รอดพ้นจากวังวนข่าวลือ
โดย William, สหรัฐอเมริกา เดือนตุลาคม ปี 2016 ผมได้มาที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ตลอด 22 ปีที่ฉันเป็นคริสเตียนมา หน้าที่รับผิดชอบหลักของฉันคือการเงินของคริสตจักรและโรงเรียนวันอาทิตย์ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2017 ฉันพบกับซิสเตอร์เจนจากฝรั่งเศสบนเฟซบุ๊ก เธอเป็นพยานให้พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และได้พูดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในร่างมนุษย์ เพื่อแสดงความจริงและเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด ฉันตื่นเต้นเกินจะบรรยายเลยค่ะ ฉันได้ไปค้นดูเรื่องนี้ต่อ ก็เลยได้เห็นว่า พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงเป็นความจริง…เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า น้ำพุแห่งน้ำดำรงชีวิตที่ไหลรินมาจากพระบัลลังก์ จิตวิญญาณของฉันได้รับการบำรุงเลี้ยงและค้ำชู ฉันกับลูกสาวทั้งสองคนยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยความยินดี
มีอยู่วันหนึ่งตอนที่ฉันกำลังคุยอยู่กับพี่สาวคนหนึ่ง ตอนที่เธอบอกฉันเรื่องการแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้นำในคริสตจักรเดิมของเธอ เธอพูดว่าศิษยาภิบาลดื้อดึงเกาะติดกับคำตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ และไม่ยอมเจาะลึกพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เขากระจายเรื่องโกหกทุกประเภทและปิดตายคริสตจักร แล้วก็ถึงขนาดข่มขู่บรรดาผู้เชื่อ เรื่องนี้ทำให้ฉันประหลาดใจและสับสน ฉันคิดว่า “เหล่าศิษยาภิบาลคือผู้นำของคริสตจักร” “พวกเขาคอยบอกเราเสมอให้คอยเฝ้าดูการเสด็จมาถึงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนนี้พวกเขาได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ทำไมพวกเขาไม่นำบรรดาผู้เชื่อให้ค้นดูเรื่องนี้ แต่พยายามหยุดพวกเขาล่ะ? เหล่าศิษยาภิบาลในคริสตจักรของเราศึกษาเทววิทยามาและรู้จักพระคัมภีร์เป็นอย่างดีเลยนะคะ พวกเขาเคร่งศรัทธาและมีความรักให้กับบรรดาพี่น้องชายหญิง สอนพวกเราเสมอให้ทำตามคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าและคอยเฝ้าดูการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพวกเขาแค่อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นเอง พวกเขาก็จะรู้เลยว่านั่นเป็นพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถวายการต้อนรับพระองค์อย่างมีความสุข” ยังไงก็เถอะค่ะ ฉันก็ต้องประหลาดใจตรงที่ วันหนึ่งในสิบเดือนต่อมา ฉันกับลูกสาวคนเล็กประกาศข่าวประเสริฐให้พี่สาวคนหนึ่ง แล้วศิษยาภิบาลหลี่จากคริสจักรเดิมของพวกเราเกิดรู้เข้า เขาบอกคำโกหกเพื่อหยุดไม่ให้ฉันติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และข่มขู่ว่าจะขับไล่ฉันออกจากคริสตจักรนั้น ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นตัวตนแท้จริงที่หน้าซื่อใจคดของเขา
จู่ๆ วันหนึ่งเขาก็โทรมาขอให้ฉันไปพบเขาที่คริสตจักร พอฉันไปถึง เขาก็ถามฉันด้วยน้ำเสียงตำหนิว่า “คุณเป็นมัคนายกของคริสตจักรที่เชื่อมามากกว่า 20 ปี ทำไมตอนนี้ถึงมาเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? ทำไมถึงไม่มาถามผมในเรื่องนี้ก่อน คุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน หากไม่มีพวกเราคอยเฝ้าระวังให้คุณ คุณก็จะถูกชักนำให้หลงผิดได้ง่าย คุณรู้ได้ยังไงว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา” ฉันรู้สึกอึดอัดใจมากและคิดว่า “ฉันมีอิสระที่จะเจาะลึกหนทางที่แท้จริง ทำไมฉันถึงควรถามความเห็นคุณก่อนด้วยล่ะ? และใช่ ฉันเชื่อมานานแล้ว และถึงฉันจะไม่รู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์มากเท่าคุณ ฉันก็รู้จักจิตใจของฉันดี ฉันเจาะลึกหนทางนี้มาสามเดือน และอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมาก ฉันได้เห็นเลยว่าพระวจนะของพระองค์ครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ พระวจนะเหล่านั้นเป็นความจริง ไม่เพียงเลิกปิดบังความจริงและข้อลึกลับทั้งหลายของพระคัมภีร์ แต่แสดงให้เราเห็นเส้นทางสู่การได้รับการชำระให้สะอาดจากความเสื่อมทราม จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็กลายเป็นแน่ใจว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา แล้วฉันก็เลยยอมรับพระองค์ค่ะ” สิ่งที่ฉันพูดกับศิษยาภิบาลก็คือ “คุณจะรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาหรือไม่ ด้วยการค้นดูเรื่องนี้อย่างถูกต้องเหมาะสมและอ่านพระวจนะของพระองค์เท่านั้น”
แล้วฉันก็เอาแอปฯ ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในโทรศัพท์ของฉันให้เขาดู และเปิดวิดีโอที่อ่านพระวจะของพระเจ้าให้เขาดูค่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตลอดทั่วทั้งจักรวาลเรากำลังทำงานของเรา และในทิศตะวันออก เสียงกระแทกสนั่นราวฟ้าร้องดังขึ้นอย่างไม่รู้จบ ทำให้ชนชาติทั้งปวงและคณะนิกายทั้งหมดสั่นสะเทือน เป็นเสียงของเรานั่นเองที่ได้นำทางมนุษย์ทั้งหมดเข้ามาสู่ปัจจุบัน เราทำให้มนุษย์ทั้งหมดถูกพิชิตด้วยเสียงของเรา ตกลงสู่กระแสนี้ และนบนอบต่อหน้าเรา ด้วยเหตุที่เราได้เรียกคืนสง่าราศีของเราจากแผ่นดินโลกทั้งหมดและได้ให้สง่าราศีนั้นปรากฏขึ้นใหม่ในทิศตะวันออกนานมาแล้ว ใครบ้างไม่ถวิลหาที่จะได้เห็นสง่าราศีของเรา? ใครบ้างไม่รอคอยการกลับมาของเราอย่างกระวนกระวายใจ? ใครบ้างไม่กระหายการปรากฏอีกครั้งของเรา? ใครบ้างไม่คะนึงหาความดีงามของเรา? ใครบ้างจะไม่มาหาความสว่าง? ใครบ้างจะไม่เฝ้ามองความมั่งคั่งของคานาอัน? ใครบ้างไม่ถวิลหาการกลับมาของพระผู้ไถ่? ใครบ้างไม่ชื่นชมพระองค์ผู้ทรงยิ่งใหญ่ในฤทธานุภาพ? เสียงของเราจะแผ่ไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก เราจะเผชิญหน้าประชากรที่เราเลือกสรรและกล่าววจนะแก่พวกเขาเพิ่มเติมอีก เรากล่าววจนะของเราต่อทั้งจักรวาลและต่อมวลมนุษย์ ราวกับเสียงฟ้าร้องอันเปี่ยมพละกำลังที่ทำให้ภูเขาและแม่น้ำสั่นสะเทือน ดังนั้นวจนะในปากของเราจึงได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของมนุษย์ และมนุษย์ทั้งหมดก็ทะนุถนอมวจนะของเรา ฟ้าแลบนั้นส่องแสงวาบจากทิศตะวันออกตลอดทางไปจนถึงทิศตะวันตก วจนะของเราเป็นวจนะที่มนุษย์ไม่เต็มใจที่จะละทิ้งไป และในเวลาเดียวกันก็พบว่าวจนะเหล่านั้นยากหยั่งถึง แต่ก็ชื่นบานในถ้อยคำเหล่านั้นอย่างหาใดปาน มนุษย์ทั้งหมดล้วนเปรมปรีดิ์และเต็มไปด้วยความชื่นบานยินดี เฉลิมฉลองการมาของเราราวกับว่าทารกคนหนึ่งเพิ่งจะได้ถือกำเนิด ด้วยเสียงของเรา เราจะนำพามนุษย์ทั้งหมดมาอยู่ต่อหน้าเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดดังกังวานการเผยพระวจนะว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรจะเผยแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล)
พอดูวิดีโอไปได้ครึ่งหนึ่ง ศิษยาภิบาลหลี่ก็แสยะยิ้มแล้วพูดว่า “ปิดเถอะ ผมเคยดาวน์โหลดแอปฯ นี้มาเป็นชาติแล้ว และผมได้อ่านพระวจะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วด้วย” ฉันทั้งประหลาดใจและยินดีที่ได้ยินแบบนั้น แล้วก็รีบพูดว่า “คุณเคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วเหรอคะ? แล้ว คุณคิดว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือเปล่าคะ?” เขายิ้มเยาะแล้วพูดว่า “พระวจนะของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งนั้น ไม่มีพระวจนะของพระเจ้านอกเหนือพระคัมภีร์หรอก ไม่ว่าพระวจนะเหล่านั้นฟังดูดีแค่ไหน ผมก็ไม่เชื่อ!” ฉันตกตะลึง และพูดสวนกลับไปว่า “ศิษยาภิบาลหลี่คะ คุณแน่ใจเหรอคะว่าพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ คุณอ่านข้อพระคัมภีร์นี้ให้เราฟังเสมอ ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ (ยอห์น 21:25) นั่นไม่จริงเหรอคะ? องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจอย่างเป็นทางการนานสามปีครึ่ง ทรงนำสาวกของพระองค์ไปทั่วเพื่อประกาศและทรงพระราชกิจ พระองค์ตรัสหลายสิ่งและทรงให้คำเทศนามากมาย และสี่พระกิตติคุณในพระคัมภีร์มีบันทึกแค่ส่วนเล็กๆ ของสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้เท่านั้น ดังนั้นคำอ้างของคุณที่ว่าพระวจนะของพระเจ้ามีอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้นมันไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเหล่านั้นเลย องค์พระเยซูเจ้ายังทรงเผยพระวจนะไว้ชัดเจนด้วยว่าพระองค์จะทรงกลับมาในยุคสุดท้าย เพื่อเปิดม้วนหนังสือและตรัสถ้อยดำรัสของพระองค์กับคริสตจักรทั้งหลาย ถ้อยดำรัสเหล่านี้เป็นพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าทรงแสดงในยุคสุดท้าย ไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ก่อนล่วงหน้า เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถจำกัดพระวจนะของพระเจ้าไว้ในพระคัมภีร์ได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่ชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด พระวจนะเหล่านั้นคือ ‘ข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 2:7) พวกเราควรแสวงหาอย่างถ่อมใจ เพราะถึงตอนนั้นเท่านั้นที่เราจะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า”
ศิษยาภิบาลหลี่แสดงสีหน้าดูถูกฉันแล้วพูดอย่างเป็นปริศนาว่า “ผมเห็นได้นะว่าคุณก็พอจะรู้อะไรอยู่บ้าง เราคริสเตียนไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะยิ่งใหญ่แค่ไหน หากพวกมันอยู่นอกเหนือจากพระคัมภีร์ ผมก็ไม่สามารถยอมรับได้ ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกต่อไป ไม่อย่างนั้นงานปรนนิบัติของคุณในคริสตจักรของเราจะถูกเพิกถอน แล้วคุณจะต้องเสียใจ!” ฉันเลยพูดไปว่า “พวกเราคริสเตียนไม่ถวิลหาให้องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาหรอกเหรอคะ? ตอนนี้มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ให้คำพยานว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ดังนั้นพวกเราไม่ควรค้นดูคริสตจักรนี้เหรอคะ? หากเราไม่แสวงหาอย่างถ่อมใจ แต่เกาะติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของตัวเอง เราจะพลาดการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็จะเสียใจแน่นอน!” ก่อนที่ฉันจะพูดจบด้วยซ้ำ เขาระเบิดโพล่งออกมาเลยว่า “พอแล้ว! คุณพูดมาพอแล้ว ผมจะไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรอก ผมจะให้เวลาคุณพิจารณาดูใหม่นะ หากคุณไม่ยอมล้มเลิก คุณจะถูกขับไล่” แล้วเขาก็ปึงปังออกไป ปฏิกิริยาของศิษยาภิบาลหลี่ทำให้ฉันตกตะลึงและผิดหวัง เขามักบอกเราเสมอว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นชอบในผู้คนที่แสวงหาอย่างถ่อมใจ ตอนนี้เมื่อเผชิญการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันก็ประหลาดใจที่เห็นเขา กลับยึดติดในพระคัมภีร์และมโนคติที่หลงผิดของตัวเขาเอง เขาเคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วด้วยซ้ำแต่กลับไม่มีความต้องการที่จะรู้มากขึ้น เขาเป็นพวกตีสองหน้าจริงๆ นั่นแหละความหน้าซื่อใจคด
วันอาทิตย์นั้น ฉันไปที่คริสตจักร ก่อนการปรนนิบัติ ศิษยาภิบาลฮงมาพูดกับฉันว่า “ผมได้ยินว่าคุณกำลังค้นดูเรื่องของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมรู้เรื่องคริสตจักรนั่นมาสักพักแล้ว สิ่งที่พวกเขาประกาศนั้นอยู่นอกเหนือพระคัมภีร์ ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของคุณเป็นการทรยศองค์พระเยซูเจ้า ล้มเลิกความเชื่อนั้นซะ ไม่อย่างนั้นความเชื่อตลอดหลายปีของคุณจะสูญเปล่า!” ฉันคิดว่า “เขารู้ได้ยังไงว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ศิษยาภิบาลหลี่ต้องบอกเขาแน่ๆ” ฉันก็เลยถามเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำตามภาคพันธสัญญาเดิมไหมคะ ตอนที่พระองค์เสด็จมาทรงพระราชกิจ? พระองค์ได้ทรงประกาศหนทางแห่งการกลับใจและไม่ได้รักษาวันสะบาโต สิ่งนี้มีบันทึกอยู่ในภาคพันธสัญญาเดิมไหมคะ? พระวจนะและพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่นอกเหนือภาคพันธสัญญาเดิม ดังนั้นคุณจะกล้าพูดเหรอคะว่าเรากำลังทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้าด้วยการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าน่ะ?” เขาดูกระอักกระอ่วนไม่พูดอะไร ฉันเลยถามเขาไปว่า “คุณอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือยังคะ? พระวจนะของพระองค์ไม่ปิดบังข้อล้ำลึกของพระคัมภีร์ค่ะ พระองค์ทรงเปิดเผยรากเหง้าว่าทำไมมวลมนุษย์จึงทำบาปและต้านทานพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดซึ่งชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด พระวจนะของพระองค์เผยอยู่ในวิวรณ์ ซึ่งก็คือ ‘ข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 2:7) ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และฉันรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ด้วยการเชื่อในพระองค์ ฉันก็กำลังก้าวทันย่างพระบาทของพระเจ้า นั่นเป็นการทรยศองค์พระเยซูเจ้าได้ยังไงคะ?” ศิษยาภิบาลฮงตัดบทฉันอย่างอดรนทนไม่ไหวและพูดว่า “พอแล้ว ถ้าคุณดึงดันจะเดินบนทางนี้ ก็ขอให้แน่ใจว่าคุณจะไม่เสียใจนะ” เขาหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วผละไป สีหน้าของเขาทำให้ฉันสั่นสะท้าน และฉันนึกสงสัยว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
การปรนนิบัติก็เริ่มขึ้นค่ะ และศิษยาภิบาลฮงก็เปิดวิดีโอคำโกหกใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การชมวิดีโอที่ปั้นแต่งขึ้นมาและการกล่าวหาอย่างเป็นเท็จนี้ ทำให้ฉันโกรธมาก คิดว่า “มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงความจริงมากมายซึ่งเผยแพร่ออนไลน์อย่างเปิดเผย แทนที่จะนำบรรดาผู้เชื่อให้ค้นดูเกี่ยวกับคริสตจักรนี้ คุณกลับกำลังเล่นวิดีโอคำโกหกนี้เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คุณกำลังต้านทานและหมิ่นประมาทพระเจ้าอยู่นะ!”
แล้วศิษยาภิบาลฮงก็พูดเสียงดังว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจที่พวกท่านด่วนละทิ้งพระองค์ผู้ซึ่งทรงเรียกท่านมาโดยพระคุณของพระคริสต์ และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่นเสีย ซึ่งที่จริงไม่ใช่ข่าวประเสริฐ แต่มีบางคนทำให้พวกท่านยุ่งยาก และปรารถนาบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ แม้แต่เราเองหรือทูตจากฟ้าสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่พวกท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่พวกท่านไปแล้วนั้น ก็จะต้องถูกแช่งสาป’ (กาลาเทีย 1:6-8) พวกเราเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและพวกเราต้องยึดมั่นในพระนามของพระองค์และหนทางของพระองค์ พวกเราไม่สามารถฟังสิ่งทั่วไปอันใดหรือยอมรับข่าวประเสริฐอื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเราไม่สามารถฟังคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ให้คำพยานการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะนั่นจะเป็นการละทิ้งความเชื่อ หากพบว่าใครยอมรับหนทางของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจะถูกขับไล่ทันที! หากมีใครประกาศเรื่องพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพวกคุณ ให้บอกผมทันที ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วศิษยาภิบาลฮงก็มองตรงมาที่ฉัน การเห็นเขาดูมีชัยชนะขนาดนั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงพวกฟาริสี กำลังยืนอยู่ในวิหาร หลอกลวงและยุยงให้คนทั่วไปไม่ยอมรับองค์พระเยซูเจ้า
พี่น้องชายหญิงทุกคนในคริสตจักรดูหวั่นกลัว การได้เห็นพวกเขาหลงคารมไปกับศิษยาภิบาลฮง ฉันก็คิดอย่างโกรธเคืองว่า “เขาทำเกินไปแล้ว เขากำลังจงใจตีความพระคัมภีร์อย่างผิดๆ เพื่อหลอกลวงผู้คน และข่มขวัญให้พวกเขาไม่กล้าเจาะลึกหนทางที่แท้จริง ถ้าเขารู้พระคัมภีร์ดีนัก ก็แน่นอนว่าเขารู้ว่าสิ่งที่เปาโลพูดไว้มันมีบริบทใช่ไหม? ความหมายของเปาโลก็คือมีข่าวประเสริฐเพียงหนึ่งเดียวในยุคพระคุณ ข่าวประเสริฐของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า การติดตามข่าวประเสริฐอื่นเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เปาโลไม่เคยพูดว่าข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรที่จะได้รับการประกาศเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมานั้นผิด หรือพูดว่าการให้คำพยานการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าหมายถึงการประกาศข่าวประเสริฐที่ต่างไป” ศิษยาภิบาลฮงประยุกต์ใช้คำพูดของเปาโลกับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามอำเภอใจ เขากำลังนำพระคัมภีร์ออกนอกบริบท! เขากำลังหลอกลวงผู้คนและหยุดไม่ให้พวกเขาค้นดูหนทางที่แท้จริง พังทลายโอกาสของพวกเขาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า! ฉันอยากจะโต้แย้งเหตุผลวิบัติของเขาจริงๆ เพื่อให้ผู้คนในคริสตจักรมองเห็นเขาทะลุปรุโปร่ง แต่ฉันคิดว่าถ้าฉันทำแบบนั้นลงไป ฉันก็คงจะเข้าตาจน ถ้าเขาประกาศแจ้งออกมาว่าจะขับไล่ฉัน ก็คงจะประกาศข่าวประเสริฐให้แก่คนอื่นยากขึ้น ฉันเลยตัดสินใจเงียบเอาไว้
หลังจากการปรนนิบัติ ศิษยาภิบาลฮงเตือนฉันอีกครั้งไม่ให้ประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่สมาชิกคนอื่น เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็คิดว่า “พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเป็นแกะดี และพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อตามหาแกะของพระองค์ แต่ศิษยาภิบาลฮงไม่ยอมให้ฉันประกาศกับพวกเขา หรือให้พวกเขาได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า เขาเพียงแค่หลอกลวงและข่มขู่พวกเขาเพื่อกันไม่ให้พวกเขาเจาะลึกพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ด้วยการทำแบบนี้ เขากำลังปิดกั้นเส้นทางสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า” ฉันได้คิดไปถึงสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสต่อพวกฟาริสี “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15) ศิษยาภิบาลฮงกำลังทำตัวเหมือนกับพวกฟาริสีไม่มีผิด เมื่อเขาได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว เขาก็ไม่ยอมฟังและหยุดคนอื่นไม่ให้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นความชั่วและขัดต่อพระเจ้า มันล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสมควรได้รับการสาปแช่งจากพระเจ้า! คำพูดของศิษยาภิบาลไม่มีผลกับฉันและฉันยังคงประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นต่อไปค่ะ
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ศิษยาภิบาลหลี่ขอให้ฉันมาคริสตจักรพร้อมลูกสาวของฉัน ศิษยาภิบาลหลี่อยู่ที่นั่นกับมัคนายกอีกสี่คนและพวกสมาชิกสภา ศิษยาภิบาลหลี่พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณพิจารณาใหม่หรือยัง?” ฉันพูดอย่างจริงจังว่า “ในฐานะคริสเตียน เราแค่ทำบาปและสารภาพอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถขจัดบาปออกจากตัวเองได้ ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด ด้วยการยอมรับพระราชกิจของพระองค์และก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เท่านั้น เราจึงจะสามารถได้รับการชำระบาปให้สะอาดหมดจดและเหมาะที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแต่ตอนนี้ฉันได้ถวายการต้อนรับการทรงกลับมาของพระองค์แล้ว ฉันจะไม่มีทางทรยศพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” มัคนายกคนหนึ่งผุดลุกขึ้นทันที ชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วพูดอย่างโกรธเคืองว่า “ในเมื่อคุณดึงดันที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตั้งแต่พรุ่งนี้คุณก็ไม่ใช่ครูโรงเรียนวันอาทิตย์ของเราอีกต่อไป รวมถึงไม่ได้รับผิดชอบการเงินของคริสตจักรอีกด้วย!” ศิษยาภิบาลหลี่พูดอย่างประจบประแจง “ความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแปลว่าบาปของเราได้รับการยกโทษให้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาเพื่อตัดสินหรือชำระเราให้สะอาด คุณถูกนำให้หลงผิดแล้ว” ฉันพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้ายกโทษให้แก่บาปของพวกเราเมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกางเขน นั่นเป็นความจริง แต่พวกเราต้องเข้าใจว่า การที่บาปของพวกเราได้รับการยกโทษ หมายถึงพวกเราได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้าและไม่ถูกกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไป ไม่ใช่หมายความว่าได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดครบถ้วนแล้ว องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงอภัยบาปให้กับธรรมชาติที่บาปหนาของเรา ดังนั้นเราจึงถูกมันควบคุมและมักจะอดไม่ได้ที่จะเปิดเผย อุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานอย่างเช่นความโอหัง การหลอกลวง และความชั่วร้ายออกมา ฮีบรู 12:14 กล่าวว่า ‘จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้นพวกเราซึ่งโสมมเกินกว่าจะเหมาะที่จะมองดูองค์พระผู้เป็นเจ้า จะคู่ควรกับราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ยังไงกัน? ด้วยเหตุนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงสัญญาไว้ว่าจะทรงกลับมาในยุคสุดท้าย เพื่อแสดงความจริงและทรงพระราชกิจเพื่อพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด สิ่งนี้ทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านี้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) ‘ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:48)”
ศิษยาภิบาลหลี่พูดอย่างเหยียดหยันว่า “เราจะรอองค์พระเยซูเจ้าที่มีรอยตะปูบนพระหัตถ์ของพระองค์ ซึ่งเสด็จมาบนก้อนเมฆเพื่อทรงนำเราเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ต่อให้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงให้เห็นถึงความจริงจริงๆ เราก็จะยังไม่ยอมรับพระองค์!” เขายังพูดอย่างอื่นที่หมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีก ในขณะที่คนอื่นๆ เข้าร่วมการกล่าวโทษครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าพวกเขาหัวแข็งมาก ฉันพูดไปแรงๆ ว่า “พวกคุณเป็นผู้นำคริสตจักรที่เคยได้ยินผู้คนให้คำพยานการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกคุณไม่เพียงไม่แสวงหาอย่างถ่อมใจเท่านั้น แต่พวกคุณยังทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดคนอื่นไม่ให้ค้นดูหนทางที่แท้จริง พวกคุณกระจายคำโกหกเพื่อท้าทายและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ สิ่งเหล่านี้เป็นความประพฤติแบบไหนกัน สุดท้ายจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกนั้นที่ต้านทานและกล่าวโทษพระเจ้าคะ? พวกฟาริสียึดติดกับมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของตัวเอง ดื้อดึงที่จะต้านทานและกล่าวโทษพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าและหมิ่นประมาทพระองค์ สุดท้ายพวกนั้นก็ตอกตรึงพระองค์กับกางเขน ด้วยเหตุนั้นจึงเป็นการล่วงเกินพระเจ้าและได้รับการสาปแช่งและการลงโทษจากพระองค์ แน่นอนว่า บทเรียนจากความล้มเหลวของพวกฟาริสีควรจะทำให้เราตื่นขึ้นไม่ใช่เหรอคะ? ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วก็ตัดสินใจดูเถิดค่ะ!” แล้วฉันก็หยิบโทรศัพท์ออกมาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่ง “พวกที่ปรารถนาที่จะได้รับชีวิตโดยไม่พึ่งพาความจริงที่ตรัสโดยพระคริสต์คือผู้คนที่ไร้สาระน่าขันที่สุดบนแผ่นดินโลก และพวกที่ไม่ยอมรับหนทางแห่งชีวิตซึ่งนำพามาโดยพระคริสต์เป็นคนที่หลงอยู่ในความเพ้อฝัน และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าพวกที่ไม่ยอมรับพระคริสต์ของยุคสุดท้ายจะถูกพระเจ้าทรงเกลียดไปตลอดกาล พระคริสต์ทรงเป็นประตูให้มนุษย์ไปสู่ราชอาณาจักรระหว่างยุคสุดท้าย และไม่มีใครที่สามารถอ้อมเลี่ยงพระองค์ได้ อาจไม่มีใครเลยที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเว้นแต่จะผ่านทางพระคริสต์ เจ้าเชื่อในพระเจ้า และดังนั้นเจ้าต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์และเชื่อฟังหนทางของพระองค์ เจ้าไม่สามารถคิดถึงเพียงแค่การได้รับพรเท่านั้นในขณะที่ไม่สามารถได้รับความจริงและไม่สามารถยอมรับการจัดเตรียมชีวิตได้ พระคริสต์เสด็จมาระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อที่ทุกคนซึ่งเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงอาจได้รับการจัดเตรียมชีวิตไว้ให้ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นไปเพื่อการสรุปปิดตัวยุคเก่าและเข้าสู่ยุคใหม่ และพระราชกิจของพระองค์คือเส้นทางที่ทุกคนที่จะเข้าสู่ยุคใหม่จำต้องรับไว้ หากเจ้าไม่สามารถรับรู้พระองค์ได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับกล่าวโทษ หมิ่นประมาท หรือกระทั่งถึงกับข่มเหงพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีแนวโน้มที่จะถูกเผาไหม้ไปชั่วนิรันดร์และจะไม่มีวันเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้ เพราะพระคริสต์พระองค์นี้ทรงเป็นการแสดงออกด้วยพระองค์เองของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงเป็นการแสดงออกของพระเจ้า ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่พระเจ้าได้มอบความไว้วางพระทัยให้ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าหากเจ้าไม่สามารถยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ บทลงโทษซึ่งพวกที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับนั้นประจักษ์ชัดในตัวของมันเองต่อทุกคน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) ก่อนที่ฉันจะอ่านจบ สมาชิกสภาคนหนึ่งก็ผุดลุกขึ้นตะโกนว่า “หยุดเสียที! เราจะไม่ยอมรับมันไม่ว่าหนทางของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะเป็นความจริงสักแค่ไหน!” ฉันโกรธขึ้นมาแล้วพูดว่า “คุณช่างโอหังนัก! พระวจะเหล่านี้เป็นพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นถ้อยดำรัสจากพระเจ้าพระองค์เอง คุณแยกไม่จริงๆ เหรอคะ? คุณไม่สามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าได้เหรอ คุณเป็นแกะของพระเจ้าหรือเปล่า?” ศิษยาภิบาลหลี่พูดด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เราจะไม่เชื่อใครก็ตามที่แสดงความจริงนอกจากจะเป็นองค์พระเยซูเจ้า!” ฉันเห็นเลยว่าพวกเขาไม่มีความต้องการจะแสวงหาความจริง พวกเขาก็แค่เกาะติดมโนคติที่หลงผิดของตัวเอง ตัดสิน และกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเดาสุ่ม พวกเขาทำตัวไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง! ฉันไม่อยากคุยกับพวกเขาอีกต่อไป ฉันก็เลยออกมากับลูกสาวของฉัน ตอนนั้นเองที่ศิษยาภิบาลหลี่พูดข่มขู่เราว่า “ผมจะให้เวลาคุณพิจารณาตำแหน่งของตัวเองหนึ่งเดือน ถ้าคุณยังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกคุณทุกคนจะถูกขับไล่!” ฉันตอบด้วยความโกรธว่า “ไม่ต้องรอให้ถึงหนึ่งเดือนหรอก ขับไล่ฉันตอนนี้เลยสิคะ! ฉันไม่กลัวถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรนี้หรอก ฉันกลัวว่าจะไม่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ไม่เห็นการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า และสูญเสียพระพรของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์มากกว่า ในที่สุด พวกเราก็ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าแล้ว และได้รับการยกขึ้นไปหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงอภิเษกสมรสของพระเมษโปดก ถึงคุณจะไม่ขับไล่เรา เราก็จะไม่กลับมาที่นี่อีกหรอกค่ะ!” ศิษยาภิบาลหลี่ยิ้มแบบเลวๆ อีก แล้วก็พูดว่า “เรายังขับไล่คุณไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้น คนอื่นก็จะพูดว่า เราขับไล่คุณแค่เพราะคุณเข้าร่วมงานชุมนุมออนไลน์ พวกเขาจะพูดว่าเราไม่เห็นอกเห็นใจคุณ แต่อีกหนึ่งเดือนเราจะบอกทุกคน ว่าคุณได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าและต้องการออกจากคริสตจักร เราจะพูดว่าเราแนะนำคุณเต็มที่แล้วแต่คุณดึงดันที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขับไล่คุณ”
ท่าทีตีสองหน้าของเขาทำให้ฉันขยะแขยงที่สุดเลยค่ะ ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงว่ากล่าวพวกฟาริสี พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม” (มัทธิว 23:27-28) ปรากฏว่าความเป็นห่วงเป็นใยเหล่าผู้เชื่อของศิษยาภิบาลหลี่และคนอื่นๆ นั้นเป็นการเสแสร้งและเป็นความเท็จทั้งเพ พวกเขาแค่ต้องการค้ำจุนภาพลักษณ์และตำแหน่งของตัวเองในสายตาพี่น้องชายหญิง พี่น้องชายหญิงเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีและโหยหาที่จะถวายการต้อนรับการทรงกลับมาของพระองค์ แต่พวกเขากลับถูกความหน้าซื่อใจคดของศิษยาภิบาลคนหนึ่งหลอกลวง พวกเขาเชื่อคำโกหกเหล่านี้และกำลังพลาดโอกาสถวายการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ใครจะไปคิด ว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหล่านี้ซึ่งบอกเราให้คอยตั้งป้อมระวังพระคริสต์เทียมเท็จกับศัตรูของพระคริสต์ สุดท้ายจะถูกเปิดโปงว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเสียเอง พวกเขาว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ชี้นำผู้คนให้หลงผิด พวกเขาน่าจงเกลียดจงชังนัก!
หลังจากพวกเราออกมาจากคริสตจักร ลูกสาวของฉันก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “หนูเคยคิดว่าเพราะพวกเขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีและเข้าใจพระคัมภีร์ พวกเขาคงถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างมีความสุขเมื่อพระองค์เสด็จมา หนูไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะโอหังได้ขนาดนี้ พวกเขาไม่แสวงหาด้วยตัวเองและถึงขนาดพยายามยับยั้งและหลอกลวงคนอื่น พวกเขากำลังต่อต้านพระเจ้าอย่างหน้าด้านๆ!” แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ได้อ่านในการชุมนุมครั้งหนึ่ง “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพวกนี้ยืนบนแท่นสาธยายพระคัมภีร์อยู่เสมอ แต่พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติสิ่งที่พวกเขาประกาศ พวกเขาดูเปี่ยมศรัทธาและเปี่ยมรักที่ภายนอก แต่ทั้งหมดเป็นการเสแสร้ง เป็นความหน้าซื่อใจคด พวกเขาสาธยายพระคัมภีร์และพึ่งพาทฤษฎีเทววิทยาต่างๆ เพื่อปกป้องตำแหน่งและการทำมาหากินของตัวเอง เมื่อพวกเขาได้ยินใครให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว พวกเขาไม่เพียงไม่แสวงหาเรื่องนี้ แต่ยังเกาะติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของตัวเอง ตีความพระคัมภีร์ผิดๆ และกล่าวโทษการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย เพื่อที่จะเก็บผู้เชื่อไว้ภายใต้การควบคุมของตัวเองอย่างมั่นคง พวกเขาถึงขนาดกระจายความนอกรีตและสร้างเรื่องโกหกเพื่อหลอกลวงและข่มขวัญพวกเขา พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อยับยั้งไม่ให้ผู้คนเจาะลึกพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาทำเรื่องน่าดูหมิ่นอย่างการระงับงานปรนนิบัติในคริสตจักรของฉันและขับไล่พวกเราออกจากคริสตจักร พวกเขาพยายามข่มขู่และกวาดต้อนให้เราละทิ้งหนทางที่แท้จริง พวกเขาโห่ร้องต่อสาธารณะว่าชีวิตของผู้เชื่อสำคัญกับพวกเขามากที่สุด แต่ที่จริงพวกเขาเลือกปล่อยให้เราอดอยากอยู่ในที่ร้างเปล่าปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มากกว่าจะยอมให้เราฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาต้องการให้ผู้เชื่อคงอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขาตลอดกาล เพื่อบริจาคเงินให้พวกเขาและรับใช้พวกเขา พวกเขาเป็นผู้รับใช้ชั่วซึ่งพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเปิดโปง ศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า พวกปีศาจที่กลืนกินดวงจิตซึ่งยับยั้งไม่ให้ผู้คนเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ฉันได้เห็นตัวตนที่ต้านทานพระเจ้า หน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริงของพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสแล้ว ฉันหนีพ้นจากกรงของศัตรูของพระคริสต์ทางศาสนาและสามารถตามทันย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับความรอดของพระองค์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย William, สหรัฐอเมริกา เดือนตุลาคม ปี 2016 ผมได้มาที่รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา...
โดย หวัง เหล่ย, ประเทศจีน ผมกับภรรยากลายมาเป็นคริสเตียนในค.ศ. 1995 แล้วก็กระตือรือร้นในการไล่ตามเสาะหามาตั้งแต่นั้น และไม่นานนัก...
โดย Yangmu, มาเลเซีย ฉันเคยเคารพศิษยาภิบาลลี่ ที่คริสตจักรเก่ามากๆ ค่ะ เขายอมทิ้งครอบครัวและหน้าที่การงาน และเดินทางไปทั่ว...
โดย Zhang Hui, ประเทศจีน ในปี 2005 ไม่นานหลังจากผมยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์...