ผลสืบเนื่องของการที่ใครบางคนอยู่ภายใต้เล่ห์ลวงและการควบคุมของพวกฟาริสีและพวกศัตรูของพระคริสต์แห่งโลกศาสนา และการที่พวกเขาสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าหรือไม่
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
บุคคลหนึ่งต้องทำตามสภาวะเงื่อนไขใดเพื่อที่จะได้รับความรอด? ก่อนอื่น พวกเขาต้องครองความสามารถที่จะระบุตัวบรรดาศัตรูของพระคริสต์ที่เป็นเยี่ยงซาตาน พวกเขาต้องมีแง่มุมนี้ของความจริง มีเพียงด้วยการครองแง่มุมนี้ของความจริงเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเชื่อในพระเจ้าและยับยั้งจากการนมัสการหรือการติดตามมนุษย์ได้อย่างแท้จริง มีเพียงผู้คนที่สามารถระบุตัวเหล่าศัตรูของพระคริสต์เท่านั้นที่มีความสามารถในการเชื่อในพระเจ้าและติดตามและเป็นพยานต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง ในการที่จะระบุตัวเหล่าศัตรูของพระคริสต์นั้น ผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะมองผู้คนและสิ่งทั้งหลายด้วยความชัดเจนและความเข้าใจที่ครบบริบูรณ์เป็นอันดับแรก พวกเขาต้องมีความสามารถที่จะล่วงรู้ถึงแก่นแท้ของเหล่าศัตรูของพระคริสต์ และพวกเขาต้องมองให้ทะลุปรุโปร่งถึงการสมรู้ร่วมคิด เล่ห์กล แรงจูงใจภายใน และวัตถุประสงค์ทั้งหมดของพวกเขา หากเจ้าสามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็สามารถตั้งมั่นได้ หากเจ้าต้องการที่จะได้มาซึ่งความรอด เช่นนั้นแล้ว การทดสอบแรกที่เจ้าต้องผ่านก็คือการเรียนรู้วิธีที่จะทำให้ซาตานพ่ายแพ้ และวิธีที่จะเอาชนะและมีชัยเหนือกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรและการแทรกแซงจากโลกภายนอก ทันทีที่เจ้าครองวุฒิภาวะและความจริงที่เพียงพอในการอุตสาหะจนถึงที่สุดในการสู้รบกับกำลังบังคับของซาตาน และทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ได้แล้ว เมื่อนั้น—และเมื่อนั้นเท่านั้น—เจ้าจึงจะสามารถแสวงหาความจริงได้อย่างมั่นคง และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถก้าวย่างได้อย่างตั้งมั่น และไม่มีเคราะห์ร้ายเกิดกับเส้นทางแห่งการแสวงหาความจริงและการได้รับมอบความรอด หากเจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้ได้ เช่นนั้นแล้วก็สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง และเจ้าหมิ่นเหม่ที่จะถูกจับตัวโดยศัตรูของพระคริสต์และได้มาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน มีความเป็นไปได้ว่าในเวลานี้มีบางคนท่ามกลางบรรดาผู้นำและเหล่าคนทำงานที่ขัดขวางและสกัดขาผู้คนที่กำลังแสวงหาความจริง และพวกเขาคือเหล่าศัตรูของผู้คนเหล่านั้น พวกเจ้ายอมรับการนี้หรือไม่? มีผู้นำและคนทำงานบางคนที่ไม่กล้าเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงนี้ อีกทั้งพวกเขาไม่กล้าที่จะยอมรับว่าสิ่งนั้นเป็นข้อเท็จจริง ในความเป็นจริงนั้น สิ่งเหล่านี้มีอยู่จริงๆ ในคริสตจักร หากเจ้าไม่สามารถผ่านการทดสอบนี้—การทดสอบของเหล่าศัตรูของพระคริสต์—และกลับถูกทำให้ติดขัดและถูกตอบโต้โดยพวกเขา ถูกตีลงไปสู่กลุ่ม ข. หรือถูกขับไล่ เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุด ชีวิตเล็กๆ ที่เลวทรามต่ำช้าของเจ้าก็จะทนทานอยู่ไม่นานนัก และจะร่วงโรย เจ้าจะไม่มีความเชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป และเจ้าจะทิ้งพระองค์ไป โดยกล่าวว่า “พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมด้วยซ้ำ ไหนเล่าพระเจ้า? ไม่มีความชอบธรรมหรือความสว่างในโลกใบนี้ และไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นความรอดแห่งมนุษยชาติของพระเจ้า พวกเราอาจจะผ่านวันเวลาของเราโดยการไปทำงานและหาเงินด้วยเช่นกัน!” เจ้าปฏิเสธพระเจ้าและไม่เชื่ออีกต่อไปว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ ความหวังใดๆ ที่ว่าเจ้าจะได้รับความรอดนั้นก็มลายหายไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้น หากเจ้าต้องการที่จะไปถึงที่ซึ่งเจ้าสามารถได้รับมอบความรอด การทดสอบแรกที่เจ้าต้องผ่านก็คือการทดสอบของการมีความสามารถที่จะมองซาตานให้ทะลุปรุโปร่ง และเจ้าต้องมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดและเปิดโปงและตัดขาดจากซาตานด้วย เช่นนั้นแล้ว ซาตานอยู่ที่ใดเล่า? ซาตานอยู่เคียงข้างเจ้าและอยู่รอบตัวเจ้า มันอาจจะใช้ชีวิตอยู่ภายในหัวใจของเจ้าด้วยซ้ำ หากเจ้าใช้ชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยของซาตาน ก็สามารถกล่าวได้ว่าเจ้าเป็นของซาตาน เจ้าไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสซาตานในอาณาจักรฝ่ายจิตวิญญาณได้ แต่ซาตานที่ดำรงอยู่ในชีวิตที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมีอยู่ทุกหนแห่ง บุคคลใดก็ตามที่เกลียดชังความจริงคือคนชั่ว และผู้นำหรือคนทำงานคนใดก็ตามที่ไม่ยอมรับความจริงคือศัตรูของพระคริสต์และคือคนชั่ว ผู้คนเช่นนั้นมิได้กำลังใช้ชีวิตเป็นซาตานหรอกหรือ? ผู้คนเหล่านี้อาจจะเป็นบรรดาผู้ที่เจ้านมัสการและนับถืออยู่ก็ได้ พวกเขาอาจจะเป็นผู้คนที่นำเจ้าหรือผู้คนที่เจ้าได้หวัง เลื่อมใส ไว้วางใจ และพึ่งพาอยู่ในหัวใจของเจ้าก็ได้ อย่างไรก็ตาม โดยแท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นสิ่งกีดขวางที่ยืนอยู่บนหนทางของเจ้าและขัดขวางเจ้าจากการได้รับความรอด พวกเขาคือเหล่าศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาสามารถเข้าควบคุมชีวิตของเจ้าและเส้นทางที่เจ้าเดิน และพวกเขาสามารถทำลายโอกาสของเจ้าที่จะได้รับความรอด หากเจ้าล้มเหลวในการระบุตัวพวกเขาและมองพวกเขาทะลุปรุโปร่ง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถดิ่งลงไปสู่กับดักของพวกเขาหรือถูกพวกเขาจับตัวแล้วพาไปได้ทุกชั่วขณะ ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าจึงอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง มีหลายคนหรือไม่ที่สามารถหลีกหนีอันตรายนี้? พวกเจ้าได้หลีกหนีอันตรายนั้นหรือยัง? มีบางคนที่เรียกตัวพวกเขาเองว่าผู้ไล่ตามเสาะหาความจริง และพูดว่าพวกเขาไม่เกรงกลัวศัตรูของพระคริสต์—การนี้ไม่เป็นเพียงการแผดเสียงหรอกหรือ? เมื่อเจ้าเผชิญกับศัตรูของพระคริสต์ที่แยกเขี้ยวของพวกเขาและแกว่งกรงเล็บของพวกเขา พวกด้อยสภาวะความเป็นมนุษย์และกระทำความชั่ว แน่นอนว่าเจ้าย่อมจำพวกเขาได้ กระนั้นหากมีศัตรูของพระคริสต์ที่ปรากฏเหมือนว่าเคร่งครัดพอควรและเห็นด้วยกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน ผู้ซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์เป็นเลิศ ผู้ซึ่งมีวาทะและการกระทำอันมีไหวพริบเป็นอย่างมาก อ่อนโยน และเห็นอกเห็นใจ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะมองพวกเขาได้ทะลุปรุโปร่ง—แต่พฤติกรรม ความคิด และทรรศนะของพวกเขา ตลอดจนหนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และแม้กระทั่งหนทางของพวกเขาในการเข้าใจความจริง ล้วนแต่จะมีความสามารถที่จะส่งผลต่อเจ้า ขอบเขตของผลของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร? สิ่งเหล่านั้นสามารถส่งผลต่อหนทางที่เจ้าปฏิบัติตน เส้นทางที่เจ้าเดิน และท่าทีของเจ้าที่มีต่อพระเจ้า สุดท้ายแล้ว สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นรูปเคารพของเจ้าและจะยึดที่ในหัวใจของเจ้า และเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะกำจัดสิ่งเหล่านั้นไปจากตัวเจ้าเอง เมื่อเจ้าได้รับอิทธิพลถึงขอบเขตข่ายนี้ ความหวังของเจ้าในความรอดอาจกลายเป็นค่อนข้างริบหรี่ หากพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจและความจริงได้ทำงานกับตัวเจ้าจนถึงขอบเขตเช่นนั้น การนั้นคงจะเป็นที่ยอมรับและเป็นสิ่งที่ดี แต่การถูกควบคุมถึงขอบเขตเช่นนั้นโดยบุคคลที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามหรือโดยลูกหลานของซาตาน—การนั้นจะเป็นความวิบัติหรือพรสำหรับเจ้า? การนั้นคงจะเป็นความวิบัติสำหรับเจ้าและไม่มีทางที่จะเป็นพรเลย แม้ว่าพวกเขาอาจมีความสามารถที่จะมอบเส้นทางชั่วคราวแก่เจ้า หรือจัดเตรียมให้กับเจ้าเป็นการชั่วคราว ช่วยเจ้า ให้ความเจริญแก่เจ้า และอื่นๆ และแม้ว่าการนี้อาจจะดูเหมือนเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ต่อเจ้า แต่ทันทีที่พวกเขายึดที่เฉพาะในหัวใจของเจ้าและสามารถควบคุมและจัดวางเรียบเรียงความคิดและทรรศนะของเจ้า จนกระทั่งพวกเขาสามารถถึงขั้นจัดวางเรียบเรียงทิศทางไปข้างหน้าของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมเดือดร้อน—เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน มีพวกที่พูดถึงศัตรูพระคริสต์ว่า “เขาไม่ใช่ซาตาน! เขาเป็นบุคคลฝ่ายจิตวิญญาณที่ไล่ตามเสาะหาความจริง!” การนั้นเป็นถ้อยแถลงที่มีเหตุผลหรือไม่? การนำ ความช่วยเหลือ และการจัดเตรียมซึ่งบุคคลใดก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงมอบให้เจ้า—อิทธิพลหรือประโยชน์ที่พวกเขานำพามาสู่เจ้า—นำพาเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจแสวงหาพระวจนะของพระองค์และความจริง และเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์และแสวงหาพระองค์ และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระองค์ก็ใกล้ชิดขึ้นเรื่อยๆ ในทางตรงกันข้าม หากเป็นสัมพันธภาพของเจ้ากับบุคคลนั้นที่ใกล้ชิดขึ้นเรื่อยๆ สิ่งใดหรือที่กำลังเกิดขึ้น? เส้นทางที่เจ้ากำลังเดินอยู่ตอนนี้กลับตาลปัตรแล้ว และเจ้าก็กำลังมุ่งหน้าไปในหนทางที่ผิด การนี้นำไปสู่ผลสืบเนื่องใด? เมื่อได้ถูกนำพามาอยู่ต่อหน้ามนุษย์ เจ้าจะห่างไกลจากพระเจ้า และทันทีที่พระเจ้าทรงกระทำบางสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อรูปเคารพผู้ซึ่งเจ้าสักการะบูชา เจ้าก็จะเอาใจออกห่างทันที นี่คือเหตุการณ์ทั่วไป เมื่อผู้นำบางคนถูกแทนที่ หรือในบางกรณีถูกขับออก บรรดาผู้ติดตามของพวกเขาก็จากไปพร้อมกับพวกเขาและหยุดเชื่อ การนี้ไม่ใช่เหตุการณ์ทั่วไปหรอกหรือ? เป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาได้หยุดเชื่อแล้ว? พวกเขาพูดว่า “หากผู้นำของฉันไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด ฉันจะมีความหวังใดเล่า?” การนี้ไม่ใช่การพูดคุยแบบปนเปยุ่งเหยิงหรอกหรือ? พวกเขาสามารถพูดสิ่งเช่นนั้นได้อย่างไร? ผู้นำของพวกเขาได้หลอกลวงพวกเขาแล้ว อะไรคือผลสืบเนื่องของการถูกหลอก? นั่นก็คือว่า พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำของพวกเขาอยู่แล้ว ทุกคำพูดและการกระทำของผู้นำของพวกเขา ทุกความประพฤติและการเคลื่อนไหว และทรรศนะใดก็ตามที่ผู้นำของพวกเขายึดถือ พวกเขายอมรับโดยทั้งหมด และใช้สิ่งเหล่านั้นเป็นเกณฑ์มาตรฐานและตัวอย่าง และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริงสูงสุด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทนยอมรับผู้ใดก็ตามที่พูดว่า คำพูด การกระทำ หรือทรรศนะของผู้นำของพวกเขานั้นผิด หรือพูดสิ่งใดก็ตามที่เป็นด้านลบเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น หรือกล่าวโทษและสร้างข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ทันทีที่ผู้นำของพวกเขาถูกขับออกหรือปลดออก พวกที่พวกเขาควบคุมก็จากไปพร้อมกับพวกเขา โดยไม่หวั่นไหวในความเชื่อมั่นของพวกเขา และไม่ว่าการโน้มน้าวในปริมาณใดก็ไม่สามารถนำพาพวกเขากลับมาได้ พวกเขาไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้นำของพวกเขาหรอกหรือ? มีเพียงภายใต้การควบคุมของพวกเขาเท่านั้น เจ้าจึงจะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมแทนพวกเขา หรือมีส่วนร่วมในความกระวนกระวายของพวกเขา ความคิดของพวกเขา น้ำตาของพวกเขา และความคับข้องใจของพวกเขา โดยไปไกลจนถึงขั้นที่ไม่ยอมรับรู้พระเจ้าอีกต่อไป เป้าหมายของพวกเขาคือการเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า พระเจ้าของเจ้า สิ่งที่เจ้าพึ่งพิง เพื่อที่เจ้าจะเชื่อฟังและติดตามพวกเขาด้วยความว่านอนสอนง่ายที่ก้นบึ้งของหัวใจของเจ้า และเพื่อที่เจ้าจะรับเอาท่าทีของการบอกปัดที่มีต่อพระเจ้าไปใช้ เจ้าจะคำนึงถึงศัตรูของพระคริสต์ว่าเป็นพระเจ้า และเจ้าจะได้ทำให้พวกเขาเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของเจ้าไปแล้ว สำหรับเจ้า พระเจ้าจะไม่ใช่สิ่งใดเลย—การนั้นจะเป็นจุดจบ ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดว่า เจ้าไม่วิตกกังวลเกี่ยวกับการถูกศัตรูของพระคริสต์หลอก และว่าเจ้าไม่เกรงกลัวการติดตามคนหนึ่ง ด้วยเหตุที่หากเส้นทางที่เจ้าเดินนั้นผิด เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุด การนี้ย่อมเป็นจุดจบที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เจ้าไม่สามารถหลีกหนีการนั้นได้ และเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงนี้ได้ ขณะที่เจ้าเดินไปตามเส้นทางที่เจ้าได้เลือก จุดจบนี้ก็ลอยขึ้นสู่พื้นผิวและนำเสนอตัวมันเองทีละน้อยๆ การนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
ตัดตอนมาจาก “พวกเขากีดกันและโจมตีบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์
พวกเจ้าจำเป็นที่จะต้องหยั่งรู้ศัตรูของพระคริสต์ หากเจ้าไม่ปฏิบัติต่อการนี้อย่างจริงจัง เจ้าจะไม่มีทางรู้เลยว่าเจ้าจะถูกพวกเขานำพาให้หลงเจิ่นไปในสถานการณ์ประเภทใด และเจ้าอาจจะถึงขั้นติดตามศัตรูของพระคริสต์ด้วยความมึนงงสับสน โดยไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ เมื่อเจ้าได้เริ่มติดตามพวกเขา เจ้าไม่ได้ตระหนักว่ามีสิ่งใดผิดปกติเลย และเจ้าอาจจะถึงขั้นรู้สึกว่าสิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์พูดนั้นถูกต้อง เจ้าได้ถูกนำพาให้หลงเจิ่นไปแล้วโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เจ้าถูกหลอกลวงไปแล้ว พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์เจ้าอีกต่อไป ผู้คนบางคนโดยปกติแล้วดูเหมือนว่าใช้ชีวิตเป็นปกติดี และพวกเขาก็แค่ถูกศัตรูของพระคริสต์หลอกเป็นการชั่วคราว ดังนั้นคริสตจักรย่อมสามารถแย่งชิงพวกเขากลับมาได้ในที่สุดโดยผ่านทางการเตือนพวกเขาและสามัคคีธรรมกับพวกเขา อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางคนไม่กลับมาเลย ไม่สำคัญว่าพวกเขารับการสามัคคีธรรมประเภทใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับมั่นคงแน่วแน่ต่อการติดตามศัตรูของพระคริสต์ นี่ไม่ใช่การถูกทำให้พังทลายหรอกหรือ? เหตุใดเล่าพวกเขาจึงไม่กลับมาเสีย? นั่นเป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงทำให้การนั้นเกิดขึ้น ผู้คนบางคนพูดอย่างตั้งใจยิ่งว่า “โอ้ แต่ว่าเขาช่างเป็นคนดีเสียจริง เขาได้เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและได้พลีอุทิศและสละมาแล้วมากมาย เขาเที่ยงธรรมจริงๆ และได้เปี่ยมศรัทธาจริงๆ ในหน้าที่ของเขา อีกทั้งความเชื่อในพระเจ้าของเขาก็มากมายมหาศาล เขาเป็นผู้เชื่อที่แท้จริง” นี่เองคือสิ่งที่มองเห็นกันที่ภายนอกผิวเผิน บนพื้นฐานของเจตนาอันดีของผู้คน แต่เจ้าไม่สามารถมองเข้าไปในหัวใจภายในที่สุดของบุคคลนั้นได้ เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้ว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นบุคคลจำพวกใด ว่าแก่นแท้ของเขาคืออะไร นอกเหนือจากนั้น เจ้าอาจลองพยายามที่จะช่วยเขาให้รอดด้วยความดีงามจากหัวใจของเจ้า แต่ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมอย่างไร เขาจะไม่หันหลังกลับ และเจ้าก็ไม่รู้ว่าเหตุผลเบื้องหลังการนี้คืออะไร ในข้อเท็จจริงนั้น มันก็คือเรื่องที่ว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์เขาอีกต่อไป เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่ทรงต้องประสงค์เขาอีกต่อไป? มีเหตุผลที่ชัดเจนอย่างยิ่งยวดและสังเกตเห็นได้โดยง่ายสำหรับการนี้ ศัตรูของพระคริสต์บางคนเป็นวิญญาณชั่วที่ชัดเจนยิ่ง ในขณะที่ศัตรูของพระคริสต์บางคนไม่ไปไกลถึงขนาดที่จะนำเสนอตัวเองว่าเป็นวิญญาณชั่ว ดังนั้นจึงไม่สามารถนิยามพวกเขาได้ว่าเป็นเช่นนั้น สำหรับศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นซึ่งเป็นวิญญาณชั่วอย่างชัดเจน ทันทีที่ใครคนอื่นติดตามพวกเขา พระเจ้าจะยังคงทรงยอมรับรู้บุคคลนั้นหรือไม่ เมื่อพิจารณาถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า? พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อิจฉา—พระองค์ทรงบอกปัดพวกที่ได้ติดตามวิญญาณชั่ว ต่อให้บุคคลนี้ดูเหมือนว่าจะดีงามสำหรับเจ้าที่ภายนอกผิวเผิน พระเจ้าก็ไม่ทรงมองดูที่แง่มุมนั้น “อิจฉา” คืออะไร? “อิจฉา” หมายความว่าอย่างไรในที่นี้? หากนั่นไม่ชัดเจนจากคำพูดนี้ในตัวมันเองแล้ว ดูสิว่าพวกเจ้าจะสามารถเข้าใจจากคำอธิบายของเราได้หรือไม่ เริ่มจากเมื่อบุคคลหนึ่งได้รับการเลือกสรรโดยพระเจ้า ไปจนกระทั่งถึงเมื่อพวกเขากำหนดพิจารณาว่า พระเจ้าทรงเป็นความจริง ว่าพระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม พระปัญญา และความทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์เดียวและหนึ่งเดียว—ทันทีที่พวกเขาเข้าใจทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมได้รับความเข้าใจพื้นฐานลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า รวมทั้งสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น แล้วความเข้าใจพื้นฐานนี้ก็กลายเป็นความเชื่อของพวกเขา และนั่นก็กลายเป็นสิ่งที่ผลักดันพวกเขาในการติดตามพระเจ้า สละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของพวกเขา นี่คือวุฒิภาวะของพวกเขา ใช่ไหม? (ใช่) สิ่งเหล่านี้ได้หยั่งรากภายในชีวิตของพวกเขาแล้วและพวกเขาจะไม่มีวันปฏิเสธพระเจ้าอีก แต่หากพวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระคริสต์หรือเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขาอาจยังคงสักการะบูชาและติดตามศัตรูของพระคริสต์ บุคคลจำพวกนี้ยังคงอยู่ในอันตราย พวกเขาอาจยังคงหันหลังให้กับพระคริสต์ในเนื้อหนังเพื่อติดตามศัตรูของพระคริสต์ที่ชั่ว การนี้ย่อมจะเป็นการปฏิเสธพระคริสต์และตัดสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผย ความหมายโดยนัยของการนี้คือ “ข้าพระองค์จะไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป แต่ข้าพระองค์กำลังติดตามซาตาน ข้าพระองค์รักซาตานและปรารถนาที่จะรับใช้มัน ข้าพระองค์ต้องการที่จะติดตามซาตาน และไม่สำคัญว่ามันปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างไร มันทำให้ข้าพระองค์พังทลาย เหยียบย่ำ และทำให้ข้าพระองค์เสื่อมทรามอย่างไร ข้าพระองค์ก็ยิ่งกว่าเต็มใจ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงชอบธรรมเพียงใดและทรงบริสุทธิ์เพียงใด ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะติดตามพระองค์อีกต่อไป ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะติดตามพระองค์ทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” และพวกเขาก็จากไปอย่างนั้นเอง โดยติดตามใครบางคนซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ใครบางคนซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้าหรือแม้กระทั่งวิญญาณชั่ว พระเจ้าจะยังคงทรงต้องประสงค์บุคคลประเภทนั้นหรือไม่? การที่พระเจ้าจะทรงเดียดฉันท์พวกเขาจะเป็นการสมเหตุสมผลหรือไม่? นั่นคงจะสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์แบบ จากสามัญสำนึก ผู้คนล้วนแต่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อิจฉา ว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์ แต่เจ้าเข้าใจสถานการณ์ตามจริงหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วสิ่งใดอยู่เบื้องหลังการนี้? สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ ณ ที่นี้ไม่ถูกต้องแม่นยำหรอกหรือ? (นั่นถูกต้องแม่นยำ) หากนั่นถูกต้องแม่นยำ เช่นนั้นแล้วการที่พระเจ้าทรงล้มเลิกความหวังกับบุคคลนั้นนับเป็นความโหดร้ายทางฝ่ายพระองค์หรือไม่? พระเจ้าทรงปฏิบัติตนบนหลักธรรม—หากเจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใครแต่เจ้าไม่ต้องการที่จะติดตามพระองค์ และเจ้ารู้ว่าซาตานเป็นใครและเจ้ายังคงต้องการที่จะติดตามมัน เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ดึงดัน เราจะปล่อยให้เจ้าติดตามซาตานไปตลอดกาลและเราจะไม่ขอให้เจ้ากลับมา แต่เราจะล้มเลิกความหวังกับเจ้า การนี้คือพระอุปนิสัยแบบใดทางฝ่ายพระเจ้าหรือ? นั่นใช่ความดื้อดึงหรือไม่? พระองค์กำลังทรงปฏิบัติตนบนภาวะอารมณ์ หรือกำลังทรงได้รับเกียรติ? นี่ไม่ใช่ความทรงเกียรติ อีกทั้งไม่ใช่ความดื้อดึง แต่เป็นส่วนของ “ความอิจฉา” ของพระเจ้า กล่าวคือ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หากเจ้ามีความสุขที่จะกลายเป็นต่ำทราม พระเจ้าจะสามารถตรัสอะไรได้? หากเจ้าปรารถนาที่จะกลายเป็นต่ำทราม นั่นเป็นตัวเลือกส่วนบุคคลของเจ้า—ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าย่อมจะแบกรับผลสืบเนื่องที่ตามมา และเจ้าย่อมจะได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น หลักธรรมของพระเจ้าสำหรับการจัดการกับผู้คนมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากเจ้ามีความสุขกับความต่ำทราม เช่นนั้นแล้วปลายทางอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ของเจ้าก็คือการถูกลงโทษ ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าอาจได้ติดตามพระเจ้ามาแล้วกี่ปีก่อนหน้านี้ หากเจ้าปรารถนาที่จะต่ำทราม พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าจัดการกับตัวเลือกของเจ้า อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงบังคับเจ้า ตัวเจ้าเองเต็มใจที่จะติดตามซาตาน ที่จะถูกซาตานทำให้เข้าใจผิดและถูกซาตานทำให้มีมลทิน และดังนั้น สุดท้ายแล้วเจ้าย่อมจำเป็นที่จะต้องแบกรับผลสืบเนื่องที่ตามมา
ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (2)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์
ไม่สำคัญว่ามีผู้คนเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใด แต่ทันทีที่การเชื่อของพวกเขาถูกพระองค์ทรงนิยามว่าเป็นการเชื่อของศาสนาหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ในผู้คนแก๊งหนึ่งหรือฝูงหนึ่งที่ปราศจากพระราชกิจและการทรงนำของพระเจ้า และที่ไม่นมัสการพระองค์เลย พวกเขานมัสการผู้ใด? พวกเขาติดตามผู้ใด? ในรูปแบบและในนาม พวกเขาติดตามบุคคลหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาติดตามผู้ใด? ลึกลงไปพวกเขายอมรับรู้พระเจ้า แต่อันที่จริง พวกเขาอยู่ภายใต้การบงการ การจัดการเตรียมการ และการควบคุมของมนุษย์ พวกเขาติดตามมารซาตาน พวกเขาติดตามกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า และที่เป็นศัตรูของพระองค์ พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนหมู่หนึ่งเช่นผู้คนพวกนี้ให้รอดหรือไม่? (ไม่) เพราะเหตุใด? พวกเขาสามารถกลับใจใหม่ได้หรือไม่? (ไม่) พวกเขาโบกธงแห่งความเชื่อ ดำเนินอุตสาหกิจของมนุษย์จนเสร็จสิ้น และกระทำการบริหารจัดการของพวกเขาเอง และพวกเขาวิ่งสวนทางกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาคือบทอวสานของการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ พระองค์ไม่ทรงสามารถช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดได้ พวกเขาไม่อาจสามารถกลับใจได้ พวกเขาได้ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว—พวกเขาอยู่ในกำมือของซาตานโดยสิ้นเชิง ในความเชื่อของเจ้า จำนวนปีที่เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามีความสำคัญหรือไม่ต่อการที่เจ้าจะได้รับการยกย่องโดยพระองค์หรือไม่? พิธีกรรมและกฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้ายึดปฏิบัติตามสำคัญหรือไม่? พระเจ้าทรงมองวิธีการปฏิบัติของผู้คนหรือไม่? พระองค์ทรงมองว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดหรือไม่? พระองค์ได้ทรงเลือกมวลมนุษย์ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว พระองค์ทรงวัดอย่างไรว่าพวกเขาสามารถและควรได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? พระองค์ทรงวางการตัดสินใจนี้บนพื้นฐานของเส้นทางต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้เดิน ในยุคพระคุณ แม้ว่าความจริงที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนมีจำนวนน้อยกว่าในวันนี้ และไม่เฉพาะเจาะจงเท่า แต่พระองค์ก็ยังคงทรงสามารถทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมได้ ณ เวลานั้น และความรอดก็ยังคงเป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้น สำหรับผู้คนของยุคนี้ที่ได้ยินความจริงมากมายและได้มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว หากพวกเขาไม่สามารถติดตามหนทางของพระองค์และไร้ความสามารถที่จะเดินบนเส้นทางแห่งความรอดได้ เช่นนั้นแล้วบทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด? บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นเช่นเดียวกันกับของบรรดาผู้เชื่อในศาสนาคริสต์และศาสนายิว จะไม่มีความแตกต่าง นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า! ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง หรือเจ้าได้เข้าใจความจริงมากเพียงใด หากในที่สุดเจ้ายังคงติดตามพวกมนุษย์และซาตาน และในท้ายที่สุด หากเจ้ายังคงไม่สามารถติดตามหนทางของพระเจ้าได้ และไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นนี้ก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเช่นนี้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย และอาจได้มาเข้าใจความจริงมากมายแล้ว แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และไม่สามารถนบนอบอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระองค์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงนิยามพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหนึ่ง เป็นเพียงพวกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง—พวกมนุษย์แก๊งหนึ่ง—และเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับซาตาน โดยรวมแล้วพวกเขาถูกอ้างอิงว่าเป็นแก๊งของซาตาน และผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด
ตัดตอนมาจาก “โดยการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นนิตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความรอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ