ในความเชื่อในพระเจ้าของพวกคุณ พวกคุณทุกคนมีความคิดและความเห็นของตัวเอง สำหรับผมดูเหมือนว่าความคิดและทฤษฎีของพวกคุณตั้งอยู่บนความรู้สึกส่วนตัวนะ และทั้งหมดเป็นเพียงมายาเท่านั้น คอมมิวนิสต์เราเชื่อว่าวัตถุนิยมทางภววิทยาและทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นความจริง เพราะพวกมันสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ ประเทศของเราให้การศึกษาที่สัมพันธ์กัน ตั้งแต่โรงเรียนประถมถึงมหาวิทยาลัย ทำไมเป็นอย่างนั้น? มันก็เพื่อให้เด็กๆ ซึมซับความคิดแบบอเทวนิยมและการวิวัฒนาการตั้งแต่อายุยังน้อยน่ะสิ พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงศาสนาและความเชื่อโชคลาง แล้วพวกเขาก็จะอธิบายทุกคำถามอย่างมีเหตุผลได้ ตัวอย่างเช่น พิจารณาต้นกำเนิดของชีวิต ในอดีต เรามีความไม่รู้ และเชื่อเรื่องราวอย่างการสร้างโลกของผ่านกู่ และการสร้างมนุษย์ของเจ้าแม่หนี่วา ชาวตะวันตกเชื่อว่าพระเจ้าสร้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้เป็นเทวตำนานและนิทาน และไม่ได้เข้ากันกับวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่มีทฤษฎีวิวัฒนาการ ที่อธิบายต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ว่ามนุษย์วิวัฒนาการมาจากลิงยังไง ตำนานเรื่องพระเจ้าสร้างมนุษย์ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริงสักนิด ทุกอย่างได้วิวัฒนาการขึ้นผ่านกระบวนการทางธรรมชาติ นี่แหละคือความจริง ดังนั้นเราต้องเชื่อในวิทยาศาสตร์และวิวัฒนาการ พวกคุณทุกคนเป็นปัญญาชนที่ได้รับการศึกษา พวกคุณเชื่อในพระเจ้าได้ยังไง? คุณสามารถแบ่งปันมุมมองกับเราได้ไหม?
ตอบ: สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เชื่อในวัตถุนิยมทางภววิทยาและวิวัฒนาการ และพวกคุณนับถือมาร์กซ์และดาร์วิน งั้นทำไมตลอดมาคนในโลกเชื่อในวัตถุนิยมทางภววิทาและวิวัฒนาการน้อยกว่าล่ะครับ? เผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่เชื่อในพระเจ้ากันทั้งนั้น ทุกคนที่เชื่ออย่างแท้จริง ไม่มีใครเชื่อในวิวัฒนาการเลย แม้แต่ในหมู่ผู้ไม่เชื่อ ก็มีไม่มากที่ยอมรับวิวัฒนาการ คนทุกวันนี้เชื่อในแนวคิดของดาร์วินไหม? มีคนยอมรับวิวัฒนาการว่าเป็นความจริงหรือเปล่า? อาจจะมีไม่มากเท่าที่คุณคิดนะครับ ขอถามได้ไหม ทุกคนที่เชื่อในวิวัฒนาการ ยอมรับว่าลิงเป็นบรรพบุรุษของพวกเขาไหม? ในพิธีไหว้บรรพบุรุษ พวกเขาแสดงความเคารพลิงหรือเปล่า? ถ้าพวกเขาไม่แสดงความเคารพลิง แต่ยังพูดซ้ำๆ ว่าวิวัฒนาการเป็นความจริง พวกเขาก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติสิ่งที่ตัวเองประกาศ คุณสรรเสริญวิทยาศาสตร์ ยึดทุกอย่างตามวิทยาศาสตร์เป็นหลัก และใช้วิทยาศาสตร์อธิบายทุกอย่าง ผมขอถามได้ไหมครับ วิทยาศาสตร์คือความจริงแท้เหรอ? วิทยาศาสตร์มีขึ้นมาได้ยังไง? ทำไมทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการตีพิมพ์มากมาย ภายหลังถึงถูกนักวิทยาศาสตร์คนอื่นพิสูจน์ว่าไม่จริงล่ะครับ? คุณกล้าพูดเหรอครับว่าวิทยาศาสตร์คือความจริงแท้? ผมขอถามนะครับ วิทยาศาสตร์ช่วยเราจากความเสื่อมทรามได้ไหม? วิทยาศาสตร์ช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์จากอิทธิพลของซาตานได้ไหม? วิทยาศาสตร์ช่วยคนให้ละทิ้งบาป และใช้ชีวิตที่มีความหมายได้ไหม? วิทยาศาสตร์นำสันติภาพมาสู่โลกได้หรือเปล่า? วิทยาศาสตร์นำความสุขและบั้นปลายที่รุ่งโรจน์มาให้เราได้ไหม? วิทยาศาสตร์นำความปลอดภัยและความสุขมาให้เราได้ไหม? วิทยาศาสตร์ทำนายพัฒนาการและบั้นปลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้ไหม? วิทยาศาสตร์ทำอะไรพวกนี้ไม่ได้เลย คุณพูดได้ยังไงครับว่าวิทยาศาสตร์คือความจริงแท้? สุดท้ายแล้วความจริงแท้คืออะไรกันแน่? คุณพูดอย่างมั่นใจได้ไหมครับ?
เพราะคุณยกย่องวิทยาศาสตร์ไว้สูงส่งขนาดนั้น คุณช่วยอธิบายให้เราฟังได้ไหมคะ ว่าวิทยาศาสตร์คืออะไรกันแน่? วิทยาศาสตร์ก็แค่ทฤษฎีเพียงไม่กี่อย่างที่มีอยู่ในขอบเขตของความรู้ ซึ่งค้นคว้าโดยมนุษย์ที่เสื่อมทราม เวลาเผชิญกับโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง มันออกมาจากความคิดของคนทั้งนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามไม่ได้ครอบครองความจริงแท้สักนิดเดียว แล้วความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่มาจากมนุษย์ที่เสื่อมทรามจะเป็นความจริงแท้ได้ยังไงคะ? ความจริงแท้มาจากพระเจ้าได้เท่านั้น มีแค่พระเจ้าที่เป็นพระผู้สร้างค่ะ มีแค่พระวจนะที่พระผู้สร้างได้แสดงไว้เท่านั้นที่เป็นความจริง ตั้งแต่พระเจ้าทรงปรากฏขึ้น และทรงแสดงพระวจนะมากมาย มนุษย์ก็ได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ พวกเขาได้รับรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง พวกมันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงประกาศพระวจนะมากมาย นำให้มนุษย์เชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาจึงได้รับพระพรและการปกป้องอย่างห่วงใยจากพระเจ้า พวกที่ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติถูกประกาศว่ามีความผิดและถูกสาป ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อบาปของมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงไถ่มวลมนุษย์ ด้วยการเชื่อในพระองค์ ผู้คนจึงได้รับการอภัยบาป และพวกเขาสามารถชื่นชมกับพระคุณและพระพรของพระเจ้าได้ เมื่อมาถึงยุคอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงปรากฏขึ้นและได้ทรงงาน ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ช่วยผู้คนให้รอดจากอิทธิพลของซาตานอย่างทั่วถึง ทำให้ผู้คนหันเข้าหาพระเจ้า และได้รับพระพรของพระเจ้า พระราชทานบั้นปลายที่ยอดเยี่ยมให้แก่พวกเขา ข้อเท็จจริงของพระราชกิจของพระเจ้าก็พอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และสิ่งที่พระวจนะนำมาสู่ผู้คนคือความ พระพร และความรอด กว่าหลายพันปี พระเจ้าได้ทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงนำเผ่าพันธุ์มนุษย์ เพื่อทรงนำทางเรามาถึงที่ที่เราอยู่วันนี้ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้ทุกอย่างสำเร็จผล พระวจนะของพระเจ้าทุกคำกำลังเป็นจริง พวกนี้คือข้อเท็จจริงที่ทุกคนเห็นได้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีด ขีดหนึ่ง ก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น” (มัทธิว 5:18) “ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่บรรดาถ้อยคำของเราจะไม่สูญหายไปเลย” (มัทธิว 24:35) ยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว และคริสเตียนมากมายได้เห็น ว่าคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้ากลายเป็นจริงแล้ว นี่แสดงว่าพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นเป็นความจริง และเป็นแง่บวก พวกนี้คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงช่วยเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้รอดได้ พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง และเป็นชีวิตของมนุษย์ได้ วิทยาศาสตร์ไม่ใช่ความจริง วิทยาศาสตร์พัฒนามาตลอด แต่จริงๆ แล้วมันบรรลุผลอะไรบ้าง? จากภายนอก ดูเหมือนว่าวิทยาศาสตร์ได้นำผลลัพธิ์ที่ดีมาให้ ดูเหมือนว่ามาตรฐานการใช้ชีวิตจะสูงขึ้น ดูเหมือนสังคมกำลังเจริญรุ่งเรือง ในความเป็นจริง วิทยาศาสตร์ได้นำเราไปสู่วิกฤติความเชื่อ ขณะที่เราถอนตัว ปฏิเสธ และทรยศพระเจ้า เพราะผู้คนเชื่อในวิทยาศาสตร์ หลายคนจึงไม่แสวงหาพระเจ้า แต่กลับไล่ตามความสุขทางกายแทน เพราะตามกระแสนี้ ศีลธรรมของมนุษยชาติจึงลดน้อยถอยลง จนชั่วร้ายมากขึ้นทุกที จิตใจของผู้คนว่างเปล่ากว่าที่ผ่านมา ผู้คนแสวงหาความตื่นเต้น และปล่อยตัวไปตามตัณหา อัตราการติดยาและฆ่าตัวตายเพิ่มสูงขึ้น พวกนี้เป็นข้อเท็จริง ในขณะที่เราพัฒนาวิทยาศาสตร์ เราได้สร้างความเสียหายให้สิ่งแวดล้อม ก่อมลพิษในอากาศ น้ำ และแม้แต่ดินและอาหารของเรา นี่ได้ทำร้ายพวกเราอย่างใหญ่หลวง หลายๆ ประเทศแข่งขันกันสร้างอาวุธ ลงทุนในการวิจัยและพัฒนาอาวุธอย่างหนัก วิทยาศาสตร์ได้สร้างอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธนำวิถี ทำให้มนุษยชาติอยู่ภายใต้การคุกคามของการทำลายล้าง ถ้าเกิดสงครามโลกครั้งที่สาม มันจะนำภัยพิบัติมาสู่มวลมนุษย์ พูดได้ว่าในวันที่วิทยาศาสตร์ถึงจุดสูงสุด จะเป็นจุดจบของมนุษยชาติ ขอให้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เถอะครับ อาจจะทำให้คุณเข้าใจ ว่าวิทยาศาสตร์ได้นำพรหรือหายนะมาสู่มวลมนุษย์กันแน่
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป็นเพราะการประดิษฐ์คิดค้นทางศาสตร์สังคมต่างๆ ของมวลมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ได้กลับกลายเป็นถูกจับจองด้วยวิชาและความรู้ จากนั้นวิชาและความรู้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองมวลมนุษย์ และไม่มีพื้นที่พอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะนมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และไม่มีสภาพเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการนมัสการพระเจ้าอีกแล้ว ฐานะของพระเจ้าได้จมต่ำลงทุกทีในหัวใจของมนุษย์ เมื่อปราศจากพระเจ้าในหัวใจเขา โลกภายในของมนุษย์ย่อมมืดมน สิ้นหวัง และว่างเปล่า…ทั้งวิชา ความรู้ อิสรภาพ ประชาธิปไตย ความสบาย ความสะดวก เหล่านี้ล้วนนำการปลอบประโลมมาสู่มนุษย์ได้เพียงชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็จะยังคงมีบาปและจะยังคร่ำครวญถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความอยากและความต้องการของมนุษย์ในการที่จะสำรวจค้นคว้าได้ นี่เป็นเพราะมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการสำรวจค้นคว้าและอุทิศทุ่มเทอย่างไร้สติของมนุษย์ ทำได้แค่เพียงนำไปสู่ความเศร้าหมองที่มากขึ้นเท่านั้น และทำได้เพียงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัวตลอดเวลาเท่านั้น โดยไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอนาคตของมวลมนุษย์อย่างไร หรือจะเผชิญหน้ากับเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าอย่างไร มนุษย์จะถึงขั้นกลายเป็นหวาดกลัวต่อวิชาและความรู้ และยิ่งจะหวาดกลัวความรู้สึกว่างเปล่า…หากประชาชนของประเทศหนึ่งหรือชนชาติหนึ่ง ไม่สามารถได้รับความรอดและความเอาใจใส่ของพระเจ้าแล้วไซร้ ประเทศหรือชนชาติดังกล่าวก็จะต้องย่ำเท้าไปบนถนนสู่ความพินาศย่อยยับ ตรงสู่ความมืดมิด และจะถูกทำลายล้างโดยพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)
“พวกเขายังดำเนินการการสำรวจทางวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่องและดำดิ่งลึกเข้าไปในการค้นคว้าวิจัย แล้วยังกระทำการอย่างไม่หยุดหย่อนในแบบที่เป็นการตอบสนองความต้องการด้านวัตถุและความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้วอะไรคือผลสืบเนื่องสำหรับมนุษย์? ก่อนอื่น ความสมดุลของระบบนิเวศถูกทำลายลง และเมื่อการนี้เกิดขึ้น ร่างกายของผู้คน อวัยวะภายในของพวกเขา ถูกปนเปื้อนและได้รับความเสียหายจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมดุลนี้ และโรคติดต่อและโรคระบาดหลากหลายชนิดก็แพร่กระจายไปทั่วโลก มันไม่จริงหรือที่ตอนนี้เป็นสถานการณ์ที่มนุษย์ไม่มีการควบคุมได้เลย? มาถึงตอนนี้ที่พวกเจ้าเข้าใจการนี้แล้ว หากมนุษยชาติไม่ติดตามพระเจ้า แต่ติดตามซาตานในหนทางนี้อยู่เสมอ—การใช้ความรู้เพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองบริบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสำรวจอนาคตของชีวิตมนุษย์อย่างไม่หยุดหย่อน การใช้วิธีการแบบนี้เพื่อดำรงชีวิตต่อไป—เจ้าสามารถระลึกรู้ได้หรือไม่ว่าการนี้จะจบลงอย่างไรสำหรับมนุษยชาติ? (มันจะหมายถึงการสูญพันธุ์) ใช่แล้ว มันจะจบลงด้วยการสูญพันธุ์: มนุษยชาติเข้าใกล้การสูญพันธุ์ของตัวเองขึ้นทุกที ทีละก้าวๆ!” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) สิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสเป็นข้อเท็จจริงและความจริง ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่ผลพวงจากการพัฒนาวิทยาศาสตร์ของเผ่าพันธุ์มนุษย์หรอกเหรอ เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามบูชาวิทยาศาสตร์ นี่เป็นเรื่องอันตรายค่ะ! การพัฒนาวิทยาศาสตร์ได้นำภัยพิบัติและการทำลายล้างมาสู่พวกเราทุกคน
พระเจ้าคือพระผู้สร้าง มีพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยมนุษย์ให้รอดได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายแสดงความจริงและพิพากษามนุษย์ เพื่อชำระเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เสื่อมทรามให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “งานขั้นสุดท้ายของเราไม่ใช่แค่เพื่อประโยชน์แห่งการลงโทษมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อการจัดการเตรียมการในเรื่องบั้นปลายของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นไปเพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจรับรู้กิจการและการกระทำของเรา เราต้องการให้แต่ละบุคคลได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นถูกต้อง และได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยของเรา ที่ให้กำเนิดมวลมนุษย์นั้นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะเป็นการกระทำของธรรมชาติ แต่เป็นเรา ผู้บำรุงเลี้ยงทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในการสร้าง หากปราศจากการดำรงอยู่ของเรา มวลมนุษย์ย่อมมีแต่จะพินาศและทุกข์ทนจากการหวดเฆี่ยนแห่งหายนะเท่านั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันสวยงาม หรือโลกอันเขียวขจีอีกเลย มวลมนุษย์จะเผชิญเพียงค่ำคืนอันเยือกเย็นและหุบเขาแห่งเงามรณะซึ่งไม่ลดละปรานี เราคือความรอดเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ เราคือความหวังเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เราก็คือพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะหยุดนิ่งลงในทันที หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะทุกข์ทนจากมหันตภัยและถูกบรรดาผีสางทุกลักษณะเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า…ความวิบัตินั้นมีจุดกำเนิดอยู่กับเราและแน่นอนว่าถูกจัดวางเรียบเรียงโดยเรา หากพวกเจ้าไม่สามารถปรากฏว่าดีงามได้ในสายตาของเรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่อาจหนีรอดความทุกข์จากความวิบัติไปได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า) ด้วยการนบนอบต่อการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และยอมรับความจริงที่พระคริสต์ทรงแสดงเท่านั้น ความเสื่อมทรามของคนเราจึงจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ได้ และคนเราจะนบนอบและนมัสการพระเจ้าได้ แบบนี้เท่านั้นที่คนเราจะได้รับการปกป้องจากพระเจ้า แล้วก็ได้รับการช่วยให้รอดจากหายนะและเข้าสู่อาณาจักรพระเจ้าได้
ตัดตอนจากบทภาพยนตร์เรื่อง คำโกหกของลัทธิคอมมิวนิสต์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ