พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่อับราฮัม

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

1. พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่อับราฮัม

ปฐมกาล 17:15-17 พระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่า “ส่วนซารายภรรยาของเจ้านั้น เจ้าอย่าเรียกชื่อนางว่า ซาราย แต่จงเรียกชื่อนางว่า ซาราห์ เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า เราจะอวยพรนาง และนางจะให้กำเนิดชนหลายชาติ กษัตริย์ของชนหลายชาติจะมาจากนาง” อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ? ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?”

ปฐมกาล 17:21-22 “ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้” เมื่อพระองค์ตรัสกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จจากอับราฮัมขึ้นไป

2. อับราฮัมถวายอิสอัค

ปฐมกาล 22:2-3 พระองค์ตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก ไปยังดินแดนโมริยาห์ และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องบูชา บนภูเขาลูกหนึ่งซึ่งเราจะบอกแก่เจ้า” อับราฮัมจึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ผูกอานลาของท่านพาคนใช้หนุ่มไปกับท่านด้วยสองคนกับอิสอัคบุตรของท่าน ท่านตัดฟืนสำหรับเครื่องบูชา แล้วเดินทางไปยังที่ซึ่งพระเจ้าทรงบอกแก่ท่าน

ปฐมกาล 22:9-10 เมื่อเขาทั้งสองมาถึงที่ซึ่งพระเจ้าตรัสบอกเขาไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนเป็นระเบียบ แล้วมัดอิสอัคบุตรชายวางไว้บนแท่นบูชาบนฟืน แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือจับมีดจะฆ่าบุตรชาย

ไม่มีผู้ใดสามารถขัดขวางพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำได้

ดังนั้น พวกเจ้าทุกคนก็เพิ่งได้รับฟังเรื่องราวของอับราฮัมไป พระเจ้าได้ทรงเลือกเขาหลังจากที่น้ำท่วมได้ทำลายโลก ชื่อของเขาคืออับราฮัม และเมื่อเขามีอายุหนึ่งร้อยปี และซาราห์ภรรยาของเขาอายุเก้าสิบปี พระสัญญาของพระเจ้าก็ได้มาถึงเขา พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญาอะไรกับเขา? พระองค์ได้ทรงสัญญาในสิ่งที่ได้ถูกอ้างอิงถึงในข้อพระคัมภีร์ว่า “เราจะอวยพรนาง และยิ่งกว่านั้นอีก โดยนางนี่แหละ เราจะให้บุตรชายคนหนึ่งแก่เจ้า” อะไรคือภูมิหลังที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะประทานบุตรชายคนหนึ่งแก่เขา? ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวต่อไปนี้ ความว่า “อับราฮัมจึงซบหน้าลงหัวเราะและคิดในใจว่า ‘ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ? ซาราห์ผู้มีอายุเก้าสิบปีแล้วจะคลอดบุตรหรือ?’” กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ คู่สามีภรรยาสูงวัยนี้แก่เกินไปที่จะให้กำเนิดลูกๆ และอับราฮัมทำสิ่งใดหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญาของพระองค์กับเขา? เขาซบหน้าลงหัวเราะและกล่าวกับตัวเองว่า “ชายผู้มีอายุหนึ่งร้อยปีแล้วจะมีบุตรได้หรือ?” อับราฮัมเชื่อว่ามันเป็นไปไม่ได้—ซึ่งหมายความว่าเขาเชื่อว่าพระสัญญาของพระเจ้าที่มีต่อเขานั้นไม่ใช่สิ่งใดที่มากไปกว่าเรื่องตลก จากมุมมองของมนุษย์แล้วนั้น นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้ และในทำนองเดียวกันนั้นก็ไม่อาจสัมฤทธิ์ผลได้โดยพระเจ้าและเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า บางทีสำหรับอับราฮัมมันเป็นเรื่องน่าหัวเราะ กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ แต่ทว่าดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ทรงตระหนักแต่อย่างใดว่าใครบางคนที่แก่ถึงเพียงนั้นจะไม่สามารถให้กำเนิดลูกๆ ได้ พระเจ้าทรงดำริว่าพระองค์ทรงสามารถทำให้ข้าพระองค์ให้กำเนิดลูกได้ พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะประทานลูกให้ข้าพระองค์—นั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน! ดังนั้น อับราฮัมจึงซบหน้าลงและหัวเราะ พลางคิดกับตัวเองว่า เป็นไปไม่ได้—พระเจ้ากำลังทรงล้อข้าพระองค์ เล่น เรื่องนี้ไม่สามารถเป็นจริงได้! เขาไม่ได้ถือพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจัง ดังนั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วอับราฮัมเป็นมนุษย์ประเภทใด? (ชอบธรรม) มีระบุไว้ตรงไหนว่าเขาเป็นมนุษย์ที่ชอบธรรม? พวกเจ้าคิดว่าทุกคนที่พระเจ้าทรงเรียกใช้นั้นชอบธรรมและมีความเพียบพร้อม ว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่เดินกับพระเจ้า เจ้ายึดตามคำสอน! พวกเจ้าต้องมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าทรงกำหนดนิยามใครบางคนนั้น พระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้นโดยพลการ ณ ที่นี้ พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่าอับราฮัมชอบธรรม ในพระทัยของพระองค์นั้น พระเจ้าทรงมีมาตรฐานต่างๆ เพื่อวัดทุกบุคคล ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะไม่ได้ตรัสว่าอับราฮัมเป็นบุคคลประเภทใด แต่ในแง่ของการประพฤติของเขาแล้วนั้น อับราฮัมมีความเชื่อในพระเจ้าแบบใด? มันเป็นนามธรรมเล็กน้อยหรือไม่? หรือเขามีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่? ไม่ เขาไม่ใช่เลย! การหัวเราะและความคิดของเขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นอย่างไร ดังนั้น การที่พวกเจ้าเชื่อว่าเขาชอบธรรมนั้นเป็นเพียงแต่การคิดไปเองจากจินตนาการของพวกเจ้า มันเป็นการนำคำสอนไปใช้อย่างมืดบอด และมันเป็นการประเมินที่ขาดความรับผิดชอบ พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นการหัวเราะของอับราฮัมและการแสดงออกเล็กๆ น้อยๆ ของเขาหรือไม่? พระองค์ได้ทรงรู้เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่? พระเจ้าได้ทรงรู้ แต่พระเจ้าจะทรงปรับเปลี่ยนสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำหรือไม่? ไม่! เมื่อพระเจ้าได้ทรงวางแผนและได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่าพระองค์จะเลือกมนุษย์คนนี้ มันก็สำเร็จลุล่วง ไม่ว่าความคิดของมนุษย์หรือการประพฤติของเขาก็จะไม่มีอิทธิพลหรือแทรกแซงพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย พระเจ้าจะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงแผนของพระองค์โดยสุดแต่พระทัย อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงเปลี่ยนแปลงหรือล้มแผนของพระองค์อย่างหุนหันพลันแล่นเนื่องจากการประพฤติของมนุษย์ แม้กระทั่งการประพฤติที่อาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่ได้เขียนไว้ในปฐมบท 17-21-22? “‘ฝ่ายพันธสัญญาของเรา เราจะตั้งไว้กับอิสอัคผู้ซึ่งซาราห์จะคลอดให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้’ เมื่อพระองค์ตรัสกับท่านเสร็จแล้ว พระเจ้าก็เสด็จจากอับราฮัมขึ้นไป” พระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความสนพระทัยต่อสิ่งที่อับราฮัมคิดหรือกล่าวแม้แต่น้อย อะไรคือเหตุผลสำหรับความไม่สนพระทัยของพระองค์? มันเป็นเพราะ ณ เวลานั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์มีความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ หรือให้เขาสามารถมีความรู้ที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับพระเจ้า หรือยิ่งไปกว่านั้น ให้เขาสามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและตรัส ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์เข้าใจอย่างเต็มที่ในสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำ หรือผู้คนที่พระองค์ได้ทรงมุ่งมั่นที่จะเลือก หรือหลักการทั้งหลายในการกระทำของพระองค์ เพราะวุฒิภาวะของมนุษย์นั้นแค่ไม่เพียงพอ ณ เวลานั้น พระเจ้าทรงถือว่าสิ่งใดก็ตามที่อับราฮัมทำและการประพฤติตนของเขาอย่างไรก็ตามเป็นสิ่งที่ปกติ พระองค์ไม่ได้ทรงกล่าวโทษหรือตำหนิ แต่แค่ได้ตรัสว่า “ซาราห์จะคลอดอิสอัคให้แก่เจ้าปีหน้าในฤดูนี้” สำหรับพระเจ้าแล้ว หลังจากที่พระองค์ได้ทรงประกาศพระวจนะเหล่านี้ เรื่องนี้จะได้เป็นจริงทีละขั้นตอน ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น สิ่งที่จะถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยแผนของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลไปแล้ว หลังจากที่การจัดการเตรียมการสำหรับการนี้ได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว พระเจ้าก็ได้เสด็จจากไป สิ่งที่มนุษย์ทำหรือคิด สิ่งที่มนุษย์เข้าใจ แผนต่างๆ ของมนุษย์—ไม่มีสิ่งใดในการนี้ที่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างก้าวหน้าไปตามแผนของพระเจ้า โดยสอดคล้องกับเวลาและช่วงระยะที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ เช่นนี้เองคือหลักการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงแทรกแซงในสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์คิดหรือรู้ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงละเลยแผนของพระองค์หรือละทิ้งพระราชกิจของพระองค์เพียงเพราะมนุษย์ไม่เชื่อหรือไม่เข้าใจ ด้วยเหตุนี้ข้อเท็จจริงทั้งหลายสำเร็จลุล่วงไปตามแผนและพระดำริของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์ กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงทำให้อิสอัคคลอดในเวลาที่พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ว่าพฤติกรรมและการประพฤติของมนุษย์ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ขัดขวางพระราชกิจของพระเจ้า! ความเชื่อในพระเจ้าอันน้อยนิดของมนุษย์ และมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าส่งผลกระทบต่อพระราชกิจของพระเจ้าหรือไม่? ไม่ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ส่งผลกระทบเลย! ไม่แม้แต่นิดเดียว! แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าไม่ได้รับผลกระทบจากมนุษย์ เรื่องราว หรือสิ่งแวดล้อมใดเลย ทั้งหมดที่พระเจ้าตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำก็จะครบบริบูรณ์และสำเร็จลุล่วงไปตรงเวลาและตามแผนของพระองค์ และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถแทรกแซงพระราชกิจของพระองค์ได้ พระเจ้าทรงเพิกเฉยต่อบางแง่มุมจากความโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ และแม้กระทั่งบางแง่มุมจากการต้านทานและมโนคติที่หลงผิดต่อพระองค์ของมนุษย์ และพระองค์ทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นี่คือพระอุปนิสัยของพระเจ้า และมันคือภาพสะท้อนแห่งฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger