ก่อนหน้านี้ ฉันขาดวิจารณญาณ ฉันติดตามศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในการต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และร่วมไปกับพวกเขาในการกล่าวคำหมิ่นประมาททั้งหลาย พระเจ้าจะยังคงทรงช่วยฉันให้รอดหรือไม่?
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“เมื่อคนชอบธรรมหันจากความชอบธรรมของเขาและทำบาป เขาจะต้องตายเพราะการนั้น เขาจะต้องตายเพราะบาปที่เขาทำ แต่เมื่อคนอธรรมหันกลับจากการอธรรมที่เขาทำไป และทำความยุติธรรมและทำความชอบธรรม เขาก็ได้ช่วยชีวิตของเขาเองไว้ เพราะเขาได้ตรึกตรองและหันกลับจากการล่วงละเมิดซึ่งเขาได้ทำไป เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน เขาจะไม่ตาย” (เอเสเคียล 18:26-28)
“แล้วพระวจนะของพระยาห์เวห์มาถึงโยนาห์เป็นครั้งที่สองว่า ‘จงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์นครใหญ่ และจงประกาศข่าวแก่เมืองนั้นตามที่เราบอกเจ้า’ ดังนั้น โยนาห์จึงลุกขึ้นไปยังนีนะเวห์ ตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ นีนะเวห์เป็นนครใหญ่โตมโหฬาร ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์ตั้งต้นเดินเข้าไปในเมืองได้ระยะทางเดินวันหนึ่ง และท่านก็ร้องประกาศว่า ‘อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย’ คนนีนะเวห์ได้เชื่อพระเจ้า พวกเขาได้ประกาศให้อดอาหาร และได้สวมผ้ากระสอบ ตั้งแต่ผู้ใหญ่ที่สุดจนถึงผู้น้อยที่สุด เมื่อข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ พระองค์ทรงลุกขึ้นจากพระที่นั่ง และเปลื้องฉลองพระองค์ออก แล้วทรงสวมผ้ากระสอบแทน และประทับบนกองขี้เถ้า พระองค์ทรงออกพระราชกฤษฎีกา ประกาศไปทั่วนครนีนะเวห์ว่า ‘โดยอำนาจกษัตริย์และขุนนางทั้งหลาย คนหรือสัตว์เลี้ยงไม่ว่าขนาดใหญ่หรือขนาดกลาง อย่าลิ้มรสสิ่งใด อย่ากินอาหาร และอย่าดื่มน้ำ ให้ทั้งคนและสัตว์เลี้ยงนุ่งห่มผ้ากระสอบ ให้ร้องทูลต่อพระเจ้าอย่างจริงจัง เออ ให้ทุกคนหันกลับจากการประพฤติชั่ว และเลิกการทารุณซึ่งมือพวกเขาทำ ใครจะรู้ได้? พระเจ้าอาจจะทรงหันและเปลี่ยนพระทัย พระองค์อาจจะทรงหันจากพระพิโรธอันรุนแรง เพื่อเราจะไม่พินาศ’ เมื่อพระเจ้าทอดพระเนตรการกระทำของพวกเขาที่ได้หันจากการประพฤติชั่ว พระเจ้าก็เปลี่ยนพระทัยเรื่องความหายนะที่พระองค์ตรัสว่าจะนำมาสู่พวกเขา พระองค์ไม่ทรงลงโทษเขา” (โยนาห์ 3:1-10)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าต่อมนุษย์คือเพื่อให้พวกเขาสามารถเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และพระราชกิจนั้นกระทำลงไปเพื่อนำความรอดมาให้พวกเขา เพราะฉะนั้น ในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจในการลงโทษพวกเขา ขณะที่กำลังทรงนำพาความรอดมาสู่มนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงลงโทษความชั่วหรือปูนบำเหน็จความดี และพระองค์ไม่ทรงเปิดเผยบั้นปลายของผู้คนสารพัดประเภท แต่พระองค์กลับจะทรงพระราชกิจเพื่อการลงโทษความชั่วหรือปูนบำเหน็จความดีเฉพาะหลังจากที่พระราชกิจระยะสุดท้ายของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ และพระองค์จึงจะทรงเปิดเผยบทอวสานของผู้คนต่างชนิดทั้งหมดเฉพาะเมื่อถึงเวลานั้นเท่านั้น พวกที่ถูกลงโทษจะเป็นพวกที่ไม่สามารถช่วยให้รอดได้จริงๆ ในขณะที่บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะเป็นผู้ที่ได้มาซึ่งความรอดของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระองค์ ในขณะที่กำลังมีการปฏิบัติพระราชกิจเพื่อความรอดของพระเจ้า บุคคลทุกคนซึ่งสามารถช่วยให้รอดได้จะได้รับการช่วยให้รอดมากเท่าที่จะมากได้และจะไม่มีใครถูกทิ้งขว้าง เพราะจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าก็คือการช่วยมนุษย์ให้รอด ผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้า—รวมทั้งผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์—จะกลายเป็นวัตถุสำหรับการลงโทษ พระราชกิจในระยะนี้—พระราชกิจแห่งพระวจนะ—จะไขหนทางและความล้ำลึกทั้งปวงที่ผู้คนไม่เข้าใจให้กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาสามารถมีความพร้อมพื้นฐานในการที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมิทรงลงโทษผู้คนที่เป็นกบฏเล็กน้อย นี่เป็นเพราะว่าตอนนี้คือเวลาของพระราชกิจแห่งความรอด หากผู้ใดก็ตามซึ่งปฏิบัติอย่างเป็นกบฏได้ถูกลงโทษ เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดมีโอกาสเหมาะที่จะได้รับการช่วยให้รอดเลย ทุกคนคงจะถูกลงโทษและตกลงไปสู่แดนคนตาย จุดประสงค์ของพระวจนะที่ทรงพิพากษามนุษย์คือเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักตัวเองและนบนอบต่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อลงโทษพวกเขาด้วยการพิพากษาดังกล่าว ในระหว่างช่วงเวลาของพระราชกิจของพระวจนะ ผู้คนมากมายจะเปิดโปงความเป็นกบฏและการเยาะเย้ยท้าทายของพวกเขาออกมา รวมทั้งการไม่เชื่อฟังที่พวกเขามีต่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ด้วย อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือ พระองค์จะไม่ลงโทษผู้คนเหล่านี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับจะทรงปัดทิ้งเฉพาะผู้ที่เสื่อมทรามจนถึงแก่นกลางและผู้ที่ไม่สามารถช่วยให้รอดได้เท่านั้น พระองค์จะประทานเนื้อหนังของพวกเขาให้แก่ซาตาน และในไม่กี่กรณี จะทรงสิ้นสุดเนื้อหนังของพวกเขา บรรดาผู้ที่เหลืออยู่จะยังคงติดตามและได้รับประสบการณ์การถูกจัดการและตัดแต่งต่อไป หากขณะกำลังติดตาม ผู้คนเหล่านี้ยังคงไม่สามารถยอมรับการถูกจัดการและตัดแต่งได้ และเสื่อมสภาพลงไปทุกที เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมจะสูญเสียโอกาสสำหรับความรอดของพวกเขา แต่ละบุคคลที่ได้นบนอบต่อการพิชิตด้วยพระวจนะจะมีโอกาสเหมาะเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์ กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์ เมื่อพวกมนุษย์กบฏต่อพระเจ้าในครั้งแรก พระองค์ไม่ทรงพึงปรารถนาที่จะทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย แต่พระองค์กลับทรงทำทั้งหมดที่พระองค์สามารถทำได้เพื่อช่วยพวกเขาให้รอด หากใครบางคนไม่มีห้องว่างให้กับความรอดเลยจริงๆ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะปัดพวกเขาทิ้งไป เหตุผลที่พระเจ้าทรงลงโทษผู้คนบางคนช้า ก็เป็นเพราะพระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยทุกคนที่สามารถช่วยให้รอดได้ พระองค์ทรงพิพากษา ทรงให้ความรู้แจ้ง และทรงนำผู้คนด้วยพระวจนะเท่านั้น และไม่ใช้ไม้เรียวเพื่อทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย การนำพระวจนะมาใช้เพื่อนำพาความรอดมาสู่มนุษย์คือจุดประสงค์และนัยสำคัญของช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์
“การหมิ่นประมาทและการใส่ร้ายป้ายสีพระเจ้าเป็นบาปซึ่งจะไม่ได้รับการยกโทษในยุคนี้หรือยุคที่กำลังมาถึง และพวกที่กระทำบาปนี้จะไม่มีวันจุติใหม่” นี่หมายความว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่ทนยอมรับการถูกมนุษย์ทำให้ขุ่นเคือง เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เข้าใจ หรือเมื่อพวกเขาถูกผู้อื่นหลอกลวง ควบคุม หรือปราบปราม ผู้คนบางคนอาจพูดคำพูดที่ไม่เมตตาหรือน่าเกลียด อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง ทันทีที่พวกเขาได้ยอมรับหนทางที่แท้จริง พวกเขากลายเป็นเต็มไปด้วยความเสียใจ จากนั้นพวกเขาจึงตระเตรียมความประพฤติดีที่เพียงพอ และพวกเขาบรรลุถึงความรู้และก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ และดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ทรงยึดติดกับการฝ่าฝืนอันใดก่อนหน้านี้ของพวกเขา พวกเจ้าควรรู้จักพระเจ้าอย่างครบถ้วน พวกเจ้าควรรู้ว่า ผู้ที่พระวจนะเหล่านั้นของพระเจ้ามุ่งตรงไปนั้นคือผู้ใดกันแน่ ตลอดจนบริบทของพระวจนะเหล่านั้น และพวกเจ้าไม่ควรนำพระวจนะของพระเจ้าไปใช้อย่างไร้แบบแผนหรือนิยามพระวจนะของพระเจ้าโดยตามอำเภอใจ ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์ไม่ประเมินวัดตัวพวกเขาเองโดยอิงพระวจนะของพระเจ้าในสิ่งใดเลย ในขณะที่พวกที่มีประสบการณ์น้อยหรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกบางอย่าง มีแนวโน้มที่จะขุ่นเคืองง่ายเกินไป เมื่อพวกเขาได้ยินถ้อยดำรัสจากพระเจ้าซึ่งเป็นการสาปแช่ง หรือซึ่งเป็นการเกลียดชังและกำจัดผู้คน พวกเขาก็รับทั้งหมดนั้นมาใช้กับตนเองอย่างขาดการพิจารณา นี่แสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และเข้าใจพระองค์ผิดอยู่เสมอ ผู้คนบางคนทำการตัดสินพระเจ้าก่อนที่พวกเขาจะได้อ่านถ้อยดำรัสใหม่ๆ อันใดของพระองค์ ทำการเจาะลึกอันใด ได้ยินการสามัคคีธรรมอันใดจากผู้คนที่เข้าใจพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า หรือนับประสาอะไรกับการที่จะได้รับความรู้แจ้งอันใดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ภายหลังจากนั้น ใครคนหนึ่งก็ประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา และพวกเขาก็ยอมรับข่าวประเสริฐนั้น ต่อมาพวกเขารู้สึกเสียใจกับการที่ได้ทำการตัดสินพระเจ้า และพวกเขาก็ปรารถนาที่จะกลับใจ หลังจากนั้น นั่นก็แค่ขึ้นอยู่กับว่า พวกเขาประพฤติตนอย่างไรในภายภาคหน้า หากหลังจากที่พวกเขาได้มามีความเชื่อแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาแย่เป็นพิเศษ และพวกเขาพิจารณาตัวพวกเขาเองว่าล้มเหลว โดยพูดว่า “เอาล่ะ จะว่าไปแล้ว ฉันได้พูดคำพูดหมิ่นประมาทและน่าเกลียดก่อนหน้านี้ และพระเจ้าได้ทรงประกาศแถลงว่า ผู้คนเยี่ยงฉันจะถูกกล่าวโทษ—ดังนั้นชีวิตของฉันจึงจบสิ้นแล้ว” เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนั้นย่อมจบแล้วจริงๆ
ตัดตอนมาจาก “พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนบนหลักพื้นฐานใด?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ผู้คนบางคนที่ได้กระทำการฝ่าฝืนเล็กน้อยฉงนฉงายว่า “พระเจ้าได้ทรงเปิดโปงฉันและขับฉันออกแล้วหรือ? พระองค์จะทรงซัดโทษฉันหรือไม่?” ครั้งนี้ พระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงงานไม่ใช่เพื่อที่จะเฆี่ยนตีผู้คน แต่เพื่อช่วยพวกเขาให้รอดจนถึงขอบข่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ใครเล่าที่ไร้ข้อผิดพลาดโดยครบถ้วนบริบูรณ์? หากทุกคนได้ถูกซัดโทษ เช่นนั้นแล้วนั่นจะสามารถเป็น “ความรอด” ได้อย่างไร? การฝ่าฝืนบางอย่างทำไปโดยตั้งใจ ในขณะที่การฝ่าฝืนอื่นๆ นั้นทำไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หากเจ้ามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงหลังจากที่เจ้าระลึกได้ถึงการฝ่าฝืนที่เจ้าทำโดยไม่ได้ตั้งใจ พระเจ้าจะทรงซัดโทษเจ้าก่อนที่เจ้าจะได้เปลี่ยนแปลงหรือไม่? พระเจ้าทรงสามารถช่วยผู้คนให้รอดด้วยหนทางนั้นหรือ? นั่นไม่ใช่วิธีที่พระองค์ทรงพระราชกิจ! โดยไม่คำนึงว่าเจ้าฝ่าฝืนโดยไม่ได้ตั้งใจ หรือเป็นเพราะธรรมชาติอันเป็นกบฏ เจ้าต้องจำไว้ว่า ทันทีที่การฝ่าฝืนได้ถูกกระทำลงไป เจ้าต้องเร่งรีบและตื่นขึ้นสู่ความเป็นจริง และรีบเดินหน้า ไม่สำคัญว่าสถานการณ์ใดจะเกิดขึ้น เจ้าต้องรุดต่อไปข้างหน้า พระราชกิจที่พระเจ้ากำลังทรงทำอยู่ก็คือพระราชกิจแห่งความรอด และพระองค์จะไม่ทรงซัดโทษผู้คนที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ที่จะช่วยให้รอดอย่างเรื่อยเปื่อย โดยไม่คำนึงถึงระดับที่เจ้าสามารถแปลงสภาพไปได้ ต่อให้ในที่สุดแล้วพระเจ้าทรงซัดโทษเจ้า แน่นอนว่านั่นคงจะชอบธรรมแล้วที่พระองค์จะทรงทำเช่นนั้น และเมื่อเวลานั้นได้มาถึง พระองค์คงจะทรงทำให้เจ้าเข้าใจ บัดนี้ พวกเจ้าควรใส่ใจกับการเพียรพยายามเพื่อความจริง โดยมุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิต และการพยายามเสาะแสวงที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงไปอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่มีการคิดผิดอันใดในการนี้! ในที่สุด ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร นั่นชอบธรรมเสมอ เจ้าไม่ควรกังขาการนี้และเจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล ต่อให้เจ้าไม่สามารถเข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้าในชั่วขณะนี้ สักวันหนึ่งย่อมจะถึงคราที่เจ้าจะเชื่อมั่น พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ในความสว่างและอย่างยุติธรรม ทั้งนี้พระองค์ทรงทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่รู้จักกันอย่างเปิดเผย หากพวกเจ้าใช้การใคร่ครวญอันรอบคอบต่อหัวเรื่องนี้ เจ้าก็จะมาสู่ข้อสรุปที่ว่า พระราชกิจของพระเจ้าคือการช่วยผู้คนให้รอดและการแปลงสภาพอุปนิสัยของพวกเขา ในเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าคือพระราชกิจแห่งการแปลงสภาพอุปนิสัยของผู้คน หากผู้คนไม่เปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขา เช่นนั้นแล้วก็ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย และจะไม่สัมฤทธิ์สิ่งใดเลย หากหลังจากที่ผู้คนได้เปิดเผยความเสื่อมทรามของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่กลับใจแม้แต่น้อย และยังคงปฏิบัติตนอย่างที่พวกเขาได้ทำมา เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงดำเนินการลงทัณฑ์อันสาสมในระดับที่ต่างกันกับผู้คน และพวกเขาจะจ่ายราคาสำหรับการฝ่าฝืนของพวกเขา…
ตามที่ได้พาดพิงถึงก่อนหน้านี้ ฉากเหตุการณ์ทั้งหลายของอดีตสามารถลบออกให้สะอาดได้ในคราวเดียว อนาคตสามารถทำขึ้นให้เข้าสวมรอยแทนอดีตได้ ความยอมผ่อนปรนของพระเจ้านั้นไร้พรหมแดนดังเช่นทะเล กระนั้นก็ตามยังมีหลักธรรมหลายประการต่อพระวจนะเหล่านี้ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่กรณีที่ว่าพระเจ้าจะทรงลบบาปอันใดที่เจ้าได้กระทำจนสะอาดได้โดยไม่สำคัญว่าจะใหญ่หลวงแค่ไหน พระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดมีหลักธรรม ในอดีตนั้น ประกาศกฤษฎีกาบริหารถูกกำหนดขึ้นซึ่งจัดการแก้ไขประเด็นปัญหานี้—พระเจ้าทรงยกโทษและทรงให้อภัยบาปทั้งหมดที่คนเรากระทำก่อนที่จะยอมรับพระนามของพระองค์ และมีระบบในการจัดการแก้ไขพวกที่ยังทำบาปต่อไปหลังจากที่ได้เข้าสู่คริสตจักรแล้ว ผู้ที่กระทำบาปเล็กน้อยได้รับโอกาสที่จะกลับใจ ในขณะที่บรรดาผู้ล่วงเกินซ้ำๆ เล่าถูกขับไล่ออกไป พระเจ้าได้ทรงทนยอมรับผู้คนจนถึงขอบข่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในพระราชกิจของพระองค์อยู่เสมอ และในการนี้ สามารถมองเห็นได้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าคือพระราชกิจแห่งการช่วยผู้คนให้รอดอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม หากในพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายนี้ เจ้ายังทำบาปอันไม่สามารถให้อภัยได้อยู่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่สามารถไถ่ได้อย่างแท้จริง และเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
ตัดตอนมาจาก “น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการช่วยผู้คนให้รอดจนถึงขอบข่ายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ผู้คนมากมายเป็นพวกที่ต่อต้านพระเจ้า แต่ในหมู่พวกเขาก็ยังมีวิธีการแตกต่างมากมายที่พวกเขาใช้ต่อต้านพระเจ้าอีกเช่นกัน ดังที่มีผู้เชื่ออยู่ในทุกลักษณะ ดังนั้นผู้ที่ต่อต้านพระเจ้าก็มีอยู่ในทุกลักษณะด้วยเช่นกัน และแต่ละลักษณะไม่มีความเหมือนกัน ในบรรดาคนเหล่านั้นซึ่งล้มเหลวในการที่จะระลึกได้อย่างชัดเจนถึงจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนที่สามารถรับการช่วยให้รอดได้ ไม่ว่ามนุษย์อาจเคยต่อต้านพระเจ้าอย่างไรไปแล้วในอดีต เมื่อมนุษย์มาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และทุ่มเทอุทิศความพยายามของเขาเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย พระเจ้าจะทรงลบล้างบาปก่อนหน้านี้ทั้งหมดของเขาจนสะอาด ตราบเท่าที่มนุษย์แสวงหาความจริงและปฏิบัติไปตามความจริง พระเจ้าจะไม่ทรงจดจำสิ่งที่เขาได้เคยทำ ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงตัดสินมนุษย์ตามพื้นฐานของการปฏิบัติไปตามความจริงของเขา นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า ก่อนมนุษย์ได้เห็นพระเจ้าหรือได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ ไม่ว่ามนุษย์ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ทรงจดจำ อย่างไรก็ดี ทันทีที่มนุษย์ได้เห็นพระเจ้าและได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์แล้ว พระเจ้าจะทรงบันทึกความประพฤติและการกระทำทั้งหมดของมนุษย์ลงใน “บันทึกรายปี” เนื่องเพราะมนุษย์ได้เคยเห็นพระเจ้าและเคยใช้ชีวิตท่ามกลางพระราชกิจของพระองค์แล้ว
ครั้นมนุษย์ได้มองเห็นอย่างแท้จริงในสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ครั้นเขาได้มองเห็นอำนาจสูงสุดของพระองค์ และครั้นเขาได้มารู้พระราชกิจของพระองค์อย่างแท้จริง และยิ่งไปกว่านั้น เมื่ออุปนิสัยเดิมของมนุษย์ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป เมื่อนั้นมนุษย์จะละทิ้งอุปนิสัยกบฏที่ต่อต้านพระเจ้าของตนไปแล้วอย่างสมบูรณ์ สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนเคยต่อต้านพระเจ้าในบางเวลา และทุกคนเคยกบฏต่อพระเจ้าในบางเวลา อย่างไรก็ดี หากเจ้าเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และจากจุดนี้ทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้าด้วยความจงรักภักดีของเจ้า ปฏิบัติไปตามความจริงที่เจ้าควรทำ ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเช่นที่เจ้าควรทำ และรักษากฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้าควรทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าคือผู้ที่เต็มใจละทิ้งความกบฏของเจ้าเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และเป็นผู้ที่สามารถได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า หากเจ้าปฏิเสธอย่างดื้อรั้นที่จะมองเห็นความผิดพลาดของเจ้าและไม่มีเจตนาที่จะกลับใจด้วยตัวเจ้าเอง หากเจ้ายืนกรานในการกระทำอันกบฏของเจ้าและปราศจากเจตนาแม้เพียงน้อยที่สุดที่จะร่วมมือกับพระเจ้าและกระทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้วคนที่กระด้างและเกินเยียวยาแก้ไขเช่นนั้นจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน และจะไม่มีวันเป็นผู้ที่ได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้าอย่างแน่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าก็คือศัตรูของพระเจ้าในวันนี้ และพรุ่งนี้เจ้าจะเป็นศัตรูของพระเจ้าเช่นกัน และดังนั้น เจ้าจะยังคงเป็นศัตรูของพระเจ้าในวันถัดไปอีกด้วย เจ้าจะเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าและศัตรูของพระเจ้าไปตลอดกาล ในกรณีเช่นนั้นแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าจะประทานอภัยโทษให้เจ้า?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า
ตอนนี้ตราบเท่าที่พวกเจ้ามีความหวังสักกระผีก เช่นนั้นแล้วไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจำฉากเหตุการณ์ในอดีตได้หรือไม่ ความรู้สึกนึกคิดใดหรือที่เจ้าควรธำรงรักษาไว้? “ฉันต้องแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของฉัน พยายามที่จะรู้จักพระเจ้า ไม่มีวันที่จะถูกซาตานหลอกอีกเลย และไม่มีวันที่จะทำสิ่งใดก็ตามที่จะนำความอดสูมาสู่พระนามของพระเจ้าอีกเลย” ด้านที่เป็นกุญแจสำคัญอันใดหรือที่กำหนดพิจารณาว่าผู้คนสามารถได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่ และพวกเขามีความหวังอันใดหรือไม่? ปมปัญหาของเรื่องนี้คือ หลังจากที่ฟังการเทศนาแล้ว เจ้าสามารถเข้าใจความจริงได้หรือไม่ เจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ และเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ เหล่านี้คือด้านที่เป็นกุญแจสำคัญ หากเจ้าเพียงรู้สึกผิดเท่านั้น และเมื่อเจ้าทำสิ่งทั้งหลาย เจ้าแค่ทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการในหนทางเดิมๆ โดยไม่เพียงแค่ไม่แสวงหาความจริงเท่านั้น แต่ยังคงเกาะติดทรรศนะเดิมๆ และการปฏิบัติเดิมๆ และไม่เพียงแค่ไม่มีความเข้าใจอย่างที่สุดเท่านั้น แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับแย่ลงทุกที เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไร้ความหวัง และควรถูกตัดออกไป ยิ่งเจ้าเข้าใจพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเข้าใจตัวเจ้าเองมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งเจ้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของเจ้าเองถ้วนทั่วมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งจะมีความสามารถที่จะทำให้ตัวเจ้าเองเชี่ยวชาญมากขึ้นเท่านั้น หลังจากที่เจ้าได้สรุปสาระประสบการณ์ของเจ้าแล้ว เจ้าจะไม่มีวันล้มเหลวในเรื่องนี้อีกเลย ในข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงแล้ว ทุกคนมีมลทิน มันก็แค่ว่าพวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบ ทุกคนมีมลทินเหล่านั้น—บางคนมีมลทินเล็ก และบางคนมีมลทินใหญ่ บางคนพูดตรงๆ และบางคนปิดปากเงียบ ผู้คนบางคนทำสิ่งทั้งหลายที่คนอื่นรู้เรื่อง ในขณะที่ผู้คนบางคนทำสิ่งทั้งหลายโดยที่คนอื่นไม่รู้เรื่องนั้น มลทินนั้นมีอยู่กับทุกคน และพวกเขาล้วนเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเฉพาะบางอย่าง ดังเช่น ความโอหังหรือความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ หรือไม่เช่นนั้นพวกเขาก็ทำการฝ่าฝืนบางอย่าง หรือการคิดผิดหรือข้อผิดพลาดบางอย่างในงานของพวกเขา หรือไม่ก็พวกเขาเป็นกบฏเล็กน้อย เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่สามารถให้อภัยได้ เนื่องจากสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ไม่มีบุคคลที่ถูกทำให้เสื่อมทรามคนใดสามารถหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้าได้เข้าใจความจริงแล้ว เจ้าควรหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านั้น และจะไม่จำเป็นอีกต่อไปที่จะต้องเดือดร้อนอยู่เสมอจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นในอดีต แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เกรงกลัวก็คือว่า เจ้าจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแม้ภายหลังจากที่ได้เข้าใจแล้ว เกรงว่าเจ้าจะทำสิ่งทั้งหลายต่อไปแม้เมื่อเจ้ารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นผิด และเกรงว่าเจ้าจะปฏิบัติตนในหนทางเฉพาะบางอย่างต่อไปแม้ภายหลังจากที่ได้รับการบอกแล้วว่าสิ่งนั้นผิด ผู้คนเช่นนั้นอยู่เลยพ้นเกินกว่าการไถ่
ตัดตอนมาจาก “ในการรับใช้พระเจ้า คนเราควรเดินในเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
พวกเราควรตั้งใจแน่วแน่ว่า ไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเราจะร้ายแรงเพียงใด ไม่สำคัญว่าความยากลำบากประเภทใดตกแก่พวกเรา ไม่สำคัญว่าพวกเราอ่อนแอเพียงใด พวกเราต้องไม่สูญเสียความเชื่อในการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย และในพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงให้พระสัญญาแก่มนุษย์ และมนุษย์ต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และความพากเพียรบากบั่นที่จะรับพระสัญญานี้ไว้ พระเจ้าไม่ทรงโปรดพวกคนขี้ขลาด พระเจ้าทรงโปรดผู้คนที่มีความตั้งใจแน่วแน่ เจ้าอาจได้เปิดเผยความเสื่อมทรามออกมามากมายแล้ว เจ้าอาจได้ใช้เส้นทางที่คดโกงมากมาย หรือกระทำการฝ่าฝืนไปมากมาย หรือเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าไปก่อนหน้านี้ หรืออีกทางหนึ่ง อาจมีการหมิ่นประมาท หรือการบ่นว่า หรือการเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าในหัวใจของผู้คนบางคน—แต่พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าทอดพระเนตรเพียงว่าวันหนึ่งสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เท่านั้น ในพระคัมภีร์มีเรื่องราวหนึ่งเกี่ยวกับการหวนคืนของบุตรน้อยหลงหาย เหตุใดองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสบอกคำอุปมาเช่นนั้น? น้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้นจริงใจ พระองค์ทรงให้โอกาสเหมาะที่จะกลับใจและโอกาสเหมาะที่จะเปลี่ยนแปลงแก่ผู้คน ในระหว่างกระบวนการนี้ พระองค์เข้าพระทัยผู้คน และทรงมีความรู้ที่ลุ่มลึกเกี่ยวกับความอ่อนแอของพวกเขา และขอบเขตของความเสื่อมทรามของพวกเขา พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาจะสะดุดและล้มเหลว เป็นเหมือนเมื่อตอนที่เด็กๆ เรียนรู้ที่จะเดิน กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าร่างกายของเจ้าแข็งแรงเพียงใด จะมีช่วงเวลาที่เจ้าสะดุด และช่วงเวลาที่เจ้าพลาดล้ม พระเจ้าเข้าพระทัยแต่ละบุคคลดังเช่นแม่เข้าใจลูกของนาง พระองค์เข้าพระทัยความลำบากยากเย็นของแต่ละบุคคล พระองค์เจ้าเข้าพระทัยความอ่อนแอของแต่ละบุคคล และพระองค์เข้าพระทัยความต้องการที่จำเป็นของแต่ละบุคคลเช่นกัน ที่มากกว่านั้น พระองค์เข้าพระทัยว่าผู้คนจะเผชิญปัญหาใดในกระบวนการของการเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย พวกเขาจะทนทุกข์จากความอ่อนแอประเภทใด ความล้มเหลวประเภทใดจะเกิดขึ้น—ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าเข้าพระทัยดียิ่งกว่านี้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนในสุดของมนุษย์ ไม่สำคัญว่าเจ้าอ่อนแอเพียงใด ตราบเท่าที่เจ้าไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้า ตราบเท่าที่เจ้าไม่จากพระเจ้าไป และไม่ไถลห่างจากหนทางนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีโอกาสเหมาะอยู่เสมอที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย การที่พวกเรามีโอกาสเหมาะที่จะสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเราหมายถึงว่า พวกเรามีความหวังที่จะยังคงอยู่ และการที่พวกเรามีความหวังที่จะยังคงอยู่หมายถึงว่า พวกเรามีความหวังในความรอดของพระเจ้า
ตัดตอนมาจาก “สิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย และเส้นทางสู่การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ