พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกอย่างลับๆ และกำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า นั่นเป็นไปได้อย่างไรกัน? พระคัมภีร์เผยพระวจนะอย่างชัดแจ้งว่า “เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง(มัทธิว 24:30)นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7) พวกเราเชื่อว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ควรทรงทำเช่นนั้นด้วยหมู่เมฆและทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อกลุ่มชนทั้งผอง แต่พวกคุณก็ยังให้คำพยานว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เรียบร้อยแล้วและได้เสด็จลงมายังแผ่นดินโลกอย่างลับๆ ซึ่งต่างไปจากความเข้าใจของพวกเราอย่างสิ้นเชิง กำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้หรือ?

วันที่ 16 เดือน 03 ปี 2021

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“และเรามีคำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าพวกท่านจะเอาใจใส่คำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนตะเกียงที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงอรุณจะขึ้น และดาวรุ่งจะผุดขึ้นในใจของพวกท่าน ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใดจะตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ เพราะว่าคำของผู้เผยพระวจนะนั้น ไม่ได้มาจากความประสงค์ของมนุษย์เลย แต่มนุษย์กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา” (2 เปโตร 1:19-21)

“นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย คนที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็นสภาพอันน่าอับอาย” (วิวรณ์ 16:15)

“เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน” (วิวรณ์ 3:3)

“พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (ลูกา 12:40)

“เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25)

“เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6)

“นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

เป็นเวลาหลายสหัสวรรษ มนุษย์ได้ถวิลหาที่จะสามารถเป็นพยานการเสด็จมาถึงของพระผู้ช่วยให้รอด มนุษย์ได้ถวิลหาที่จะมองดูพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดประทับเมฆขาวขณะที่พระองค์เสด็จลงมาในสภาวะบุคคล ท่ามกลางบรรดาผู้ที่ร่ำร้องและโหยหาในพระองค์มาเป็นเวลาหลายพันปี มนุษย์ยังถวิลให้พระผู้ช่วยให้รอดทรงกลับมาและทรงอยู่ร่วมกับพวกเขาอีกครั้ง นั่นคือ ถวิลให้พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ซึ่งได้ทรงแยกไปจากผู้คนเป็นเวลาหลายพันปี เสด็จกลับมา และดำเนินพระราชกิจในการไถ่บาปที่พระองค์ได้ทรงกระทำท่ามกลางชาวยิวอีกครั้ง ทรงมีความสงสารและมีความรักต่อมนุษย์ ทรงให้อภัยบาปของมนุษย์และทรงแบกรับบาปของมนุษย์ และแม้กระทั่งทรงแบกรับการล่วงละเมิดทั้งหมดของมนุษย์ และทรงช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป สิ่งที่มนุษย์ถวิลหาคือการที่พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นเช่นเมื่อก่อน—พระผู้ช่วยให้รอดผู้ควรค่าที่จะรัก ทรงพระทัยดีมีเมตตา และทรงน่าเคารพ ผู้ที่ไม่เคยพิโรธต่อมนุษย์ และผู้ที่ไม่เคยทรงตำหนิมนุษย์ แต่เป็นผู้ที่ทรงยกโทษและทรงรับบาปทั้งหมดของมนุษย์เอาไว้ และผู้ที่จะแม้กระทั่งสิ้นพระชนม์บนกางเขนเพื่อมนุษย์เช่นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่พระเยซูได้เสด็จจากไป บรรดาสาวกที่ได้ติดตามพระองค์ รวมทั้งเหล่าวิสุทธิชนทั้งหมดผู้ได้รับการช่วยให้รอดในพระนามของพระองค์ ที่ได้ร่ำร้องหาพระองค์และรอคอยพระองค์แทบขาดใจตลอดมา ทุกคนที่ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ในช่วงระหว่างยุคพระคุณได้ถวิลหาวันอันปราโมทย์ในยุคสุดท้ายนั้น เมื่อพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จลงมาบนเมฆขาวเพื่อทรงปรากฏต่อหน้าผู้คนทั้งหมด แน่นอนว่า นี่ยังเป็นความปรารถนาร่วมของทุกคนที่ยอมรับพระนามของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในวันนี้เช่นกัน ทุกคนในจักรวาลที่รู้จักความรอดของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดได้โหยหาแทบขาดใจตลอดมาให้พระเยซูคริสต์เสด็จมาถึงโดยฉับพลันเพื่อทรงปฏิบัติสิ่งที่พระเยซูได้ตรัสไว้ในขณะที่ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกให้ลุล่วงกล่าวคือ “เราจะมาถึงเฉกเช่นที่เราได้จากไป” มนุษย์เชื่อว่า หลังการถูกตรึงกางเขนและการคืนพระชนม์ พระเยซูได้เสด็จกลับไปสู่สวรรค์บนเมฆขาวเพื่อทรงเข้าประจำที่ของพระองค์ ณ พระหัตถ์ขวาขององค์ผู้สูงสุด ในลักษณะเดียวกัน พระเยซูจะเสด็จลงมาอีกครั้งบนเมฆขาว (เมฆนี้อ้างถึงเมฆที่พระเยซูประทับตอนที่พระองค์ได้เสด็จกลับสู่สวรรค์) ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เฝ้าโหยหาพระองค์แทบขาดใจตลอดมาเป็นเวลาหลายพันปี และพระองค์จะทรงมีพระฉายาและทรงสวมใส่เสื้อผ้าของชาวยิว หลังการทรงปรากฏต่อมนุษย์ พระองค์จะประทานอาหารแก่พวกเขา และทรงทำให้น้ำแห่งชีวิตไหลพุ่งออกมาสำหรับพวกเขา และจะทรงใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขา ทรงเปี่ยมไปด้วยพระคุณและทรงเปี่ยมไปด้วยความรัก ที่มีชีวิตชีวาและเป็นจริง มโนคติที่หลงผิดเช่นนี้ทั้งหมดคือสิ่งที่ผู้คนเชื่อกัน กระนั้นพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้ทรงกระทำสิ่งนี้ พระองค์ได้ทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่มนุษย์คิดไปเอง พระองค์ไม่ได้เสด็จมาถึงท่ามกลางพวกที่ได้โหยหาการเสด็จกลับมาของพระองค์ และพระองค์ไม่ได้ทรงปรากฏต่อผู้คนทั้งหมดในขณะที่ประทับบนเมฆขาว พระองค์ได้เสด็จมาถึงแล้ว แต่มนุษย์ไม่รู้ และยังคงไม่รู้เท่าทัน มนุษย์แค่กำลังรอคอยพระองค์อย่างไร้จุดหมาย ไม่ตระหนักรู้ว่าพระองค์ได้เสด็จลงมาบน “เมฆขาว” แล้ว (เมฆซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ พระอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของพระองค์ และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น) และบัดนี้สถิตท่ามกลางกลุ่มผู้ชนะทั้งหลายที่พระองค์จะทรงทำให้เป็นในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย มนุษย์ไม่รู้สิ่งนี้: ทั้งที่พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้บริสุทธิ์ทรงมีความเอ็นดูและความรักทั้งมวลให้แก่มนุษย์ พระองค์จะสามารถปฏิบัติพระราชกิจใน “วิหาร” เหล่านั้นซึ่งเป็นที่อยู่ของความโสมมและเหล่าวิญญาณที่ไม่บริสุทธิ์ได้อย่างไร? แม้ว่ามนุษย์เฝ้ารอคอยการมาถึงของพระองค์ตลอดมา พระองค์จะสามารถปรากฏต่อพวกที่กินเนื้อหนังของผู้ที่ไม่ชอบธรรม ดื่มเลือดของผู้ที่ไม่ชอบธรรม และสวมใส่เสื้อผ้าของผู้ที่ไม่ชอบธรรม ผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์แต่ไม่รู้จักพระองค์ และผู้ที่บีบคั้นพระองค์อยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร? มนุษย์รู้แต่เพียงว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงเปี่ยมไปด้วยความรักและท่วมท้นไปด้วยความสงสาร และรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ทรงเต็มไปด้วยการไถ่ อย่างไรก็ดี มนุษย์ไม่รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ทรงปริ่มล้นด้วยความชอบธรรม พระบารมี พระพิโรธ และการพิพากษา ทรงมีสิทธิอำนาจ และเปี่ยมไปด้วยพระเกียรติ ดังนั้น แม้ว่ามนุษย์จะโหยหาและกระหายการเสด็จกลับมาของพระผู้ไถ่อย่างใจจดใจจ่อ และแม้การอธิษฐานของพวกเขาจะขับ “เคลื่อนฟ้า” พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ทรงปรากฏแก่บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์แต่ไม่รู้จักพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว

หากเป็นดังเช่นที่มนุษย์จินตนาการ ว่าพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในยุคสุดท้าย และยังคงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซู และยังคงเสด็จมาบนเมฆขาว เสด็จเคลื่อนลงมาท่ามกลางมนุษย์ในพระฉายาของพระเยซู เช่นนั้นแล้ว นั่นจะไม่ใช่การทำซ้ำพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ? พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถเกาะติดอยู่กับความเก่าได้หรือ? ทั้งหมดที่มนุษย์เชื่อล้วนเป็นมโนคติที่หลงผิด และทั้งหมดที่มนุษย์เข้าใจล้วนเป็นไปตามความหมายตามตัวอักษร และตามจินตนาการของเขาด้วยเช่นกัน พวกมันไม่ลงรอยกันกับหลักการทั้งหลายในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้า พระเจ้าคงจะไม่ทรงพระราชกิจในหนทางนั้น พระเจ้าไม่ทรงโง่เขลาและเบาปัญญาถึงเพียงนั้น และพระราชกิจของพระองค์มิใช่ง่ายขนาดที่เจ้าจินตนาการ บนพื้นฐานของทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์จินตนาการนั้น พระเยซูจะเสด็จมาโดยประทับบนเมฆและเคลื่อนลงมาท่ามกลางพวกเจ้า พวกเจ้าจะมองเห็นพระองค์ ที่ประทับบนเมฆ ผู้ซึ่งจะทรงบอกพวกเจ้าว่าพระองค์คือพระเยซู พวกเจ้ายังจะมองเห็นรอยตะปูบนพระหัตถ์ของพระองค์ด้วย และจะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเยซู และพระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอดอีกครั้ง และจะทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ของพวกเจ้า พระองค์จะทรงช่วยพวกเจ้าให้รอด จะประทานชื่อใหม่ให้พวกเจ้า และจะทรงมอบหินสีขาวก้อนหนึ่งให้พวกเจ้าแต่ละคน หลังจากนั้นพวกเจ้าจะได้รับอนุญาตให้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์และได้รับการรับเข้าไปในสวรรค์ การเชื่อทั้งหลายเช่นนี้มิใช่มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์หรอกหรือ? พระเจ้าทรงพระราชกิจไปตามมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ หรือว่าพระองค์ทรงพระราชกิจที่แย้งกับมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์กันแน่? มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์มิใช่ได้รับมาจากซาตานหรอกหรือ? ทั้งหมดของมนุษย์นั้นมิใช่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วหรอกหรือ? หากพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ไปตามมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วพระองค์จะไม่ทรงกลายเป็นซาตานไปหรอกหรือ? พระองค์จะมิทรงเป็นประเภทเดียวกันกับสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระองค์เองหรอกหรือ? ในเมื่อบัดนี้สิ่งทรงสร้างของพระองค์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปจนถึงขนาดที่มนุษย์ได้กลายเป็นรูปจำแลงของซาตานไปแล้ว หากพระเจ้าจะต้องทรงพระราชกิจให้สอดคล้องกันกับสิ่งทั้งหลายที่เป็นของซาตาน เช่นนั้นแล้วพระองค์จะมิใช่ทรงอยู่ร่วมขบวนการกับซาตานหรอกหรือ? มนุษย์จะสามารถหยั่งลึกพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? ดังนั้น พระเจ้าจึงไม่มีวันที่จะทรงพระราชกิจไปตามมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ และไม่มีวันที่จะทรงพระราชกิจไปในหนทางทั้งหลายที่เจ้าจินตนาการ มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้าพระองค์เองได้ตรัสไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงบนเมฆ จริงอยู่ว่าพระเจ้าได้ตรัสไว้เช่นนั้นด้วยพระองค์เอง แต่เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถหยั่งลึกสิ่งล้ำลึกทั้งหลายของพระเจ้าได้? เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าไม่มีมนุษย์คนใดสามารถอธิบายพระวจนะของพระเจ้าได้? เจ้าแน่ใจโดยไม่มีความเคลือบแคลงสงสัยเลยหรือว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่เจ้าแล้ว? แน่ใจหรือว่าไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ได้ทรงแสดงให้เจ้าเห็นในลักษณะตรงๆ เช่นนั้น? เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ใช่ไหมที่ได้แนะนำเจ้า หรือมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของเจ้าเองกันแน่ที่นำเจ้าให้คิดเช่นนี้? เจ้าได้พูดว่า “เรื่องนี้พระเจ้าได้ตรัสไว้โดยพระองค์เอง” แต่พวกเราไม่สามารถใช้มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายและความรู้สึกนึกคิดทั้งหลายของพวกเราเองมาประเมินพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าได้ สำหรับถ้อยคำทั้งหลายที่อิสยาห์ได้พูดไว้นั้น เจ้าสามารถอธิบายถ้อยคำทั้งหลายของเขาด้วยความแน่ใจเต็มที่ได้หรือไม่? เจ้ากล้าที่จะอธิบายถ้อยคำทั้งหลายของเขาหรือไม่? ในเมื่อเจ้าไม่กล้าที่จะอธิบายถ้อยคำทั้งหลายของอิสยาห์ ทำไมเจ้าจึงกล้าที่จะอธิบายพระวจนะทั้งหลายของพระเยซูเล่า? ใครเป็นที่ยกย่องมากกว่ากันเล่า พระเยซูหรืออิสยาห์? ในเมื่อคำตอบคือพระเยซู เหตุใดเจ้าจึงอธิบายพระวจนะทั้งหลายที่พระเยซูตรัสไว้เล่า? พระเจ้าจะทรงบอกเจ้าล่วงหน้าถึงพระราชกิจของพระองค์กระนั้นหรือ? ไม่มีสิ่งทรงสร้างสักสิ่งเดียวที่สามารถรู้ ไม่แม้แต่บรรดาผู้สื่อสารในสวรรค์ หรือบุตรมนุษย์ ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้ได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

การทรงปรากฏของพระเจ้าหมายถึงการทรงมาถึงของพระองค์บนโลกเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระองค์เอง ด้วยพระอัตลักษณ์และพระอุปนิสัยของพระองค์เอง และในวิธีที่เป็นมาโดยกำเนิดในพระองค์ พระองค์เสด็จลงมาท่ามกลางมวลมนุษย์เพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจของการเริ่มต้นยุคหนึ่งและสิ้นสุดยุคหนึ่ง การทรงปรากฏเช่นนี้ไม่ใช่รูปแบบของพิธีการ มันไม่ใช่เครื่องหมาย รูปภาพ การอัศจรรย์ หรือนิมิตยิ่งใหญ่อะไรสักอย่าง และยิ่งมีโอกาสน้อยกว่านั้นที่มันจะเป็นกระบวนการทางศาสนา มันเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นจริงและแท้จริงที่ไม่ว่าใครก็สามารถสัมผัสและมองเห็นได้ การทรงปรากฏแบบนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อการเสแสร้งทำ หรือเพื่อการงานระยะสั้นอะไรสักอย่าง หากแต่มันเป็นไปเพื่อการงานระยะหนึ่งในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ การทรงปรากฏของพระเจ้ามีความหมายเสมอและมีความสัมพันธ์กับแผนการบริหารจัดการของพระองค์เสมอ สิ่งที่เรียกว่าการทรงปรากฏในที่นี้นั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจาก “การทรงปรากฏ” ในแบบที่พระเจ้าทรงใช้แนะนำ นำทาง และให้ความรู้แจ้งแก่มนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจยิ่งใหญ่ของพระองค์ระยะหนึ่งในแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงเปิดเผยพระองค์ พระราชกิจนี้แตกต่างจากพระราชกิจของยุคอื่นใด มันเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถจินตนาการได้ และมนุษย์ไม่เคยมีประสบการณ์กับมันมาก่อน มันคือพระราชกิจที่เริ่มต้นยุคใหม่และสิ้นสุดยุคเก่า และมันเป็นรูปแบบใหม่และดีขึ้นของพระราชกิจเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ ยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นพระราชกิจที่นำพามวลมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่ นี่คือความหมายของการทรงปรากฏของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่

บัดนี้ พระราชกิจใหม่ของพระเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว และยังเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ด้วย พระเจ้าทรงนำพาบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่เข้ามาในพระนิเวศของพระองค์ เพื่อเริ่มต้นพระราชกิจแห่งความรอดซึ่งเป็นพระราชกิจใหม่ของพระองค์ ในเวลานี้ พระราชกิจแห่งความรอดมีความละเอียดทั่วถึงกว่าในกาลสมัยทั้งหลายที่ผ่านไป ไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งกำลังทรงพระราชกิจในมนุษย์ ที่จะทรงเป็นเหตุให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง และไม่ใช่พระวรกายของพระเยซูซึ่งกำลังทรงปรากฏท่ามกลางมวลมนุษย์ที่จะทรงพระราชกิจนี้ และที่จะไม่ใช่ที่สุดก็คือ พระราชกิจนี้ไม่ได้ปฏิบัติผ่านวิถีทางอื่นใด แต่กลับเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้และทรงชี้นำมันด้วยพระองค์เอง พระองค์ทรงปฏิบัติในหนทางนี้ก็เพื่อที่จะนำทางมนุษย์เข้าไปสู่พระราชกิจใหม่ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่หรอกหรือ? พระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจนี้ผ่านส่วนของมนุษยชาติหรือโดยวิถีทางแห่งคำเผยพระวจนะทั้งหลาย แต่พระองค์กลับทรงปฏิบัติด้วยพระองค์เอง บางคนอาจกล่าวว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่และไม่สามารถนำพาความสุขเกษมยินดีมาให้กับมนุษย์ได้ แต่เราจะกล่าวกับเจ้าว่า พระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่านี้มาก และมากมายกว่านี้มาก

ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงแต่เป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูของเจ้าที่จะเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่ มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก เชื่อฟัง เคารพ และรักพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?

มันไม่ยากที่จะสืบค้นเข้าไปในสิ่งเช่นนี้ แต่มันจำเป็นที่พวกเราแต่ละคนต้องรู้ความจริงข้อนี้ กล่าวคือ พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่พระรูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน รูปปรากฏภายนอกไม่สามารถกำหนดแก่นแท้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีวันสามารถสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ พระรูปปรากฏภายนอกของพระเยซูไม่ได้ขัดกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์หรอกหรือ? โฉมพระพักตร์และเครื่องทรงของพระองค์ไม่สามารถให้เบาะแสเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์แท้จริงของพระองค์ได้หรอกหรือ? พวกฟาริสียุคแรกสุดไม่ได้ต่อต้านพระเยซูอย่างจริงจังก็เพราะพวกเขาแค่มองที่พระรูปปรากฏภายนอกของพระองค์เท่านั้น และหาได้ใส่ใจพระวจนะในพระโอษฐ์ของพระองค์หรอกหรือ? เรามีความหวังว่าพี่น้องชายหญิงทุกคนที่แสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้าจะไม่ซ้ำรอยโศกนาฏกรรมแห่งประวัติศาสตร์ เจ้าต้องไม่กลายเป็นพวกฟาริสีแห่งยุคปัจจุบันและตอกตรึงพระเจ้ากับกางเขนอีกครั้ง เจ้าควรพิจารณาอย่างรอบคอบถึงวิธีต้อนรับการทรงกลับมาของพระเจ้า และเจ้าควรมีจิตใจที่แจ่มชัดเกี่ยวกับวิธีที่จะเป็นใครบางคนซึ่งนบนอบต่อความจริง นี่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่กำลังรอให้พระเยซูทรงกลับมาโดยการขี่มาบนก้อนเมฆ พวกเราควรขยี้ตาฝ่ายวิญญาณของพวกเราเพื่อทำให้เห็นได้ชัดเจนและไม่กลายเป็นจมปลักอยู่ในคำพูดทั้งหลายแห่งความเพ้อฝันเกินจริง พวกเราควรคิดถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและมองตรงแง่มุมของพระเจ้าที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง อย่าหลงระเริงหรือปล่อยตัวเองให้หลุดหลงไปในฝันกลางวัน ที่ตลอดเวลาเฝ้าถวิลหาวันที่องค์พระเยซูเจ้าทรงขี่บนก้อนเมฆเสด็จลงมาโดยฉับพลันท่ามกลางพวกเจ้าและรับตัวพวกเจ้าที่ไม่เคยได้รู้จักหรือได้เห็นพระองค์และไม่รู้วิธีทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นการดีกว่าที่จะคิดถึงเรื่องราวที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่านี้!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

พวกเจ้าไม่รู้สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น พวกเจ้าไม่รู้สิ่งที่พระคริสต์ทรงเป็น พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะเคารพพระยาห์เวห์อย่างไร พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะเข้าสู่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร และพวกเจ้าไม่รู้ว่าจะแยกความต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองกับการหลอกลวงของมนุษย์อย่างไร เจ้ารู้เพียงการกล่าวโทษพระวจนะแห่งความจริงใดๆ ก็ตามที่พระเจ้าทรงแสดงซึ่งไม่สอดคล้องกับความคิดของเจ้าเอง ความถ่อมตัวของเจ้าอยู่ที่ใด? ความเชื่อฟังของเจ้าอยู่ที่ใด? ความจงรักภักดีของเจ้าอยู่ที่ใด? ความอยากที่จะแสวงหาความจริงของเจ้าอยู่ที่ใด? ความเคารพพระเจ้าของเจ้าอยู่ที่ใด? เราบอกพวกเจ้าเลยว่า พวกที่เชื่อในพระเจ้าเนื่องจากหมายสำคัญทั้งหลาย เป็นหมวดหมู่ที่จะถูกทำลายอย่างแน่นอน พวกที่ไม่สามารถรับพระวจนะของพระเยซูผู้ทรงกลับมาสู่เนื้อหนังได้นั้นคือผู้สืบสันดานของนรก คือพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ คือหมวดหมู่ที่จะต้องอยู่ภายใต้การทำลายล้างชั่วนิรันดร์กาลอย่างแน่นอน ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการทรงปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า “พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ” เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร? การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น เราแนะนำให้พวกเจ้าก้าวย่างบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าด้วยความรอบคอบระมัดระวัง จงอย่าด่วนสรุป ยิ่งไปกว่านั้น อย่าทำตัวตามสบายและไร้ความคิดในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า พวกเจ้าควรรู้ว่าอย่างน้อยที่สุด บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรถ่อมใจและมีความเคารพ พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ากลับเชิดใส่ความจริงนั้นเป็นผู้ที่โง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน พวกที่เคยได้ยินความจริงทว่ายังด่วนสรุปหรือกล่าวโทษความจริงนั้นโดยประมาทเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยความโอหัง ไม่มีผู้ใดเลยที่เชื่อในพระเยซูจะมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่นได้ พวกเจ้าทั้งหมดควรเป็นคนที่มีสำนึกรับรู้และผู้ที่ยอมรับความจริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า พระองค์จะเสด็จมาอีก ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงปรากฏต่อผู้คนโดยวิถีทางใดหรือ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย คนที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้ก็เป็นสุข...

ติดต่อเราผ่าน Messenger