สิ่งที่เป็นการเชื่อฟังพระเจ้า และสิ่งที่เป็นการสำแดงเฉพาะถึงการเชื่อฟังพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และได้จัดวางพวกเขาบนแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงนำทางพวกเขามานับตั้งแต่นั้น จากนั้นพระองค์จึงได้ทรงช่วยพวกเขาให้รอดและทรงรับหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้มนุษยชาติ ในท้ายที่สุด พระองค์ยังคงทรงต้องพิชิตมนุษยชาติ ช่วยมนุษยชาติให้รอดโดยถ้วนทั่ว และฟื้นคืนพวกเขากลับสู่สภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขา นี่คือพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงเข้าดำเนินการมานับตั้งแต่ตอนเริ่มต้น—เป็นการฟื้นคืนมนุษยชาติกลับสู่รูปลักษณ์และสภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขา พระเจ้าจะทรงสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์และฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมของมวลมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะทรงฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์บนแผ่นดินโลกและท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง มนุษยชาติได้สูญเสียหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า รวมทั้งหน้าที่ที่เป็นภาระแก่สรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าหลังจากที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ด้วยเหตุนั้นจึงกลายเป็นศัตรูที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า มนุษยชาติจึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานและปฏิบัติตามคำสั่งของซาตาน ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงมีหนทางใดที่จะทรงพระราชกิจท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระองค์ได้ และกลายเป็นไร้ความสามารถที่จะเอาชนะความเคารพยำเกรงมากมายของพวกเขาได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม พวกมนุษย์ถูกสร้างโดยพระเจ้า และควรจะนมัสการพระเจ้า แต่แท้จริงแล้วพวกเขาหันหลังให้พระองค์และนมัสการซาตานแทน ซาตานได้กลายเป็นรูปเคารพในหัวใจของพวกเขา ดังนั้น พระเจ้าจึงสูญเสียที่ประทับของพระองค์ในหัวใจของพวกเขา ซึ่งกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงสูญเสียความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ เพราะฉะนั้น เพื่อฟื้นคืนความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ พระองค์จึงต้องทรงฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขาและทำให้มนุษยชาติสลัดทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาไป เพื่อเรียกคืนพวกมนุษย์จากซาตาน พระองค์จึงต้องทรงช่วยพวกเขาให้รอดจากบาป เฉพาะในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าจะทรงสามารถฟื้นคืนสภาพเหมือนดั้งเดิมและหน้าที่ของพวกเขาทีละน้อย และฟื้นคืนราชอาณาจักรของพระองค์ได้ในที่สุด การทำลายล้างขั้นสุดขีดของบรรดาบุตรแห่งการไม่เชื่อฟังจะต้องถูกดำเนินการด้วยเช่นกันเพื่อเปิดโอกาสให้พวกมนุษย์ได้นมัสการพระเจ้าดียิ่งขึ้นและดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกได้ดียิ่งขึ้น เพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกมนุษย์ พระองค์จึงจะทรงทำให้พวกเขานมัสการพระองค์ เพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะฟื้นคืนหน้าที่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ พระองค์จึงจะทรงฟื้นคืนมันโดยครบบริบูรณ์และโดยไม่มีการเจือปนใดๆ การฟื้นคืนสิทธิอำนาจของพระองค์หมายถึงการทำให้พวกมนุษย์นมัสการพระองค์และนบนอบต่อพระองค์ ซึ่งหมายความว่า พระเจ้าจะทรงทำให้พวกมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่เนื่องจากพระองค์และจะทรงทำให้บรรดาศัตรูของพระองค์พินาศย่อยยับไปอันเป็นผลแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ นั่นหมายความว่าพระเจ้าจะทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับพระองค์คงทนอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์โดยไม่มีการต้านทานจากผู้ใดเลย ราชอาณาจักรที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสถาปนาขึ้นคือราชอาณาจักรของพระองค์เอง มนุษยชาติที่พระองค์ทรงปรารถนาคือมนุษยชาติที่จะนมัสการพระองค์ มนุษยชาติที่จะนบนอบต่อพระองค์โดยครบบริบูรณ์และสำแดงพระสิริของพระองค์ หากพระเจ้าไม่ทรงช่วยมนุษย์ชาติที่เสื่อมทรามให้รอด เช่นนั้นแล้วความหมายเบื้องหลังการทรงสร้างมนุษยชาติของพระองค์ก็จะสูญหายไป พระองค์จะไม่ทรงมีสิทธิอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์อีกเลย และราชอาณาจักรของพระองค์ก็จะไม่สามารถดำรงอยู่บนแผ่นดินโลกได้อีกต่อไป หากพระเจ้าไม่ทรงทำลายศัตรูเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ พระองค์ก็จะทรงไร้ความสามารถที่จะได้มาซึ่งพระสิริที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ อีกทั้งพระองค์ก็จะไม่ทรงมีความสามารถที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ เหล่านี้จะเป็นเครื่องหมายของความครบบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระองค์และเครื่องหมายของความสำเร็จลุล่วงที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ นั่นก็คือ การทำลายล้างพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์ในหมู่มนุษยชาติโดยสิ้นเชิง และการนำบรรดาผู้ที่ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์เข้าสู่การหยุดพัก เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้ฟื้นคืนสู่สภาพเหมือนดั้งเดิมของพวกเขาแล้ว และเมื่อพวกเขาสามารถทำหน้าที่แต่ละอย่างของพวกเขาให้ลุล่วง คงอยู่กับที่ตั้งที่ถูกต้องเหมาะสมของพวกเขาเอง และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าได้ พระเจ้าก็จะทรงได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งบนแผ่นดินโลกผู้ซึ่งนมัสการพระองค์ และพระองค์จะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่งขึ้นบนแผ่นดินโลกที่นมัสการพระองค์อีกด้วย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน
พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำนั้นแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา หากเจ้าเชื่อฟังพระราชกิจของพระเจ้าอย่างมากมายในระยะหนึ่ง แต่ในระยะถัดมาความเชื่อฟังของเจ้าต่อพระราชกิจของพระองค์อยู่ในระดับที่ต่ำ หรือเจ้าไม่มีความสามารถในการเชื่อฟัง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะทรงผละทิ้งเจ้าไป หากเจ้าก้าวทันพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงอยู่ในขั้นตอนนี้ เจ้าก็ต้องก้าวให้ทันต่อไปเมื่อพระองค์ขยับสูงขึ้นไปด้วย เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่เชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็จะต้องคงมั่นสม่ำเสมอในความเชื่อฟัง เจ้าไม่สามารถเชื่อฟังเพียงในยามที่เจ้ายินดีและไม่เชื่อฟังในยามที่เจ้าไม่ยินดี การเชื่อฟังประเภทนี้ไม่เป็นที่สรรเสริญโดยพระเจ้า หากพวกเจ้าไม่สามารถก้าวทันพระราชกิจใหม่ที่เราสามัคคีธรรม และยังยึดมั่นอยู่กับคติพจน์เดิมทั้งหลายต่อไป แล้วจะมีความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้าได้อย่างไร? พระราชกิจของพระเจ้านั้นก็เพื่อจัดหาให้แก่เจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ เมื่อเจ้าเชื่อฟังและยอมรับพระวจนะของพระองค์ แน่นอนว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะทรงกระทำพระราชกิจในตัวเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจตามที่เราพูดอย่างแม่นยำ โดยทำอย่างที่เราได้กล่าวไว้ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าโดยพลัน เราปล่อยความสว่างใหม่ประการหนึ่งเพื่อให้พวกเจ้ามองดู เพื่อนำพาพวกเจ้าเข้ามาสู่ความสว่างแห่งปัจจุบัน และเมื่อเจ้าเดินเข้าสู่ความสว่างนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าทันที มีบางคนที่อาจพูดด้วยความดึงดันหัวแข็งว่า “ข้าจะไม่ทำสิ่งที่ท่านบอกจนเสร็จสิ้นแน่ๆ” ถ้าเป็นกรณีนั้น เราขอบอกกับเจ้าว่าบัดนี้เจ้าได้มาสุดทางแล้ว เจ้าตายซากไปแล้ว และไม่มีชีวิตอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้น ในการผ่านประสบการณ์กับการแปลงสภาพอุปนิสัยนั้น ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งยวดไปกว่าการก้าวให้ทันความสว่างปัจจุบัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เพียงทรงกระทำพระราชกิจเฉพาะในตัวผู้คนบางคนที่พระเจ้าทรงใช้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทรงกระทำในผู้คนในคริสตจักรด้วยเช่นกัน พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจในใครก็ได้ทั้งสิ้น พระองค์อาจทรงกระทำพระราชกิจในตัวเจ้าในระหว่างช่วงเวลาปัจจุบัน และเจ้าก็จะได้ประสบการณ์กับพระราชกิจนี้ ในช่วงเวลาถัดไป พระองค์อาจทรงกระทำพระราชกิจในตัวคนอื่น ซึ่งเจ้าต้องรีบกระวีกระวาดติดตามทันที ยิ่งเจ้าติดตามความสว่างปัจจุบันได้อย่างใกล้ชิดมากขึ้นเท่าไร ชีวิตเจ้าก็ยิ่งเติบโตได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าบางคนนั้นจะเป็นบุคคลที่มีกิริยามารยาทอย่างไรก็ตาม หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา เจ้าก็ต้องติดตามพวกเขา จงเปิดรับประสบการณ์ของพวกเขาโดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้าเอง แล้วเจ้าจะยิ่งได้รับสิ่งที่สูงกว่านั้น เมื่อทำดังนั้น เจ้าก็จะยิ่งก้าวหน้าเร็วขึ้น นี่คือเส้นทางแห่งการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมและเป็นวิถีทางที่ทำให้ชีวิตเติบโต
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน
หากผู้คนสามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาได้ พวกเขาจะไม่ใช้ความรู้สึกนึกคิดของตนมาประเมินวัดพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้ และกลับจะเชื่อฟังโดยตรงแทน แม้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้สำแดงชัดว่าไม่เหมือนกับพระราชกิจของอดีต เจ้าก็ยังไม่สามารถที่จะปล่อยมือจากทรรศนะของอดีตและเชื่อฟังพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้โดยตรงได้ หากเจ้าสามารถที่จะเข้าใจว่า เจ้าต้องให้ความสำคัญโดดเด่นต่อพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้ ไม่ว่าพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจอย่างไรในอดีต เช่นนั้นแล้ว เจ้าจึงจะเป็นใครคนหนึ่งผู้ซึ่งได้ปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของตนแล้ว ผู้ซึ่งเชื่อฟังพระเจ้า และผู้ซึ่งสามารถเชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าและติดตามย่างพระบาทของพระองค์ได้ ในการนี้ เจ้าจะเป็นใครคนหนึ่งซึ่งเชื่อฟังพระเจ้าอย่างแท้จริง เจ้าไม่วิเคราะห์หรือพินิจพิเคราะห์พระราชกิจของพระเจ้า นั่นก็คือราวกับว่า พระเจ้าได้ทรงลืมพระราชกิจก่อนหน้านี้ของพระองค์ไปแล้วและเจ้าเองก็ได้ลืมสิ่งนั้นไปแล้วเช่นกันนั่นเอง ปัจจุบันก็คือปัจจุบัน และอดีตก็คืออดีต และเนื่องจากวันนี้พระเจ้าได้ทรงละวางสิ่งที่พระองค์เคยทำในอดีตไปแล้ว เจ้าก็ไม่ควรจมปลักอยู่กับมัน มีเพียงบุคคลเช่นนี้เท่านั้นเป็นผู้ที่เชื่อฟังพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์และได้ปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของตนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้ที่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้าวันนี้เท่านั้นที่อาจรับใช้พระเจ้าได้
การนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าต้องเป็นจริงและมีการปฏิบัติจริง และจะต้องถูกนำไปใช้ในชีวิต การนบนอบเพียงผิวเผินอย่างเดียวไม่อาจได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าได้ และการเชื่อฟังแค่แง่มุมผิวเผินของพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ได้มุ่งเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนนั้น ก็ไม่ได้เป็นไปตามพระทัยพระเจ้า การเชื่อฟังพระเจ้าและการนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้านั้นคือสิ่งเดียวกันและเหมือนกัน บรรดาผู้ที่นบนอบเฉพาะต่อพระเจ้าแต่ไม่ใช่ต่อพระราชกิจของพระองค์นั้นไม่อาจนับเป็นผู้ที่เชื่อฟังได้ นับประสาอะไรกับพวกที่ไม่ได้นบนอบอย่างแท้จริงแต่เพียงประจบสอพลอภายนอกเท่านั้น บรรดาผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงสามารถจะได้รับผลดีจากพระราชกิจของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความเข้าใจเรื่องพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระองค์ เฉพาะผู้คนแบบนี้เท่านั้นที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนเช่นนี้สามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงใหม่และได้รับความรู้ใหม่จากพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เฉพาะผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับการสรรเสริญโดยพระเจ้า เฉพาะผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และมีแต่พวกเขาเหล่านี้เท่านั้นที่อุปนิสัยของตนได้มีการเปลี่ยนแปลง บรรดาผู้ที่ได้รับการสรรเสริญโดยพระเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้า และต่อพระวาจาและพระราชกิจของพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์ เฉพาะผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่อยู่ในทางชอบธรรม มีแต่ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่ต้องการพระเจ้าอย่างจริงใจ และแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน
ในช่วงระหว่างเวลาที่พระเจ้าทรงเป็นมนุษย์ การนบนอบที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากผู้คน ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการงดเว้นจากการทำการตัดสิน หรือการต้านทานดังที่พวกเขาจินตนาการ ตรงกันข้าม พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนใช้พระวจนะของพระองค์เป็นหลักการในการดำรงชีวิตของพวกเขาและเป็นรากฐานของการอยู่รอดของพวกเขา ให้พวกเขานำแก่นแท้ของพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ และให้พวกเขาสนองน้ำพระทัยของพระองค์โดยครบบริบูรณ์ แง่มุมหนึ่งของการพึงประสงค์ให้ผู้คนนบนอบต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อ้างอิงถึงการนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติ ในขณะที่อีกแง่มุมหนึ่งอ้างอิงถึงการมีความสามารถที่จะนบนอบต่อความเป็นปกติและการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์ แง่มุมทั้งสองเหล่านี้ต้องสมบูรณ์ บรรดาผู้ที่สามารถสัมฤทธิ์ทั้งสองแง่มุมเหล่านี้ทุกคนคือบรรดาผู้ที่เก็บงำความรักแท้ต่อพระเจ้าไว้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาล้วนเป็นผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงรับไว้แล้ว และพวกเขาล้วนรักพระเจ้าเสมือนที่พวกเขารักชีวิตของพวกเขาเอง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบโดยสมบูรณ์ต่อการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์
ดังนั้น ท่าทีของผู้คนต่อสามสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ พระเจ้า เนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ และความจริง ควรเป็นอย่างไรหรือ? (การสามารถที่จะรับฟังและเชื่อฟัง) ไม่มีอะไรซื่อตรงเปิดเผยกว่านี้แล้ว หลังจากการรับฟัง เจ้าต้องยอมรับในหัวใจของเจ้า หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะยอมรับบางสิ่งบางอย่าง เจ้าก็ต้องแสวงหาอยู่เรื่อยไปจนกระทั่งเจ้าสามารถยอมรับได้แบบครบบริบูรณ์—แล้วจากนั้น ทันทีที่เจ้ายอมรับสิ่งนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องเชื่อฟัง การเชื่อฟังหมายถึงอะไรหรือ? การนั้นหมายถึงการดำเนินการ จงอย่าลอยแพสิ่งทั้งหลายหลังจากได้ยินสิ่งเหล่านั้นแล้ว จากภายนอกแล้ว เจ้าสัญญาที่จะทำสิ่งเหล่านั้นและเจ้าจดบันทึกสิ่งเหล่านั้นลงไป เจ้าหมายมั่นที่จะใช้สิ่งเหล่านั้นในการเขียน เจ้าได้ยินสิ่งเหล่านั้นด้วยหูของเจ้า แต่สิ่งเหล่านั้นขาดหายไปจากหัวใจของเจ้า และเมื่อถึงเวลาที่จะปฏิบัติตน เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนา เจ้าไม่ได้ใส่ใจจริงจังกับสิ่งที่เจ้าเขียนลงไป และปฏิบัติกับสิ่งนั้นราวกับไม่สำคัญ นี่ไม่ใช่การเชื่อฟัง การเชื่อฟังที่แท้จริงหมายถึงการรับฟังและการเข้าใจด้วยหัวใจของเจ้า นั่นหมายถึงการยอมรับที่จริงแท้ โดยยอมรับว่าเป็นกิจหนึ่ง เป็นคำบัญชาหนึ่ง ความรับผิดชอบซึ่งเป็นภาระผูกพัน การนั้นไม่ใช่แค่กรณีของการยอมรับบางสิ่งบางอย่างในหัวใจของเจ้าเท่านั้น เจ้าต้องแปรการนั้นไปสู่การกระทำที่เป็นรูปธรรม เส้นทางที่เจ้าเดิน และวัตถุประสงค์กับทิศทางที่เจ้าวิ่งไปหานั้น คือข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่เจ้าได้ยินมาจากพระเจ้า และสิ่งที่ทำโดยมือของเจ้า อยากได้อยากมีด้วยหัวใจของเจ้า และคิดด้วยจิตใจของเจ้า และราคาที่เจ้าจ่ายนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งสิ่งที่พระเจ้าทรงขอจากเจ้า นี่คือ “การดำเนินการ” อะไรหรือคือความหมายโดยนัยของการเชื่อฟัง? การกระทำการ การดำเนินการ การทำบางสิ่งบางอย่างให้เป็นความเป็นจริง เจ้าจดบันทึกสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงขอลงไปบนกระดาษ โดยบันทึกสิ่งนั้นด้วยการเขียน แต่สิ่งนั้นไม่อยู่ในหัวใจของเจ้า และเมื่อถึงเวลาที่ต้องปฏิบัติตน เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าปรารถนา โดยภายนอกแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าได้ทำสิ่งนั้นแล้ว แต่เจ้าทำเช่นนั้นไปตามหลักการของเจ้าเอง นี่ไม่ใช่การรับฟังและการเชื่อฟัง นี่เรียกว่าการเหยียดหยามความจริง การล่วงละเมิดหลักธรรมอย่างโจ่งแจ้ง และการไม่คำนึงถึงการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า นี่คือความเป็นกบฏ
ตัดตอนมาจาก “ส่วนเพิ่มเติมส่วนที่สาม: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมฟังพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระเจ้า (2)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์
เมื่อโนอาห์ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงชี้นำ เขาไม่รู้ว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไร เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงต้องการที่จะทำอะไรให้สำเร็จลุล่วง พระเจ้าเพียงได้ทรงให้พระบัญชาแก่เขา และชี้นำให้เขาทำบางอย่าง และโดยไม่ต้องอธิบายมากความ โนอาห์ก็เดินหน้าและทำตามนั้น เขาไม่ได้พยายามเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างลับๆ และเขาไม่ได้ต้านทานพระเจ้าหรือแสดงความไม่จริงใจ เขาเดินหน้าและทำตามนั้นเลยด้วยใจที่บริสุทธิ์และเรียบง่าย ไม่ว่าพระเจ้าทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาก็ทำ และการเชื่อฟังและฟังพระวจนะของพระเจ้าค้ำจุนความเชื่อของเขาในสิ่งที่เขาได้ทำ นั่นเป็นวิธีที่เขาจัดการกับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้อย่างตรงไปตรงมาและเรียบง่าย ธาตุแท้ของเขา—ธาตุแท้ของการกระทำของเขาคือการเชื่อฟัง ไม่ใช่การเดาสุ่ม ไม่ใช่การต้านทาน และยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่การนึกถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของเขาเอง หรือผลกำไรและขาดทุนของเขา ยิ่งกว่านั้น เมื่อพระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม โนอาห์ก็ไม่ได้ทูลถามว่าเมื่อใด หรือทูลถามว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งต่างๆ และแน่นอนเขาไม่ได้ทูลถามพระเจ้าว่าพระองค์จะทรงทำลายโลกอย่างไร เขาเพียงทำตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ ไม่ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้มันถูกทำอย่างไร และถูกทำด้วยอะไร เขาก็ได้ทำตามที่พระเจ้าได้ทรงขออย่างถูกต้อง และได้เริ่มดำเนินการโดยทันที เขาปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับคำชี้นำของพระเจ้าด้วยท่าทีแห่งความต้องการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เขากำลังทำเพื่อช่วยเหลือตัวเองให้หลีกเลี่ยงความวิบัติหรือไม่? ไม่ เขาได้ถามพระเจ้าหรือไม่ว่าจะใช้เวลาอีกนานเท่าใดก่อนที่โลกจะถูกทำลาย? เขาไม่ได้ถาม เขาได้ถามพระเจ้าหรือไม่ หรือว่าเขารู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดในการสร้างเรือ? เขาไม่ได้รู้เรื่องนั้นเช่นกัน เขาเพียงเชื่อฟัง ฟัง และปฏิบัติตาม
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1
ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ตรัสว่าพระองค์จะทรงมอบบุตรชายคนหนึ่งให้อับราฮัม อับราฮัมได้พูดอะไรต่อการนั้นเล่า? เขาไม่ได้พูดอะไรเลย—เขาเชื่อว่าสิ่งที่พระเจ้าตรัสจะถูกทำ นี่คือท่าทีของอับราฮัม เขาได้ทำการตัดสินอันใดหรือไม่? เขาได้พูดถากถางหรือไม่? เขาได้ทำสิ่งใดที่ลับๆ ล่อๆ หรือไม่? (ไม่) นี่เรียกว่าความเชื่อฟัง เรียกกันว่าการคงมั่นอยู่กับที่ทางของคนเรา การคงมั่นต่อหน้าที่ของคนเรา ส่วนภรรยาของเขา ซาราห์—เธอไม่ได้ต่างไปจากอับราฮัมหรอกหรือ? ท่าทีของเธอที่มีต่อพระเจ้าคืออะไร? เธอตั้งคำถาม พูดจาถากถาง ไม่เชื่อ—และเธอตัดสิน และเธอได้ทำการหลอกใช้แบบหยุมหยิม โดยการมอบหญิงรับใช้ของเธอแก่อับราฮัมในฐานะภรรยาน้อย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ก่อให้เกิดสภาวะที่ไร้เหตุผลขึ้นมากมายเหลือเกิน การนี้ก็มาจากเจตจำนงของมนุษย์ ซาราห์ไม่ได้คงมั่นอยู่กับที่ทางของตัวเธอเอง และจึงได้มีคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าและการไม่เชื่อในพระองค์เกิดขึ้นในตัวเธอ อะไรหรือคือสาเหตุแห่งการไม่เชื่อของเธอ? การนั้นมีสาเหตุและบริบทหลายประการ ประการหนึ่งนั้นคือการที่อับราฮัมในตอนนั้นค่อนข้างชราแล้ว อีกประการหนึ่งก็คือการที่ตัวเธอเองนั้นก็ค่อนข้างมีอายุและก็ไร้ความสามารถที่จะมีลูกหลานได้อีกด้วย เหล่านี้รวมกันแล้วทำให้เธอเชื่อว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไม่ได้—เป็นเล่ห์กลหนึ่งที่ใช้ล้อเล่นกับเด็ก เธอไม่ได้ยอมรับและเชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่าเป็นความจริง แต่รับเอาการนั้นไว้เหมือนเป็นการโกหกหรือการพูดตลกคะนองอย่างหนึ่ง นี่คือท่าทีที่ถูกต้องหรือไม่? การรับเอาพระวจนะของพระเจ้าไว้เหมือนเป็นคำโกหกของจอมลวงคนหนึ่ง—นี่ใช่ท่าทีซึ่งคนเราควรใช้ปฏิบัติต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้างหรือไม่? (ไม่ใช่) และดังนั้นแล้ว เพราะเธอได้รับเอาพระวจนะของพระเจ้าไว้เหมือนเป็นการพูดตลกคะนอง เหมือนเป็นคำโกหกของจอมลวงคนหนึ่ง และไม่ได้รับเอาไว้เหมือนเป็นความจริง และเพราะเธอไม่เชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือสิ่งที่พระเจ้ากำลังจะทรงทำ จึงได้มีชุดของผลสืบเนื่องเกิดขึ้นตามมา ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากเจตจำนงของมนุษย์และการไม่เชื่อของซาราห์ โดยแก่นสารแล้ว เธอกำลังพูดว่า “พระเจ้าทรงสามารถทำสิ่งนี้ได้หรือ? ถ้าหากพระองค์ไม่ทรงสามารถ ฉันก็ต้องลงมือดำเนินการช่วยทำให้พระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าลุล่วง” ภายในตัวเธอ มีการเข้าใจผิด การตัดสิน การคาดเดา และคำถาม ซึ่งล้วนแล้วแต่ผสานกันส่งผลต่อบทบาทแห่งการเป็นกบฏต่อพระเจ้าโดยบุคคลหนึ่งซึ่งมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม อับราฮัมไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นการอวยพรนี้จึงไม้ได้ถูกประทานกับเขา พระเจ้าทรงทอดพระเนตรเห็นหัวใจแห่งความเคารพของอับราฮัมที่มีแด่พระองค์ ความจงรักภักดีของเขา และท่าทีของเขา และพระเจ้าจะทรงมอบบุตรชายให้แก่เขาเพื่อที่เขาจะได้เป็นบิดาของชนชาติมากมาย นี่เป็นสิ่งที่อับราฮัมได้รับสัญญาและการปฏิบัติอันเป็นพิเศษของพระองค์ที่มีต่อซาราห์ เพราะฉะนั้นความเชื่อฟังจึงสำคัญเป็นอย่างมาก ภายในความเชื่อฟังนั้น มีการตั้งคำถามหรือไม่? หากมี การนั้นนับเป็นความเชื่อฟังที่แท้จริงหรือไม่? หากมีการวิเคราะห์และการตัดสินอยู่ภายในความเชื่อฟังนั้น นั่นนับรวมหรือไม่? (ไม่) นับประสาอะไรที่ความเชื่อฟังนั้นจะนับรวมหากคนเราลองพยายามที่จะค้นหาความผิด เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดหรือที่ถูกสำแดงและเปิดโปง—และสิ่งใดหรือคือพฤติกรรม—ภายในความเชื่อฟัง ที่พิสูจน์อย่างครบถ้วนว่านั่นเป็นความเชื่อฟังที่แท้จริง? (การเชื่อ) การเชื่อที่แท้จริงเป็นหนึ่งสิ่ง คนเราต้องเข้าใจอย่างถูกต้องในสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ และยืนยันว่าทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้องและเป็นความจริง ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถามกับการนั้น อีกทั้งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องถามผู้อื่นเกี่ยวกับการนั้น และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องชั่งน้ำหนักการนั้นและพิจารณาการนั้น หรือวิเคราะห์การนั้นในหัวใจของคนเราเอง นี่คือหนึ่งแง่มุมของความเชื่อฟัง จงเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง เมื่อบุคคลหนึ่งทำบางสิ่ง พวกเราอาจมองดูว่าบุคคลใดทำการนั้น ดูที่ภูมิหลังและคุณลักษณะที่ดีของพวกเขา สิ่งเหล่านี้พึงต้องมีการวิเคราะห์ ในทางกลับกัน หากบางสิ่งมาจากพระเจ้าและทำโดยพระองค์ พวกเราต้องปิดปากของพวกเราทันที—จงอย่าตั้งคำถามกับการนั้นและจงอย่ายกข้อซักถามทั้งหลายขึ้นมา แต่จงยอมรับการนั้นในความครบถ้วนบริบูรณ์ของการนั้น แล้วสิ่งที่จะต้องทำถัดไปคืออะไรหรือ? มีความจริงบางอย่างในที่นี้ที่ผู้คนค่อนข้างไม่เข้าใจ และความจริงเหล่านั้นอยู่ห่างพระเจ้า แม้ว่าพวกเขาเชื่อและสามารถนบนอบ และสามารถระลึกได้ว่าสิ่งนี้ทำโดยพระเจ้า การระลึกรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนี้ก็ยังคงมีธรรมชาติเชิงคำสอนอยู่บ้าง และพวกเขาจึงรู้สึกว้าวุ่นในหัวใจ ในเวลาเช่นนั้น บุคคลหนึ่งต้องแสวงหา โดยถามว่า “ในการนี้มีความจริงใดอยู่? ตรงไหนคือข้อผิดพลาดในการคิดของฉัน? ฉันได้กลายเป็นห่างจากพระเจ้าอย่างไร? ทรรศนะใดของฉันขัดแย้งกับสิ่งที่พระเจ้าตรัส?” การมีความสามารถที่จะแสวงหาคำตอบเช่นนั้นเป็นท่าทีและการปฏิบัติอันเป็นความเชื่อฟัง มีพวกที่พูดว่าพวกเขาเชื่อฟัง แล้วจากนั้น เมื่อบางสิ่งตกมาถึงพวกเขาในเวลาต่อมา ก็พูดว่า “ใครจะไปรู้ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด? พวกเราสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่สามารถแทรกแซงได้ดอก ปล่อยให้พระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงต้องประสงค์เถิด!” นี่เป็นความเชื่อฟังหรือไม่? นี่เป็นท่าทีประเภทใดกัน? นั่นเป็นความไม่ชอบต่อการรับความรับผิดชอบ นั่นเป็นการขาดพร่องความกังวลใส่ใจสำหรับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ การนั้นเป็นความไม่แยแสอันเย็นชา อับราฮัมมีความสามารถที่จะเชื่อฟังเพราะเขาถือปฏิบัติหลักธรรมหลายประการ และเขาปลงใจในการเชื่อของเขาว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัสจะถูกทำและจะถูกทำให้ลุล่วง โดยไม่มีความกังขา เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีคำถาม เขาไม่ได้ทำการประเมินอันใด อีกทั้งเขาไม่ได้กระทำการหลอกใช้อันหยุมหยิมอันใด นั่นเองคือวิธีที่เขาประพฤติตน
ตัดตอนมาจาก “ท่าทีที่มนุษย์ควรมีต่อพระเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
สำหรับมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงทำหลายสิ่งที่ไม่อาจจับใจความได้และแม้กระทั่งไม่อาจเชื่อได้ เมื่อพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะจัดวางเรียบเรียงใครบางคน การจัดวางเรียบเรียงนี้มักจะขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และเขาไม่อาจจับใจความได้ แต่กระนั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะความไม่สอดคล้องและความไม่อาจจับใจความได้นี้นั่นเองที่เป็นการทดสอบและการทดลองมนุษย์ของพระเจ้า ในขณะเดียวกัน อับราฮัมก็สามารถแสดงให้เห็นการเชื่อฟังพระเจ้าภายในตัวเขาได้ ซึ่งเป็นสภาพเงื่อนไขที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดในการที่เขาจะสามารถทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ได้ เมื่อนั้นเท่านั้น เมื่ออับราฮัมสามารถเชื่อฟังข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เมื่อเขาได้มอบถวายอิสอัคแล้วเท่านั้น พระเจ้าจึงได้รู้สึกวางพระทัยและทรงเห็นชอบต่อมวลมนุษย์อย่างแท้จริง—ต่ออับราฮัม ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรร เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงมั่นพระทัยว่าบุคคลผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกสรรคนนี้เป็นผู้นำที่ขาดเสียไม่ได้ ผู้ซึ่งสามารถรับพระสัญญาของพระองค์และแผนการบริหารจัดการในภายหลังของพระองค์ได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการทดสอบและการทดลอง แต่พระเจ้าก็รู้สึกอิ่มเอิบพระทัย พระองค์ทรงรู้สึกถึงความรักที่มนุษย์มีต่อพระองค์ และพระองค์รู้สึกสบายพระทัยโดยมนุษย์อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ณ ชั่วขณะนั้นที่อับราฮัมยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าอิสอัค พระเจ้าได้ทรงหยุดเขาหรือไม่? พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้อับราฮัมพลีอุทิศอิสอัค เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงมีเจตนารมณ์ที่จะเอาชีวิตของอิสอัคอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงได้หยุดอับราฮัมทันเวลา สำหรับพระเจ้าแล้วนั้น การเชื่อฟังของอับราฮัมได้ผ่านการทดสอบแล้ว สิ่งที่เขาได้ทำไปนั้นเพียงพอแล้ว และพระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นบทอวสานของสิ่งที่พระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำแล้ว บทอวสานนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าหรือไม่? สามารถกล่าวได้ว่าบทอวสานนี้เป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้า ว่ามันคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ และเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงถวิลหารอคอยที่จะเห็น เรื่องนี้จริงหรือไม่? ถึงแม้ว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบแต่ละบุคคล พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ในตัวอับราฮัม พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของอับราฮัมนั้นซื่อตรง และว่าการเชื่อฟังของเขานั้นไม่มีเงื่อนไข แน่นอนว่า “การไม่มีเงื่อนไข” นี้นั่นเองที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2
ในการเชื่อในพระเจ้าของเขา เปโตรได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่าง และได้พยายามเชื่อฟังทั้งหมดที่ได้มาจากพระเจ้า โดยที่ไม่มีการปริบ่นแม้แต่น้อย เขาสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษา ตลอดจนกระบวนการถลุง ความทุกข์ลำบาก และการดำเนินต่อไปโดยความไม่มีสิ่งใดเลยในชีวิตของเขา ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาเหล่านี้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความรักขั้นสูงสุดที่มีแด่พระเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าหรอกหรือ? ไม่ว่าในการตีสอน การพิพากษา หรือความทุกข์ลำบาก เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังจนตายได้เสมอ และนี่คือสิ่งที่ควรสัมฤทธิ์โดยสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือความบริสุทธิ์ของความรักที่มีแด่พระเจ้า หากมนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ผลได้มากขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่มีสิ่งใดเลยที่ทำให้สมดังที่พระผู้สร้างทรงพึงปรารถนาได้ดีกว่า จงจินตนาการว่าเจ้าสามารถทำงานเพื่อพระเจ้าได้ ทว่าเจ้ากลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ในหนทางนี้ ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าคือใครบางคนที่ไม่ครองความจริง ที่ไม่สามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้ และที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เจ้าเพียงใส่ใจกับการทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น และไม่ใส่ใจกับการนำความจริงไปปฏิบัติหรือการรู้จักตัวเจ้าเอง เจ้าไม่เข้าใจหรือรู้จักพระผู้สร้าง และไม่เชื่อฟังหรือรักพระผู้สร้าง เจ้าคือใครบางคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้ามาแต่กำเนิด และดังนั้นแล้วผู้คนเช่นนั้นจึงไม่เป็นที่รักโดยพระผู้สร้าง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน
การเป็นพยานที่ดังกึกก้องให้แก่พระเจ้านั้นโดยพื้นฐานแล้วสัมพันธ์กับการที่เจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงหรือไม่ และกับการที่เจ้ามีความสามารถที่จะนบนอบต่อหน้าบุคคลนี้ได้หรือไม่ ผู้ซึ่งไม่ใช่แค่ธรรมดาสามัญเท่านั้น แต่ปกติด้วย และนบนอบจนกระทั่งถึงแก่ความตาย หากเจ้าเป็นพยานอย่างแท้จริงต่อพระเจ้าด้วยหนทางแห่งการนบนอบนี้ นั่นหมายความว่าเจ้าได้ถูกพระเจ้ารับไว้แล้ว หากเจ้าสามารถนบนอบจนกระทั่งถึงแก่ความตายและปราศจากการร้องทุกข์ ไม่ทำการตัดสิน ไม่ใส่ร้าย ไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใด และไม่มีสิ่งจูงใจแอบแฝงอันใดเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะทรงได้มาซึ่งพระสิริในหนทางนี้ การนบนอบต่อหน้าบุคคลปกติธรรมดาคนหนึ่งผู้ซึ่งถูกมนุษย์ดูแคลน และการมีความสามารถที่จะนบนอบไปจนกระทั่งหมดลมหายใจโดยไม่มีมโนคติที่หลงผิดใดๆ—นี่ละคือคำพยานจริงแท้ ความเป็นจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเข้าสู่นั้นก็คือการที่เจ้าสามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ นำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ กราบไหว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและรู้จักความเสื่อมทรามของเจ้าเอง เปิดใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระองค์ และในท้ายที่สุดก็ได้ถูกพระองค์รับไว้โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ของพระองค์ พระเจ้าได้รับพระสิริเมื่อถ้อยดำรัสเหล่านี้พิชิตเจ้าและทำให้เจ้าเชื่อฟังพระองค์อย่างเต็มที่ โดยผ่านการนี้พระองค์ทรงทำให้ซาตานอับอายและทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์ เมื่อเจ้าไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับการทรงภาคชีวิตจริงของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—กล่าวคือ เมื่อเจ้าได้ตั้งมั่นในการทดสอบนี้—เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ได้เป็นพยานในการนี้เป็นอย่างดีแล้ว เมื่อมาถึงวันซึ่งเจ้ามีความเข้าใจเต็มเปี่ยมเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงและสามารถนบนอบจนกระทั่งถึงแก่ความตายเหมือนที่เปโตรเคยทำ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะได้รับการรับไว้และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้าก็คือการทดสอบสำหรับเจ้า หากพระราชกิจของพระเจ้าอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็คงจะไม่จำเป็นต้องทนทุกข์หรือได้รับการถลุง เป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงยิ่งนักและไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้านั่นเอง เจ้าจึงจำเป็นต้องปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดเช่นนั้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันจึงเป็นการทดสอบสำหรับเจ้า เป็นเพราะการทรงภาคชีวิตจริงของพระเจ้านั่นเอง ผู้คนทั้งปวงจึงอยู่ในท่ามกลางการทดสอบ พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ใช่เหนือธรรมชาติ เจ้าจะได้รับการรับไว้โดยพระองค์ด้วยการเข้าใจพระวจนะที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์และถ้อยดำรัสที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระองค์อย่างเต็มที่โดยไม่มีมโนคติที่หลงผิดอันใด และการมีความสามารถที่จะรักพระองค์อย่างแท้จริงในขณะที่พระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากยิ่งขึ้นทุกที กลุ่มผู้คนที่พระเจ้าจะทรงรับไว้นั้นคือบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้า นั่นคือบรรดาผู้ที่รู้จักการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบต่อพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบโดยสมบูรณ์ต่อการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ