วิธีที่คนเราสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างพอเพียงได้

วันที่ 27 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ในวลีที่ว่า “การปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ” การเน้นความสำคัญอยู่ที่คำว่า “เพียงพอ” ดังนั้น ควรจะกำหนดนิยามคำว่า “เพียงพอ” อย่างไร? ในการนี้ก็มีความจริงให้แสวงหาเช่นกัน เป็นการเพียงพอหรือไม่ที่จะทำการงานที่พอผ่านได้? สำหรับรายละเอียดเฉพาะว่าจะเข้าใจและมองคำว่า “เพียงพอ” อย่างไรนั้น เจ้าต้องเข้าใจความจริงมากมายและสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงให้มากขึ้น ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงนั้น เจ้าต้องเข้าใจความจริงและหลักการทั้งหลายของความจริง เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถเข้าถึงการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอได้ เหตุใดผู้คนจึงควรปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วง? ทันทีที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและได้ยอมรับพระบัญชาของพระองค์แล้ว ผู้คนก็จะมีส่วนแบ่งในภาระหน้าที่ของพวกเขาและภาระผูกพันในพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและในสถานที่ของพระราชกิจของพระเจ้า และในทางกลับกัน เนื่องจากภาระหน้าที่และภาระผูกพันนี้ พวกเขาได้กลายเป็นองค์ประกอบหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า—องค์ประกอบของเป้าหมายในพระราชกิจของพระองค์ และองค์ประกอบของเป้าหมายในความรอดของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีสัมพันธภาพที่เป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งระหว่างความรอดของผู้คนกับวิธีที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง ว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่เหล่านั้นได้ดีหรือไม่ และว่าพวกเขาสามารถทำหน้าที่เหล่านั้นได้อย่างเพียงพอหรือไม่ ในเมื่อเจ้าได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและได้ยอมรับพระบัญชาของพระองค์แล้ว บัดนี้เจ้าก็มีหน้าที่หนึ่ง นั่นไม่ใช่การให้เจ้าพูดว่าเจ้าควรจะปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ลุล่วงอย่างไร แต่เป็นการให้พระเจ้าตรัส และได้รับการบอกบทโดยมาตรฐานแห่งความจริง เพราะฉะนั้น ผู้คนควรเข้าใจและชัดเจนเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงวัดสิ่งทั้งหลาย—นี่คือสิ่งที่คุ้มค่าที่จะแสวงหา ในพระราชกิจของพระเจ้านั้น ผู้คนที่แตกต่างกันรับหน้าที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ผู้คนรับหน้าที่ที่แปรเปลี่ยนไปโดยขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ ขีดความสามารถ อายุ สภาวะเงื่อนไข และยุคสมัยของพวกเขา ไม่สำคัญว่าเจ้าได้รับมอบหน้าที่ใด และไม่สำคัญว่าเป็นยุคสมัยใดหรือรูปการณ์แวดล้อมใดที่เจ้ารับหน้าที่นั้น หน้าที่ก็คงเป็นหน้าที่ นั่นมิใช่บางสิ่งบางอย่างที่บุคคลหนึ่งบริหารจัดการ ในท้ายที่สุดท้าย มาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อเจ้าก็คือการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเพียงพอ คำว่า “เพียงพอ” ควรได้รับการอธิบายอย่างไร? นั่นหมายความว่า การทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย งานของเจ้าต้องได้รับการเรียกว่าเพียงพอโดยพระเจ้าและได้รับการทรงรับรองของพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างเพียงพอแล้ว หากพระเจ้าตรัสว่างานของเจ้าไม่เพียงพอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงด้วยดี ถึงแม้ว่าเจ้าอาจจะกำลังทำหน้าที่ของเจ้าและพระองค์ทรงยอมรับว่าเจ้าได้ทำหน้าที่นั้นแล้ว แต่หากเจ้าไม่ได้ทำหน้าที่นั้นอย่างเพียงพอ เช่นนั้นแล้ว ผลสืบเนื่องที่ตามมาทั้งหลายจะเป็นอย่างไร? ในกรณีที่ร้ายแรง ความหวังของผู้คนในความรอดก็อาจจะมลายหายหรือแตกสลายไป ในกรณีที่ร้ายแรงน้อยกว่า พวกเขาอาจจะถูกลิดรอนสิทธิของพวกเขาในการทำหน้าที่ให้ลุล่วง หลังจากถูกลิดรอนสิทธิเช่นนั้นแล้ว ผู้คนบางคนถูกพักวางไว้ก่อน ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาจะได้รับการดูแลและจัดการเตรียมการโดยแยกต่างหาก การถูกดูแลและจัดการเตรียมการโดยแยกต่างหากหมายความว่าพวกเขาถูกกำจัดทิ้งหรือไม่? ไม่จำเป็น พระเจ้าจะทรงรอดูว่าผู้คนเหล่านี้กระทำการอย่างไร ด้วยเหตุนี้เอง วิธีที่คนเราปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจึงเป็นจุดสำคัญ ผู้คนควรปฏิบัติกับหน้าที่ด้วยความรอบคอบและเอาจริงเอาจังกับหน้าที่นั้น และถือว่านั่นเป็นเรื่องสำคัญใหญ่หลวงในการแสวงหาการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ซึ่งพวกเขาอาจจะได้รับการช่วยให้รอดด้วยเหตุนี้ พวกเขาต้องไม่ปฏิบัติกับหน้าที่นั้นอย่างประมาท

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าควรเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ มีเพียงบรรดาผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นอย่างดีเท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าทรงพึงพอพระทัยได้ และมีเพียงโดยการทำกิจทั้งหลายที่พระองค์ได้ทรงไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาจนครบบริบูรณ์เท่านั้น ผลงานการปฏิบัติหน้าที่ของคนเราจึงจะเป็นที่น่าพึงพอใจ การทำพระบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงนั้นมีมาตรฐานอยู่ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน และสุดกำลังของท่าน” การรักพระเจ้าคือหนึ่งแง่มุมของสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อผู้คน ในความจริงนั้น ตราบเท่าที่พระเจ้าได้ทรงมอบพระบัญชาแก่ผู้คน และตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อในพระองค์และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เหล่านี้คือมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ต่อพวกเขา กล่าวคือ ให้พวกเขาปฏิบัติตนด้วยสุดใจของพวกเขา และด้วยสุดจิตของพวกเขา และด้วยสุดความคิดของพวกเขา และด้วยสุดกำลังของพวกเขา หากมีเจ้าอยู่แต่ไม่มีหัวใจของเจ้า—หากมีความทรงจำและความคิดในจิตใจของเจ้าอยู่ แต่ไม่มีหัวใจของเจ้า—และหากเจ้าทำสิ่งทั้งหลายให้สำเร็จลุล่วงโดยวิถีทางที่เป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง เจ้ากำลังทำให้พระบัญชาของพระเจ้าลุล่วงหรือไม่? ดังนั้น สิ่งใดหรือคือมาตรฐานที่เจ้าต้องทำตามเพื่อที่จะลุล่วงพระบัญชาของพระเจ้า และเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีและโดยจงรักภักดี? นั่นคือการทำหน้าที่ของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้า หากเจ้าพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีโดยไม่มีหัวใจที่รักพระเจ้า การนั้นก็จะไม่ได้ผล หากความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าเติบโตแข็งแกร่งมากขึ้นและจริงแท้มากขึ้นตลอดเวลา เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า ด้วยสุดจิตของเจ้า ด้วยสุดความคิดของเจ้า และด้วยสุดกำลังของเจ้าไปโดยธรรมชาติเอง

ตัดตอนมาจาก “สิ่งที่ผู้คนพึ่งพาอย่างแท้จริงมาโดยตลอดในการดำรงชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ไม่สำคัญว่าเจ้าลุล่วงหน้าที่ใด เจ้าต้องพยายามที่จะจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเข้าใจว่าข้อพึงประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่ของเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะรับมือกับเรื่องราวสารพันในหนทางซึ่งมีหลักธรรม ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า แน่นอนที่สุดว่า เจ้าไม่สามารถทำไปตามการเลือกชอบส่วนตัวของเจ้า โดยการแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าประสงค์จะทำ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าคงจะมีความสุขและชูใจที่จะทำ หรือสิ่งใดก็ตามที่คงจะทำให้เจ้าดูดี หากเจ้านำการเลือกชอบส่วนบุคคลของเจ้ามาบังคับใช้กับพระเจ้า หรือฝึกฝนปฏิบัติการเลือกชอบเหล่านั้นราวกับเป็นความจริง ถือปฏิบัติการเลือกชอบเหล่านั้นราวกับพวกมันเป็นความจริงหลักธรรม เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของเจ้า และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าในหนทางนี้จะไม่ได้รับการจดจำโดยพระเจ้า ผู้คนบางคนไม่เข้าใจความจริง และพวกเขาไม่รู้ว่าการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงไปด้วยดีนั้นหมายถึงสิ่งใด พวกเขารู้สึกว่าในเมื่อพวกเขาได้ใส่หัวใจและทุ่มความพยายามเข้าไปในการทำหน้าที่นั้น ละทิ้งเนื้อหนังของพวกเขาและทนทุกข์ เช่นนั้นแล้ว การลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาก็ควรขึ้นไปถึงมาตรฐาน—แต่แล้วเหตุใดเล่าพระเจ้าจึงไม่พึงพอพระทัยอยู่เสมอ? ผู้คนเหล่านี้ได้ทำผิดไปตรงไหนหรือ? ความผิดของพวกเขาก็คือการไม่แสวงหาให้พบข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับปฏิบัติตนไปตามแนวคิดของตัวพวกเขาเอง พวกเขาปฏิบัติต่อความอยากได้อยากมี การเลือกชอบ และสิ่งจูงใจแบบเห็นแก่ตัวทั้งหลายของพวกเขาเองประหนึ่งเป็นความจริง และพวกเขาปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นราวกับว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรัก ราวกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นมาตรฐานและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ พวกเขามองสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง ดีงาม และสวยงามว่าเป็นความจริง การนี้ผิด ในข้อเท็จจริงแล้ว แม้บางคราวผู้คนอาจจะคิดว่าบางสิ่งบางอย่างนั้นถูก และว่ามันสอดคล้องกับความจริง นั่นก็ไม่จำเป็นต้องหมายความว่า มันสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ยิ่งผู้คนคิดว่าบางสิ่งถูกต้องมากเท่าไร พวกเขาก็ควรใช้ความระมัดระวังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาควรแสวงหาความจริงมากขึ้นเท่านั้น เพื่อที่จะมองเห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังคิดนั้นบรรจบกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าหรือไม่ หากมันเกิดวิ่งสวนทางกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์และสวนทางกับพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนั่นก็ยอมรับไม่ได้ต่อให้เจ้าคิดว่ามันถูก มันก็เป็นแค่เพียงความคิดแบบมนุษย์ และมันจะไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความจริงโดยไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่ามันถูกต้องเพียงใดก็ตาม การกำหนดพิจารณาของเจ้าในเรื่องถูกและผิดนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้าแต่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น และไม่สำคัญว่าเจ้าคิดว่าบางสิ่งบางอย่างถูกต้องเพียงใดก็ตาม เจ้าต้องทิ้งขว้างมันไป เว้นเสียแต่ว่ามีมูลฐานสำหรับมันอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า หน้าที่คืออะไรหรือ? มันก็คือพระบัญชาหนึ่งซึ่งพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่ผู้คน ดังนั้นแล้ว เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างไรหรือ? ก็โดยการปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์และมาตรฐานทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการมีพื้นฐานของพฤติกรรมของเจ้าอยู่บนความจริงหลักธรรมมากกว่าที่จะอยู่บนความอยากได้อยากมีตามความชอบส่วนตัวของมนุษย์ ในหนทางนี้ การลุล่วงของเจ้าในหน้าที่ทั้งหลายของเจ้าย่อมขึ้นไปถึงมาตรฐาน

ตัดตอนมาจาก “โดยการแสวงหาหลักธรรมแห่งความจริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ดี” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ตอนที่กำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เจ้าควรตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอเพื่อที่จะมองเห็นว่าเจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรมหรือเปล่า ว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นได้มาตรฐานหรือเปล่า ว่าเจ้าแค่กำลังทำมันไปในลักษณะพอเป็นพิธีหรือไม่ ว่าเจ้าได้พยายามที่จะบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ และว่ามีปัญหาอันใดกับท่าทีของเจ้าและหนทางการคิดของเจ้าหรือไม่ ครั้นเจ้าได้มีการคิดทบทวนตัวเองแล้ว และสิ่งเหล่านี้กลายมาเป็นชัดเจนต่อเจ้า เวลาที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ให้ลุล่วงก็ย่อมจะง่ายดายขึ้น ไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญสิ่งใดในขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า—ความคิดลบ และความอ่อนแอ หรือการอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีภายหลังจากที่ได้รับการจัดการ—เจ้าควรปฏิบัติต่อมันอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน โดยการทำสิ่งเหล่านี้ เจ้าก็จะมีเส้นทางไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำได้ดีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง เช่นนั้นแล้วอารมณ์ของเจ้าต้องไม่มีผลต่อเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังรู้สึกคิดลบและอ่อนแอเพียงใด เจ้าควรฝึกฝนปฏิบัติความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ด้วยความเคร่งครัดอย่างสมบูรณ์ และติดอยู่กับหลักธรรมทั้งหลาย หากเจ้าทำการนี้แล้วไซร้ ผู้คนอื่นๆ ไม่เพียงแต่จะเห็นชอบต่อตัวเจ้าเท่านั้น แต่พระเจ้าก็จะโปรดเจ้าด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เจ้าจะเป็นบุคคลหนึ่งที่รับผิดชอบและที่แบกรับภาระ เจ้าจะเป็นบุคคลที่ดีอย่างถ่องแท้ผู้ซึ่งลุล่วงหน้าที่ของเจ้าอย่างได้มาตรฐานจริงๆ และผู้ซึ่งใช้ชีวิตที่เป็นสภาพเสมือนของบุคคลจริงแท้คนหนึ่งอย่างครบถ้วน ผู้คนเช่นนั้นได้รับการทำให้บริสุทธิ์และสัมฤทธิ์การแปลงสภาพจริงในตอนที่กำลังทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขานั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า เฉพาะผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถพากเพียรบากบั่นกับการฝึกฝนปฏิบัติความจริงและประสบความสำเร็จในการปฏิบัติตนตามหลักธรรม และสามารถทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงอย่างได้มาตรฐาน ผู้คนซึ่งปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมนั้นทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงไปอย่างพิถีพิถันเมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ดี พวกเขาไม่ได้ทำงานในลักษณะขอไปที พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาไม่อวดโอ้ตัวเองเพื่อทำให้ผู้อื่นนึกถึงตัวพวกเขาอย่างสูงส่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดี พวกเขาก็ทำกิจประจำวันของพวกเขาเสร็จสิ้นไปอย่างจริงจังตั้งใจและมีความรับผิดชอบไม่ต่างกัน และต่อให้พวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายเสียหายต่อการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง หรือที่ทำให้เกิดแรงกดดันต่อพวกเขาเล็กน้อย หรือเป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักในขณะที่พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาก็ยังมีความสามารถที่จะทำหัวใจให้สงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐาน โดยกล่าวว่า “ไม่สำคัญว่าปัญหาที่ข้าพระองค์เผชิญนั้นใหญ่แค่ไหน—ต่อให้ฟ้าสวรรค์ถล่มลงมา—ตราบที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไป ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะทำให้ดีที่สุดเท่าที่ข้าพระองค์ทำได้ในการลุล่วงหน้าที่ของข้าพระองค์ ทุกวันที่ข้าพระองค์ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่นั้น เป็นวันหนึ่งซึ่งข้าพระองค์จะทำงานหนักในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ เพื่อให้ข้าพระองค์มีค่าคู่ควรต่อหน้าที่นี้ที่พระเจ้าประทานให้กับข้าพระองค์ รวมถึงลมหายใจนี้ที่พระองค์ทรงใส่เข้ามาในร่างกายของข้าพระองค์ โดยไม่คำนึงว่าข้าพระองค์อาจจะอยู่ในความลำบากยากเย็นมากเพียงใด ข้าพระองค์จะพักวางทั้งหมดลงไว้ก่อน เพราะการทำหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ลุล่วงนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญสูงสุด!” บรรดาผู้ที่ไม่รู้สึกกระทบกระเทือนโดยบุคคลใด เหตุการณ์ใด สิ่งใด หรือสภาพแวดล้อมใด ผู้ซึ่งไม่ถูกควบคุมโดยอารมณ์หรือสถานการณ์ภายนอกอันใด และผู้ที่วางหน้าที่ทั้งหลายของพวกเขาและพระบัญชาทั้งหลายที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่พวกเขาเป็นอันดับแรกสุดก่อนสิ่งอื่นใด—พวกเขาคือผู้คนที่จงรักภักดีต่อพระเจ้าและผู้ที่นบนอบต่อพระองค์อย่างถ่องแท้ ผู้คนเช่นนี้ได้บรรลุการเข้าสู่ชีวิตและได้เข้าสู่ความจริงความเป็นจริงแล้ว นี่คือหนึ่งในการแสดงออกที่จริงแท้และสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุดของการใช้ชีวิตตามความจริง

ตัดตอนมาจาก “การเข้าสู่ชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยประสบการณ์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การปฏิบัติหน้าที่แบบสะเพร่าและขอไปทีเป็นปัญหาที่ชัดเจนพบเห็นได้ทั่วไป แต่เป็นปัญหาที่ดื้อดึงและยากลำบากที่จะแก้ไข จงเรียนรู้ที่จะเอาจริงเอาจัง เข้มงวด รับผิดชอบ จริงจังตั้งใจ และติดดินในการกระทำของเจ้าเสียก่อน โดยชนะการแข่งขันอย่างช้าๆ และมั่นคง จงไม่สิ่งหนึ่งไปเลยหรือไม่ก็จงทำสิ่งนั้นให้ดี จนกระทั่งเจ้าพึงพอใจกับสิ่งนั้นและสิ่งนั้นดีเทียบเท่ากับอุดมคติ ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น จงมีความสามารถที่จะแสวงหาหลักธรรมของสิ่งนั้นและทำสิ่งนั้นตามหลักธรรมเหล่านั้น แม้ว่าการนี้อาจพึงต้องมีความพยายามมากขึ้น และเจ้าอาจพลาดมื้ออาหารหรือการสันทนาการบางอย่าง แต่ถึงอย่างไรก็จงทำสิ่งทั้งหลายให้ดี โดยไม่สะเพร่าหรือขอไปที—และหากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งนั้น จงอย่าเสแสร้งว่าเข้าใจ แต่จงทำสิ่งนั้นเท่าที่ความเข้าใจของเจ้าเปิดโอกาสให้ ความสะเพร่าและความขอไปทีนั้นแก้ไขกันง่ายๆ หรือไม่? ทุกๆ วัน ก่อนที่เจ้าจะเข้ารับภาระหน้าที่ของหน้าที่ของเจ้า จงอธิษฐานต่อพระเจ้า จงพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังจะเริ่มหน้าที่ของข้าพระองค์ หากข้าพระองค์สะเพร่าและขอไปที ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงบ่มวินัยข้าพระองค์และทรงว่ากล่าวข้าพระองค์ในหัวใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยังขอให้พระองค์ทรงนำทางข้าพระองค์ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ให้ดีและไม่สะเพร่าและขอไปทีด้วยเช่นกัน” จงปฏิบัติในหนทางนี้ในแต่ละวันและดูว่าใช้เวลานานเพียงใดในการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างสะเพร่าและขอไปที ว่านานเพียงใดก่อนที่เจ้าจะสะเพร่าและขอไปทีบ่อยครั้งน้อยลงทุกทีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า ปฏิบัติหน้าที่นั้นด้วยสิ่งเจือปนน้อยลงเรื่อยๆ และด้วยผลลัพธ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่ดีขึ้นทุกที และด้วยประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยมขึ้นทุกที การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าโดยไม่สะเพร่าหรือขอไปที—เจ้าสามารถทำการนี้ด้วยตัวเจ้าเองได้หรือไม่? นั่นเป็นบางสิ่งที่เจ้าสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเจ้าเองหรือไม่? (นั่นไม่ง่ายที่จะควบคุม) นั่นเป็นเรื่องยุ่งยาก หากเป็นการยากลำบากอย่างแท้จริงที่จะควบคุม เช่นนั้นแล้วเรื่องเดือดร้อนของพวกเจ้าก็ใหญ่หลวงโดยแท้! เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดเล่าที่พวกเจ้าสามารถทำได้โดยไม่สะเพร่าหรือขอไปที? กินหรือ? เล่นหรือ? แต่งตัวและแต่งหน้าทาปากหรือ? ในเวลาที่ผู้หญิงบางคนแต่งหน้า พวกเธอไม่พลาดขนคิ้วหรือเส้นผมสักเส้นเลย หากพวกเจ้าต้องปฏิบัติตนด้วยท่าทีที่มีมโนธรรมเช่นนั้น พวกเจ้าจะมีความสามารถที่จะไม่สะเพร่าหรือขอไปทีได้ในทำนองเดียวกัน จงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความสะเพร่าและการขอไปทีเสียก่อน แล้วจึงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตนตามเจตจำนงของเจ้าเอง การปฏิบัติตนของคนเราตามเจตจำนงของพวกเขาเองยังพบเห็นได้ทั่วไปด้วยเช่นกัน และนั่นยังง่ายที่จะระลึกได้ในตัวเองด้วยเช่นกัน บางเวลา ด้วยเพียงแค่การตรวจสอบจิตใจและความคิดของเจ้าอย่างรวดเร็ว เจ้าจะสามารถระลึกได้ถึงการนั้นแล้วพูดว่า “สิ่งที่ฉันกำลังทำสอดคล้องกับเจตจำนงของฉันเอง ฉันรู้ว่าฉันควรทำสิ่งใดตามหลักธรรม แต่ฉันไม่ได้กำลังทำสิ่งนั้น” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายที่จะระลึกได้หรอกหรือ? (ใช่) เช่นนั้นแล้วนี่ก็ควรแก้ไขได้ จงตั้งใจแน่วแน่ต่อประเด็นปัญหาสองประเด็นนี้เป็นอันดับแรก ประเด็นหนึ่งคือการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความสะเพร่าและการขอไปที และอีกประเด็นหนึ่งคือการปฏิบัติตนตามเจตจำนงของเจ้าเอง หลังจากผ่านไปหนึ่งหรือสองปี จงเพียรพยายามที่จะไม่สะเพร่าและไม่ขอไปที อีกทั้งที่จะไม่ปฏิบัติตนตามเจตจำนงของเจ้าเอง—โดยปราศจากสิ่งเจือปนจากเจตจำนงส่วนบุคคลของเจ้า—ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ ทันทีที่ปัญหาสองข้อนี้ได้รับการแก้ไข พวกเจ้าจะอยู่ไม่ห่างไกลจากการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าได้อย่างน่าพึงพอใจ และหากพวกเจ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าย่อมยังคงอยู่ห่างไกลจากการเชื่อฟังพระเจ้าหรือการใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเจ้ายังไม่ได้แม้แต่จะสะกิดสะเกาปัญหาเหล่านี้เสียด้วยซ้ำ

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (5)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ประเภทใดหรือเจ้ากำลังศึกษาทักษะทางวิชาชีพใด เจ้าจะเก่งขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากเจ้าพยายามปรับปรุงต่อไป เจ้าก็จะเก่งขึ้นเรื่อยๆ ในทักษะนั้น หากเจ้าไม่ถือจริงจังกับสิ่งใดๆ เช่นนั้นแล้วแม้แต่สิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้มาแล้วก็จะไม่มีประโยชน์ หากเจ้าไม่แม้แต่จะถือจริงจังกับสิ่งที่เจ้าสามารถใช้ได้ และไม่รู้เลยว่าสิ่งเหล่านั้นจะออกมาอย่างไร และไม่มีใครตรงนั้นที่เข้าใจคอยนำเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันสร้างความก้าวหน้าใดได้ และทักษะที่เจ้าได้เรียนรู้มาแล้วก็จะสูญเปล่า ในการเรียนรู้สิ่งอันใดนั้น การเรียนรู้ทฤษฎีของสิ่งนั้นเป็นเรื่องง่ายดาย แต่ไม่ง่ายนักที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ หากเจ้าต้องการยกระดับทฤษฎีสู่การปฏิบัติ แล้วไปให้สูงขึ้นอีกโดยการสัมฤทธิ์บางสิ่งจากรากฐานของการปฏิบัติ หาประโยชน์มากขึ้นจากจุดแข็งของเจ้า หรือนำสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้มาดำเนินการในการปฏิบัติและในการสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ เจ้าต้องทำสิ่งใดบ้าง? เจ้าต้องใช้เวลามากขึ้นในการศึกษาทักษะทางวิชาชีพและแสวงหาจนพบข้อมูลเกี่ยวกับทักษะเหล่านั้นในทุกลักษณะ ในทุกแง่มุมของทักษะเหล่านั้น เจ้าต้องศึกษาอยู่เนืองนิตย์ สำรวจค้นอยู่เนืองนิตย์ หนุนพลังจุดอ่อนของเจ้าด้วยจุดแข็งของผู้อื่นอยู่เนืองนิตย์ โดยเรียนรู้สิ่งที่เจ้าต้องและควรเรียนรู้จากผู้อื่น ในหนทางนี้ ทักษะทางวิชาชีพของเจ้าก็จะดีขึ้นอยู่เนืองนิตย์ เมื่อผู้อื่นบอกวิธีที่จะทำบางสิ่งให้กับเจ้า เจ้าต้องพยายามเข้าใจและเจ้าต้องครุ่นคิดเกี่ยวกับวิธีนั้น หากเมื่อมีใครบางคนบอกบางสิ่งกับเจ้า เจ้ารู้ถึงสิ่งที่พวกเขากำลังพูด และยอมรับรู้ว่านั่นเป็นหนทางที่ดีในการทำสิ่งทั้งหลาย แต่เจ้ามาคิดพิจารณาเอาหลังจากนั้นและพูดกับตัวเจ้าเองว่า “ใกล้เคียงพอแล้ว” เจ้ามีท่าทีประเภทใดหรือ? ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางวิชาชีพและความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง หรือการไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของเจ้า ท่าทีของเจ้าต่อสิ่งเหล่านั้นก็แย่—เป็นท่าทีของความขอไปที นี่เป็นอุปนิสัยประเภทใดกัน? นี่เป็นความโอหัง นี่เป็นการไม่รักสรรพสิ่งที่เป็นบวก นี่เป็นความกระด้าง สิ่งทั้งหลายดังกล่าวถูกสำแดงในตัวพวกเจ้าหรือไม่? (สำแดง) สิ่งเหล่านั้นถูกสำแดงบ่อยครั้ง แล้วแต่โอกาส หรือกับเรื่องเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น? (บ่อยครั้ง) ท่าทีของพวกเจ้าต่อการยอมรับรู้อุปนิสัยประเภทนี้ค่อนข้างจริงใจและซื่อสัตย์ แต่เพียงแค่การยอมรับรู้ไม่มากพอ หากเจ้าไม่ทำอะไรมากไปกว่ายอมรับรู้การนั้น การเปลี่ยนแปลงก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นแล้วเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? เมื่ออุปนิสัยอันโอหังถูกเปิดเผยในผู้คน และท่าทีของผู้คนเป็นท่าทีของความขอไปที ความมองเมิน และความฉาบฉวย แน่นอนว่าพวกเขาต้องได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและอธิษฐานโดยทันที โดยเปิดโอกาสให้ตัวพวกเขาเองถูกพระเจ้าจัดการและบ่มวินัย ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า รวมทั้งการบ่มวินัยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องระลึกได้ว่าแง่มุมนี้ของอุปนิสัยของพวกเขาเกิดขึ้นอย่างไรและมันสามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร จุดมุ่งหมายของการรู้คือการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นแล้ว การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้สามารถสัมฤทธิ์ได้อย่างไรหรือ? อะไรควรเป็นขั้นตอนแรก? ผู้คนต้องอธิษฐานก่อน มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าก่อน ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า และยอมรับการบ่มวินัยของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาต้องให้ความร่วมมือกันอย่างแข็งขัน พวกเขาควรให้ความร่วมมือกันอย่างไร? เมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ทันทีที่พวกเขาพบว่าตัวพวกเขาเองกำลังคิดว่า “ใกล้เคียงพอแล้ว” พวกเขาก็ต้องแก้ไขตัวพวกเขาเองและไม่คิดในหนทางนั้น เมื่อมีอุปนิสัยอันโอหังเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องสำนึกรับรู้การตำหนิ—การตำหนิและการสั่งสอนของพระเจ้า เจ้าต้องกลับตัวอย่างรวดเร็ว “ฉันเพิ่งทำผิดไปเมื่อตะกี้ แต่กระนั้น ฉันก็กำลังจะเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน จะถูกอุปนิสัยเยี่ยงซาตานชี้นำ จะปล่อยให้ซาตานเข้ากุมอำนาจ จะขอไปทีอีกแล้ว ฉันควรถูกบ่มวินัย!” หากเจ้าสำนึกรับรู้การตำหนิ เจ้าก็ควรสารภาพบาปของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและกลับตัวเสีย เจ้าควรสารภาพบาปของเจ้าอย่างไรนะหรือ? ไม่มีความจำเป็นต้องเอาท่าทีที่จริงจังมาใช้และคุกเข่าลง หมอบราบ และอธิษฐานต่อพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เจ้าสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าในหัวใจของเจ้าโดยพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ผิด ข้าพระองค์กำลังจะสะเพร่าและขอไปทีอีกแล้ว ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงสังเกตการณ์ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ไม่ต้องการให้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของข้าพระองค์ได้เป็นเจ้านายในตัวข้าพระองค์หรือปกครองดูแลข้าพระองค์ทั้งหมด ข้าพระองค์ต้องการได้รับการทรงบัญชาโดยพระเจ้า และข้าพระองค์ปรารถนาที่จะปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริง ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงสังเกตการณ์ข้าพระองค์” เมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ สภาวะภายในตัวเจ้าก็จะเปลี่ยนแปลง อะไรหรือคือเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงสภาวะของเจ้า? การนี้หมายที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ากลับตัวได้สำเร็จ ที่จะเปิดโอกาสให้เจ้าจงรักภักดี เชื่อฟัง และยอมรับการตำหนิและการบ่มวินัยของพระเจ้าโดยปราศจากการประนีประนอม นี่คือวิธีที่เจ้ากลับตัว เมื่อเจ้ากำลังจะขอไปทีอีกครั้ง เมื่อเจ้าต้องการปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าอย่างไม่ให้ความสำคัญอีกครั้ง เจ้าก็จะมีความสามารถที่จะกลับตัวได้โดยทันทีทันใดเพราะการบ่มวินัยและการตำหนิของพระเจ้า—และด้วยเหตุนั้นเจ้าจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดจากการละเลยของเจ้าเชียวหรือ? การฝ่าฝืนของเจ้าจะไม่ได้รับการไถ่เชียวหรือ? นี่เป็นบางสิ่งที่ดีหรือแย่กันเล่า? นี่เป็นสิ่งที่ดี

บางครั้ง หลังจากเสร็จสิ้นงานของเจ้า เจ้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยในหัวใจของเจ้า เมื่อตรวจตราใกล้ใกล้มากขึ้น เจ้าพบว่ามีปัญหาอย่างแท้จริง นั่นจะต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งหลังจากนั้นเจ้าจะรู้สึกสบายใจ ความไม่สบายใจของเจ้าพิสูจน์ให้เห็นว่า มีปัญหาซึ่งเจ้าจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาพิเศษด้วยและซึ่งเจ้าต้องให้ความสนใจใกล้ชิดขึ้น นี่คือท่าทีที่รับผิดชอบเอาจริงเอาจังที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา เมื่อคนเราสามารถเอาจริงเอาจัง รับผิดชอบ ทุ่มเทอุทิศ และขยันหมั่นเพียร งานย่อมจะทำไปอย่างถูกต้องเหมาะสม บางครั้ง เจ้าไม่มีหัวใจเช่นนั้น และเจ้าไม่สามารถพบเจอและค้นพบความผิดพลาดซึ่งชัดเจนมาก หากคนเราได้มีหัวใจเช่นนั้น เช่นนั้นแล้ว ด้วยการกระตุ้นเตือนและการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาคงจะมีความสามารถที่จะระบุแยกแยะประเด็นปัญหานั้นได้ แต่หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงนำเจ้าและได้ทรงมอบการตระหนักรู้เช่นนั้นให้เจ้า เปิดโอกาสให้เจ้าได้สำนึกว่าบางสิ่งนั้นผิดปกติ กระนั้นเจ้าไม่ได้มีหัวใจเช่นนั้น เจ้าคงจะยังคงไม่สามารถระบุแยกแยะประเด็นปัญหานั้นได้ ดังนั้นแล้ว การนี้แสดงให้เห็นสิ่งใด? นั่นแสดงให้เห็นว่า การที่ผู้คนร่วมมือนั้นสำคัญมาก หัวใจของพวกเขาสำคัญมาก และที่ที่พวกเขามุ่งความคิดและเจตนาของพวกเขาไปนั้นสำคัญมาก พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์และทรงสามารถทอดพระเนตรสิ่งที่ผู้คนเก็บไว้ในหัวใจของพวกเขาขณะที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา และพลังงานมากเพียงใดที่พวกเขาทุ่มเท การที่ผู้คนใส่หัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขาเข้าไปในสิ่งที่พวกเขาทำนั้นสำคัญยิ่งยวด ความร่วมมือก็เช่นกันเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่ง ผู้คนจะปฏิบัติตนด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา ก็ต่อเมื่อพวกเขาเพียรพยายามที่จะไม่เสียใจเกี่ยวกับหน้าที่ที่พวกเขาได้เสร็จสิ้นแล้วและสิ่งที่พวกเขาได้ทำแล้ว และที่จะไม่เป็นหนี้พระเจ้า หากวันนี้เจ้าไม่มอบหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า เช่นนั้นแล้วเมื่อบางสิ่งผิดปกติภายหลัง และมีผลสืบเนื่อง นั่นจะไม่สายเกินไปที่จะเสียใจหรอกหรือ? เจ้าจะเป็นหนี้ไปตลอดกาล นั่นจะเป็นรอยเปรอะเปื้อนบนตัวเจ้า! รอยเปรอะเปื้อนในการปฏิบัติหน้าที่ของหน้าที่ของคนเราคือการฝ่าฝืนอย่างหนึ่ง ดังนั้นเจ้าต้องเพียรพยายามที่จะทำส่วนของสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องทำและควรที่จะทำอย่างถูกต้องเหมาะสม ด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของเจ้า สิ่งเหล่านั้นต้องไม่ทำไปอย่างสะเพร่าและอย่างพอเป็นพิธี เจ้าต้องไม่มีความเสียใจใดๆ ในหนทางนี้ หน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติในเวลานี้จึงจะเป็นที่จดจำโดยพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงจดจำเป็นความประพฤติดีงาม เช่นนั้นแล้ว อะไรคือสิ่งที่ไม่เป็นที่จดจำ? สิ่งเหล่านั้นคือการฝ่าฝืน ผู้คนอาจจะไม่ยอมรับว่าสิ่งเหล่านั้นคือความประพฤติชั่วหากพรรณนาสิ่งเหล่านั้นด้วยเหตุนั้นในปัจจุบัน แต่หากวันหนึ่งมาถึงเมื่อมีผลสืบเนื่องร้ายแรงต่อสิ่งเหล่านั้น และสิ่งเหล่านั้นกลายเป็นอิทธิพลด้านลบ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะสำนึกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่การฝ่าฝืนด้านพฤติกรรม แต่เป็นความประพฤติชั่ว เมื่อเจ้าตระหนักถึงการนี้ เจ้าจะเสียใจ และคิดกับตัวเจ้าเองว่า ฉันควรได้กันเอาไว้ก่อน! ด้วยความคิดและความพยายามอีกนิดหน่อย ฉันคงจะไม่มีปัญหานี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะลบรอยเปรอะเปื้อนชั่วนิรันดร์นี้จากหัวใจของเจ้า และนั่นจะเป็นสาเหตุให้เกิดเรื่องเดือดร้อนหากการนั้นจะทิ้งให้เจ้าเป็นหนี้ถาวร ดังนั้นแล้ว วันนี้ ทุกครั้งที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า หรือยอมรับพระบัญชาหนึ่ง พวกเจ้าต้องเพียรพยายามที่จะทำการนั้นด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเจ้าและหัวใจทั้งหมดของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องทำการนั้นจนกระทั่งพวกเจ้าไร้ความรู้สึกผิดและความเสียใจ เพื่อที่การนั้นจะได้เป็นที่จดจำโดยพระเจ้า และเป็นความประพฤติดีงาม จงอย่าปฏิบัติตนอย่างสะเพร่าและอย่างพอเป็นพิธี ด้วยการหลับตาลงข้างหนึ่ง พวกเจ้าจะเสียใจกับการนั้น และไร้ความสามารถที่จะชดใช้ได้ นั่นจะประกอบขึ้นเป็นการฝ่าฝืน และในท้ายที่สุดแล้ว ในหัวใจของพวกเจ้า จะมีความรู้สึกผิดความเป็นหนี้ และการกล่าวหาอยู่เสมอ เส้นทางไหนจากเส้นทางสองเส้นนี้ที่ดีที่สุด? เส้นทางไหนคือเส้นทางที่ถูกต้อง? การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าด้วยหัวใจและพละกำลังทั้งหมดของพวกเจ้า และการตระเตรียมและการสะสมความประพฤติดีงาม โดยไม่มีการเสียใจใดๆ จงอย่ายอมให้การฝ่าฝืนสะสมเพิ่มพูน เสียใจกับสิ่งเหล่านั้น และตกเป็นหนี้ เกิดอะไรขึ้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้กระทำการฝ่าฝืนมากเกินไป? พวกเขากำลังทำให้พระโมหะที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขาเพิ่มพูนขึ้นในการทรงสถิตของพระองค์! หากเจ้าฝ่าฝืนตลอดไป และพระพิโรธที่พระเจ้าทรงมีต่อเจ้าใหญ่หลวงยิ่งขึ้นทุกที เช่นนั้นแล้ว ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะถูกลงโทษ

ตัดตอนมาจาก “วิธีแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการสะเพร่าและการสุกเอาเผากินเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในเวลาที่ผู้คนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา โดยข้อเท็จจริงแล้วพวกเขากำลังทำสิ่งที่พวกเขาควรจะทำ แต่หากเจ้าทำสิ่งนั้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าด้วยท่าทีที่มีความซื่อสัตย์และด้วยหัวใจ ท่าทีนี้จะไม่ถูกต้องกว่าเป็นอย่างมากหรอกหรือ? ดังนั้น เจ้าควรจะประยุกต์ใช้ท่าทีนี้กับชีวิตประจำวันของเจ้าอย่างไร? เจ้าต้องทำให้ “การนมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจและความซื่อสัตย์” เป็นความเป็นจริงของเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการที่จะหย่อนยานและแค่แสร้งทำท่าพอเป็นพิธี เมื่อใดก็ตามที่เจ้าต้องการจะปฏิบัติตนในหนทางที่ปลิ้นปล้อนและขี้เกียจ และเมื่อใดก็ตามที่เจ้ายอมให้ตัวเจ้าเองวอกแวก เจ้าควรคิดให้ถี่ถ้วนว่า “ในการประพฤติตนเยี่ยงนี้ ฉันกำลังเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจหรือไม่? นี่คือการทุ่มหัวใจให้กับการทำหน้าที่ของฉันหรือไม่? การทำเช่นนี้ทำให้ฉันกำลังไม่มีความจงรักภักดีหรือไม่? ในการทำการนี้ ฉันกำลังล้มเหลวในการใช้ชีวิตให้เป็นไปตามพระบัญชาที่พระเจ้าได้ทรงไว้วางใจมอบหมายให้ฉันหรือไม่?” นี่คือวิธีที่เจ้าควรทบทวนตนเอง ในเมื่อการปฏิบัติตนเช่นนั้นเป็นการไม่จงรักภักดีและสร้างความเจ็บปวดต่อพระเจ้า เจ้าควรทำเช่นไรเล่า? เจ้าควรกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ถือการนี้อย่างจริงจัง ย้อนกลับไปตอนนั้น ฉันรู้สึกว่ามีปัญหา แต่ฉันก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อปัญหานั้นว่าเป็นปัญหาร้ายแรง ฉันแค่กลบเกลื่อนข้ามปัญหานั้นไปอย่างไม่ใส่ใจ ทุกครั้งที่ฉันสำนึกรับรู้ว่ามีปัญหา ฉันจะปัดมันออกไป ในตอนนี้ ปัญหานี้ก็ยังคงไม่ได้รับการแก้ไข ฉันช่างไม่ดีเอาเสียเลย!” เจ้าจะได้ระบุชี้ชัดถึงปัญหานั้นและได้มารู้จักตัวเจ้าเองเล็กน้อยแล้ว ความรู้เล็กน้อยเพียงพอหรือไม่? การสารภาพบาปของเจ้าเพียงพอหรือไม่? เจ้าต้องกลับใจและกลับตัวเสียใหม่! และเจ้าจะสามารถกลับตัวได้อย่างไร? ก่อนหน้านั้น เจ้าเคยมีท่าทีและความรู้สึกนึกคิดที่ผิดต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หัวใจของเจ้าไม่ได้อยู่ในหน้าที่ และเจ้าไม่ได้เข้าร่วมกับสิ่งที่ถูกต้องทั้งหลายเลย วันนี้ เจ้าต้องกำหนดท่าทีของเจ้าที่มีต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ถูกต้อง เจ้าต้องอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเมื่อเจ้ามีความคิดและท่าทีแบบเมื่อก่อนอีกครั้ง เจ้าต้องทูลขอต่อพระเจ้าให้ทรงบ่มวินัยและสั่งสอนเจ้า จงรีบระบุชี้ชัดถึงด้านที่เจ้าเคยทำแบบสุกเอาเผากินและขอไปที จงคิดถึงวิธีที่เจ้าสามารถแก้ไขให้ด้านเหล่านั้นถูกต้อง และหลังจากแก้ไขด้านเหล่านั้นให้ถูกต้องแล้ว จงแสวงหาอีกครั้งและอธิษฐาน แล้วต่อจากนั้นก็จงถามพี่น้องชายหญิงของเจ้าว่า พวกเขามีข้อเสนอแนะและข้อแนะนำอันใดที่ดีกว่าบ้างหรือไม่ จนกระทั่งทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าเจ้าได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะได้รับการตรวจสอบความถูกต้องแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าเวลานี้ เจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ตามมาตรฐานแล้ว และได้ทำสุดความสามารถของเจ้าแล้ว และได้ทุ่มหัวใจของเจ้าเข้าไปในหน้าที่แล้ว และได้มอบทั้งหมดของเจ้าให้กับหน้าที่แล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้ทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้แล้ว โดยปราศจากความรู้สึกกังวลกับความผิด ในเวลาที่เล่าเรื่องราวถวายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มโนธรรมของเจ้าจะชัดเจน และเจ้าจะพูดว่า “ถึงแม้พระเจ้าอาจให้คะแนนหน้าที่ของฉันเพียงแค่ร้อยละ 60 แต่ฉันก็ได้ทุ่มเรี่ยวแรงกำลังทุกหน่วยในร่างกายของฉันในการนั้น ฉันได้ทุ่มทั้งใจของฉันเข้าไปในการนั้น ฉันไม่ได้ขี้เกียจ ฉันไม่ได้พยายามที่จะปฏิบัติตนในหนทางที่ปลิ้นปล้อน และฉันมิได้เก็บกักสิ่งใดไว้” นี่ไม่ใช่การนำความเป็นจริงของการทุ่มสุดใจของเจ้า สุดความคิดของเจ้า และสุดกำลังของเจ้าเข้าไปในหน้าที่ของเจ้ามาใช้ และไม่ใช่การประยุกต์ใช้สิ่งเหล่านั้นกับชีวิตประจำวันของเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การใช้ชีวิตตามความเป็นจริงเหล่านี้ของความจริงหรอกหรือ? และเจ้ารู้สึกอย่างไรในหัวใจของเจ้าเมื่อเจ้าใช้ชีวิตตามความเป็นจริงเหล่านี้? เจ้าไม่รู้สึกเหมือนเจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่ด้วยความคล้ายคลึงมนุษย์อยู่บ้าง และไม่เหมือนคนตายที่เดินได้อีกต่อไปแล้วหรอกหรือ?

ตัดตอนมาจาก “เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

บรรดาผู้ที่มีความสามารถในการนำความจริงมาปฏิบัติ ย่อมสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้เมื่อทำสิ่งทั้งหลาย เมื่อเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้เข้าใจถูกต้อง หากเจ้าเพียงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นอยู่ตลอดเวลา และไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้ายังคงทรงอยู่ในหัวใจของเจ้ากระนั้นหรือ? ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีความเคารพให้กับพระเจ้า จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ ประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และผลลัพธ์อาจไม่ดีมาก—แต่เจ้าจะได้ทุ่มความพยายามของเจ้าอย่างดีที่สุดแล้ว เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังคิดถึงความพึงปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง หรือไม่ได้กำลังพิจารณาผลประโยชน์ของเจ้าเองในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำ และกำลังพิจารณางานในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คำนึงถึงผลประโยชน์ของการนั้น และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีแทน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะสะสมเพิ่มพูนความประพฤติดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้คนที่ปฏิบัติความประพฤติดีเหล่านี้คือผู้ที่ครองความจริงความเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงได้เป็นคำพยาน

ตัดตอนมาจาก “จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การที่จะสัมฤทธิ์ความเพียงพอในการปฏิบัติหน้าที่นั้น ความจำเป็นอันดับแรกก็คือการสัมฤทธิ์ความร่วมมือที่ปรองดองในการปฏิบัติหน้าที่ มีบางคนที่กำลังปฏิบัติในทิศทางนี้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหมายความว่า หลังจากได้รับฟังความจริงแล้วนั้น พวกเขาก็ได้เริ่มต้นทำงานโดยสอดคล้องกับหลักการนี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไร้ความสามารถที่จะประสบความสำเร็จในการนำความจริงไปปฏิบัติอย่างสมบูรณ์เต็มร้อย ในกระบวนการนี้ พวกเขาอาจจะล้มเหลวหรือเกิดอ่อนแอ และเบี่ยงเบน และทำความผิดพลาดอย่างสม่ำเสมอ แต่ทว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินก็เป็นเส้นทางแห่งการเพียรพยายามที่จะมีความสามารถกระทำการโดยสอดคล้องกับหลักการนี้ ตัวอย่างเช่น ถึงแม้ว่าบางครั้งเจ้าอาจจะรู้สึกว่าหนทางในการทำบางสิ่งบางอย่างของเจ้านั้นถูกต้อง แต่หากเจ้าอยู่ในสถานการณ์หนึ่งซึ่งจะไม่ถ่วงกิจที่มีอยู่ให้ล่าช้า เจ้าก็อาจจะหาเพื่อนร่วมงานหรือสมาชิกในทีมของเจ้าเพื่อหารือการนั้นด้วยเช่นกัน จงสามัคคีธรรมจนกระทั่งเจ้ามีความชัดเจนในเรื่องนั้น จนกว่าเจ้าจะไปถึงฉันทามติในการคิดว่าการทำงานนั้นในหนทางใดหนทางหนึ่งจะสามารถสัมฤทธิ์ผลที่ดีที่สุด ไม่เกินพ้นวงเขตของหลักการ เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และสามารถขยายการปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้มากที่สุด ถึงแม้ว่าบางครั้งผลลัพธ์ในที่สุดอาจจะเหลือสิ่งเล็กน้อยให้ปรารถนา แต่หนทาง ทิศทาง และเป้าหมายในงานของเจ้าก็ถูกต้อง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทอดพระเนตรการนี้อย่างไร? พระองค์จะทรงให้คำจำกัดความเรื่องนี้อย่างไร? พระองค์จะตรัสว่าเจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่นี้ให้ลุล่วงอย่างเพียงพอ

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างเพียงพอนั้น ไม่สำคัญว่าเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามาแล้วกี่ปี เจ้าได้ทำหน้าที่ของเจ้าเสร็จไปมากเพียงใดแล้ว เจ้าได้ทำคุณูปการต่อพระนิเวศของพระเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว อีกทั้งไม่สำคัญว่าเจ้าได้รับประสบการณ์ในหน้าที่ของเจ้าอย่างไร สิ่งหลักที่พระเจ้าทอดพระเนตรก็คือเส้นทางที่บุคคลหนึ่งใช้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ทอดพระเนตรท่าทีของคนเราที่มีต่อความจริงและหลักการ ทิศทาง ต้นกำเนิด และแรงผลักดันเบื้องหลังการกระทำของคนเรา พระเจ้าทรงมุ่งเน้นที่สิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่กำหนดพิจารณาเส้นทางที่เจ้าเดิน หากในกระบวนการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงนั้น ไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ในตัวเจ้าเลย และต้นกำเนิดงานของเจ้าคือความคิดของเจ้าเอง แรงผลักดันของเจ้าคือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าเองและพิทักษ์ชื่อเสียงและตำแหน่งของเจ้า วิธีการทำงานของเจ้าคือการตัดสินใจและกระทำการตามลำพังและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย ไม่เคยหารือสิ่งทั้งหลายกับผู้อื่นหรือให้ความร่วมมืออย่างปรองดอง นับประสาอะไรกับการแสวงหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะทรงมองดูเจ้าอย่างไร? เจ้ายังไม่ได้มาตรฐานหากเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นนั้น เจ้าไม่ได้ก้าวเท้าไปบนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง เพราะในขณะที่เจ้าทำงานของเจ้านั้น เจ้าไม่แสวงหาหลักการทั้งหลายแห่งความจริงและกระทำการดังเช่นที่เจ้าปรารถนาอยู่เสมอ นี่คือเหตุผลที่ผู้คนส่วนใหญ่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างเป็นที่น่าพอใจ เมื่อมองดูสิ่งนั้นในตอนนี้ ยากหรือไม่ที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเพียงพอ? โดยแท้จริงแล้ว ไม่ยากเลย ผู้คนเพียงแค่ต้องมีความสามารถที่จะแสดงท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน ครองสำนึกรับรู้นิดหน่อย และนำตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมมาใช้ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดว่าเจ้ามีการศึกษาอย่างไร เจ้าได้ชนะรางวัลอะไรมา หรือเจ้าได้สัมฤทธิผลไปมากเพียงใดแล้ว และไม่สำคัญว่าเจ้าจะเชื่อว่าขีดความสามารถและอันดับยศของเจ้าอาจจะสูงเพียงใด เจ้าต้องเริ่มปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไป เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมาย ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะยิ่งใหญ่และดีเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นไม่อาจสูงกว่าความจริงได้ สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง และไม่อาจแทนที่ความจริงได้ นี่คือเหตุผลที่เรากล่าวว่าเจ้าต้องมีสิ่งนี้ที่เรียกว่าสำนึกรับรู้ หากเจ้ากล่าวว่า “ฉันมีความสามารถพิเศษอย่างยิ่ง ฉันมีความคิดที่หลักแหลมมาก ฉันมีการโต้ตอบรวดเร็ว ฉันเป็นคนเรียนรู้ไว และฉันมีความจำดีเหลือเกิน” และเจ้าใช้สิ่งเหล่านี้เป็นทุนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้ว นี่จะทำให้เกิดปัญหา หากเจ้ามองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นความจริง หรือมองว่าสูงกว่าความจริง เช่นนั้นแล้ว ก็จะยากสำหรับเจ้าที่จะยอมรับความจริงและนำความจริงไปปฏิบัติ ผู้คนที่หยิ่งผยองโอหังซึ่งกระทำตัวเหนือกว่าอยู่เสมอนั้น มีช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการยอมรับความจริง และโน้มเอียงที่จะตกต่ำมากที่สุด หากคนเราสามารถแก้ไขประเด็นปัญหาความโอหังของตนได้ เช่นนั้นแล้ว การนำความจริงไปปฏิบัติก็จะกลายเป็นง่าย ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าต้องปฏิเสธและวางสิ่งเหล่านี้ลงก่อน ซึ่งดูภายนอกเหมือนจะดีและสูงส่ง และซึ่งยั่วยุความอิจฉาริษยาของผู้อื่น สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ความจริง ในทางกลับกัน สิ่งเหล่านั้นสามารถปิดกั้นเจ้าจากการเข้าสู่ความจริงได้ สิ่งที่สำคัญมากที่สุดที่ต้องทำตอนนี้คือการแสวงหาความจริง ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริง และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างเพียงพอ เพราะการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอเป็นขั้นตอนแรกขั้นตอนเดียวที่ไปสู่เส้นทางแห่งการเข้าสู่ชีวิต ซึ่งหมายความว่านั่นคือการเริ่มต้น ในทุกเรื่องนั้น มีสิ่งพื้นฐานที่เป็นรากฐานมากที่สุดสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าผ่านขั้นตอนแรกไปได้ และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างเพียงพอเป็นหนทางหนึ่ง เส้นทางหนึ่งที่จะนำเจ้าผ่านประตูแห่งการเข้าสู่ชีวิต หากการปฏิบัติหน้าที่ให้ลุล่วงของเจ้าไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “ความเพียงพอ” นี้เลย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จำเป็นต้องทุ่มเทกำลังตัวเจ้าเอง เจ้าควรจะทุ่มเทกำลังตัวเจ้าเองอย่างไร? นั่นไม่ใช่ว่าเจ้าจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงบุคลิกลักษณะของเจ้าหรือละทิ้งความสามารถพิเศษและจุดแข็งทางวิชาชีพของเจ้าไป เจ้าอาจพกพาจุดแข็งเหล่านี้และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้เรียนรู้มากับเจ้าขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง โดยตลอดเวลานั้นก็แสวงหาความจริงและกระทำการสอดคล้องกับหลักการทั้งหลายแห่งความจริง หากเจ้าบรรลุถึงการเข้าสู่ชีวิตในขณะกำลังทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าก็สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงอย่างเพียงพอได้

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในกระบวนการของการลุล่วงหน้าที่ของเจ้า ในด้านบวกของสิ่งทั้งหลาย เจ้าสามารถปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้าได้อย่างถูกต้อง โดยไม่เลิกล้มหน้าที่นั้นไม่สำคัญว่าเจ้าเผชิญกับสถานการณ์ใด ต่อให้คนอื่นทุกคนหยุดเชื่อและหยุดปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เจ้าก็ยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้และไม่เลิกล้ม กล่าวคือ เจ้ามีความสามารถที่จะเลี่ยงจากการทอดทิ้งหน้าที่ของเจ้า ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยอุตสาหะมานะและยังคงอุทิศไปจวบจนปลายทางสุดท้าย ในหนทางนี้ เจ้าได้ทำหน้าที่ของเจ้าเฉกเช่นหน้าที่หนึ่งอย่างแท้จริง หากเจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว โดยพื้นฐานแล้วเจ้าย่อมได้สัมฤทธิ์ความพอเพียงในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้ว นี่คือด้านบวกของสิ่งทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะสัมฤทธิ์การนี้ ในด้านลบของสิ่งทั้งหลายนั้น ผู้คนต้องทานทนต่อการทดลองทุกลักษณะ หากในกระบวนการของการลุล่วงหน้าที่ของบุคคลหนึ่ง เขายังไม่ได้มีความสามารถที่จะทานทนต่อการทดลองและได้ทอดทิ้งและหันหลังให้กับหน้าที่ของเขาแล้ว เช่นนั้นแล้ว เขายังคงสามารถมีความเกี่ยวข้องอันใดกับความรอดหรือไม่? ความหวังทั้งปวงจะสูญสิ้นไปสำหรับบุคคลผู้นั้น และการพอเพียงหรือการไม่พอเพียงก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องอย่างถึงที่สุด ความรอดจะไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดเลยกับเขา เพราะฉะนั้น คนเราต้องยึดมั่นในหน้าที่ของคนเรา ในการที่จะทำการนั้น ก่อนอื่น ความลำบากยากเย็นใหญ่โตที่สุดซึ่งทุกคนเผชิญหน้าก็คือ การที่คนเราสามารถตั้งมั่นได้หรือไม่เมื่อเผชิญกับการทดลองทั้งหลาย มีการทดลองจำพวกใดบ้างหรือ? เงินทอง สถานะ สัมพันธภาพกับเพศตรงข้าม ภาวะอารมณ์ อะไรอีกเล่า? หากหน้าที่บางอย่างเกี่ยวข้องกับการรับความเสี่ยงเล็กน้อย หรือถึงขั้นคุกคามชีวิต และหากในการปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นเจ้าอาจลงเอยในคุกหรือด้วยการเสียชีวิต เจ้าจะยังคงทำหน้าที่เหล่านั้นหรือไม่? เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอย่างไร? สิ่งทั้งหลายดังกล่าวเป็นการทดลอง การทดลองเหล่านี้ง่ายต่อการเอาชนะหรือไม่? การทดลองเหล่านี้ล้วนพึงต้องให้เจ้าไล่ตามเสาะหาความจริง ในกระบวนการของการไล่ตามเสาะหาความจริง ด้วยการทดลองทั้งหมดเหล่านี้ที่เจ้าเผชิญ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะค่อยๆ ใช้วิจารณญาณและได้รับความรู้ จงระลึกได้ถึงแก่นแท้ของการทดลองเหล่านั้น เข้าใจสิ่งที่เป็นธาตุแท้ของการทดลองเหล่านั้น และรู้จักแก่นแท้และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเอง จงรู้จักจุดอ่อนทั้งหลายของเจ้าเองให้ได้ และเว้าวอนพระเจ้าอยู่เนืองนิจให้ทรงอารักขาเจ้าและทรงทำให้เจ้ามีความสามารถที่จะทานทนการทดลองเหล่านี้ได้ หากเจ้าสามารถทานทนการทดลองเหล่านี้ได้ และสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าได้ ไม่สำคัญว่าเจ้าพบว่าตัวเจ้าเองอยู่ในสถานการณ์ใด โดยทั้งไม่หันหลังของเจ้าให้กับการนั้นและไม่วิ่งหนีไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะอยู่ที่ครึ่งทางที่จะไปสู่ความรอด เครื่องหมายครึ่งทางนี้ง่ายที่จะไปถึงหรือไม่? สำหรับทุกๆ ย่างก้าวที่เจ้าเดิน มีหลุมพรางซึ่งอาจเป็นไปได้ เส้นทางนั้นเต็มไปด้วยความเสี่ยงอันตราย นั่นไม่ง่ายเลย! ดังนั้นแล้ว มีผู้คนใดบ้างไหมที่มองดูสักแวบหนึ่งว่าการนั้นลำบากยากเย็นเพียงใด และรู้สึกว่าชีวิตก็แค่เหนื่อยล้าเกินไป และว่าแค่ไปตายเสียก็คงจะดีเสียกว่า? พวกเขาต้องการพระพร แต่พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะทนทุกข์ พวกเขาคือผู้คนจำพวกใดกัน? พวกเขาคือพวกคนที่เหลาะแหละไม่เอาไหน สำหรับเรื่องวิธีลุล่วงหน้าที่ของพวกเขาอย่างพอเพียง สิ่งที่เป็นนิยามของความพอเพียง สิ่งที่เป็นเกณฑ์สำหรับความพอเพียง เหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงมอบมาตรฐานของความพอเพียงนี้ และสัมพันธภาพระหว่างการลุล่วงหน้าที่ของคนเราอย่างพอเพียงกับการเข้าสู่ชีวิต ผู้คนได้มาเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว หากเจ้าสามารถไปยังที่ที่เจ้าสามารถยึดมั่นในหน้าที่ของเจ้าได้ โดยไม่คำนึงถึงเวลาหรือสถานที่ โดยไม่เลิกล้มหน้าที่นั้น และสามารถทานทนการทดลองทุกลักษณะได้ แล้วจึงเข้าใจและได้รับความรู้เกี่ยวกับความจริงนานาสารพันทั้งหมดซึ่งพระเจ้าทรงพึงประสงค์ในทุกสถานการณ์ทั้งหมดที่แตกต่างกันซึ่งพระองค์ทรงจัดวางสำหรับเจ้า เช่นนั้นแล้ว ในทรรศนะของพระเจ้า เจ้าย่อมได้สัมฤทธิ์ความพอเพียงแล้วโดยพื้นฐาน มีส่วนผสมรากฐานสามอย่างในการสัมฤทธิ์ความพอเพียงในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือ หนึ่งนั้นคือท่าทีซึ่งเจ้าใช้ปฏิบัติต่อหน้าที่ของเจ้า อีกหนึ่งนั้นคือการมีความสามารถที่จะทานทนการทดลองทุกลักษณะในกระบวนการของการลุล่วงหน้าที่นั้น และอีกหนึ่งก็คือการมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงทุกอย่างในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า

ตัดตอนมาจาก “อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่เป็น “การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและติดตามพระเจ้า”

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้”...

ติดต่อเราผ่าน Messenger