ความรอดโดยผ่านทางความเชื่อเปิดทางให้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าไหม?
โรคระบาดกระจายไปทั่วอย่างไม่ปรานี แผ่นดินไหว น้ำท่วม ฝูงแมลง ความอดอยากได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว หลายคนมีความกังวลตลอดเวลา และผู้เชื่อก็เฝ้ารอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆอย่างร้อนใจ จะได้ถูกรับขึ้นไปบนท้องฟ้า ให้พ้นความทุกข์ตลอดความวิบัติ และหลีกหนีความตาย พวกเขาไม่รู้ว่าทำไม พวกเขายังไม่ถูกรับขึ้นไปพบองค์พระผู้เป็นเจ้า และจ้องมองฟ้าทั้งวันโดยไม่เห็นอะไรเลย ผู้คนมากมายทุกข์ระทมอย่างที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเห็นนักบวชในคริสตจักรมากมายถูกโรคระบาดพรากชีวิตไป พวกเขารู้สึกเป็นกังวล ว่าพวกเขาถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าละทิ้ง ตกลงสู่ความวิบัติ แล้วความอยู่รอดของพวกเขาก็ไม่แน่นอน พวกเขารู้สึกสับสนและหลงทาง วิวรณ์เผยพระวจนะว่า องค์พระเยซูเจ้าจะเสด็จมาก่อนความวิบัติและรับพวกเราขึ้นไปบนท้องฟ้า เพื่อกันไม่ให้เราจำนนต่อพวกมัน นั่นคือความหวังของเราค่ะ ความเชื่อของเราก็เพื่อหนีจากความวิบัติและได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่ความวิบัติได้เริ่มกระหน่ำลงมาแล้ว ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่มาบนเมฆเพื่อรับผู้เชื่อ? บาปของเราถูกอภัยผ่านความเชื่อ เราได้รับพระคุณด้วยความรอด และได้รับความชอบธรรม ทำไมยังไม่ได้เข้าราชอาณาจักรแห่งสวรรค์? เราเฝ้ารอพระองค์อย่างทุกข์ทรมานมาหลายปี และทนทุกข์มากมาย ทำไมพระองค์ยังไม่มาเพื่อเรา รับเราขึ้นไปเพื่อพบกับพระองค์ และหนีความทุกข์ของความวิบัติ? พระองค์ทรงละทิ้งเราแล้วจริงๆ เหรอ? เหล่านี้คือคำถามที่ผู้เชื่อหลายคนมี เราเข้า ราชอาณาจักรโดยความรอดได้เหรอ? ฉันจะแบ่งปันความเข้าใจส่วนตัวในเรื่องนี้สักเล็กน้อยค่ะ
แต่ก่อนสามัคคีธรรมในเรื่องนี้ เรามาแจกแจงเรื่องหนึ่งกันก่อนค่ะ แนวความคิดเรื่อง การได้รับความชอบธรรมผ่านทางความเชื่อ ได้รับการสนับสนุนจากพระวจนะสักนิดไหม? องค์พระเยซูเจ้าเคยตรัสไหมว่า แค่ความชอบธรรมก็เข้าสู่ราชอาณาจักรได้? ไม่เคยเลยค่ะ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ล่ะ? ไม่เคยเลย ดังนั้นเราจึงแน่ใจได้ว่า แนวคิดนี้เป็นมโนคติอันหลงผิดล้วนๆ มันนำเราเข้าราชอาณาจักรไม่ได้ ที่จริง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนมาก ว่าใครเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23) “เราบอกความจริงกับท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป ทาสอยู่ในบ้านเพียงชั่วคราว บุตรต่างหากที่อยู่ตลอดไป” (ยอห์น 8:34-35) “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45) “ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” (ฮีบรู 12:14) องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกชัด ว่าทำตามน้ำพระทัยจึงเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ ผู้รอดพ้นจากบาปและถูกชำระให้บริสุทธิ์จะมีที่ในราชอาณาจักร เป็นทางเดียวที่จะได้รับการเข้าสู่ การได้รับการไถ่บาป และชอบธรรมผ่านความเชื่อ แปลว่าบุคคลหนึ่งทำตามน้ำพระทัยไหม? แปลว่าพวกเขาไม่ทำบาป หรือกบฏและต้านทานพระเจ้าแล้วไหม? ไม่ใช่เลยค่ะ ผู้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเห็นข้อเท็จจริงได้ ว่าแม้เราได้รับการไถ่และความชอบธรรมผ่านความเชื่อ เราก็ยังทำบาปเป็นนิตย์ อยู่ในวงจรทำบาปตอนกลางวัน และสารภาพบาปในตอนกลางคืน เราใช้ชีวิตในความเจ็บปวดที่หนีจากบาปไม่ได้ เราห้ามตัวเองไม่ได้ มีผู้คนภายในทุกนิกาย ที่อิจฉาชอบโต้เถียง ต่อสู้เพื่อชื่อและผลประโยชน์ ว่าร้ายกันและกัน นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก และความเชื่อของผู้คนส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเพราะโลภในพระคุณพระเจ้า แต่ไม่ทำตามพระองค์ตรัส พวกเขาเร่งไปคริสตจักรเมื่อเจอวิกฤติ แต่เมื่อสงบสุขกลับทำตามกระแสโลก และคริสตจักรแค่จัดงานเลี้ยงครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีใครสามัคคีธรรมความจริงหรือแบ่งปันคำพยานส่วนตัว เอาแต่แข่งกันว่าใครได้รับพระคุณและพระพรมากที่สุด กับการที่มหาวิบัติกำลังมา พอไม่เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้ามาบนเมฆเพื่อรับพวกเขาขึ้นไป ความเชื่อและความรักของหลายคนก็เย็นลง พวกเขาเริ่มตำหนิและตัดสินพระเจ้า บางคนทรยศพระองค์ด้วยซ้ำ ข้อเท็จจริงแสดงว่า การได้รับอภัยบาป และได้รับความรอด อาจแปลว่าคนทำตัวดีขึ้น แต่ไม่ได้แปลว่าพวกเขาหนีพ้นจากบาปไปพร้อมกัน พวกเขาไม่ได้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ และคู่ควรกับราชอาณาจักร นั่นเป็นความคิดเพ้อฝันของมนุษย์ ตอนนี้เราเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้และเข้าใจว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้า ตรัสว่าบรรดาผู้ที่ประกาศและขับผีออกในพระนามพระองค์เป็นผู้กระทำชั่ว ทรงไม่เคยรู้จักพวกเขา นั่นเป็นเพราะผู้คนยังทำบาปอยู่เสมอ แม้บาปจะถูกอภัยแล้ว อีกทั้งตำหนิและตัดสินพระองค์ เมื่อเห็นว่าพระองค์ยังไม่เสด็จมา ก็เอาแต่พร่ำบ่น และเริ่มทรยศพระองค์ บางคนถึงกับพูดว่า มีเรื่องต้องคุยถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงรับพวกเขาเข้าสู่ราชอาณาจักร คนเหล่านี้แทบไม่ดีไปกว่าพวกฟาริสีที่กดขี่และกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า หรือบางทีอาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ คนอื่นเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาประพฤติตัวอย่างไร และในสายพระเนตร พวกเขาคือผู้กระทำชั่วอย่างไม่ต้องสงสัย พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และมีความชอบธรรม ดังนั้นพระเจ้าจะยอมให้ บรรดาผู้ที่คอยแต่จะทำบาป ตัดสินและต้านทานพระเจ้าขึ้นสวรรค์เหรอ? ไม่แน่นอนค่ะ และดังนั้น ที่ผู้คนเชื่อว่าเมื่อชอบธรรมด้วยความเชื่อก็จะได้เข้าราชอาณาจักร เป็นมโนคติอันหลงผิดที่ขัดกับพระวจนะและความจริง เป็นจินตนาการที่มาจากความปรารถนาอันฟุ้งเฟ้อล้วนๆ
มาจนถึงจุดนี้ บางคนอาจกล่าวว่า การถูกช่วยให้รอดผ่านทางความเชื่อ โดยพระคุณมีพื้นฐานในพระคัมภีร์ “เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:10) “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า” (เอเฟซัส 2:8) ดังนั้น ถ้าเราเข้าสู่ราชอาณาจักรในทางนั้นไม่ได้ แล้วที่จริง การ “ถูกช่วยให้รอด” แปลว่าอะไร? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงบอกเราถึงความจริงข้อนี้ เรามาดูว่าพระวจนะกล่าวว่ายังไงกันนะคะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ณ เวลานั้นพระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่มีบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอดและการมีความชอบธรรมจากความเชื่อ แต่ถึงกระนั้นในตัวผู้ที่เชื่อก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และสิ่งที่ยังคงต้องค่อยๆ ขจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)) “มนุษย์ได้รับการ…ยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา… บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) เราสามารถเห็นได้จากสิ่งนี้ว่า องค์พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป ให้มวลมนุษย์ ไถ่พวกเราจากบาป เราเพียงต้องสารภาพและกลับใจ เพื่อให้บาปถูกอภัย เราไม่ถูกประหารภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่เห็นเราเป็นคนบาป และซาตานก็กล่าวหาเราไม่ได้ เราได้มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ชื่นชมสันติสุขและความเบิกบานที่พระองค์ประทานพร้อมพระคุณมากล้น นี่คือความหมายของการ “ถูกช่วยให้รอด” การถูกช่วยให้รอดเพราะความเชื่อแปลว่าถูกอภัยบาป ไม่ถูกกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติ ไม่เหมือนที่ผู้คนนึกฝันว่าเมื่อถูกช่วยให้รอดแล้วจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร ที่พระคัมภีร์อ้างถึงการ “ถูกช่วยให้รอด” คือที่เปาโลบรรยาย แต่ทั้งองค์พระเยซูเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยตรัสเลย เราใช้คำกล่าวของมนุษย์ในพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานไม่ได้ ใช้ได้แค่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น บางคนอาจจะถามว่าในเมื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอภัยบาปเราแล้ว พระเจ้าไม่ทรงเห็นเราว่ามีบาปอีก และเรียกเราว่าชอบธรรมแล้ว แล้วทำไมเราถูกรับขึ้นสู่ราชอาณาจักรไม่ได้? จริงที่พระเจ้าเรียกเราว่าชอบธรรม แต่ไม่ได้ตรัสว่าเมื่อบาปถูกอภัยจะคู่ควรกับราชอาณาจักร หรือว่าเมื่อเราได้รับการอภัยแล้ว เรายังสามารถทำบาปอะไรก็ได้แล้วยังบริสุทธิ์ เราต้องเข้าใจว่าพระอุปนิสัยบริสุทธิ์และชอบธรรม แต่พระองค์จะไม่ทรงเรียกคนที่ทำบาปเป็นนิตย์ว่าบริสุทธิ์ หรือเรียกคนที่ยังเป็นคนบาปว่าปราศจากบาปแล้ว แม้แต่ผู้เชื่อที่บาปได้รับการอภัยแล้ว ก็ถูกสาปแช่งได้ถ้าต้านทานและหมิ่นประมาทพระเจ้า ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย” (ฮีบรู 10:26) พวกฟาริสีตัดสิน กล่าวโทษ และต้านทานพระองค์ จึงถูกองค์พระเยซูเจ้าสาปแช่ง นั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงเหรอ? ผู้เชื่อต่างรู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าจะไม่ทนการล่วงเกิน และองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า” (มัทธิว 12:31-32) การอภัยบาปคือพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่ถ้าผู้คนยังคงล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าหลังได้รับการอภัย ก็ยังถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษได้ ถ้าเราตรึงกางเขนพระเจ้าอีกครั้ง ผลสืบเนื่องจะรุนแรงมาก แต่พระเจ้าคือความรักและเมตตา จึงทรงอยากช่วยเราให้รอดจากบาปและความชั่ว ให้เราบริสุทธิ์ องค์พระเยซูเจ้าจึงทรงสัญญาว่าจะเสด็จมาอีกครั้งหลังงานแห่งการไถ่ พระองค์จะทรงกลับมาทำไมเหรอคะ? เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาปและจากกำลังบังคับของซาตานโดยสมบูรณ์ เราจะได้หันหาพระเจ้า ได้รับโดยพระองค์ ผู้เชื่อที่ต้อนรับการทรงกลับมาเท่านั้น จึงมีความหวังที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ มาถึงจุดนี้ บางคนอาจจะนึกสงสัยว่า ในเมื่อบาปของเราถูกอภัยแล้ว เราจะหนีจากบาปและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรได้ยังไง? นั่นนำเรามาสู่ประเด็นหลัก เพียงยอมรับการอภัยขององค์พระเยซูเจ้านั้นยังไม่พอ เราต้องต้อนรับการมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และยอมรับงานขั้นต่อไปของพระองค์ด้วย เพื่อหนีจากบาป ถูกช่วยให้รอด และควรค่าแก่ราชอาณาจักร ดังที่องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” (ยอห์น 16:12-13) “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 12:47-48) “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร… และทรงให้พระบุตรมีสิทธิอำนาจที่จะทำการพิพากษาเพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรมนุษย์” (ยอห์น 5:22, 27) และ “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” (1 เปโตร 4:17) ถ้าเราคิดเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน เราจะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายในฐานะบุตรมนุษย์ แสดงความจริงและทรงงานพิพากษา ทรงนำเราให้เข้าสู่ความจริงทั้งมวล เราจะได้พ้นจากบาป พ้นจากกำลังบังคับของซาตาน และบรรลุความรอด ดังนั้นการยอมรับการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย และถูกชำระความเสื่อมทรามให้บริสุทธิ์ เป็นทางเดียวเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ เรามาดูพระวจนะกันอีกสักสองบทตอนนะคะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่ มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระวจนะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นเหรอคะ? องค์พระเยซูเจ้าทรงงานแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ ซึ่งก็เพื่ออภัยบาปของมนุษย์และไถ่พวกเราจากบาปเหล่านั้น นั่นจริงค่ะ แต่ธรรมชาติบาปหนาของผู้คนไม่ได้ถูกแก้ไข เราต้านทานพระเจ้าต่อไป จึงไม่นับว่าถูกช่วยให้รอดแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้าย แสดงความจริงมากมาย และกำลังทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศบนรากฐานการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า ทรงมาชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด นำเราเข้าสู่ราชอาณาจักร งานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เป็นงานรากฐานที่สุดเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และเป็นทางเดียวให้เราถูกชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่เป็นโอกาสทอง และโอกาสเดียวเพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราพูดได้ว่า งานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยเริ่มที่พระนิเวศ คืองานแห่งการรับบรรดาผู้เชื่อขึ้นไป ผ่านการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ความเสื่อมทรามของเราได้ถูกชำระให้สะอาด แล้วเราจะถูกคุ้มครองตลอดมหาวิบัติและได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า นี่คือความหมายของการถูกรับขึ้นไปค่ะ ถ้าเราไม่ตามงานนี้ให้ทัน ไม่ว่าเชื่อมานานแค่ไหน ทนทุกข์หรือยอมลำบากมามากแค่ไหน ทั้งหมดก็จะสูญเปล่า นั่นเป็นการล้มเลิกกลางทาง และเสียเวลาเปล่า สุดท้ายเราจะตกอยู่ในความวิบัติ ร่ำไห้และขบเคี้ยวฟัน พระเจ้าจะไม่มีวันทรงนำคนที่ยังสามารถกบฏต่อพระองค์ได้ เข้าสู่ราชอาณาจักร เรื่องนั้นกำหนดโดยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์
บางคนอาจถามว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงงานพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอดยังไง มาดูกันว่าพระองค์ตรัสถึงเรื่องนั้นยังไง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แสดงพระวจนะนับล้านในยุคสุดท้าย บอกเราถึงความจริงทั้งมวลที่จำเป็นเพื่อชำระความเสื่อมทรามของเราให้บริสุทธิ์ และความรอดของเรา พระองค์พิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติที่ต่อต้านพระเจ้า และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา และทรงเปิดโปงแรงจูงใจและมโนคติอันหลงผิดอันซ่อนเร้น น่ารังเกียจและลึกที่สุดของเรา ยิ่งเราอ่านพระวจนะ เราก็ยิ่งได้รับประสบการณ์การพิพากษานั้น และเห็นได้ว่าซาตานทำให้เราเสื่อมทรามอย่างลึกล้ำแค่ไหน เราโอหังและหัวแข็งดื้อรั้นแค่ไหน เราฉลาดแกมโกง เห็นแก่ตัว และโลภมาก และใช้ชีวิตตามปรัชญาและกฎเยี่ยงซาตานในทุกอย่าง ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ แม้แต่ความเชื่อและงานสำหรับคริสตจักรของเรา ก็เพื่อรางวัลและได้เข้าสู่ราชอาณาจักร เราไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผล แต่ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนซาตาน ผ่านการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า ในที่สุดเราก็ได้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนการล่วงเกิน พระเจ้าทรงเห็นจิตใจของเราอย่างแท้จริง และแม้ว่าเราจะไม่พูดออกมา พระเจ้าจะทรงเปิดเผยสิ่งที่เราคิด ความเสื่อมทรามที่มีอยู่ ลึกภายในหัวใจของพวกเรา โดยไม่มีที่ให้หลบซ่อน เรารู้สึกละอาย และเราเกิดความยำเกรงต่อพระเจ้า เราอธิษฐานสิ่งที่อยู่ในใจ และเปิดใจอย่างซื่อสัตย์ถึงความคิดและมุมมองที่ผิดพลาดของเรา ถึงการได้รับมโนธรรมและเหตุผล ถ้าเราโกหก เราจะเปิดเผยทันที และชดเชยให้กับคำโกหกนั้น เมื่อประสบพระวจนะแบบนี้ อุปนิสัยเสื่อมทรามของเราก็ค่อยๆ ถูกชำระและเปลี่ยนแปลง และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ได้ ผ่านการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เรารู้สึกอย่างลึกซึ้งได้ว่างานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้านั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงแค่ไหน! ถ้าไม่มีการพิพากษาของพระเจ้า เราก็ไม่อาจเห็นความเสื่อมทรามที่แท้จริงของเราได้ และเราจะไม่มีวันกลับใจหรือเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เราเห็นได้ว่าการหนีจากความชั่วไม่อาจกระทำผ่านงานหนักและการควบคุมตัวเอง แต่จำเป็นที่เราต้องถูกตัดสิน ตีสอน และทดสอบโดยพระเจ้า เรายังต้องถูกตัดแต่ง จัดการ และบ่มวินัยด้วย นั่นเป็นทางเดียวที่อุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของเราจะเปลี่ยนแปลงจริงๆ และทำให้เรายำเกรงและนบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ดังนั้นถ้าเรามีเพียงการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าในความเชื่อ บาปของเราก็ถูกอภัย และเราชอบธรรมเพราะความเชื่อ แต่ไม่คู่ควรกับราชอาณาจักร เรายังต้องต้อนรับการทรงกลับมา และยอมรับการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราจะได้ละทิ้งความเสื่อมทราม และแก้ไขธรรมชาติเปี่ยมบาปของเราอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ทรงงานพิพากษา พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จลงมาทรงงานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดโดยสมบูรณ์ ผู้เชื่อหลายคนจากทุกนิกายได้ยินเสียงของพระเจ้าและยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาคือหญิงพรมจารีมีปัญญาและกำลังร่วมงานสมรสของพระเมษโปดก และบรรดาผู้ที่บอกปัดพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็กลายเป็นหญิงพรมจารีโง่ที่จะตกลงสู่ความวิบัติ คร่ำครวญ ตอนนี้เราควรเข้าใจว่า ทำไมโลกศาสนายังไม่เห็นองค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆ พวกเขายึดติดกับองค์พระคัมภีร์ตามตัวอักษรอย่างดื้อรั้น แน่ใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆเพื่อรับพวกเขาขึ้นไป แต่ความจริง องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จมาอย่างลับๆ เพื่อทรงงานแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แสดงความจริงมากมาย ที่พวกเขาไม่ยอมแสวงหา พวกเขาได้ยินแต่ไม่ฟัง และเห็นแต่ไม่เข้าใจ พวกเขาต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างมืดบอด คอยจ้องมองท้องฟ้า เฝ้ารอให้พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จลงมาบนเมฆ นี่จะนำพวกเขาเข้าสู่ความวิบัติทั้งหลาย แล้วจะโทษใครได้?
วันนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สร้างกลุ่มผู้ชนะเสร็จแล้วผ่านงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ ความวิบัติได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็กำลังทุ่มเทเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร เป็นพยานให้การทรงงานของพระเจ้า คนมากขึ้นเรื่อยๆ กำลังสืบค้นและยอมรับหนทางที่แท้จริง และคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ถูกตั้งขึ้นในหลายประเทศ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกเผยแผ่ไปทั่วโลก ผู้ที่กระหายความจริงและแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า กำลังมาเบื้องพระบัลลังก์พระองค์ คนแล้วคนเล่า ไม่มีใครหยุดยั้งได้! มันทำให้คำเผยพระวจนะนี้ลุล่วง “ในวาระสุดท้ายจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์ จะถูกสถาปนาขึ้นเป็นที่สูงสุดของภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้อยู่เหนือบรรดาเนินเขา ประชาชาติทั้งหมดจะหลั่งไหลเข้ามาหา” (อิสยาห์ 2:2) แต่ว่า กองกำลังศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และคนที่ได้ชื่อว่าผู้เชื่อที่ถูกพวกนั้นนำให้หลงผิดและควบคุม จำนนต่อความวิบัติ เสียโอกาสจะถูกรับขึ้นไปแล้ว พวกเขากำลังร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มันเป็นโศกนาฏกรรมจริงๆ ค่ะ มาสรุป ด้วยการชมวิดีโอการอ่านพระวจนะด้วยกันนะคะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์ พวกที่ไม่ได้รับการจัดหาน้ำแห่งชีวิตมาให้จะยังคงเป็นซากศพ ของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงแค่พยายามเก็บรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่โดยการอยู่นิ่งเฉย และไม่พยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ? ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถแก้ต่างให้พระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นว่าเป็นพระเจ้าที่มีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร? และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร? ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร? สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้แต่เพียงการปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้ คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ? มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ? เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ? หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าสู่สวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่? เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้ หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ