทรงตั้งข้อพึงประสงค์อันเหมาะสมยิ่งกว่าโดยสอดคล้องกับความจำเป็นต้องการของผู้คนในเวลานั้นแทน ตัวอย่างเช่น ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนจำเป็นต้องยึดหลักตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมา พระองค์ตรัสว่า “ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย” (มัทธิว 5:39) ธรรมบัญญัติได้บอกบทว่าคนเราต้องเกลียดชังศัตรูของศัตรู แต่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน” (มัทธิว 5:44) ดังที่ระบุไว้ในภาคพันธสัญญาเก่า ผู้คนในยุคธรรมบัญญัตินมัสการพระเจ้าในวิหาร เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาถึง พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปในวิหาร แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับทรงออกไปสู่ถิ่นธุรกันดารและสู่หมู่บ้านต่างๆ เพื่อทรงเทศนาและทรงประกาศข่าวประเสริฐ โดยทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนนมัสการพระเจ้าในจิตวิญญาณและความจริง ธรรมบัญญัติได้กำหนดว่าผู้คนไม่อาจทำงานในวันสะบาโตและว่าพวกเขาต้องประกอบพิธีในวันสะบาโต แต่กระนั้นองค์พระเยซูเจ้าก็ได้ทรงทำสิ่งต่างๆ อย่างเช่นรักษาความเจ็บป่วยและการขับไล่ปีศาจในวันสะบาโต และพระองค์ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มัทธิว 12:8) ธรรมบัญญัติในภาคพันธสัญญาเดิมได้กำหนดว่าคนบาปต้องถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป แต่กระนั้นองค์พระเยซูเจ้าก็ได้ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนสารภาพและกลับใจเพื่อที่จะให้บาปของพวกเขาได้รับการยกโทษ ในยุคแห่งภาคพันธสัญญาเดิมผู้คนยังจำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาเผาทั้งตัว เครื่องธัญบูชา และเครื่องศานติบูชา และอื่นๆ ด้วยเช่นกัน และมนุษย์ทั้งหลายต้องเข้าสุหนัต ทันทีที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาถึง พระองค์ได้ทรงยกเลิกกฎเกณฑ์เหล่านี้ เหล่านี้เป็นแค่บางตัวอย่างของข้อพึงประสงค์ที่เหมาะสมที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงมีต่อผู้คนในเวลานั้น พระราชกิจของพระเยซูได้ขจัดกฎเกณฑ์และกฎข้อบังคับเดิมบางอย่าง และพระองค์ทรงตั้งข้อพึงประสงค์ใหม่ๆ ต่อมนุษย์ และการนี้ทั้งหมดคือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม ในสายตาของบรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ พระราชกิจนี้ได้อยู่นอกเหนือคัมภีร์ และสำหรับพวกเขาแล้วพระราชกิจนี้เป็นการเพิ่มให้กับหรือการนำออกไปจากคัมภีร์ที่กำลังทำอยู่ภายในธรรมบัญญัติ ผลก็คือ พวกยิวได้ใช้ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์เพื่อกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า (ดูยอห์น 19:7) นี่เป็นการแสดงออกถึงการขาดพร่องเหตุผลของมนุษย์ และมนุษย์ไม่ควรรับเอาพระวจนะของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์ไม่เพิ่มและตัดและสลับสับเปลี่ยนการนี้เพื่อหน่วงเหนี่ยวพระเจ้าและเรียกร้องจากพระเจ้า มนุษย์ไม่ควรใช้พระราชกิจเดิมของพระเจ้าที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการในอดีตเพื่อจำกัดวงพระราชกิจใหม่ของพระองค์ซึ่งกำลังดำเนินการอยูในขณะนี้ พระเจ้าทรงเป็นองค์เจ้านายของทุกกสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการบริหารจัดการของพระองค์เองและน้ำพระทัยเสรีของพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องหารือเรื่องนั้นกับมนุษย์หรือพยายามที่จะได้รับการเห็นชอบจากพวกเขา นับประสาอะไรกับการที่มวลมนุษย์ที่ทรงสร้างจะมีสิทธิใดๆ ที่จะแทรกแซง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์อย่างไร นั่นชอบธรรมเสมอ เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์อย่างไร นั่นเป็นความจริงเสมอ และนั่นตอบสนองความจำเป็นที่เป็นจริงที่สุดและสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของมวลมนุษย์เสมอ เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้าคือความจริง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์อย่างไร นั่นสามารถนำพาชีวิตไปยังบรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์อย่างจริงใจและแสวงหาความจริงเสมอ เพราะเนื้อแท้ของพระเจ้าคือแหล่งกำเนิดของชีวิต แน่นอนว่าพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้าไม่มีวันสามารถหน่วงเหนี่ยวได้โดยผู้คน เหตุการณ์ วัตถุ สถานที่ หรือเวลา นับประสาอะไรกับการถูกหน่วงเหนี่ยวโดยตัวอักษรของคัมภีร์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจที่พระเยซูทรงปฏิบัติในระหว่างเวลาของพันธสัญญาใหม่ได้เริ่มต้นพระราชกิจใหม่ นั่นคือ พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจตามพระราชกิจของพันธสัญญาเดิม อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงนำพระวจนะทั้งหลายที่พระยาห์เวห์แห่งพันธสัญญาเดิมตรัสไว้มาปฏิบัติ พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์เอง และพระองค์ทรงพระราชกิจที่ใหม่กว่า และพระราชกิจที่สูงส่งกว่าธรรมบัญญัติ ดังนั้น พระองค์จึงตรัสไว้ว่า ‘อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ’ ดังนั้น จากสิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติสำเร็จลุล่วงไปนั้น คำสอนมากมายได้ถูกล้มเลิกไป ในวันสะบาโตเมื่อพระองค์ทรงนำบรรดาสาวกผ่านทางทุ่งนา พวกสาวกของพระองค์เด็ดรวงข้าวแล้วกิน พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาวันสะบาโตและได้ตรัสว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” ในเวลานั้น ตามกฎของคนอิสราเอล ผู้ใดก็ตามที่ไม่รักษาวันสะบาโตจะถูกขว้างด้วยก้อนหินจนตาย อย่างไรก็ตาม พระเยซูไม่ได้เสด็จเข้าสู่พระวิหาร อีกทั้งยังไม่ทรงรักษาวันสะบาโต และพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ปฏิบัติโดยพระยาห์เวห์ในระหว่างเวลาของพันธสัญญาเดิม ดังนั้น พระราชกิจที่พระเยซูทรงปฏิบัติจึงมากเกินกว่าธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิม พระราชกิจของพระองค์สูงส่งกว่าพันธสัญญาเดิม และไม่เป็นไปตามพันธสัญญาเดิม” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) พวกเราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่เคยได้ยึดติดสิ่งเดิมๆ แต่พระองค์กลับทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ใหม่กว่าและสูงกว่าโดยสอดคล้องกับความจำเป็นต้องการจริงของมนุษย์แทน—นี่คือหลักการของพระราชกิจของพระเจ้าตลอดหลายยุคหลายสมัย พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และทุกพระวจะที่พระเจ้าตรัสและทุกๆ การเผยพระวจนะของพระเจ้าจะถูกทำให้สำเร็จและลุล่วง จนกว่าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะยุติ ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าแม้สักคำเดียวที่จะหายไป จนกว่าทั้งหมดจะได้รับการทำให้ลุล่วง ในวิวรณ์ 5:1-5 กล่าวว่า “และในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างในและข้างนอก และมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง และข้าพเจ้าได้เห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงดังว่า ‘ใครเป็นผู้ที่สมควรเปิดหนังสือม้วนและแกะตราของมันออก?’ และไม่มีใครในสวรรค์ หรือบนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่นดินโลกที่สามารถเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น แล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้อย่างมาก เพราะไม่พบใครที่สมควรจะเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น แล้วมีคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสบอกกับข้าพเจ้าว่า ‘อย่าร้องไห้เลย นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิดทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้’” จากคัมภีร์นี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการเปิดหนังสือและสูญเสียตราทั้งเจ็ดดวงในยุคสุดท้าย ซึ่งกล่าวได้ว่าพระองค์จะตรัสต่อมวลมนุษย์ด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง ทรงแสดงพระอุปนิสัยแห่งสิงโตที่เปี่ยมบารมีและพิโรธของพระองค์ และทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษา พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่พิพากษามวลมนุษย์ และไม่ได้ทรงเป็นพระเมษโปดกแห่งการลบมลทินที่ทรงถูกคนอื่นนำพาและฆ่าอีกต่อไป ในวิวรณ์ 10:1-4 กล่าวว่า “และข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์ที่มีฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆห่อหุ้มตัวท่านและมีรุ้งบนศีรษะของท่าน หน้าของท่านเหมือนอย่างดวงอาทิตย์ และขาของท่านเหมือนอย่างเสาเพลิง ท่านถือหนังสือม้วนเล็กๆ ที่เปิดอยู่ในมือของท่าน เท้าขวาของท่านยืนอยู่บนทะเล เท้าซ้ายของท่านยืนอยู่บนบก ท่านร้องเสียงดังดุจเสียงสิงโตคำราม เมื่อท่านร้อง เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดก็พูดขึ้นมา และเมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดพูดขึ้นมา ข้าพเจ้าก็เริ่มลงมือเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์บอกว่า ‘จงผนึกตราปิดข้อความที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดพูดออกมานั้น อย่าเขียนลงไป’” บรรทัดเหล่านี้จากคัมภีร์เปิดโอกาสให้พวกเรารู้ว่าเสียงของฟ้าร้องทั้งเจ็ดไม่ได้เขียนขึ้นโดยยอห์น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เสียงของฟ้าร้องทั้งเจ็ดแค่ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ กล่าวโดยสรุปคัมภีร์สองชิ้นนี้ รายละเอียดของหนังสือเล่มน้อยเล่มนี้และเสียงของฟ้าร้องทั้งเจ็ดไม่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ จากการนี้จะเห็นได้ว่า หากมนุษย์จะใช้พระวจนะเกี่ยวกับการเพิ่มหรือการนำออกไปเพื่อจำกัดวงพระราชกิจของพระเจ้า และจำกัดวงพระเจ้า โดยกล่าวว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถกล่าวสิ่งใหม่ๆ ที่อยู่นอกเหนือจากพระคัมภีร์ได้ เช่นนั้นแล้วหนังสือเล่มน้อยเล่มนี้จะสามารถเปิดได้อย่างไร? พระเจ้าจะทรงสามารถดำเนินการพิพากษาในยุคสุดท้ายได้อย่างไร? หากพระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดหนังสือเล่มน้อยเล่มนี้ มนุษย์จะสามารถรู้ว่าหนังสือเล่มน้อยเล่มนี้บรรจุสิ่งใดได้อย่างไร? เขาจะสามารถเข้าใจความล้ำลึกทั้งหลายได้อย่างไร? เขาจะสามารถรู้ว่าอะไรคือรายละเอียดของเสียงของฟ้าร้องทั้งเจ็ดได้อย่างไร? และเช่นนั้นแล้วจะสามารถทำให้การเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ลุล่วงได้อย่างไร? ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมา โดยทรงแสดงความจริงมากมายและทรงเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายที่มนุษย์ไม่ได้เข้าใจเป็นเวลาหลายชั่วคนที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำให้การเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วง เหล่านี้คือเสียงของฟ้าร้องทั้งเจ็ดอย่างแท้จริง และพระเมษโปดกทรงเปิดหนังสือม้วน การนี้ได้กลายเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้! พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังความจริงและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการอ้างสิทธิ์ภายใต้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจะสามารถยอมรับการทรงนำส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้รับความจริงมากขึ้นและสูงส่งขึ้น ตลอดจนชีวิตที่เป็นจริง พวกเขาจะได้เห็นนิมิตที่ไม่เคยมีผู้คนในอดีตเคยได้เห็นมาก่อน: ‘แล้วข้าพเจ้าก็หันกลับมาดูตรงที่พระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้านั้น และเมื่อหันกลับมาแล้วข้าพเจ้าก็เห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคัน ในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์ยาวคลุมพระบาท และทรงคาดแถบทองคำที่พระอุระ พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า’ (วิวรณ์ 1:12-16) นิมิตนี้เป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ยังเป็นการแสดงออกของพระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันของพระองค์ด้วยเช่นกัน ในกระแสเชี่ยวกรากของการตีสอนและการพิพากษา บุตรมนุษย์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์โดยอาศัยถ้อยดำรัส อนุญาตให้ทุกคนที่ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้เห็นพระพักตร์แท้จริงของบุตรมนุษย์ ซึ่งเป็นภาพพรรณนาอันสัตย์จริงของพระพักตร์ของบุตรมนุษย์ตามที่ยอห์นได้เคยเห็น (แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับพวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร)” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)
อย่างไรก็ตาม มีความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ระหว่างการเผยพระวจนะและข้อเท็จจริงทั้งหลายของการปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วง เป็นไปไม่ได้สำหรับการเผยพระวจนะที่จะบันทึกสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นอย่างละเอียด ดังนั้นพวกเราไม่สามารถกล่าวได้ว่าการปฏิบัติการเผยพระวจนะให้ลุล่วงเป็นบางสิ่งซึ่งเป็นส่วนที่เพิ่มในพระคัมภีร์ เป็นเหมือนในภาคพันธสัญญาเมื่อมีการกล่าวคำเผยพระวจนะว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ในจิตใจของคนอิสราเอล พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าพระองค์จะทรงมาช่วยพวกเขาให้รอด และพวกเขายังรู้อีกด้วยว่าหญิงพรหมจารีนางหนึ่งจะกลายเป็นตั้งครรภ์และมีบุตร และว่าพระองค์จะทรงได้รับพระนามว่าเอมมานูเอล ผู้ที่จะทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม สำหรับเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีที่พระองค์จะเสด็จมาและ เมื่อพระองค์ได้เสด็จมา วิธีที่พระองค์จะเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป พวกเขาไม่รู้เลย ยิ่งไปกว่านั้น การเผยพระวจนะเหล่านี้เป็นแค่พระวจนะ พระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อพระเยซูได้เสด็จมาเพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ การเผยพระวจนะทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์ซึ่งถูกบันทึกไว้ในภาคพันธสัญญาเดิมได้รับการทำให้ลุล่วง ดังนั้นเช่นนั้นแล้วเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า ภาคพันธสัญญาใหม่ (กล่าวคือ พระราชกิจของพระเยซู) เป็นส่วนที่เพิ่มในการเผยพระวจนะในภาคพันธสัญญาเดิม? แน่นอนว่าไม่ใช่ ถึงแม้ว่าพระราชกิจใหม่ของพระเยซูไม่ได้สอดคล้องกับภาคพันธสัญญาเดิมในสายตาของผู้คนในเวลานั้น อีกทั้งพระราชกิจนั้นไม่ได้สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน อีกทั้งพระราชกิจนั้นไม่ใช่พระราชกิจเดียวกันกับพระราชกิจและพระวจนะของพระยาห์เวห์ ทว่า สิ่งที่พระเยซูได้ทรงทำไม่ใช่การนำไปจากหรือการเพิ่มเข้าในธรรมบัญญัติ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นนั่นเป็นการทำให้ธรรมบัญญัติลุล่วง พระราชกิจของพระเยซูเป็นขั้นตอนใหม่ของพระราชกิจที่ดำเนินการบนรากฐานของพระราชกิจจากยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจนั้นได้ทำให้ธรรมบัญญัติลุล่วง และพระราชกิจนั้นได้ให้สิ่งใหม่ๆ เพื่อนำไปปฏิบัติและความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพระเจ้าแก่มนุษย์ ดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ “อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ” (มัทธิว 5:17) เนื่องจากพระราชกิจของพระเยซูในภาคพันธสัญญาใหม่ไม่ได้ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในภาคพันธสัญญาเดิม ผู้คนจึงคิดว่าพระราชกิจของพระเยซูนั้นอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม และว่าพระราชกิจนั้นเพิ่มพระบัญญัติใหม่ๆ อย่างไรก็ตาม ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์แค่ทรงกำลังดำเนินพระราชกิจของแผนของพระองค์ พระราชกิจของพระเยซูเป็นขั้นตอนของพระราชกิจที่ใหม่กว่าและสูงกว่าซึ่งทรงดำเนินงานโดยพระเจ้าบนรากฐานของพระราชกิจแห่งธรรมบัญญัติ และพระราชกิจนั้นสำเร็จลุล่วงการเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะ ในหนทางเดียวกัน พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายจะสำเร็จลุล่วงการเผยพระวจนะของภาคพันธสัญญาใหม่ และนั่นเป็นขั้นตอนใหม่ของพระราชกิจซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระเจ้า พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านี่คือส่วนที่เพิ่มในพระคัมภีร์? องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสบอกคำตอบสำหรับคำถามนี้แก่พวกเราแล้วว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) ขั้นตอนนี้ของพระราชกิจโดยพระเจ้าในยุคสุดท้ายทำให้พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วงอย่างแน่นอน พระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้เปิดเผยความล้ำลึกทั้งหลายต่อมนุษย์แล้วซึ่งถูกปกปิดเป็นเวลาหลายชั่วคนที่ผ่านมา และนั่นได้นำพาความจริงมากมายที่พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อนมาสู่พวกเรา นั่นได้ให้หนทางสู่การได้รับการชำระให้สะอาด การได้รับการช่วยให้รอด และการเข้าสู่ราชอาณาจักรแก่พวกเรา พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเป็นขั้นตอนใหม่ของพระราชกิจซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนสองขั้นตอนของพระราชกิจที่ทรงดำเนินการโดยพระยาห์เวห์และพระเยซู และนั่นเป็นพระราชกิจที่สูงกว่าพระราชกิจของสองขั้นตอนก่อนหน้า
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงทำไปนั้นเป็นเพียงช่วงระยะหนึ่งที่สูงกว่าพันธสัญญาเดิม มันถูกใช้เพื่อเริ่มต้นยุคหนึ่ง และเพื่อนำยุคนั้น ทำไมพระองค์จึงได้ตรัสว่า ‘เราไม่ได้มาล้มเลิกธรรมบัญญัติ แต่มาทำให้ธรรมบัญญัติสมบูรณ์ทุกประการ’? กระนั้น ในพระราชกิจของพระองค์ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างไปจากธรรมบัญญัติและพระบัญญัติที่ชาวอิสราเอลแห่งพันธสัญญาเดิมปฏิบัติและติดตามอยู่ เพราะพระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อเชื่อฟังธรรมบัญญัติ แต่มาเพื่อทำให้มันลุล่วง กระบวนการในการทำให้มันลุล่วงนั้นประกอบด้วยสิ่งต่างๆ มากมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง กล่าวคือ พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นจริงมากกว่า และยิ่งไปกว่านั้น มันมีชีวิตมากกว่า และไม่ใช่การหลับหูหลับตายึดมั่นกับกฎต่างๆ ชาวอิสราเอลไม่ได้รักษาวันสะบาโตหรอกหรือ? เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์ไม่ได้ทรงรักษาวันสะบาโต เพราะพระองค์ได้ตรัสว่า บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเหนือวันสะบาโตได้เสด็จมาถึง พระองค์จะทรงกระทำเช่นที่พระองค์ทรงปรารถนา พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทำให้ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมลุล่วงและเพื่อเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติ ทั้งหมดที่ทำวันนี้ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจุบัน กระนั้นมันก็ยังคงตั้งอยู่บนรากฐานแห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ และมันไม่ล่วงละเมิดวงเขตนี้ ตัวอย่างเช่น การระวังลิ้นของเจ้า และไม่ล่วงประเวณี─สิ่งเหล่านี้มิใช่ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? วันนี้ สิ่งที่พึงประสงค์จากพวกเจ้ามิใช่เพียงจำกัดอยู่กับพระบัญญัติสิบประการเท่านั้น แต่ประกอบด้วยพระบัญญัติและธรรมบัญญัติจากระดับที่สูงกว่าพระบัญญัติและธรรมบัญญัติที่เคยมีมาก่อน กระนั้น การนี้มิได้หมายความว่าสิ่งที่เคยมีมาก่อนได้ถูกลบล้างไปแล้ว เพราะพระราชกิจแต่ละช่วงระยะของพระเจ้าได้รับการดำเนินการไปตามรากฐานของช่วงระยะที่เคยมีมาก่อน ส่วนสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงแนะนำให้แก่อิสราเอล เช่น การพึงประสงค์ให้ผู้คนมอบถวายเครื่องบูชา ให้เกียรติบิดามารดาของพวกเขา ไม่ให้นมัสการรูปเคารพ ไม่ให้ทำร้ายหรือสาปแช่งผู้อื่น ไม่ให้ล่วงประเวณี ไม่ให้สูบบุหรี่หรือดื่มสุรา และไม่ให้รับประทานซากสิ่งที่ตายแล้วหรือดื่มเลือด─นี่ไม่ได้ก่อรากฐานสำหรับการปฏิบัติของเจ้ากระทั่งถึงวันนี้หรอกหรือ? บนรากฐานของอดีตนี่เองที่พระราชกิจได้ดำเนินการมาจนกระทั่งถึงวันนี้ ถึงแม้ว่าธรรมบัญญัติต่างๆ ในอดีตจะไม่ถูกกล่าวถึงอีกต่อไปแล้ว แต่ข้อเรียกร้องใหม่ๆ ได้ถูกกำหนดขึ้นมาจากเจ้า ธรรมบัญญัติเหล่านี้ ซึ่งจะไม่ถูกลบล้างไปได้เลย กลับได้ถูกยกสถานะให้สูงขึ้นแทน การกล่าวว่าธรรมบัญญัติเหล่านั้นถูกลบล้างไปแล้วหมายความว่ายุคก่อนหน้านั้นล้าสมัย โดยที่มีพระบัญญัติบางประการที่เจ้าต้องให้เกียรติไปชั่วกัลปาวสาน พระบัญญัติทั้งหลายในอดีตได้ถูกนำมาปฏิบัติแล้ว ได้กลายเป็นความเป็นอยู่ของมนุษย์แล้ว และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษต่อพระบัญญัติต่างๆ เช่น “จงอย่าสูบบุหรี่” และ ‘จงอย่าดื่มสุรา’ และอื่นๆ พระบัญญัติใหม่ๆ ถูกกำหนดขึ้นตามความจำเป็นของเจ้าในวันนี้ ตามวุฒิภาวะของเจ้า และตามพระราชกิจของวันนี้ โดยอยู่บนรากฐานนี้ การประกาศพระบัญญัติต่างๆ สำหรับยุคใหม่ไม่ได้หมายถึงการลบล้างพระบัญญัติต่างๆ ของยุคเก่า แต่เป็นการยกพระบัญญัติเหล่านั้นให้สูงขึ้นบนรากฐานนี้ เพื่อทำให้การกระทำของมนุษย์ครบบริบูรณ์ยิ่งขึ้น และสอดคล้องกับความเป็นจริงยิ่งขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (1)) พระวจนะของพระเจ้าทำให้พวกเราได้เห็นว่า แต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระองค์ปรากฏเป็นตรงกันข้ามที่ภายนอก เมื่อในข้อเท็จจริงแล้วพระวจนะเหล่านั้นทั้งหมดก่อรูปเป็นทั้งหมดทั้งมวลอันครบบริบูรณ์ โดยมีแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจเป็นพระราชกิจที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าและสูงกว่าซึ่งปฏิบัติบนรากฐานของขั้นตอนก่อนหน้า พวกเราไม่สามารถแยกพระราชกิจของพระเจ้าแยกจากกันได้ พวกเราไม่สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจของพระเยซูกำลังเป็นส่วนเพิ่มในภาคพันธสัญญาเดิม และนับประสาอะไรที่เราจะสามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้ายกำลังเป็นส่วนเพิ่มในพระคัมภีร์ เพื่อรู้จักพระเจ้า พวกเราต้องรู้จักสามขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้า หากพวกเราเพียงรู้จักหนึ่งหรือสองจากสามขั้นตอนของพระราชกิจ เช่นนั้นแล้วพวกเราจะไม่มีความเข้าใจครอบคลุมและครบบริบูรณ์เกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า มีเพียงโดยการรู้จักขั้นตอนทั้งหมดสามขั้นตอนพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงสามารถรู้จักพระอุปนิสัยทั้งหมด พระปรีชาญาณ และการอัศจรรย์ของพระเจ้าได้
บรรดาพี่น้องชายหญิง สิ่งที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เป็นแค่พระราชกิจที่พระเจ้าซึงดำเนินการในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ ตลอดจนการเผยพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย แต่นั่นไม่ได้บันทึกไว้อย่างละเอียดถึงวิธีที่พระราชกิจในยุคสุดท้ายนี้จะได้รับการดำเนินการ หรือวิธีที่มวลมนุษย์จะได้รับการช่วยให้รอด ดังนั้นพวกเราต้องใช้ทรรศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ก่อนที่พระเจ้าจะได้เสด็จมา พวกเราต้องประพฤติตัวโดยสอดคล้องกับคำสอนของพระวจนะของพระเจ้าในพระคัมภีร์และพยายามทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มต้นยุคใหม่เพื่อดำเนินการพระราชกิจใหม่ เช่นนั้นแล้วพวกเราต้องติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าและยอมรับพระราชกิจและพระวจนะใหม่ของพระองค์ พวกเราไม่สามารถใช้พระราชกิจที่ได้ดำเนินการโดยพระเจ้าซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์เพื่อจำกัดวงพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะกล่าวว่าพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าและพระวจนะใหม่ของพระเจ้ากำลังเป็นส่วนที่เพิ่มในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสามารถอยู่นอกเหนือธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ในยุคของภาคพันธสัญญาใหม่ และในทำนองเดียวกัน พระองค์ยังทรงสามารถอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์เพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้ายได้เช่นกัน พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นำขั้นตอนของพระราชกิจสองขั้นตอนก่อนหน้าไปสู่ระนาบที่สูงกว่า และพระราชกิจและพระวจนะเป็นการสำเร็จลุล่วงของการเผยพระวจนะในวิวรณ์และการปฏิบัติให้การเผยพระวจนะลุล่วงมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ในวันนี้ งานแห่งการพิพากษาได้ทรงจุติเป็นมนุษย์และได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ และพระองค์ทรงแสดงความจริงและได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่เริ่มต้นในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเราไม่สามารถดื้อดึงปฏิเสธที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะในยุคสุดท้าย พวกเราต้องวางมโนคติที่หลงผิดของพวกเราไว้ก่อน เอาอย่างบรรดาสาวกขององค์พระเยซูเจ้า ทิ้งพระคัมภีร์ไว้เบื้องหลังพวกเรา และแสวงหาและศึกษาพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ในขณะที่คงความเคารพที่มีให้พระองค์ในหัวใจของพวกเราต่อเนื่อง และพระเจ้าจะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เรา ทรงเปิดโอกาสให้พวกเราเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระเจ้า ด้วยเหตุที่ในหนทางนี้เท่านั้นเราจึงจะสามารถบรรลุซึ่งความรอดในยุคสุดท้ายที่พวกเราได้ตั้งหน้าตั้งตาคอยมาเป็นเวลานานเหลือเกิน!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ