พวกคุณเชื่อในพระเจ้า ส่วนผมเชื่อในมาร์กซ์และเลนิน ผมค้นคว้าความเชื่อทางศาสนามาหลากหลาย ผ่านการค้นคว้านานหลายปี ผมก็ได้ค้นพบปัญหานึง ทุกศาสนาเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่มีผู้เชื่อในพระเจ้าคนไหนเคยเห็นพระเจ้าจริงๆ เลย ความเชื่อของพวกเขามาจากความรู้สึกล้วนๆ ดังนั้นผมจึงได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งสมมุติทั้งสิ้น มันคือความเชื่อโชคลางโดยไร้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นมากในสังคมทุกวันนี้ ทุกอย่างต้องมีวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐานเพื่อเลี่ยงความผิดพลาด พรรคคอมมิวนิสต์เราเชื่อในลัทธิมาร์กซ์-เลนิน เราไม่เชื่อในพระเจ้าเลย เพลงสามัคคีนานาชาติร้องว่ายังไงนะ? “ไม่เคยมีหรอกผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้ หรือเทพเจ้า หรือจักรพรรดิให้พึ่งพา เพื่อสร้างความสุขให้มวลมนุษย์ เราต้องพึ่งตนเองอย่างเดียวเท่านั้น!” เพลงสามัคคีนานาชาติบอกว่า “ไม่เคยมีหรอกผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้” เหตุผลที่บรรพบุรุษของเราเชื่อในพระเจ้า หลักๆ แล้วก็เพราะว่าสมัยนั้นพวกเขาเผชิญปรากฏการณ์อย่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว โดยไม่มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น ในใจพวกเขาจึงเกิดความกลัวและความพิศวงในพลังเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ มโนคติแรกสุดของศาสนาจึงเกิดขึ้น รวมถึง พอมนุษย์ไม่สามารถแก้ปัญหาความเดือดร้อนต่างๆ อย่างภัยธรรมชาติและโรคร้ายได้ พวกเขาก็แสวงหาการปลอบประโลมฝ่ายวิญญาณด้วยการนับถือพระเจ้า นี่คือต้นกำเนิดของศาสนา เราเห็นได้ว่ามันไม่มีเหตุผลหรือเป็นวิทยาศาสตร์เลย ทุกวันนี้เราก้าวหน้าขึ้น วิทยาศาสตร์มาไกลมาก ในสายงานอย่างอุตสาหกรรมอวกาศ เทคโนโลยีชีวภาพ พันธุวิศวกรรม และการแพทย์ เผ่าพันธุ์มนุษย์มีความก้าวหน้าอย่างมาก เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจและไม่มีหนทางเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ แต่ตอนนี้เราอธิบายทุกอย่างผ่านวิทยาศาสตร์ได้ และเราพึ่งพาวิทยาศาสตร์ในการแก้ปัญหา ในยุควิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแบบนี้ ไม่เป็นการเบาปัญญาหรอกเหรอ ที่จะเชื่อในพระเจ้า? ไม่คิดว่าตัวเองจะถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหรอ? สิ่งที่เราเชื่อได้มีเพียงวิทยาศาสตร์เท่านั้น
ตอบ:คุณพูดว่าความเชื่อของเราเป็นเพราะคนไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ และมาจากความกลัวและพิศวงเวลาเผชิญเรื่องเหนือธรรมชาติ และมันเป็นความเชื่อโชคลาง นั่นไม่ถูกต้องและไม่มีมูลเลยครับ ศาสนาและความเชื่อโชคลางที่คุณพูดถึงมันแตกต่างกัน พวกคอมมิวนิสต์อย่างคุณประณามและสั่งห้ามความเชื่อทางศาสนาโดยหาว่ามันเป็นแค่ความเชื่อโชคลาง ผมว่าไร้สาระสิ้นดี ในศาสนาหลักของโลก ทั้งศาสนายูดาห์ นิกายคาทอลิค คริสตจักรออร์โทด็อกซ์ตะวันออก และนิกายโปรเตสแตน ทั้งหมดเชื่อในพระเจ้าและองค์พระเยซูเจ้า นี่เท่านั้นที่เป็นความเชื่อทางศาสนาแท้จริง เมื่อสามพันปีก่อน พระราชกิจของพระเจ้าในช่วงยุคธรรมบัญญัติให้กำเนิดศาสนายูดาห์ ชนชาติอิสราเอลได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและรู้นามของพระองค์ พวกเขาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์พระเจ้า เชื่อฟังบัญญัติที่พระยาห์เวห์ทรงประกาศ พวกเขานมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าทั้งนั้น ดังนั้นเราสืบย้อนได้ว่าศาสนายูดาห์เริ่มขึ้นเพราะพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงยุคธรรมบัญญัติ พอถึงยุคพระคุณ พระเจ้าก็ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้า และเริ่มทรงงาน พระองค์ถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาไถ่บาปให้มวลมนุษย์ หลายคนประกาศตัวว่าเชื่อในพระองค์ และมีการตั้งคริสตจักรองค์พระเยซูเจ้าขึ้น หลังจากหลายร้อยปีผ่านไป มันก็วิวัฒน์เป็นนิกายโปรเตสแตน นิกายคาทอลิก และคริสตจักรออร์โธด็อกซ์ตะวันออก นิกายเหล่านี้เป็นศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ในโลก ทั้งหมดมีต้นกำเนิดจากงานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายได้แสดงความจริงและทรงงานแห่งการพิพากษา เขย่าโลกศาสนาจนสะเทือน ผู้คนที่เชื่ออย่างแท้จริง ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และมาอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระองค์ ดังนั้นคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงถูกตั้งขึ้น ข้อเท็จจริงพวกนี้พิสูจน์ว่าความเชื่อทางศาสนากำเนิดขึ้นจากการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสิ้น การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าได้รับการยืนยันโดยประสบการณ์ชีวิตของคริสเตียนนับไม่ถ้วน ไม่มีกำลังใดโค่นล้มหรือสั่งห้ามคริสตจักรแห่งพระเจ้าหรือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรได้ นี่คือข้อเท็จจริง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ พระเจ้าได้ทรงงานนำทางมนุษย์ ไถ่มนุษย์ ช่วยมนุษย์ให้รอด การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้านำมนุษยชาติทั้งหมดให้ก้าวไปข้างหน้า ไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงพวกนี้ได้ งานค้นคว้าของคุณมุ่งไปที่ความเชื่อทางศาสนา คุณควรเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ทำไมคุณถึงบิดเบือนข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์ โดยพูดว่าความเชื่อทางศาสนาเกิดขึ้นจากความไม่รู้ คำพูดพวกนี้ไม่ไร้สาระหรอกเหรอครับ
คุณได้ศึกษาความเชื่อทางศาสนามานานหลายปี คุณแยกแยะระหว่างความเชื่อโชคลางกับศาสนาไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่แสดงว่าคุณไม่เข้าใจศาสนาเลย ทุกวันนี้ คนเชื่อในพระเจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประชากรโลกมากกว่าหนึ่งในสามเลยนะครับที่เชื่อ นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลกมากมายก็เป็นคริสเตียน อย่างนิวตัน กาลิเลโอ และโคเปอร์นิคัส คุณจะว่าพวกเขาเป็นพวกเชื่อโชคลางไหม พวกเขาไม่เชื่อในวิทยาศาสตร์เหรอ วิทยาศาสตร์สร้างผลลัพธ์ในการค้นคว้าโลกทางวัตถุ แต่ไม่มีกำลังที่จะสำรวจขอบเขตด้านวิญญาณเลย ความเชื่อในพระเจ้าของเราไม่ได้มีวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน แต่ความเชื่อของเรามีพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเป็นพื้นฐานต่างหาก พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานให้พระราชกิจของพระเจ้า และเป็นบันทึกประสบการณ์ของมนุษย์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า ผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์ทำนายไว้ เมื่อหลายพันปีก่อนว่าจะเกิดอะไรขึ้นในยุคสุดท้าย คำเผยพระวจนะพวกนี้กำลังเป็นความจริง ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่าการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าเป็นความจริง และพระเจ้านั่นเองที่ปกครองเผ่าพันธุ์มนุษย์ และจักรวาลทั้งหมด สิ่งนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้
คุณอ้างว่าถ้าคนไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้ พระองค์ก็ไม่มีจริง แต่ตอนคุณเผาแบงค์กงเต็ก และคำนับที่สุสาน คุณเห็นจิตใจคนตายไหมล่ะ? ตอนไปหาวิญญาณชั่วและหมอดูเพื่อให้ทำนายดวง คุณเห็นโลกของวิญญาณที่จากไปแล้วไหมคะ? ถ้าไม่เห็น งั้นทำไมถึงเผาแบงค์กงเต็ก คุกเข่าคำนับ และปรึกษาหมอดูล่ะคะ? คุณพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระเจ้าไม่มีจริง และสอนอเทวนิยมในวงกว้าง แต่ส่วนตัวแล้ว คุณเชื่อในเทพเจ้าเทียมเท็จ และบูชาวิญญาณชั่ว การกระทำพวกนี้ไม่ใช่การเผยแพร่คำโกหก และหลอกลวงคนของคุณหรอกเหรอคะ? คุณเห็นได้ง่ายๆ ว่าพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าแท้จริงเป็นความจริง และสิ่งเหล่านั้นนำความสว่างและความรอดมาให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่คุณกลับดื้อแพ่งปฏิเสธและต่อต้าน และเห็นแย้งความเชื่อในพระเจ้าแท้จริงในนามของอเทวนิยม ปราบปรามความเชื่อทางศาสนา และข่มเหงคริสเตียน สุดท้ายแล้ว ประเด็นคืออะไรกันแน่คะ? พระเจ้าเป็นวิญญาณ แม้เราจะไม่เห็นร่างวิญญาณของพระองค์ แต่เราได้ยินพระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์ และเห็นพระราชกิจของพระเจ้าได้ ข้อเท็จจริงพวกนี้ไม่อาจโต้แย้งได้ เป็นเวลากว่าพันปี พระเจ้าทรงตรัส นำทาง และช่วยมนุษย์ให้รอดมาตลอด และกำหนดชะตามนุษย์ทุกคน พระองค์ยังเปิดเผยกิจการมากมายด้วย ประสบการณ์และความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของมนุษย์ต่อสิ่งเหล่านี้ ทำให้เกิดสุภาษิตมากมาย อย่างเช่น “เชื่อในน้ำพระทัยของสวรรค์” “มนุษย์วางแผน พระเจ้าจัดวาง” “มนุษย์อาจหว่านพืช แต่การเก็บเกี่ยวผลขึ้นอยู่กับสวรรค์” “สวรรค์จัดเตรียมหนทางให้เสมอ” “แผนการสวรรค์เข้าแทนที่แผนการของเราเอง” “ดวงของมนุษย์ถูกเขียนไว้ในหมู่ดาว” เป็นต้น ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่ามีผู้ปกครองที่จัดการ และจัดเตรียมโลกทั้งใบของเรา ด้วยการนำทาง อวยพร และเลี้ยงดูเผ่าพันธุ์มนุษย์ และยังมีคำพูดที่มักได้ยินกันว่า “มีวิญญาณเฝ้ามองอยู่เหนือหัวเราเลย” “เมื่อคนทำ สรรค์เฝ้ามอง” และ “ทำอะไรไว้ก็จะได้กลับคืนอย่างนั้น” ทั้งหมดนี้พิสูจน์ว่าพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการสร้าง และพระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสิ่งมาตลอด พระเจ้าทรงเฝ้าดูเหนือทุกสิ่ง พระเจ้าทรงให้กรรมสนองตามการกระทำของมนุษย์ และตัดสินชะตาของพวกเขา
คุณพูดว่าเพราะไม่มีใครเห็นพระองค์ พระเจ้าจึงไม่มีจริง ไม่จริงเลยครับ คุณได้แสวงหาการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าหรือยังครับ คุณได้อ่านพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์หรือยังครับ? พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1) แม้มนุษย์จะไม่เคยเห็นพระวิญญาณของพระเจ้า แต่พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ เห็นพระวาทะที่พระเจ้าทรงแสดง และรับประสบการณ์การทรงกระทำของพระเจ้าได้ กว่าพันปี พระเจ้าได้ทรงงานสามขั้นตอนด้วยกัน ในอิสราเอล พระองค์ได้ทรงงานแห่งยุคธรรมบัญญัติ ทรงประกาศกฎเกณฑ์และบัญญัติของพระองค์แก่ชาวอิสราเอล ในยุคพระคุณ พระเจ้าซึ่งจุติเป็นมนุษย์ได้ทรงงานแห่งการไถ่ บาปของคนมากมายได้รับการอภัยผ่านทางความเชื่อ พวกเขาใช้ชีวิตในการทรงสถิตของพระเจ้า และรื่นรมย์ในสันติสุขและความสุขของพระองค์ ในยุคอาณาจักร พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์อีกครั้งเพื่อตรัสความจริงและทรงกระทำการพิพากษาเพื่อชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด พระเจ้าได้ทรงทำเรื่องยิ่งใหญ่มากมาย ผู้คนไม่เห็นเรื่องนี้ได้ยังไงกันครับ ผู้คนยังอ้างว่าพระเจ้าไม่มีจริงได้ยังไงครับ เราไม่ได้ใช้เพียงดวงตาเพื่อเชื่อในพระเจ้านะครับ ความเชื่อของเรายึดพระราชกิจของพระเจ้าเป็นหลักครับ พระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ได้ตรัสพระวจนะไว้มากมาย พระวจนะของพระเจ้าแตกต่างจากคำพูดของคนอย่างสิ้นเชิง ไม่มีบุคคลใดพูดแบบนี้ได้หรอกครับ พระวจนะของพระเจ้ามีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ ทุกวันพระวจนะเหล่านั้นได้สำเร็จลุล่วงไป พระราชกิจของพระเจ้าทุกขั้นตอนช่วยคนให้รอดมากมาย นำพาพวกเขาไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้พวกเขาได้เห็นว่าพระองค์มีจริงและรู้อุปนิสัยของพระองค์ ด้วยเหตุผลพวกนี้ ผู้คนจึงหันเข้าหาพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คุณไม่เห็นความเป็นจริงข้อนี้ได้ยังไงกันครับ ผมจะขอแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สักหน่อย เมื่อคุณได้ฟังพระวจนะพวกนี้ คุณจะเข้าใจการทรงสร้างและทรงปกครองทุกอย่างของพระเจ้าได้ดีขึ้น
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในความกว้างใหญ่ของจักรวาลและพื้นฟ้า สรรพสิ่งทรงสร้างเกินคณานับดำรงชีวิตอยู่และสืบพันธุ์ ปฏิบัติตามกฎวัฏจักรแห่งชีวิต และยึดมั่นอยู่กับกฎเกณฑ์เดียวซึ่งคงที่ พวกที่ตายไปนำเอาเรื่องราวของการดำเนินชีวิตติดตัวไปด้วย และผู้ที่กำลังดำรงชีวิตอยู่ก็สร้างประวัติอันน่าเวทนาซ้ำแบบเดียวกับพวกที่ดับสูญไปแล้ว และดังนั้น มวลมนุษย์จึงอดไม่ได้ที่จะถามตัวเขาเองว่า พวกเรามีชีวิตไปทำไม? และทำไมพวกเราจึงต้องตาย? ใครบัญชาโลกนี้? และใครสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา? มวลมนุษย์ถูกสร้างโดยแม่ธรณีจริงหรือ? มวลมนุษย์เป็นผู้ควบคุมชะตากรรมของตัวเขาเองจริงหรือ? […] มนุษยชาติแค่ไม่รู้ว่าใครคือผู้ครองอธิปไตยเหนือจักรวาลและทุกสรรพสิ่ง นับประสาอะไรกับเรื่องการเริ่มต้นและอนาคตของมนุษยชาติน้อยเข้าไปอีก มนุษยชาติก็แค่มีชีวิตท่ามกลางกฎนี้อย่างจำยอม ไม่มีใครเลยที่สามารถหลีกหนีได้ และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงกฎนี้ได้ เนื่องเพราะท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลและในฟ้าสวรรค์นั้น มีเพียงองค์หนึ่งเดียวตั้งแต่นิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลผู้ซึ่งทรงครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยได้มองเห็น องค์หนึ่งเดียวที่มนุษย์ไม่เคยได้รู้จัก เป็นผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเชื่อในการดำรงอยู่ของพระองค์—กระนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งเป่าลมหายใจเข้าไปในบรรพบุรุษของมนุษยชาติ และให้ชีวิตแก่มนุษยชาติ พระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้จัดเตรียมและบำรุงเลี้ยงมนุษยชาติ ให้โอกาสเขาได้ดำรงอยู่ และพระองค์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำมนุษยชาติมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ผู้นี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นองค์หนึ่งเดียวซึ่งมนุษยชาติพึ่งพาเพื่อความอยู่รอด พระองค์ทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล และปกครองสิ่งมีชีวิตทั้งมวลในจักรวาล พระองค์ทรงบัญชาฤดูกาลทั้งสี่ และเป็นพระองค์ที่ทรงก่อให้เกิดสายลม น้ำค้างแข็ง หิมะ และสายฝน พระองค์ทรงนำพาแสงแดดมาสู่มนุษยชาติ และนำมาซึ่งราตรีกาล เป็นพระองค์ที่ทรงวางแผนผังฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก จัดเตรียมเทือกเขา ทะเลสาบ และแม่น้ำ และสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในนั้นให้กับมนุษย์ กิจการของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน พระปรีชาญาณของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน และสิทธิอำนาจของพระองค์นั้นปรากฏพร้อมทุกแห่งหน ธรรมบัญญัติและกฎเกณฑ์แต่ละประการเหล่านี้คือรูปจำแลงของกิจการของพระองค์ และแต่ละประการเผยพระปรีชาญาณและสิทธิอำนาจของพระองค์ ใครกันเล่าที่ตัวพวกเขาสามารถจะได้รับการยกเว้นจากอธิปไตยของพระองค์? และใครกันเล่าที่สามารถปลดตัวพวกเขาเองออกจากการออกแบบของพระองค์? ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ภายใต้การเขม้นมองของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระองค์ กิจการของพระองค์และฤทธานุภาพของพระองค์ไม่ได้ทิ้งทางเลือกไว้ให้กับมนุษย์ นอกเหนือจากให้รับรู้ข้อเท็จจริงที่ว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่จริงและครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น)
“นับตั้งแต่วันที่มนุษย์ได้มาสู่การดำรงอยู่ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้มาตลอด บริหารจัดการจักรวาล กำกับกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกสรรพสิ่งและวิถีโคจรของทุกสรรพสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าสิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตามพระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)
“แม้มนุษยชาติไม่ยอมรับแต่โดยดีว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า พระผู้สร้างได้ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ระลึกถึงการดำรงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ไม่ว่าจะอย่างไร เหล่ามนุษย์นักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ทั้งหลายก็กำลังค้นพบกันมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า การดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล และหลักการกับแบบแผนที่บงการการเคลื่อนที่ของพวกมันทั้งหมดนั้นถูกปกครองและควบคุมโดยพลังงานมืดอันมหาศาลที่มองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ข้อเท็จจริงนี้ทำให้มนุษย์จำต้องยอมเผชิญหน้าและยอมรับรู้ว่า มีหนึ่งเดียวผู้ทรงฤทธิ์ในท่ามกลางแบบแผนการเคลื่อนที่เหล่านี้ที่กำลังทรงจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่าง ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือปกติ และแม้ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ได้ พระองค์ก็ยังทรงปกครองและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในทุกชั่วขณะอยู่ดี ไม่มีมนุษย์คนใดหรือพละกำลังใดเลยที่สามารถล่วงล้ำอธิปไตยของพระองค์ได้ ครั้นได้เผชิญกับข้อเท็จจริงนี้แล้ว มนุษย์จำต้องระลึกว่า กฎต่างๆ ที่กำลังปกครองการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งนั้นไม่สามารถถูกควบคุมได้โดยมนุษย์ ไม่สามารถเปลี่ยนได้โดยใครก็ตาม เขาต้องยอมรับแต่โดยดีอีกด้วยว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าใจกฎเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และกฎเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกบงการโดยอธิปไตยหนึ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)
ตัดตอนจากบทภาพยนตร์เรื่อง คำโกหกของลัทธิคอมมิวนิสต์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ