อาหารและเครื่องดื่มประจำวันที่พระเจ้าทรงตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

เมื่อตะกี้นี้พวกเราเพิ่งพูดเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมโดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพเงื่อนไขทั้งหลายที่จำเป็นต่อความอยู่รอดของมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างโลก พวกเราได้พูดเกี่ยวกับห้าสิ่ง ห้าองค์ประกอบของสภาพแวดล้อม หัวข้อถัดไปของพวกเรามีความเกี่ยวโยงอย่างแนบแน่นกับชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ทุกคน และตรงประเด็นกับชีวิตนั้นมากกว่าและเป็นการลุล่วงสภาพเงื่อนไขที่จำเป็นต้องมีได้มากกว่าห้าองค์ประกอบก่อนหน้า กล่าวคือ อาหารที่ผู้คนกินนั่นเอง พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์และวางเขาไว้ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับชีวิต หลังจากนั้นมนุษย์ก็ได้ต้องการอาหารและน้ำ มนุษย์ได้มีความต้องการที่จำเป็นนี้ ดังนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงทำการตระเตรียมที่สอดคล้องกันสำหรับเขา เพราะฉะนั้นแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าและแต่ละสิ่งที่พระองค์ทรงทำไม่ใช่พระวจนะอันไร้แก่นสารซึ่งกำลังถูกตรัส แต่เป็นการกระทำอันเป็นจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่กำลังทรงทำอยู่ อาหารไม่ใช่สิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของผู้คนหรอกหรือ? อาหารสำคัญกว่าอากาศหรือไม่? ทั้งสองสิ่งสำคัญเท่ากัน ทั้งสองสิ่งเป็นสภาพเงื่อนไขและสสารที่จำเป็นสำหรับความอยู่รอดของมวลมนุษย์และสำหรับการคุ้มภัยให้กับการดำเนินต่อไปของชีวิตมนุษย์ สิ่งใดสำคัญกว่ากัน—อากาศหรือน้ำ? อุณหภูมิหรืออาหาร? สิ่งเหล่านี้ล้วนสำคัญเท่ากัน ผู้คนไม่สามารถเลือกระหว่างพวกมันเพราะพวกเขาไม่สามารถอยู่โดยปราศจากสิ่งใดในสิ่งเหล่านี้ได้ นี่เป็นประเด็นปัญหาอันเป็นจริงซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง ไม่ใช่ประเด็นปัญหาของการที่เจ้าต้องเลือกระหว่างสิ่งทั้งหลาย เจ้าไม่รู้ แต่พระเจ้าทรงรู้ เมื่อเจ้าเห็นอาหารเจ้าคิดว่า “ฉันไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีอาหาร!” แต่ทันทีหลังจากเจ้าได้ถูกสร้างขึ้นมา เจ้าได้รู้หรือไม่ว่าเจ้าต้องการอาหาร? เจ้าไม่ได้รู้ แต่พระเจ้าได้ทรงรู้ ต่อเมื่อเจ้าเกิดหิวขึ้นมา และเห็นผลไม้บนต้นไม้และเมล็ดธัญพืชบนพื้นดินสำหรับให้เจ้ากินเท่านั้นเอง เจ้าจึงได้ตระหนักว่าเจ้าต้องการอาหาร ต่อเมื่อเจ้าเกิดกระหายน้ำขึ้นมาและสายตาไพล่ไปเห็นน้ำพุธรรมชาติ—เมื่อเจ้าได้ดื่มแล้วเท่านั้น เจ้าจึงได้ตระหนักว่าเจ้าต้องการน้ำ พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมน้ำไว้ล่วงหน้าสำหรับมวลมนุษย์ ไม่สำคัญว่าคนเราจะกินสามมื้อหรือสองมื้อต่อวัน หรือแม้จะมากกว่านั้น โดยสังเขปแล้วอาหารก็คือบางสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับมนุษย์ในชีวิตประจำวันของพวกเขา อาหารเป็นหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่จำเป็นต่อการธำรงรักษาความอยู่รอดตามปกติแบบต่อเนื่องของร่างกายมนุษย์ ดังนั้นแล้ว อาหารส่วนใหญ่มาจากที่ใดกัน? แรกที่สุด อาหารมาจากดิน พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมดินไว้ล่วงหน้าสำหรับมวลมนุษย์ และเหมาะสำหรับความอยู่รอดของพืชมากมายหลายประเภท ไม่เพียงแค่ต้นไม้หรือต้นหญ้า พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมเมล็ดพันธุ์ของเมล็ดธัญพืชทุกประเภทและเมล็ดพันธุ์ของอาหารอื่นๆ สารพัดไว้สำหรับมวลมนุษย์ และพระองค์ได้ทรงให้ดินและแผ่นดินที่เหมาะสมแก่มวลมนุษย์เพื่อหว่านเพาะ และมวลมนุษย์จึงได้รับอาหารด้วยสิ่งเหล่านี้ อาหารหลากหลายประเภทนั้นคืออะไรบ้าง? พวกเจ้าอาจรู้อยู่แล้วก็เป็นได้ แรกที่สุดก็มีเมล็ดธัญพืชอันหลากหลาย เมล็ดธัญพืชประเภทต่างๆ มีอะไรบ้าง? ข้าวสาลี ข้าวฟ่างหางหมา ลูกเดือย ข้าวฟ่างไม้กวาด และเมล็ดธัญพืชกะเทาะเปลือกชนิดอื่นๆ ธัญญาหารก็มากันในทุกจำพวกด้วยเช่นกัน ด้วยสารพัดพันธุ์ที่แตกต่างกันจากภาคใต้จรดภาคเหนือ นั่นคือ ข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต บัควีต และอื่นๆ สายพันธุ์ที่แตกต่างกันเหมาะสำหรับการเพาะปลูกในภูมิภาคที่แตกต่างกัน ยังมีข้าวหลากหลายประเภทอีกด้วย ภาคใต้มีพันธุ์ต่างๆ ของตัวเองซึ่งเป็นเมล็ดธัญพืชที่มีลักษณะยาวกว่าและเหมาะกับผู้คนจากภาคใต้เพราะภูมิอากาศทางนั้นร้อนกว่า หมายความว่าผู้คนท้องถิ่นต้องกินพันธุ์ต่างๆ อาทิ ข้าวอินดิกาซึ่งไม่เหนียวเกินไป ข้าวของพวกเขาไม่อาจเหนียวจนเกินไปได้ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็จะสูญเสียความอยากอาหารและไร้ความสามารถที่จะกลืนลงท้องไปได้ ชาวเหนือกินข้าวที่เหนียวกว่าเพราะภาคเหนือหนาวเย็นเสมอ ดังนั้นผู้คนที่นั่นต้องกินสิ่งต่างๆ ที่ยึดติดกันมากกว่า ถัดไปยังมีถั่วเปลือกอ่อนมากมายหลายพันธุ์ที่เติบโตเหนือพื้นดินและผักมีหัวต่างๆ ที่เติบโตใต้ดินอีกด้วย อาทิ มันฝรั่ง มันเทศ เผือก และอื่นๆ อีกมากมาย พวกมันฝรั่งเติบโตในภาคเหนือที่ซึ่งพวกมันมีคุณภาพสูงมาก เมื่อผู้คนไม่มีเมล็ดธัญพืชให้กิน มันฝรั่งสามารถให้พวกเขากินเป็นอาหารหลักได้สามมื้อต่อวัน มันฝรั่งยังสามารถใช้เป็นอาหารสำรองได้อีกด้วย คุณภาพของมันเทศค่อนข้างด้อยกว่าของมันฝรั่ง แต่ก็ยังสามารถใช้เป็นอาหารหลักเพื่อให้ได้กินครบสามมื้อทุกวัน ครั้นเมล็ดธัญพืชหายากขึ้น ผู้คนก็สามารถปัดเป่าความหิวไปได้ด้วยมันเทศ เผือกซึ่งผู้คนในภาคใต้กินกันบ่อยๆ ก็สามารถนำไปใช้ในหนทางเดียวกันได้ และยังสามารถทำหน้าที่เป็นอาหารหลักได้ด้วยเช่นกัน เหล่านี้คือพืชผลอันหลากหลายมากมายซึ่งเป็นส่วนจำเป็นของอาหารและเครื่องดื่มประจำวันของผู้คน ผู้คนใช้เมล็ดธัญพืชสารพัดเพื่อทำบะหมี่ ขนมปังนึ่ง ข้าว และเส้นหมี่ พระเจ้าได้ประทานเมล็ดธัญพืชอันหลากหลายเหล่านี้แก่มวลมนุษย์อย่างอุดม เหตุผลที่มีหลายพันธุ์มากมายเหลือเกินนั้น เป็นเรื่องของน้ำพระทัยของพระเจ้า นั่นก็คือ พันธุ์พืชเหล่านั้นเหมาะที่จะเติบโตในดินและภูมิอากาศที่แตกต่างกันของภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก ในขณะที่สิ่งที่ประกอบและสิ่งที่บรรจุอยู่อันหลากหลายในพันธุ์พืชเหล่านั้นสอดรับกับสิ่งที่ประกอบและสิ่งที่บรรจุอยู่อันหลากหลายในร่างกายมนุษย์ ผู้คนสามารถธำรงรักษาสารอาหารและสสารต่างๆ ที่ร่างกายของพวกเขาพึงต้องมีได้ ก็โดยการกินเมล็ดธัญพืชเหล่านี้เท่านั้น อาหารเหนือและอาหารใต้แตกต่างกัน แต่มีความคล้ายคลึงกันมากกว่าความแตกต่างกัน ทั้งสองสามารถตอบสนองความต้องการที่จำเป็นตามปกติของร่างกายมนุษย์และสนับสนุนความอยู่รอดตามปกติของร่างกายมนุษย์ได้ ดังนั้นสายพันธุ์ที่ผลิตในแต่ละภูมิภาคนั้นมีความอุดมก็เพราะร่างกายทางกายภาพของมนุษย์จำเป็นต้องมีสิ่งที่อาหารซึ่งแตกต่างกันเหล่านี้จัดหามาให้—พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการจัดหามาให้โดยอาหารสารพันเหล่านี้ที่ปลูกขึ้นจากดินเพื่อค้ำชูการดำรงอยู่ตามปกติของร่างกาย เพื่อที่พวกเขาจะได้ดำเนินชีวิตมนุษย์ตามปกติ โดยสังเขปแล้วพระเจ้าได้ทรงมีความคำนึงถึงอย่างมากต่อมวลมนุษย์ อาหารหลากหลายที่พระเจ้าได้ประทานแก่ผู้คนมิใช่ไม่หลากหลาย—ในทางตรงกันข้ามอาหารเหล่านี้คัดสรรผสมผสานมาจากหลากหลายแหล่งมากทีเดียว หากผู้คนต้องการกินพวกธัญญาหาร พวกเขาก็สามารถได้กินธัญญาหาร ผู้คนบางคนชอบข้าวเจ้ามากกว่าข้าวสาลี และหากไม่ชอบข้าวสาลีก็สามารถกินข้าวเจ้าได้ มีข้าวเจ้ามากมายหลายประเภท—เมล็ดยาว เมล็ดสั้น—และแต่ละประเภทสามารถตอบสนองความอยากอาหารของผู้คนได้ เพราะฉะนั้นหากผู้คนกินเมล็ดธัญพืชเหล่านี้—ตราบเท่าที่พวกเขาไม่จู้จี้จุกจิกเกินไปกับอาหารของพวกเขา—พวกเขาก็จะไม่ขาดสารอาหารและได้รับการรับประกันที่จะดำรงชีวิตอย่างมีสุขภาพดีจนกระทั่งพวกเขาตาย นั่นคือแนวคิดที่พระเจ้าได้ทรงมีอยู่ในพระหฤทัยเมื่อตอนที่พระองค์ได้ประทานอาหารแก่มวลมนุษย์ ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งเหล่านี้—นั่นไม่ใช่ความเป็นจริงหรอกหรือ? เหล่านี้คือปัญหาอันสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่มนุษย์ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง แต่พระเจ้าก็ได้ทรงเตรียมพร้อมสำหรับปัญหาเหล่านั้น กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงดำริถึงพวกมันล่วงหน้าและได้ทรงทำการตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์

แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มวลมนุษย์—พระองค์ยังได้ทรงให้พืชผักทั้งหลายแก่มวลมนุษย์อีกด้วย! ด้วยข้าวแล้ว หากนั่นคือทั้งหมดที่เจ้ากิน ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก เจ้าก็อาจจะไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ในอีกแง่หนึ่ง หากเจ้าผัดผักสักสองสามอย่างหรือผสมสลัดเพื่อกินกับมื้ออาหารของเจ้า เช่นนั้นแล้ววิตามินทั้งหลายในผักและจุลธาตุสารพัดและสารอาหารอื่นๆ ของพวกผักก็จะมีความสามารถที่จะสนองความต้องการที่จำเป็นของร่างกายของเจ้าตามธรรมชาติได้ และผู้คนยังสามารถกินผลไม้เล็กน้อยในระหว่างมื้ออาหารได้ด้วยใช่หรือไม่? บางครั้งผู้คนก็ต้องการของเหลวมากขึ้นหรือสารอาหารอื่นๆ หรือรสชาติที่แตกต่างออกไป และผลไม้และผักทั้งหลายก็มีอยู่ที่นั่นเพื่อตอบสนองความต้องการเหล่านี้ ในขณะที่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกมีดินและภูมิอากาศแตกต่างกัน จึงผลิตผักและผลไม้หลายหลากชนิดแตกต่างกัน เนื่องจากภูมิอากาศในภาคใต้ร้อนเกินไป ผลไม้และผักส่วนใหญ่ที่นั่นจึงเป็นชนิดที่ให้ความเย็นซึ่งเมื่อกินแล้วจะมีความสามารถที่จะสร้างสมดุลของความเย็นและความร้อนในร่างกายมนุษย์ได้ ในทางตรงกันข้าม ในภาคเหนือนั้นมีผักและผลไม้หลากหลายชนิดน้อยกว่า แต่ก็เพียงพอให้ผู้คนท้องถิ่นชื่นชม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากพัฒนาการในสังคมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาและสิ่งที่เรียกกันว่าความก้าวหน้าทางสังคม ตลอดจนการปรับปรุงในการสื่อสารและการขนส่งที่โยงใยภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตกเข้าด้วยกัน ผู้คนในภาคเหนือจึงสามารถที่จะกินผลไม้และผักบางอย่างของภาคใต้ หรือผลิตภัณฑ์ประจำภูมิภาคจากภาคใต้ได้ด้วย และพวกเขาก็สามารถทำเช่นนั้นได้ในทั้งสี่ฤดูกาลของปี แม้ว่าการนี้จะสามารถที่จะตอบสนองความอยากอาหารและความต้องการทางวัตถุของผู้คนได้ แต่ร่างกายของพวกเขาตกอยู่ภายใต้อันตรายในระดับแตกต่างกันโดยมิได้เฉลียวรู้เลย นี่เป็นเพราะท่ามกลางอาหารทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ มีอาหารและผลไม้และผักที่หมายจะให้แก่ผู้คนในภาคใต้ เช่นเดียวกันกับอาหารและผลไม้และผักที่หมายจะให้แก่ผู้คนในภาคเหนือ กล่าวคือ หากเจ้าเกิดในภาคใต้ มันก็เหมาะสมที่เจ้าจะกินสิ่งทั้งหลายจากภาคใต้ พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอาหารและผลไม้และผักเหล่านี้อย่างเฉพาะเจาะจงเพราะภาคใต้มีภูมิอากาศเฉพาะตัว ภาคเหนือมีอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายของผู้คนในภาคเหนือ กระนั้นเพราะผู้คนมีความอยากอาหารอย่างตะกละตะกลาม พวกเขาจึงยอมให้ตัวเองถูกพัดพาไปตามสายธารของกระแสนิยมทางสังคมใหม่ๆ โดยไม่รู้ตัว และพวกเขาก็ละเมิดกฎเหล่านี้โดยไม่รู้สึกตัว แม้ว่าผู้คนจะรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาดีกว่าในอดีต แต่ความก้าวหน้าทางสังคมประเภทนี้ก่อเกิดอันตรายเคลือบแฝงต่อร่างกายของผู้คนจำนวนมากขึ้นทุกที นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตร และไม่ใช่สิ่งที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยในคราที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมอาหาร ผลไม้ และผักเหล่านี้ให้แก่มวลมนุษย์ มนุษย์เองได้เป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดสถานการณ์ปัจจุบันโดยการละเมิดธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระเจ้า

ต่อให้ไม่รวมทั้งหมดนั้น ความอารีที่พระเจ้าได้ประทานแก่มวลมนุษย์ก็มั่งคั่งด้วยความอุดมอย่างแท้จริง และสถานที่แต่ละแห่งก็มีผลผลิตท้องถิ่นของตัวเอง ตัวอย่างเช่นบางสถานที่มั่งคั่งด้วยเรดเดต (หรือที่รู้จักกันในชื่อพุทราจีน) สถานที่อื่นๆ มั่งคั่งด้วยวอลนัท และสถานที่อื่นๆ มั่งคั่งด้วยถั่วลิสงหรือถั่วเปลือกแข็งอื่นๆ อีกหลากหลาย สิ่งที่เป็นวัตถุเหล่านี้ทั้งหมดให้สารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่พระเจ้าทรงจัดหาสิ่งทั้งหลายให้กับมวลมนุษย์ในปริมาณที่ถูกต้องและในเวลาที่ถูกต้องโดยสอดคล้องกับฤดูกาลและเวลาของปี มวลมนุษย์ละโมบในความชื่นชมยินดีทางกายภาพและตะกละตะกลาม ทำให้ง่ายต่อการละเมิดและทำให้กฎธรรมชาติแห่งการเติบโตของมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมานั้นเกิดความเสียหาย พวกเรามาดูผลเชอร์รี่เป็นตัวอย่างกันเถิด ผลเชอร์รี่จะสุกประมาณเดือนมิถุนายน ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมปกตินั้น ภายในเดือนสิงหาคมจะไม่มีผลเชอร์รี่เหลืออยู่เลย ผลเชอร์รี่สามารถเก็บให้สดอยู่ได้นานสองเดือน แต่โดยการใช้กลวิธีทางวิทยาศาสตร์ บัดนี้ผู้คนจึงมีความสามารถที่จะขยายช่วงเวลานั้นเป็นสิบสองเดือน จนถึงขั้นผ่านฤดูเชอร์รี่ของปีถัดไปได้ด้วยซ้ำ นี่ก็หมายความว่ามีผลเชอร์รี่อยู่ตลอดทั้งปี ปรากฏการณ์นี้ปกติหรือไม่? (ไม่) เช่นนั้นแล้ว เมื่อใดจึงเป็นฤดูที่ดีที่สุดที่จะกินผลเชอร์รี่? นั่นคงจะเป็นช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมิถุนายนจนถึงเดือนสิงหาคม เลยเวลานี้ไป ไม่สำคัญว่าเจ้าจะรักษาความสดใหม่ไว้มากเท่าใด ผลเชอร์รี่ก็จะไม่มีรสชาติเช่นเดิม และผลเชอร์รี่จะไม่ให้สิ่งที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ เมื่อวันหมดอายุได้ผ่านไปแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะใช้สารเคมีใด เจ้าก็จะไม่มีความสามารถที่จะใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในเวลาที่พวกมันโตตามธรรมชาติเข้าไปในผลเชอร์รี่เหล่านั้น นอกจากนี้อันตรายที่สารเคมีทำกับมนุษย์เป็นบางสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ โดยไม่สำคัญว่าพวกเขาจะพยายามทำอะไร ดังนั้นเศรษฐกิจการตลาดปัจจุบันนำอะไรมาสู่ผู้คนหรือ? ชีวิตของผู้คนดูเหมือนจะดีขึ้น การขนส่งระหว่างภูมิภาคต่างๆ ได้กลายเป็นสะดวกอย่างสูง และผู้คนสามารถกินผลไม้ทุกประเภทในฤดูกาลใดก็ได้จากทั้งสี่ฤดูกาล ผู้คนในภาคเหนือมีความสามารถที่จะกินกล้วยเป็นประจำ ตลอดจนอาหารอร่อยประจำภาค ผลไม้ หรืออาหารอื่นใดจากภาคใต้ได้ แต่นี่ไม่ใช่ชีวิตที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะให้แก่มวลมนุษย์ เศรษฐกิจการตลาดประเภทนี้อาจนำคุณประโยชน์มาสู่ชีวิตของผู้คนอยู่บ้าง แต่ก็สามารถนำอันตรายมาได้ด้วยเช่นกัน เพราะความอุดมในท้องตลาด ผู้คนมากมายจึงกินโดยไม่คิดถึงสิ่งที่พวกเขากำลังใส่เข้าไปในปากของพวกเขา พฤติกรรมนี้เป็นการละเมิดกฎแห่งธรรมชาติ และเป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้คน ดังนั้น เศรษฐกิจการตลาดไม่สามารถนำความสุขที่แท้จริงมาให้ผู้คนได้ จงดูด้วยตัวพวกเจ้าเองเถิด องุ่นไม่ได้ถูกขายอยู่ที่ตลาดในทั้งสี่ฤดูกาลหรอกหรือ? โดยข้อเท็จจริงแล้ว องุ่นจะคงความสดใหม่ในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่ถูกเด็ดแล้วเท่านั้น หากเจ้าเก็บองุ่นไว้จนถึงเดือนมิถุนายนของปีถัดไป พวกมันจะยังคงสามารถถูกเรียกว่าองุ่นได้หรือไม่? หรือว่า “ขยะ” น่าจะเป็นชื่อที่ดีกว่าสำหรับพวกมัน? พวกมันไม่เพียงแค่ขาดเนื้อแท้ขององุ่นสด—พวกมันมีผลิตภัณฑ์เคมีในตัวเองเพิ่มมากขึ้น หลังจากหนึ่งปีแล้ว พวกมันจะไม่สดอีกต่อไป และสารอาหารอะไรที่พวกมันเคยมีก็จะหายไปจนหมดนานแล้ว เมื่อผู้คนกินองุ่นพวกเขามีความรู้สึกนี้ที่ว่า “พวกเราโชคดีจัง! พวกเราจะมีความสามารถที่จะได้กินองุ่นในฤดูกาลนี้เมื่อสามสิบปีที่แล้วหรือ? คุณคงไม่สามารถทำได้ ต่อให้คุณจะต้องการก็ตาม! บัดนี้ชีวิตช่างดีเหลือเกิน!” นี่คือความสุขจริงๆ หรือ? หากเจ้าสนใจ เจ้าก็สามารถทำการศึกษาวิจัยของเจ้าเองเกี่ยวกับองุ่นที่ถนอมด้วยสารเคมีและมองเห็นว่าพวกมันทำขึ้นจากอะไรกันแน่ และสสารเหล่านี้สามารถมีประโยชน์ต่อมนุษย์ได้หรือไม่ ในยุคธรรมบัญญัติเมื่อตอนที่คนอิสราเอลได้ออกจากอียิปต์และกำลังเดินทาง พระเจ้าได้ทรงให้นกคุ่มและมานาแก่พวกเขา แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้ผู้คนถนอมอาหารเหล่านี้ไว้หรือไม่? พวกเขาบางคนสายตาสั้น และด้วยกลัวว่าจะไม่มีอีกแล้วในวันถัดไป ดังนั้นพวกเขาจึงกันบางส่วนไว้สำหรับคราวหลัง แล้วเกิดอะไรขึ้นน่ะหรือ? ในวันต่อมามันก็เน่า พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้เจ้ากันไว้เผื่อ เพราะพระองค์ได้ทรงทำการตระเตรียมซึ่งรับประกันว่าเจ้าจะไม่ต้องหิวไว้แล้ว แต่มวลมนุษย์ไม่มีความมั่นใจเช่นนี้ และพวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า พวกเขาต้องการอยู่เสมอที่จะให้ตัวเองมีพื้นที่ที่จะเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ และไม่เคยมีความสามารถที่จะมองเห็นความใส่พระทัยและพระดำริทั้งหมดที่อยู่เบื้องหลังการตระเตรียมของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ พวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงการนั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถวางความเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าได้อย่างสุดใจ โดยคิดอยู่เสมอว่า “การกระทำของพระเจ้าไม่น่าไว้วางใจ! ใครจะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงให้สิ่งที่พวกเราต้องการแก่พวกเราหรือไม่ หรือพระองค์จะทรงให้พวกเราเมื่อใด! หากฉันอดอยากและพระเจ้าไม่ทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วฉันจะไม่อดอาหารหรือ? ฉันจะไม่ขาดสารอาหารหรือ?” จงดูเอาเถิดว่า ความมั่นใจของมนุษย์นั้นบางเบาผิวเผินเพียงใด!

เมล็ดธัญพืช ผลไม้ และผักทั้งหลาย และถั่วเปลือกแข็งทุกชนิด—เหล่านี้เป็นอาหารมังสวิรัติทั้งสิ้น อาหารเหล่านี้ประกอบด้วยสารอาหารเพียงพอที่จะตอบสนองความต้องการที่จำเป็นของร่างกายมนุษย์แม้ว่าพวกมันเป็นอาหารมังสวิรัติก็ตาม อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ตรัสว่า “เราจะให้เพียงแค่อาหารเหล่านี้แก่มวลมนุษย์ ให้พวกเขากินสิ่งเหล่านี้เท่านั้น!” พระเจ้าไม่ได้ทรงหยุดตรงนั้น แต่ได้ทรงไปต่อเพื่อตระเตรียมอาหารทั้งหลายที่อร่อยยิ่งขึ้นไว้ให้กับมวลมนุษย์มากขึ้น อาหารเหล่านี้คืออะไร? อาหารเหล่านี้คือเนื้อสัตว์และปลาหลากหลายประเภทที่พวกเจ้าส่วนใหญ่มีความสามารถที่จะมองเห็นและกินได้ พระองค์ได้ทรงตระเตรียมทั้งเนื้อสัตว์และปลามากมายหลายประเภทไว้ให้มนุษย์ ปลาอาศัยอยู่ในน้ำ และเนื้อหนังของปลาในน้ำแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญจากเนื้อหนังของสัตว์ที่อาศัยบนแผ่นดิน และมันสามารถให้สารอาหารต่างๆ แก่มนุษย์ได้ ปลายังมีคุณสมบัติที่สามารถกำกับควบคุมความเย็นและความร้อนในร่างกายมนุษย์ได้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากต่อมนุษย์อีกด้วย แต่อาหารอร่อยต้องไม่กินมากจนเกินไป อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว พระเจ้าประทานปริมาณที่ถูกต้องแก่มวลมนุษย์ ณ เวลาที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้คนสามารถชื่นชมได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับการประทานของพระองค์ในหนทางปกติและสอดคล้องกับฤดูกาลและเวลา ทีนี้ อาหารประเภทใดหรือที่รวมอยู่ในหมวดหมู่สัตว์ปีก? ไก่ นกคุ่ม นกพิราบ และอื่นๆ เป็นต้น ผู้คนมากมายกินเป็ดและห่านด้วย แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมเนื้อสัตว์ประเภทเหล่านี้ไว้ทั้งหมด แต่พระองค์ก็ได้ทรงตั้งข้อพึงประสงค์บางประการสำหรับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรและได้ทรงวางขีดจำกัดเฉพาะเจาะจงกับอาหารการกินของพวกเขาในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ทุกวันนี้ขีดจำกัดเหล่านี้ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละบุคคลและการตีความด้วยตนเอง เนื้อสัตว์ต่างๆ นานาเหล่านี้จัดเตรียมสารอาหารหลากหลายให้ร่างกายมนุษย์ โดยเติมโปรตีนและธาตุเหล็ก เพิ่มความสมบูรณ์ให้กับเลือด เสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก และสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย โดยไม่สำคัญว่าผู้คนจะปรุงและกินอาหารเหล่านี้ด้วยวิธีใด เนื้อสัตว์เหล่านี้สามารถช่วยให้ผู้คนปรับปรุงรสชาติอาหารของพวกเขาและเสริมเพิ่มความอยากอาหารของพวกเขา ในขณะเดียวกันก็ทำให้ท้องของพวกเขาพึงพอใจอีกด้วย ที่สำคัญที่สุดคืออาหารเหล่านี้สามารถจัดหาความต้องการที่จำเป็นทางโภชนาการรายวันให้กับร่างกายมนุษย์ นี่คือการทรงพิจารณาของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงเตรียมอาหารให้พร้อมสำหรับมวลมนุษย์ มีผักทั้งหลาย มีเนื้อสัตว์—นี่ไม่ใช่ความอุดมหรอกหรือ? แต่ผู้คนควรเข้าใจว่าเจตนารมณ์ของพระเจ้าคืออะไรเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงตระเตรียมอาหารทั้งหมดให้มวลมนุษย์ ใช่การให้มวลมนุษย์ตามใจตัวเองเกินไปในของกินเหล่านี้หรือ? อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์กลายเป็นติดกับดักในการพยายามตอบสนองความอยากทางวัตถุเหล่านี้? เขาจะไม่กลายเป็นได้รับการบำรุงเลี้ยงมากเกินไปหรอกหรือ? การได้รับการบำรุงเลี้ยงมากเกินไปไม่ทำให้ร่างกายมนุษย์เจ็บป่วยในหลายๆ ทางหรอกหรือ? (ทำ) นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงจัดสัดส่วนให้มีปริมาณที่ถูกต้อง ณ เวลาที่ถูกต้อง และทรงให้ผู้คนชื่นชมกับอาหารที่แตกต่างกันโดยสอดคล้องกับช่วงเวลาและฤดูกาลที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น หลังจากฤดูร้อนที่ร้อนมาก ผู้คนสะสมความร้อนอย่างมากไว้ในร่างกายของพวกเขา รวมถึงความแห้งกร้านและความชื้นแฉะซึ่งก่อให้เกิดโรค เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ผลไม้หลายประเภทก็สุก และเมื่อผู้คนกินผลไม้เหล่านี้ ความชื้นแฉะในร่างกายของพวกเขาจะถูกขับออกไป ณ เวลานี้ฝูงปศุสัตว์และแกะก็ได้เติบโตแข็งแรงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นเวลาที่ผู้คนควรกินเนื้อสัตว์มากขึ้นเพื่อการบำรุงเลี้ยง โดยการกินเนื้อสัตว์หลากหลายประเภท ร่างกายของผู้คนจะได้รับพลังงานและความอบอุ่นเพื่อช่วยให้พวกเขาทานทนต่อความหนาวเย็นของฤดูหนาวได้ และผลลัพธ์ก็คือ พวกเขามีความสามารถที่จะผ่านฤดูหนาวได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพดี พระเจ้าทรงควบคุมและประสานงานด้วยความใส่พระทัยและความแม่นยำสูงสุดว่า จะทรงจัดเตรียมอะไรให้แก่มวลมนุษย์ และเมื่อไร และเมื่อไรที่พระองค์จะทรงให้สิ่งต่างๆ เติบโต ออกผล และสุก การนี้เกี่ยวโยงกับ “วิธีที่พระเจ้าทรงตระเตรียมอาหารที่มนุษย์ต้องการในชีวิตประจำวันของเขา” นอกเหนือจากอาหารหลายประเภทแล้ว พระเจ้ายังทรงจัดเตรียมแหล่งน้ำให้กับมวลมนุษย์อีกด้วย หลังจากกินแล้ว ผู้คนยังคงต้องการดื่มน้ำ ผลไม้เพียงลำพังจะเพียงพอหรือไม่? ผู้คนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ด้วยผลไม้เพียงลำพัง และนอกจากนี้ บางฤดูกาล ก็ไม่มีผลไม้ ดังนั้นปัญหาเรื่องน้ำของมวลมนุษย์จะสามารถแก้ไขได้อย่างไร? พระเจ้าได้ทรงแก้ไขปัญหานั้นโดยการตระเตรียมแหล่งน้ำมากมายทั้งบนและใต้พื้นดิน รวมถึงทะเลสาบ แม่น้ำ และน้ำพุ แหล่งน้ำเหล่านี้สามารถดื่มได้ตราบเท่าที่ไม่มีการปนเปื้อน และตราบเท่าที่ผู้คนไม่ได้ไปบงการหรือทำให้เสียหาย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในแง่ของแหล่งอาหารที่ค้ำชูชีวิตของร่างกายทางกายภาพของมวลมนุษย์ พระเจ้าได้ทรงทำการตระเตรียมที่แม่นยำมาก เที่ยงตรงมาก และเหมาะสมมาก เพื่อที่ชีวิตของผู้คนจะได้มั่งคั่งและล้นเหลือและไม่ขาดพร่องสิ่งใด นี่คือบางสิ่งที่ผู้คนสามารถรู้สึกและมองเห็นได้

นอกจากนี้ พระเจ้าได้ทรงสร้างพืช สัตว์บางอย่าง และสมุนไพรอันหลากหลายขึ้นมาท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง โดยหมายเฉพาะให้รักษาอาการบาดเจ็บหรือเยียวยาความเจ็บป่วยในร่างกายมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น อะไรคือสิ่งที่ใครบางคนควรทำหากถูกไฟไหม้หรือบังเอิญทำน้ำร้อนลวกตัวเอง? เจ้าสามารถชำระล้างแผลไฟไหม้ด้วยน้ำเท่านั้นก็ได้หรือ? เจ้าสามารถแค่พันแผลด้วยผ้าเก่าๆ ผืนใดก็ได้หรือ? หากเจ้าทำเช่นนั้น แผลอาจเต็มไปด้วยหนองหรือกลายเป็นติดเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น หากใครบางคนเป็นไข้หรือติดหวัด ได้รับบาดเจ็บขณะกำลังทำงาน เกิดการเจ็บป่วยเกี่ยวกับกระเพาะอาหารจากการกินสิ่งที่ผิด หรือเป็นโรคบางอย่างที่เกิดจากปัจจัยทั้งหลายตามลักษณะแนวของชีวิตหรือประเด็นปัญหาด้านภาวะอารมณ์ รวมถึงโรคหลอดเลือด สภาพทางจิตวิทยา หรือโรคของอวัยวะภายใน เช่นนั้นแล้วก็มีพืชที่สอดรับกันซึ่งเยียวยาสภาพเงื่อนไขของพวกเขา มีพืชที่ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตให้ดีขึ้นและขจัดความเมื่อยล้า บรรเทาปวด ห้ามเลือด ให้ยาสลบ ช่วยรักษาผิวหนังและฟื้นฟูผิวหนังสู่สภาพเงื่อนไขปกติ และสลายเลือดหนืดและกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย—โดยสังเขปแล้วพืชเหล่านี้มีการใช้ในชีวิตประจำวัน ผู้คนสามารถใช้พืชเหล่านี้ได้ และพวกมันได้ถูกตระเตรียมโดยพระเจ้าสำหรับร่างกายมนุษย์ในกรณีที่จำเป็น พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้มนุษย์ค้นพบพืชเหล่านี้บางส่วนโดยบังเอิญ ในขณะที่ส่วนอื่นๆ ถูกค้นพบโดยผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรรให้ค้นพบ หรือเป็นผลลัพธ์จากปรากฏการณ์พิเศษที่พระองค์ได้ทรงจัดวางเรียบเรียง หลังการค้นพบพืชเหล่านี้มวลมนุษย์ก็จะส่งต่อลงไป และผู้คนมากมายจะได้มารู้เกี่ยวกับพืชเหล่านี้ ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงสร้างพืชเหล่านี้ขึ้นจึงมีคุณค่าและความหมาย โดยสรุป สิ่งเหล่านี้ล้วนมาจากพระเจ้า ได้รับการตระเตรียมและเพาะปลูกโดยพระองค์เมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตของมวลมนุษย์ สิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างยิ่ง กระบวนการทรงดำริของพระเจ้าถ้วนทั่วกว่ากระบวนการคิดเหล่านั้นของมวลมนุษย์หรือไม่? เมื่อเจ้ามองเห็นทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำ เจ้ามีสำนึกรับรู้ถึงด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของพระเจ้าหรือไม่? พระเจ้าทรงพระราชกิจในความลับ พระเจ้าได้ทรงสร้างทั้งหมดนี้เมื่อมนุษย์ยังไม่ได้มาอยู่ในพิภพนี้ เมื่อพระองค์ยังไม่ทรงได้มีการติดต่อกับมวลมนุษย์ ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างโดยทรงคำนึงถึงมวลมนุษย์ เพื่อประโยชน์แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และด้วยพระดำริเพื่อความอยู่รอดของพวกเขา เพื่อที่มวลมนุษย์จะมีชีวิตอย่างมีความสุขในโลกเชิงวัตถุอันมั่งคั่งและล้นเหลือนี้ ซึ่งพระเจ้าได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขา โดยปราศจากความกังวลเกี่ยวกับอาหารหรือเสื้อผ้า ไม่ขาดพร่องสิ่งใดเลย ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ มวลมนุษย์ย่อมสามารถขยายพันธุ์และอยู่รอดต่อไปได้

ในบรรดากิจการของพระเจ้าทั้งหมด ทั้งใหญ่และเล็ก มีกิจการใดที่ปราศจากคุณค่าหรือความหมายหรือไม่? ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำมีคุณค่าและความหมาย พวกเรามาเริ่มการเสวนาของพวกเราด้วยหัวข้อทั่วไปหัวข้อหนึ่งเถิด บ่อยครั้งที่ผู้คนถามว่า สิ่งใดมาก่อน ไก่หรือไข่? (ไก่) ไก่ได้มาก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย! เหตุใดไก่จึงได้มาก่อน? เหตุใดไข่จึงไม่สามารถมาก่อนได้? ไก่ไม่ใช่ฟักออกจากไข่หรอกหรือ? หลังจากยี่สิบเอ็ดวัน ไก่ก็ฟักเป็นตัว และไก่ตัวนั้นก็วางไข่เพิ่ม และไก่ก็ฟักออกมาจากไข่เหล่านั้นมากขึ้น ดังนั้นไก่หรือไข่ได้มาก่อน? พวกเจ้าตอบว่า “ไก่” ด้วยความแน่นอนอย่างเด็ดขาด แต่เหตุใดนี่จึงเป็นคำตอบของเจ้า? (พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างนกและสัตว์ป่า) ดังนั้นคำตอบของเจ้าอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ แต่เราต้องการให้พวกเจ้าพูดคุยเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเจ้าเอง เพื่อที่เราจะได้สามารถมองเห็นว่าพวกเจ้ามีความรู้ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดเกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าหรือไม่ ทีนี้พวกเจ้าแน่ใจเกี่ยวกับคำตอบของพวกเจ้าหรือไม่? (พระเจ้าได้ทรงสร้างไก่ แล้วทรงให้ไก่มีความสามารถในการขยายพันธุ์ อันหมายถึงความสามารถในการกกไข่) การตีความนี้ถูกต้องไม่มากก็น้อย ไก่ได้มาก่อนแล้วก็ไข่ นี่แน่นอน มันไม่ใช่ข้อล้ำลึกที่ลุ่มลึกเป็นพิเศษ แต่อย่างไรก็ตามผู้คนของโลกพิจารณาเห็นว่าเป็นเช่นนั้นและพยายามแก้ไขมันด้วยทฤษฎีเชิงปรัชญา โดยที่ไม่เคยได้มาถึงบทสรุป นี่ก็เหมือนกันไม่มีผิดกับเวลาที่ผู้คนไม่รู้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา พวกเขาไม่รู้หลักธรรมพื้นฐานนี้ ทั้งพวกเขาก็ไม่มีแนวคิดชัดเจนว่าไข่หรือไก่ควรมาก่อน พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งใดควรมาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีวันมีความสามารถที่จะพบคำตอบได้ มันเป็นธรรมดามากทีเดียวที่ไก่ได้มาก่อน หากมีไข่ก่อนไก่นั่นจะผิดปกติ! มันเป็นเรื่องที่เรียบง่ายนัก—ไก่ได้มาก่อนอย่างแน่นอน นี่ไม่ใช่คำถามที่พึงต้องใช้ความรู้ขั้นสูง พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างด้วยเจตนารมณ์ให้มนุษย์ได้ชื่นชมมัน ทันทีที่ไก่ดำรงอยู่ ไข่ก็จะตามหลังมาโดยปกติอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ทางออกที่พร้อมใช้อย่างหนึ่งหรอกหรือ? หากไข่ได้ถูกสร้างขึ้นก่อน มันจะไม่ยังคงต้องการให้ไก่กกมันหรอกหรือ? การสร้างไก่โดยตรงเป็นทางออกที่พร้อมใช้กว่า ด้วยวิธีนี้ไก่จะสามารถวางไข่และกกลูกไก่ข้างใน และผู้คนก็จะสามารถมีไก่เอาไว้กิน ช่างสะดวกอะไรเช่นนี้! หนทางที่พระเจ้าทรงทำสิ่งทั้งหลายนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยและสะอาดสะอ้าน ไม่ยุ่งยากซับซ้อนแม้แต่น้อย ไข่มาจากไหน? มันมาจากไก่ ไม่มีไข่หากไม่มีไก่ สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง! มวลมนุษย์ไร้สาระและน่าขัน มักกลายเป็นพัวพันยุ่งเหยิงกับสิ่งเรียบง่ายทั้งหลายเช่นนั้นเสมอ และจบลงด้วยเหตุผลวิบัติที่ไร้สาระกระจุกหนึ่ง มนุษย์ช่างเหมือนเด็กนัก! สัมพันธภาพระหว่างไข่กับไก่นั้นชัดเจน นั่นคือ ไก่ได้มาก่อน นี่คือคำอธิบายที่เที่ยงตรงที่สุด หนทางที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในการเข้าใจการนี้ และเป็นคำตอบที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด มันถูกต้อง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าทรงวาดอาณาเขตสำหรับหมู่นก เหล่าสัตว์ร้าย ปลา หมู่แมลง และพืชพรรณทั้งมวลอันหลากหลาย

เพราะอาณาเขตที่พระเจ้าได้ทรงวาดขึ้นเหล่านี้ ภูมิประเทศอันหลากหลายจึงได้สร้างสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับการอยู่รอด...

เรื่องเล่าที่ 2 ภูเขาใหญ่ ลำธารน้อย ลมรุนแรง และคลื่นยักษ์

มีลำธารสายน้อยสายหนึ่งที่เลี้ยวลดไปมา จนในที่สุดก็มาถึงที่ตีนภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ภูเขาได้บังกั้นเส้นทางของลำธารจิ๋วนี้ไว้ ดังนั้น...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger