
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเนื้อและเลือด พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ว่าสภาวะความเป็นมนุษย์หรือเทวสภาพของพระองค์ ต่างก็นบนอบต่อน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งสวรรค์ เนื้อแท้ของพระคริสต์คือพระวิญญาณ นั่นก็คือ เทวสภาพ ดังนั้นแล้ว เนื้อแท้ของพระองค์จึงเป็นเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง เนื้อแท้นี้จะไม่ขัดขวางพระราชกิจของพระองค์เอง และคงไม่อาจเป็นไปได้ที่พระองค์จะทรงกระทำสิ่งใดๆ ที่ทำลายพระราชกิจของพระองค์เอง อีกทั้งพระองค์คงจะไม่ทรงเปล่งพระวจนะใดๆ ที่ขัดต่อน้ำพระทัยของพระองค์เอง ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะไม่มีวันทรงปฏิบัติพระราชกิจใดๆ ที่ขัดขวางการบริหารจัดการของพระองค์เองอย่างแน่นอน นี่คือสิ่งที่ผู้คนทั้งมวลควรเข้าใจ
ตัดตอนมาจาก “เนื้อแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาแห่งสวรรค์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
เพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่มีแก่นสารของพระเจ้า พระองค์จึงทรงอยู่เหนือมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งปวง เหนือมนุษย์คนใดๆ ที่สามารถกระทำพระราชกิจของพระเจ้าได้ และดังนั้นแล้ว ท่ามกลางทุกคนที่มีเปลือกมนุษย์เช่นเดียวกับของพระองค์ ท่ามกลางทุกคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์แล้ว มีเพียงพระองค์ที่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์—ผู้คนอื่นๆ ทั้งหมดต่างเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นไม่มีสิ่งใดนอกจากสภาวะความเป็นมนุษย์ ในขณะที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นแตกต่างออกไป นั่นคือ ในเนื้อหนังของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีเพียงแค่สภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระองค์ทรงมีเทวสภาพด้วยเช่นกัน
ตัดตอนมาจาก “แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงประทับ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
หากเมื่อพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าเพียงได้ทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพเท่านั้น และไม่มีผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์มาทำงานร่วมกับพระองค์ เมื่อนั้น มนุษย์ก็คงจะไม่สามารถที่จะเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าหรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้าได้ พระเจ้าจะต้องทรงใช้ผู้คนปกติผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์เพื่อทำให้พระราชกิจนี้ให้ครบบริบูรณ์ เพื่อเฝ้าดูและเป็นผู้เลี้ยงคริสตจักรทั้งหลายเพื่อที่จะได้สัมฤทธิผลถึงระดับที่กระบวนการทางความคิดความเข้าใจทั้งหลายของมนุษย์ นั่นคือสมองของเขา สามารถที่จะจินตนาการได้ อีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้ผู้คนจำนวนเล็กน้อยผู้ที่สมดังพระทัยของพระองค์เพื่อ “แปล” พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติภายในเทวสภาพของพระองค์ เพื่อที่มันจะสามารถเปิดกว้างได้—เพื่อแปลงภาษาของพระเจ้าให้เป็นภาษาของมนุษย์ เพื่อที่ผู้คนจะสามารถจับใจความและเข้าใจมันได้ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงทำเช่นนั้น คงจะไม่มีใครเข้าใจภาษาแบบพระเจ้าของพระเจ้าได้ เพราะผู้คนที่สมดังพระทัยของพระเจ้านั้นที่จริงแล้วเป็นคนส่วนน้อย และความสามารถของมนุษย์ในการจับใจความนั้นอ่อนด้อย นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงเลือกวิธีการนี้เท่านั้นเมื่อทรงพระราชกิจในเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ หากมีเพียงพระราชกิจแบบพระเจ้าเท่านั้น คงจะไม่มีทางที่มนุษย์จะรู้หรือมีส่วนร่วมกับพระเจ้า เพราะมนุษย์ไม่เข้าใจภาษาของพระเจ้า มนุษย์สามารถเข้าใจภาษานี้ได้เฉพาะโดยผ่านทางตัวแทนของผู้คนที่สมดังพระทัยของพระองค์ ผู้ซึ่งชี้แจงพระวจนะของพระองค์ให้ชัดเจนเท่านั้น อย่างไรก็ดี หากมีเพียงผู้คนเช่นนั้นเท่านั้นที่ทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ นั่นคงจะเพียงรักษาชีวิตปกติของมนุษย์ได้เท่านั้น มันคงจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ได้ พระราชกิจของพระเจ้าคงจะไม่มีจุดเริ่มต้นใหม่ คงจะมีเพียงเพลงเก่าเดิมๆ คำพูดซ้ำซากเก่าๆ แบบเดิมเท่านั้น โดยผ่านทางตัวแทนของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น ผู้ซึ่งพูดทั้งหมดที่จำเป็นจะต้องพูดและทำทั้งหมดที่จำเป็นจะต้องทำในระหว่างช่วงเวลาการจุติเป็นมนุษย์ของพระองค์ ซึ่งภายหลังจากนั้นผู้คนทำงานและได้รับประสบการณ์ตามพระวจนะของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เท่านั้นอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และด้วยเหตุนี้เท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถไหลไปตามกาลเวลาได้ เขาผู้ที่ทำงานภายในเทวสภาพเป็นตัวแทนพระเจ้า ในขณะที่บรรดาผู้ที่ทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์คือประชากรซึ่งพระเจ้าทรงใช้งาน กล่าวคือ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญจากประชากรซึ่งพระเจ้าทรงใช้งาน พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์สามารถทรงพระราชกิจแห่งเทวสภาพได้ ในขณะที่ประชากรซึ่งพระเจ้าทรงใช้งานไม่สามารถทำได้ เมื่อแรกเริ่มของแต่ละยุค พระวิญญาณของพระเจ้าตรัสเป็นการส่วนพระองค์และทรงเริ่มต้นยุคใหม่เพื่อทรงนำมนุษย์เข้าสู่การเริ่มต้นใหม่ เมื่อพระองค์ได้ตรัสเสร็จสิ้นแล้ว นี่จึงมีความหมายว่าพระราชกิจของพระเจ้าภายในเทวสภาพของพระองค์ถูกทำสำเร็จแล้ว หลังจากนั้น ผู้คนทั้งหมดจึงติดตามการนำของผู้ที่พระเจ้าทรงใช้งานเพื่อเข้าสู่ประสบการณ์ชีวิตของพวกเขา
ตัดตอนมาจาก “ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์กับประชากรซึ่งพระเจ้าทรงใช้งาน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถทำให้มองเห็นเป็นคำพูดของมนุษย์ได้และยิ่งไม่สามารถที่จะทำให้คำพูดของมนุษย์กลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้ มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ ในที่นี้มีความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง บางทีหลังจากอ่านวจนะเหล่านี้ เจ้าไม่ยอมรับรู้ว่าเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้า แต่เป็นเพียงความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับมา ในกรณีนั้น เจ้าถูกความไม่รู้เท่าทันทำให้ตาบอด พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถเป็นเหมือนกับความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้มาได้อย่างไรกัน? พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เปิดฉากยุคใหม่ นำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง เปิดเผยข้อล้ำลึกทั้งหลาย และแสดงให้มนุษย์เห็นทิศทางที่เขาต้องไปในยุคใหม่ ความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับนั้นเป็นเพียงคำแนะนำเรียบง่ายเพื่อการปฏิบัติหรือเพื่อความรู้เท่านั้น มันไม่สามารถนำมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่หรือเปิดเผยข้อล้ำลึกของพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์ พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าและมนุษย์มีแก่นแท้ของมนุษย์ หากมนุษย์มีทรรศนะว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการให้ความรู้แจ้งที่เรียบง่ายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับเอาคำพูดของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมาเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ นั่นย่อมจะเป็นความผิดพลาดของมนุษย์
ตัดตอนมาจาก คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์เพียงภายในเทวสภาพเท่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่พระวิญญาณแห่งสวรรค์ได้ไว้วางพระทัยในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เมื่อพระองค์เสด็จมา พระองค์เพียงตรัสไปทั่วดินแดนเท่านั้น เพื่อแสดงความคิดผ่านถ้อยดำรัสของพระองค์โดยวิธีการอันแตกต่างกันและจากมุมมองอันแตกต่างกัน พระองค์ทรงถือว่าการหล่อเลี้ยงมนุษย์และการสอนมนุษย์เป็นเป้าหมายและหลักการในการทรงพระราชกิจของพระองค์เป็นสำคัญ และไม่สนพระทัยในสิ่งทั้งหลาย เช่น การมีสัมพันธภาพระหว่างบุคคลหรือรายละเอียดทั้งหลายในชีวิตของผู้คน พันธกิจหลักของพระองค์คือการตรัสเพื่อพระวิญญาณ กล่าวคือ เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์โดยจับต้องได้ พระองค์ทรงเพียงจัดเตรียมชีวิตของมนุษย์และทรงปลดปล่อยความจริงเท่านั้น พระองค์ไม่ทรงนำพระองค์เองไปเกี่ยวข้องในงานของมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ไม่ทรงมีส่วนในงานของมนุษยชาติ พวกมนุษย์ไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้ และพระเจ้าไม่ทรงมีส่วนในงานของมนุษย์ ในช่วงหลายปีนับตั้งแต่พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกใบนี้เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงพระราชกิจนั้นโดยผ่านทางผู้คนเสมอมา อย่างไรก็ดี ผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถได้รับการพิจารณาว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้—เป็นเพียงบรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าทรงใช้งานเท่านั้น ในขณะเดียวกัน พระเจ้าของวันนี้สามารถตรัสโดยตรงจากมุมมองของเทวสภาพ ทรงส่งพระสุรเสียงของพระวิญญาณออกไปให้ได้ยินและทรงพระราชกิจในนามของพระวิญญาณ ในทำนองเดียวกันนี้ บรรดาผู้ซึ่งพระเจ้าได้ทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยนั้น เป็นตัวอย่างทั้งหลายของพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งทรงพระราชกิจภายในร่างกายซึ่งมีเนื้อหนัง—ดังนั้นทำไมจึงไม่สามารถเรียกพวกเขาว่าพระเจ้าได้? แต่พระเจ้าของวันนี้ยังทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งทรงพระราชกิจโดยตรงในเนื้อหนังเช่นกัน และพระเยซูก็ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งทรงพระราชกิจในเนื้อหนังด้วยเช่นกัน ทั้งสองพระองค์นั้นเรียกว่าพระเจ้า ดังนั้นแล้วอะไรคือความแตกต่าง? ผู้คนซึ่งพระเจ้าทรงใช้งานมาตลอดหลายยุคหลายสมัยทั้งหมดนั้น มีความสามารถในการใช้ความคิดและเหตุผลปกติ พวกเขาทั้งหมดได้เข้าใจหลักการทั้งหลายของการประพฤติของมนุษย์ พวกเขาได้มีแนวความคิดทั้งหลายของมนุษย์ปกติ และได้มีสรรพสิ่งทั้งมวลซึ่งผู้คนปกติควรมี พวกเขาส่วนใหญ่ได้มีพรสวรรค์พิเศษและปัญญาโดยกำเนิด ในการทรงพระราชกิจกับผู้คนเหล่านี้ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพรสวรรค์ทั้งหลายของพวกเขา ซึ่งเป็นของขวัญซึ่งประทานโดยพระเจ้าของพวกเขา พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทำให้พรสวรรค์ทั้งหลายของพวกเขามีผล ทรงใช้จุดแข็งทั้งหลายของพวกเขาในการปรนนิบัติพระเจ้า กระนั้นก็ตามเนื้อแท้ของพระเจ้านั้นปราศจากแนวคิดหรือความคิด ไม่เจือปนไปด้วยเจตนาของมนุษย์ และกระทั่งขาดพร่องสิ่งซึ่งมนุษย์ปกติมี กล่าวคือ พระองค์ไม่แม้กระทั่งทรงคุ้นเคยกับหลักการทั้งหลายในการประพฤติของมนุษย์ เมื่อพระเจ้าของวันนี้เสด็จมายังแผ่นดินโลกก็เป็นอย่างนี้นี่เอง พระราชกิจของพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ไม่ถูกเจือปนไปด้วยเจตนาทั้งหลายของมนุษย์หรือความคิดของมนุษย์ แต่พระราชกิจและพระวจนะทั้งหลายของพระองค์เป็นการสำแดงเจตนารมณ์โดยตรงของพระวิญญาณ และพระองค์ทรงพระราชกิจโดยตรงในนามของพระเจ้า นี่หมายความว่าพระวิญญาณตรัสโดยตรง กล่าวคือ เทวสภาพทรงพระราชกิจโดยตรง โดยไม่มีการผสมกับเจตนาของมนุษย์แม้แต่เล็กน้อย อีกนัยหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงทำให้เทวสภาพเป็นรูปร่างขึ้นโดยตรง ปราศจากความคิดหรือแนวคิดทั้งหลายของมนุษย์ และไม่มีความเข้าใจในหลักการทั้งหลายของการประพฤติของมนุษย์ หากมีเพียงเทวสภาพเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจ (ซึ่งหมายความว่า หากมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจ) ก็คงจะไม่มีทางที่พระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการดำเนินการบนแผ่นดินโลก ดังนั้นเมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์จะต้องทรงมีผู้คนจำนวนเล็กน้อยซึ่งพระองค์ทรงใช้งานเพื่อทำงานภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ร่วมกับพระราชกิจซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติในเทวสภาพ อีกนัยหนึ่ง พระองค์ทรงใช้งานของมนุษย์เพื่อค้ำจุนพระราชกิจแบบพระเจ้าของพระองค์ หากไม่แล้ว คงจะไม่มีทางที่มนุษย์จะมีส่วนร่วมโดยตรงกับพระราชกิจของพระเจ้า
ตัดตอนมาจาก “ความแตกต่างในแก่นแท้ระหว่างพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์กับประชากรซึ่งพระเจ้าทรงใช้งาน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พระราชกิจในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจของพระเจ้าเองหรืองานของผู้คนที่กำลังได้รับการใช้งาน ต่างก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เองคือพระวิญญาณ ซึ่งสามารถเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระวิญญาณซึ่งทรงแกร่งกล้าขึ้นเป็นเจ็ดเท่า โดยรวมแล้ว ทั้งหมดนั้นคือพระวิญญาณของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะได้รับการเรียกด้วยพระนามอื่นๆ ในยุคสมัยที่แตกต่างกันก็ตาม เนื้อแท้เหล่านั้นยังคงเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองคือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ใช่สิ่งใดที่น้อยไปกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงพระราชกิจ งานของผู้คนที่ได้รับการใช้งานก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน กระนั้นพระราชกิจของพระเจ้าก็เป็นการแสดงออกอย่างครบบริบูรณ์ถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งแท้จริงอย่างแน่นอน ในขณะที่งานของผู้คนที่ได้รับการใช้งานได้รับการผสมผสานด้วยสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นของมนุษย์ และไม่ได้เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่าว่าแต่เป็นการแสดงออกอย่างครบบริบูรณ์ของพระองค์เลย…เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจต่อผู้คนที่กำลังได้รับการใช้งาน พรสวรรค์และขีดความสามารถโดยธรรมชาติของผู้คนเหล่านั้นได้รับการปลดปล่อย ไม่ได้ยับยั้งไว้ ขีดความสามารถโดยธรรมชาติของพวกเขาถูกนำมาใช้ในการปรนนิบัติของพระราชกิจ อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงใช้ส่วนต่างๆ ของมนุษย์ที่สามารถนำมาใช้ในพระราชกิจของพระองค์ได้เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในพระราชกิจนั้น ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจที่ดำเนินการในเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณโดยตรง และไม่เจือปนด้วยความคิดและจิตใจของมนุษย์ ทั้งพรสวรรค์ของมนุษย์ ประสบการณ์ของมนุษย์ และสภาพเงื่อนไขภายในของมนุษย์ไม่สามารถบรรลุไปถึงพระราชกิจนั้นได้
ตัดตอนมาจาก “พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
วาทะของเราแสดงถึงสิ่งที่เราเป็น แต่สิ่งที่เราพูดอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์ สิ่งที่เราพูดไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ และมันไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถมองเห็น และยังไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ แต่คือสิ่งที่เราเป็น ผู้คนบางคนรับรู้เพียงว่าสิ่งที่เราสามัคคีธรรมนั้นคือสิ่งที่เราได้รับประสบการณ์ แต่พวกเขาไม่รับรู้ว่าสิ่งนั้นคือการแสดงออกของพระวิญญาณโดยตรง แน่นอนว่าสิ่งที่เราพูดคือสิ่งที่เราเคยได้รับประสบการณ์มาแล้ว เราคือผู้ที่ได้ทำงานการบริหารจัดการมาเป็นเวลาหกพันปี เราได้รับประสบการณ์ในทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการสร้างมวลมนุษย์มาจนถึงตอนนี้ แล้วเราจะไร้ความสามารถที่จะเสวนาถึงการนั้นได้อย่างไร? เมื่อพูดถึงเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ เราได้มองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว เราได้สังเกตเห็นมันมานมนานแล้ว เราจะไร้ความสามารถที่จะพูดถึงมันอย่างชัดเจนได้อย่างไร? เป็นเพราะเราได้เห็นแก่นแท้ของมนุษย์อย่างชัดเจน เราจึงมีคุณสมบัติที่จะตีสอนมนุษย์และพิพากษาเขา เพราะมนุษย์ทั้งหมดมาจากเรา แต่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม แน่นอนว่าเราก็มีคุณสมบัติที่จะประเมินงานที่เราได้ทำไปแล้วเช่นกัน ถึงแม้ว่างานนี้จะไม่ได้ทำโดยเนื้อหนังของเรา แต่งานนี้เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณ และนี่คือสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น ดังนั้น เราจึงมีคุณสมบัติที่จะแสดงถึงงานนี้และทำงานที่เราควรต้องทำ สิ่งที่ผู้คนพูดคือสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มา นั่นคือสิ่งที่พวกเขาได้มองเห็น สิ่งที่จิตใจของเขาสามารถไปถึงได้ และสิ่งที่สำนึกรับรู้ของพวกเขาสามารถสืบหาได้ นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมได้ พระวจนะที่ตรัสโดยเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์คือการแสดงออกของพระวิญญาณโดยตรง และพระวจนะเหล่านั้นแสดงออกถึงพระราชกิจที่พระวิญญาณได้ทรงทำ ซึ่งเนื้อหนังไม่เคยได้รับประสบการณ์หรือมองเห็น กระนั้นพระองค์ยังทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ด้วยเหตุที่เนื้อแท้ของเนื้อหนังนั้นคือพระวิญญาณ และพระองค์ทรงแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณ นั่นคืองานที่พระวิญญาณได้ทรงกระทำไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเกินเอื้อมสำหรับเนื้อหนังก็ตาม หลังจากการจุติเป็นมนุษย์ โดยผ่านทางการแสดงออกของเนื้อหนัง พระองค์ทรงทำให้ผู้คนสามารถรู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำแล้ว งานของมนุษย์ทำให้ผู้คนมีความกระจ่างแจ้งมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาควรเข้าสู่และสิ่งที่พวกเขาควรทำความเข้าใจ งานนี้เกี่ยวพันกับการนำทางผู้คนสู่การเข้าใจและการได้รับประสบการณ์กับความจริง งานของมนุษย์คือการค้ำชูผู้คน พระราชกิจของพระเจ้าคือการเปิดเส้นทางใหม่และยุคสมัยใหม่สำหรับมวลมนุษย์ และเพื่อเปิดเผยต่อผู้คนถึงสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ พระราชกิจของพระเจ้าคือการนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง
ตัดตอนมาจาก “พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์