เมื่อความปรารถนาต่อสถานะกำเริบ

วันที่ 09 เดือน 03 ปี 2023

โดย ซินยี ประเทศจีน

เดือนกรกฎาคมปี 2020 ฉันดูแลงานให้น้ำ กับน้องจ้าวจื่อเจี้ยนและน้องมู่ซิน พวกเขาเพิ่งได้เริ่มฝึกฝน ฉันเลยช่วยพวกเขาให้เข้าใจหลักธรรม และคุ้นเคยกับงานโดยเร็วที่สุด เมื่อมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ พวกเขาก็จะถามฉัน จากนั้นไม่นาน ฉันสังเกตเห็นจุดแข็งบางอย่างในตัวทั้งคู่ จื่อเจี้ยนมีขีดความสามารถดี และเรียนรู้หลักธรรมได้เร็ว ส่วนมู่ซินก็มีความสามารถมาก เธอมีระเบียบและมีประสิทธิภาพ เวลาได้รับมอบหมายงาน พวกเขาก็หาพระวจนะ มาแก้ไขความยากลำบากของผู้เชื่อใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเทียบกันแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไม่สำคัญ ฉันทำงานได้ไม่เห็นผล และเรียนรู้ไม่เร็วเท่าพวกเขา ฉันต้องใคร่ครวญปัญหาของผู้เชื่อใหม่อยู่นาน ฉันรู้สึกว่าทำทุกอย่างได้ช้ากว่า ต้องพยายามมากกว่า ต่อมา เมื่อพวกเขาคุ้นเคยกับงานมากขึ้น พวกเขาค่อยๆ เริ่มมีบทบาทสำคัญ บางครั้งเราต้องตอบคำถามของผู้ให้น้ำด้วยกัน เพราะฉันยังสะสางงานในมือไม่หมด มู่ซินจะบอกว่า “ไม่ต้องห่วงค่ะ พอมีคำถามง่ายๆ ที่เราตอบเองได้” พอได้ยิน ฉันก็ไม่สบายใจ พวกเขาแค่กลัวว่าการหารือกับฉันจะทำให้สิ่งต่างๆ ล่าช้า เพราะฉันทำงานช้าไม่ใช่หรือ? ฉันรู้สึกถูกทิ้ง อย่างไม่เคยเจอมาก่อน ฉันถึงกับไม่พอใจ ทำไมฉันไร้ขีดความสามารถนัก? ฉันไม่ได้คิดยืดหยุ่น แถมยังชักช้า ฉันไม่ได้อายุน้อย หรือฉลาด เหมือนพวกเขาที่ได้ผลทุกอย่าง เท่ากับฉัน มีความสามารถน้อยสุดไม่ใช่หรือ? พวกเขาจะคิดกับฉันอย่างไร? พวกเขาอาจพูดกันว่า ขนาดฉันทำมาตั้งนาน ฉันยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าพวกเขา ทั้งที่พวกเขาเพิ่งฝึก นั่นจะน่าอายมาก ฉันไม่อยากโดนพวกเขา มองว่าไร้ประโยชน์ จึงเริ่มแอบฝึกอย่างลับๆ ให้เวลาชุมนุมกับผู้มาใหม่มากขึ้น พยายามหาพระวจนะ และทบทวนปัญหาของผู้เชื่อใหม่ ฉันถึงกับรู้สึกว่า การซักผ้าและทานข้าวเป็นเรื่องเสียเวลา และฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยให้ฉันทำหน้าที่ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ตรงกันข้าม ไม่ว่าทำงานหนักแค่ไหน ฉันกลับเห็นผลในงานลดลง รู้ตัวอีกที ฉันก็หมดไฟในหน้าที่ และฉันกำลังส่งต่อปัญหามากมาย ให้คู่ทำงานจัดการ ฉันจัดการเท่าที่ทำได้ เพราะคิดว่าไร้ขีดความสามาถ สภาวะของฉันแย่ลงเรื่อยๆ จนนิ่งเฉยต่อหน้าที่ และเลิกสังเกตเห็นปัญหาในงาน เมื่อเห็นฉันอยู่ในสภาวะไม่ดี คู่ทำงานทั้งสองจึงสามัคคีธรรมกับฉัน แต่ฉันกลับไม่สนใจ ฉันไม่เคยเปลี่ยนสภาวะของตัวเองได้ และบางปัญหาก็ถูกแก้ไม่ทันการณ์ ซึ่งนั่นกระทบต่องานให้น้ำของฉัน

เมื่อผู้นำรู้เข้า เธอก็สามัคคีธรรมกับฉัน บอกว่าไม่เกี่ยวกับขีดความสามารถ แต่ฉันอยากมีชื่อและสถานะเกินไป ฉันต้องรีบเปลี่ยนแปลงสภาวะ จะได้ไม่ถ่วงงานของเรา ฉันรู้ตัวว่าอยู่ในสภาวะที่ไม่ดี ขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ และไม่สามารถแก้ปัญหาที่ฉันเคยแก้ได้ ฉันไม่รู้สึกถึงความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งยังมึนงง และสับสน ฉันนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “สำหรับใครก็ตามที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา(มัทธิว 13:12) ฉันต้องทำสิ่งที่ขัดต่อน้ำพระทัย พระองค์เลยซ่อนพระพักตร์จากฉัน ฉันค่อนข้างกลัว เลยอธิษฐานว่า “พระเจ้า หน้าที่ของลูกนั้นหนักหนา และลูกไม่รู้สึกถึงการทรงนำเลย โปรดให้ความรู้แจ้งและทรงนำ ให้ลูกทบทวนและเข้าใจปัญหาของตัวเอง และเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ผิดด้วยเถิด” ต่อมา ฉันก็พบพระวจนะที่กล่าวถึงสภาวะของฉันไว้ พระเจ้าตรัสว่า “ครั้งหนึ่ง องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘สำหรับใครก็ตามที่มีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา’ (มัทธิว 13:12) ความหมายของพระวจนะเหล่านี้คืออะไร? สิ่งที่พระวจนะหมายถึงก็คือว่า หากเจ้าไม่แม้แต่จะดำเนินการหรือทุ่มเทอุทิศตัวเจ้าให้กับหน้าที่หรืองานของเจ้าเอง พระเจ้าก็จะทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเจ้าไป การ ‘เอาไป’ หมายความว่าอย่างไร? ในฐานะมนุษย์ นั่นให้ความรู้สึกอย่างไร? อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าล้มเหลวที่จะบรรลุสิ่งซึ่งขีดความสามารถและพรสวรรค์ของเจ้าน่าจะเปิดโอกาสให้เจ้าบรรลุได้ และเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไร และเป็นเหมือนผู้ไม่เชื่อคนหนึ่งเท่านั้น การถูกพระเจ้าทรงเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นเช่นนั้นนั่นเอง หากเจ้าเผอเรอและไม่ยอมลำบาก และไม่จริงใจในหน้าที่ของเจ้า พระเจ้าก็จะทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเจ้าไป พระองค์จะทรงเพิกถอนสิทธิ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า พระองค์จะไม่ประทานสิทธิ์นี้แก่เจ้า…หากเจ้ารู้สึกว่าการทำหน้าที่ของเจ้าไร้ความหมายอยู่เสมอ หากรู้สึกคล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดให้ทำ และเจ้าไม่สามารถบังคับให้ตนเองสร้างคุณูปการได้ หากเจ้าไม่เคยได้รับความรู้แจ้ง และรู้สึกว่าตัวเจ้าเองไร้ความฉลาดหรือปัญญาที่จะนำมาใช้ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นปัญหา กล่าวคือ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่มีเหตุจูงใจที่ถูกต้องหรือเส้นทางที่ถูกต้องในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าไม่ทรงเห็นชอบ และสภาวะของเจ้าผิดปกติ เจ้าต้องคิดทบทวนว่า ‘เหตุใดฉันจึงไม่มีเส้นทางในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน? ฉันได้เรียนรู้หน้าที่ และหน้าที่ก็อยู่ในวงเขตสายงานของฉัน—ฉันเก่งด้านนี้ด้วยซ้ำไป ทำไมเมื่อฉันพยายามใช้ความรู้ของฉัน ฉันกลับทำไม่ได้? ทำไมฉันจึงไม่สามารถเอามาใช้ได้? เกิดอะไรขึ้น?’ นี่เป็นความบังเอิญหรือ? มีปัญหาที่ตรงนี้ เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรใครบางคน พวกเขาย่อมฉลาดและมีปัญญา มีสายตาที่ชัดเจนในทุกเรื่อง ทั้งยังเฉียบคม ตื่นตัวและมีฝีมือดีเป็นพิเศษ พวกเขาจะมีความสามารถพิเศษและได้รับแรงบันดาลใจจากทุกสิ่งที่พวกเขาทำ และพวกเขาจะคิดว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำช่างง่ายเหลือเกินและไม่มีความลำบากยากเย็นอันใดจะขัดขวางพวกเขาได้—พวกเขาได้รับพรจากพระเจ้า หากใครบางคนพบว่าทุกสิ่งยากมาก และพวกเขาก็งุ่มง่าม น่าขัน และไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าตนจะทำอะไรก็ตาม หากไม่ว่าจะพูดอะไรกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วนี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าพวกเขาไม่มีการทรงนำของพระเจ้าและพวกเขาไม่มีพรของพระเจ้า ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ฉันพยายามเต็มที่แล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่ฉันมองไม่เห็นพรของพระเจ้า?’ หากเจ้าเพียงแค่มุมานะและทุ่มเท แต่ไม่พยายามกระทำการตามหลักธรรม เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทำหน้าที่ของเจ้าอย่างขอไปที เจ้าจะสามารถมองเห็นพรของพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าสะเพร่าในการปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่เสมอและไม่เคยรอบคอบ เจ้าก็จะไม่ได้รับความรู้แจ้งหรือความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเจ้าจะไม่มีการทรงนำของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ และการกระทำของเจ้าก็จะไม่เกิดผล การที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีหรือจัดการเรื่องหนึ่งให้ดีโดยพึ่งพาเรี่ยวแรงและการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นยากมาก ทุกคนคิดว่าพวกเขารู้หนึ่งหรือสองสิ่ง คิดว่าพวกเขามีความรู้ความชำนาญอยู่บ้าง แต่พวกเขากลับทำสิ่งทั้งหลายออกมาไม่ดี และสิ่งต่างๆ ก็ผิดพลาดเสมอ ดึงดูดความเห็นและเสียงหัวเราะในวงกว้าง นี่คือปัญหา ใครบางคนอาจไม่ได้เก่งในด้านใดอย่างชัดเจน แต่กลับคิดว่าตนมีความรู้ความชำนาญและไม่ยอมจำนนแก่ผู้ใด นี่เกี่ยวข้องกับปัญหาในธรรมชาติของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ด้วยการซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ที่แท้จริง) เมื่ออ่านดูแล้ว ฉันก็ตระหนกเล็กน้อย ช่วงนี้ทุกอย่างช่างยากลำบากและน่าเหน็ดเหนื่อย ฉันไม่ได้สังเกตเห็นปัญหาในงาน และฉันรู้สึกอับจนหนทางเมื่อเผชิญกับปัญหาที่เคยจัดการได้มาก่อน นี่เป็นเพราะฉันตกอยู่ในสภาวะกบฏและพระเจ้าซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากฉัน ฉันกลายเป็นคนไร้ความรู้สึก ซื่อบื้อ โง่เขลา และหัวช้า ตัวฉัน ให้น้ำผู้เชื่อใหม่มาเป็นเวลานานแล้ว ฉันเข้าใจความจริงของนิมิต และเข้าใจหลักธรรมอยู่บ้าง ยิ่งเวลาผ่านไป ฉันยิ่งควรทำงานได้ดีขึ้น แต่ฉันกลับทำได้แย่ลงเรื่อยๆ ฉันไม่รู้สึก ถึงการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระเจ้าก็ทรงรังเกียจ ท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่ จากพระวจนะ ฉันเห็นความชอบธรรมและบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระเจ้าทรงอวยพรหรือพราก ตามหลักธรรมทั้งสิ้น เมื่อผู้คนใส่ใจในหน้าที่ ทุ่มเทเต็มที่กับหน้าที่ของตน และแรงจูงใจคือเพื่อสนองพระเจ้า ย่อมง่าย ที่พวกเขาจะมีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีความรู้ความเข้าใจ ค้นพบปัญหาในหน้าที่ รู้วิธีแก้ไขปัญหา และทำหน้าที่ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าคนเราไม่จริงใจในหน้าที่ หากมัวแต่นึกถึงชื่อเสียงและสถานะ พวกเขาจะดิ้นรน เพื่อให้ได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจะด้านชาและหัวทึบ ไม่อาจแสดงจุดแข็งที่พวกเขาเคยทำได้มาก่อน แบบนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำหน้าที่ให้ดี ฉันทบทวนสภาวะของตัวเองในช่วงนั้น หลังจากเริ่มทำงานกับคู่ทำงานสองคนนี้ ทีแรกฉันรู้สึกถึงภาระ และฉันช่วยให้พวกเขาเรียนรู้งานโดยเร็วที่สุดได้ แต่เมื่อฉันพบว่าพวกเขากำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และเก่งกว่าฉันในทุกด้าน ฉันรู้สึกถูกคุกคาม กลัวจะเสียบทบาทผู้นำ ฉันจึงเริ่มหลงผิด ฉันไม่อยากให้พวกเขามองว่าไม่เก่งพอ ฉันเลยทำงานหนัก จนถึงดึกดื่น เพื่อให้การให้น้ำมีผลลัพธ์มากขึ้น ฉันจึงใช้เวลาชุมนุมกับผู้เชื่อใหม่มากขึ้น แต่ไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน ทุ่มเทเท่าไหร่ ฉันก็ยังทำได้ด้อยกว่าพวกเขา ฉันใช้พลังไปกับการแข่งขันกับคู่ทำงานตัวเอง ฉันถึงกับขอให้พระเจ้าช่วยให้ฉันทำงานสำเร็จมากขึ้นและช่วยรักษาหน้าให้ฉัน ฉันไม่มีเหตุผลเสียเลย ฉันใช้พระเจ้า เล่นไม่ซื่อกับพระองค์ จะเรียกว่าทำหน้าที่ได้อย่างไร? ฉันเต็มไปด้วยความเสียใจ และอธิษฐานว่า “พระเจ้า! ลูกไล่ตามชื่อเสียงและสถานะ ไม่ทำหน้าที่ให้ดี ลูกเป็นตัวถ่วงในงานให้น้ำ ลูกอยากกลับใจต่อพระองค์”

จากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ช่วยฉันได้จริงๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้ดีหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถนัดของเจ้า ความยิ่งใหญ่แห่งขีดความสามารถของเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้า ความสามารถทั้งหลายของเจ้า หรือทักษะของเจ้า แต่ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าคือใครคนหนึ่งที่ยอมรับความจริงหรือไม่ และเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้หรือไม่ หากเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเป็นธรรม เจ้าย่อมสามารถสัมฤทธิ์การร่วมมืออย่างกลมเกลียวกับผู้อื่น กุญแจสำคัญในการที่บุคคลผู้หนึ่งจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ดีและสัมฤทธิ์การร่วมมืออย่างกลมเกลียวกับผู้อื่นหรือไม่นั้นอยู่ที่ว่าพวกเขาสามารถยอมรับและเชื่อฟังความจริงได้หรือไม่ ขีดความสามารถ พรสวรรค์ ความถนัด อายุ และอื่นๆ ของผู้คนไม่ใช่เรื่องหลัก ล้วนเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูว่าบุคคลผู้หนึ่งรักความจริงหรือไม่ และพวกเขาสามารถปฏิบัติความจริงหรือไม่ หลังจากฟังคำเทศนาแล้ว ผู้ที่รักความจริงและสามารถปฏิบัติความจริงย่อมจะยอมรับว่าคำเทศนานั้นถูกต้อง ในชีวิตจริง เมื่อพวกเขาพบพานผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุทั้งหลาย พวกเขาย่อมจะนำความจริงเหล่านี้ไปทำให้เป็นผล พวกเขาจะนำความจริงไปปฏิบัติ ความจริงจะกลายเป็นความเป็นจริงของพวกเขาและเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเขา ความจริงจะกลายเป็นแนวทางและหลักธรรมที่พวกเขาใช้ประพฤติปฏิบัติตนและทำสิ่งทั้งหลาย กลายเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิตและแสดงออกของพวกเขา ขณะที่ฟังคำเทศนา คนที่ไม่รักความจริงจะยอมรับเช่นกันว่าคำเทศนานั้นถูกต้อง และคิดว่าพวกตนเข้าใจคำเทศนาทั้งหมด พวกเขาบันทึกคำสอนไว้ในหัวใจของตน แต่อะไรคือหลักธรรมและแนวทางที่พวกเขาใช้พิจารณาบางสิ่งในยามที่กำลังทำสิ่งนั้น? พวกเขาพิจารณาสิ่งทั้งหลายตามผลประโยชน์ของตนเองเสมอ พวกเขาไม่ใช้ความจริงพิจารณาสิ่งทั้งหลาย พวกเขากลัวว่าการปฏิบัติความจริงจะทำให้พวกเขาพลาดท่าเสียที และกลัวว่าจะถูกผู้อื่นตัดสินและดูแคลน—และเสียหน้า พวกเขาพิจารณากลับไปกลับมา แล้วสุดท้ายก็คิดว่า ‘ฉันจะเอาแต่ปกป้องสถานะ ความมีหน้ามีตาและผลประโยชน์ของฉันเท่านั้น นี่คือเรื่องหลัก เมื่อสิ่งเหล่านี้ได้รับการตอบสนอง ฉันจึงจะพอใจ ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการตอบสนอง ฉันก็จะไม่มีความสุขที่จะปฏิบัติความจริงและไม่เห็นว่าน่าสนุก’ นี่คือบุคคลที่รักความจริงหรือ? แน่นอนที่สุดว่าไม่ใช่(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) ฉันเรียนรู้จากพระวจนะ ว่าการทำหน้าที่อย่างเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องขีดความสามารถ พรสวรรค์ หรืออายุของพวกเขาเท่านั้น สิ่งสำคัญคือพวกเขารักความจริง และปฏิบัติหรือเปล่า ถ้าไม่รักหรือปฏิบัติความจริง แต่พูดและทำโดยคิดถึงหน้าและสถานะ ไม่ค้ำจุนงานของคริสตจักร ไม่ว่าความสามารถหรือพรสวรรค์จะสูงแค่ไหน ก็จะทำหน้าที่ให้ดีได้ลำบาก แต่ฉันคิดเสมอว่า คนที่มีขีดความสามารถดี และคิดยืดหยุ่น จะทำหน้าที่ได้ดี ส่วนคนที่แก่กว่า และไร้ขีดความสามารถ พยายามแค่ไหนก็จะไม่สำเร็จ ฉันไม่เข้าใจความจริง แต่มักใช้มโนคติอันหลงผิดมองสิ่งต่างๆ ฉันช่างโง่เขลาและไม่รู้ความ! พระเจ้า ประทานให้เรามีขีดความสามารถและพรสวรรค์ต่างกัน สิ่งที่พระองค์ประสงค์จากเราต่างกัน คริสตจักรจัดแจงให้พวกเราทำงานร่วมกัน เพื่อให้เราแต่ละคน ใช้จุดแข็งของตน และชดเชยจุดอ่อนให้กัน เราถึงจะทำหน้าที่ร่วมกันได้ดี การมีคู่ทำงานที่ขีดความสามารถดีสองคน ทำให้งานเราเกิดผลมากขึ้น เราสามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วขึ้น และงานของเราจะไม่คั่งค้าง ถ้าฉันปล่อยวางความนับถือตนเอง และเรียนรู้จากจุดแข็งของผู้อื่นได้ ฉันคงก้าวหน้าเร็วกว่านี้ใช่มั้ย? ฉันไม่มีขีดความสามารถ เท่ากับคู่ทำงาน แต่ไม่ใช่ว่าไม่มี จนทำงานให้เสร็จไม่ได้ เมื่อฉันมีท่าทีที่ถูกต้อง พร้อมทุ่มเทพยายาม และจริงจังกับหน้าที่ ฉันก็เห็นปัญหาได้ชัดขึ้น และแก้ไขสิ่งต่างๆ ได้เร็วขึ้น ฉันต้องเลิกคิดถึงส่วนได้ส่วนเสีย ในชื่อและสถานะของตัวเอง หลังจากนั้น ฉันก็ปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ไม่ชิงดีชิงเด่นกับคู่ทำงานอีก แต่ทุ่มเทให้กับหน้าที่ พอผ่านไป สภาวะของฉันค่อยๆ เปลี่ยนแปลง และเรื่องงานก็ดีขึ้น

ฉันตกใจมากที่ไม่นาน ปัญหาเดิมก็เกิดขึ้นอีก ผู้เชื่อใหม่บางส่วนที่เพิ่งยอมรับงานแห่งยุคสุดท้าย โดนย้ายมาที่คริสตจักรเรา ฉันกับจื่อเจี้ยน รับผิดชอบการให้น้ำพวกเขา แม้จะไม่ได้ทำงานให้น้ำมาพักใหญ่แล้ว เขาก็ยังหาพระวจนะที่เหมาะจริงๆ มาแก้ปัญหาของผู้เชื่อได้ แถมยังสามัคคีธรรมชัดเจน ฉันแก้ไขปัญหาบางอย่างของผู้เชื่อใหม่ได้ แต่สื่อสารได้ไม่ชัดเจนเท่าเขา เหล่าผู้มาใหม่ ชอบสามัคคีธรรมของจื่อเจี้ยนมากกว่าฉัน ฉันอิจฉาจริงๆ จื่อเจี้ยนก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ทำงานได้ไม่นาน แต่ฉันต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะไปถึงระดับนั้น ฉันรู้สึกด้อยกว่าเขาจริงๆ เมื่อฉันเห็นคนมีปัญหาที่พวกเขาไม่เข้าใจ แล้วไปหาจื่อเจี้ยน ให้เขาช่วยจัดการ ฉันก็ยิ่งอิจฉาเป็นพิเศษ การมีขีดความสามารถดี ส่งผลดีแบบนั้นเอง นอกจากจะทำให้เขาเป็นที่ชื่นชม เขายังพยายามน้อยกว่า และได้ผลดีกว่า ถ้าฉันมีขีดความสามารถอย่างจื่อเจี้ยน ทุกคนก็คงนับถือฉันเช่นกัน แต่ฉันอายุห้าสิบกว่าแล้ว แถมยังไร้ขีดความสามารถ พยายามแค่ไหน ฉันก็ยังอยู่เท่าเดิม ฉันหมดแรงจูงใจในหน้าที่โดยไม่รู้ตัว เวลาผู้เชื่อใหม่ถามคำถามในการชุมนุม ฉันก็ให้จื่อเจี้ยนตอบ แล้วแค่คอยเสริมความเห็นง่ายๆ ฉันกลายเป็นนิ่งเฉยกับหน้าที่ และห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันไม่รู้จะอธิษฐานอะไร และบางคืน ผมก็ผล็อยหลับขณะอธิษฐาน พอรู้ว่าอยู่ในสภาวะที่อันตราย ฉันจึงแสวงหา และไตร่ตรอง เมื่อเห็นว่าฉันขาดขีดความสามารถ ฉันก็คิดลบ และเฉื่อยชา อุปนิสัยเสื่อมทรามใด อยู่เบื้องหลังสิ่งนั้น?

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะเพิ่มเติม “ขออย่าให้บุคคลใดคิดว่าตัวพวกเขาเองนั้นสมบูรณ์แบบ หรือโดดเด่นและประเสริฐ หรือแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดแจ้ง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากอุปนิสัยโอหังและความไม่รู้เท่าทันของมนุษย์ การคิดว่าตนเองเด่นเป็นพิเศษอยู่เสมอ—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่เคยสามารถยอมรับข้อบกพร่องของพวกเขา และไม่เคยสามารถเผชิญหน้าความผิดพลาดและความล้มเหลวของพวกเขา—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นสูงส่งกว่าตนเอง หรือดีกว่าตนเอง นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง การไม่ยอมให้ผู้อื่นเหนือกว่าหรือแข็งแกร่งกว่าพวกเขา—นี่เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง—การไม่ยอมให้ผู้อื่นมีความคิด ข้อเสนอแนะ และทัศนะที่ดีกว่าตนเอง และเมื่อพวกเขามี ก็กลายเป็นคิดลบ ไม่ปรารถนาที่จะพูด รู้สึกคับแค้นใจและหม่นหมอง และกลายเป็นอารมณ์ไม่ดี—ทั้งหมดนี้เกิดจากอุปนิสัยอันโอหัง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, หลักการที่คนเราควรมีในการประพฤติตน) พระวจนะเปิดเผยสภาวะของฉันได้พอดี ฉันเปรียบเทียบขีดความสามารถกับคู่ทำงาน เกิดคิดลบและถอดใจเมื่อรู้ว่าสู้เขาไม่ได้ อุปนิสัยโอหัง เป็นตัวควบคุมสิ่งนี้ ความโอหังนี้ ทำให้ฉันไม่อาจเผชิญหน้าจุดอ่อน และข้อบกพร่องของตัวเองได้อย่างเหมาะสม ยิ่งเห็นคนอื่นมีขีดความสามารถมากกว่า ฉันก็รู้สึกรับไม่ได้ การเห็นคู่ทำงานแข็งแกร่งกว่าฉันในทุกด้าน ได้เป็นจุดสนใจของกลุ่ม ได้รับความชื่นชม และเห็นชอบจากทุกคน ฉันรู้สึกอึดอัด ไม่มั่นคง และรับความเป็นจริงไม่ได้ ถึงฉันจะยอมรับว่ามีขีดความสามารถต่ำกว่าคนอื่น แต่ในใจกลับไม่ยอมรับ ฉันแอบแข่งกับพวกเขา ฉันตั้งใจแข่งและเปรียบเทียบตัวเองกับพวกเขา พอเอาชนะไม่ได้ ฉันก็คิดลบและหมดแรงทำหน้าที่ อุปนิสัยโอหังของฉัน กำลังกำเริบไม่ใช่หรือ? ฉันช่างโอหัง และไม่รู้ความ!

ฉันยังนึกพระวจนะ ที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ พระเจ้าตรัสว่า “สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ ‘จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน? แล้วกับเกียรติยศของฉันล่ะ? การทำเช่นนี้จะให้เกียรติยศแก่ฉันหรือไม่? นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?’ นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ หาไม่แล้วพวกเขาย่อมจะไม่คำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่าสำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศไม่ใช่ข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมบางอย่าง นับประสาอะไรที่จะเป็นบางสิ่งที่นอกเหนือซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระดูกของพวกเขา ในเลือดของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีมาแต่กำเนิดสำหรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นมิใช่ไม่แยแสต่อการที่พวกเขาครองสถานะและเกียรติยศหรือไม่ นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของพวกเขา? สถานะและเกียรติยศเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของพวกเขา กับสภาวะในแต่ละวันของพวกเขา กับสิ่งที่พวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาเป็นประจำทุกวัน และดังนั้นแล้ว สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศจึงเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำงานอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใด เป้าหมายของพวกเขาคือสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร ทั้งหมดนั่นวนเวียนอยู่กับการมีความมีหน้ามีตาที่ดีและฐานะทางสังคมที่สูงส่ง และจุดมุ่งหมายนี้ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาไม่สามารถละวางสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้ นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของพวกศัตรูของพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา เจ้าอาจนำพวกเขาไปไว้ในป่าดงดิบลึกเข้าไปในเทือกเขา แต่พวกเขาก็จะไม่ละวางการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศ เจ้าสามารถนำพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนกลุ่มใดก็ได้ และทั้งหมดที่พวกเขาจะสามารถคิดได้ก็ยังคงเป็นสถานะและเกียรติยศ แม้ว่าศัตรูของพระคริสต์ก็เชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขามองว่าการไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศเทียบได้กับความเชื่อในพระเจ้า และให้น้ำหนักเท่ากัน ซึ่งหมายความว่าขณะที่พวกเขาเดินบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศของตนเองด้วยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าในหัวใจของพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาเชื่อว่าความเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงคือการไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศ การไล่ตามไขว่คว้าสถานะและเกียรติยศก็เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเช่นกัน และการได้รับสถานะและเกียรติยศคือการได้รับความเชื่อและชีวิต หากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่มีสถานะหรือเกียรติภูมิในสังคม รู้สึกว่าไม่มีผู้ใดเลื่อมใสพวกเขา หรือเทิดทูนพวกเขา หรือติดตามพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะคับข้องใจอย่างมาก พวกเขาเชื่อว่าไม่มีประโยชน์ที่จะเชื่อในพระเจ้า ไม่มีคุณค่าในการเชื่อเช่นนั้น และพวกเขากล่าวกับตนเองว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้าเช่นนั้นเป็นความล้มเหลวหรือไม่? เป็นความสิ้นหวังหรือไม่?’ พวกเขามักจะใคร่ครวญเรื่องเช่นนี้อยู่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาใคร่ครวญวิธีที่พวกเขาจะสามารถสร้างพื้นที่ให้ตนเองในพระนิเวศของพระเจ้า วิธีที่พวกเขาจะสามารถมีหน้ามีตาสูงส่งอยู่ในคริสตจักร เพื่อให้ผู้คนรับฟังเมื่อพวกเขาพูด และสนับสนุนเมื่อพวกเขาลงมือทำ และติดตามพวกเขาไปที่ใดก็ตามที่พวกเขาไป เพื่อที่พวกเขาจะได้มีสิทธิ์มีเสียงในคริสตจักร มีหน้ามีตา เพื่อให้พวกเขาสุขสำราญกับผลประโยชน์ และมีสถานะ—พวกเขามักจะใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ เหล่านี้คือสิ่งที่คนพวกนี้ไล่ตามเสาะหา(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า: พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)) พระวจนะที่เปิดเผยอุปนิสัยศัตรูของพระคริสต์ หนักหนาสาหัสกับฉันจริงๆ การไล่ตามชื่อและสถานะของพวกเขา ไม่ใช่สิ่งชั่วคราว แต่กลับฝังเข้ากระดูกดำ เป็นการไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิต สำหรับพวกเขา สถานะอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ถึงขั้นสำคัญเท่าชีวิตด้วยซ้ำ ศัตรูของพระคริสต์มักอยากนั่งหัวโต๊ะและไม่เต็มใจอยู่ต่ำกว่าผู้อื่น พวกเขาอยากเป็นที่เคารพนับถือ ให้มีแรงขับในหน้าที่ ไม่เช่นพวกเขาจะคิดลบ และนิ่งเฉย ถึงกับเลิกสนใจความเชื่อ พฤติกรรมของฉัน ต่างจากศัตรูพระคริสต์ตรงไหน? ฉันมีแรงจูงในในหน้าที่ เมื่อมีคนเคารพ และให้ค่าฉัน แต่เมื่อคู่ทำงานเก่งกว่า และเหนือกว่าฉันทุกด้าน และฉันไม่สมหวังในความปรารถนาต่อสถานะ จึงไม่รับภาระในหน้าที่อีกต่อไป ตอนนี้งานให้น้ำสำคัญมาก มีผู้มาใหม่มากมายที่ต้องให้น้ำโดยด่วน ฉันน่าจะช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ความจริง และเข้าใจงานของพระเจ้า เพื่อหยั่งรากบนทางที่แท้จริงให้เร็วที่สุด แต่ฉันไม่ได้ใส่หัวใจของฉันลงไป ในใจฉันมีเพียงชื่อและสถานะ ฉันโยนทุกอย่างไปให้จื่อเจี้ยน ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ที่ควรทำ ฉันไม่มีความเป็นมนุษย์เลย! ฉันไม่สำนึกผิดหรือเสียใจ เวลาทำหน้าที่ได้ไม่ดี การเห็นชื่อเสียงหรือสถานะเสียหาย เจ็บปวดไม่ต่างจากถูกฆ่า ฉันคำนวณส่วนได้ส่วนเสีย และนั่นทำให้ฉันคิดลบ และอ่อนแอ ฉันหวังจะได้เป็นอย่างคู่ทำงานเสมอ ที่ขีดความสามารถดีกว่า ที่ทุกคนจะถามในเรื่องที่ไม่เข้าใจ และมาหารือกับฉัน เพื่อที่ฉันจะได้เป็นจุดสนใจของกลุ่ม นั่นเป็นสิ่งที่ฉันไล่ตามมาตลอด เป็นสิ่งที่อยากได้ ฉันจดจ่อกับการให้คนอื่นมองมาที่ฉัน นับถือฉัน นั่นเป็นมุมมองและการไล่ตาม เหมือนพวกศัตรูของพระคริสต์ใช่ไหม? เพราะฉันเดินทางผิด และเสียการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันจึงไม่ได้ทำหน้าที่ให้เสร็จอย่างที่ควร ดังนั้น ถึงฉันจะมีตำแหน่งสูงขึ้น และทุกคนนับถือ สุดท้ายฉันก็จะถูกพระเจ้าขับออกไม่ใช่หรือ? พอตระหนักได้ ฉันก็ค่อนข้างกลัว ฉันเห็นว่าที่ไล่ตามสถานะ คือฉันอยู่บนเส้นทางต่อต้านพระเจ้า! ฉันอยากเปลี่ยนการไล่ตามที่ผิดพลาด และเลิกแข่งกับผู้อื่น ฉันอยากทำหน้าที่ที่ควรทำ

ต่อมา ฉันแสวงหาแนวทางปฏิบัติ และนึกถึงพระวจนะที่ว่า “คนเราต้องทำสิ่งใดเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี? คนเราต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุดหัวใจของตนและสุดกำลังของตน การใช้หัวใจและกำลังทั้งหมดของตนหมายถึงการทุ่มเทความคิดทั้งหมดของตนให้กับการปฏิบัติหน้าที่ของตนและไม่ปล่อยให้สิ่งอื่นมายึดครองความคิด จากนั้นจึงใช้กำลังที่ตนมี ทุ่มเทพลังทั้งมวลของตน และนำขีดความสามารถ พรสวรรค์ จุดแข็งของตน และสิ่งทั้งหลายที่ตนเข้าใจมาทำให้กิจนั้นเกิดผล หากเจ้าสามารถทำความเข้าใจและพร้อมยอมรับสิ่งต่างๆ และมีแนวคิดที่ดี เจ้าต้องสื่อสารเรื่องนี้กับผู้อื่น นี่คือความหมายของการร่วมมือกันอย่างกลมเกลียว นี่คือวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ดี วิธีที่เจ้าจะสัมฤทธิ์การปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างน่าพึงพอใจ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำทุกสิ่งด้วยตนเองเสมอ หากเจ้าต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่โดยลำพังเสมอ หากเจ้าต้องการให้จุดสนใจอยู่ที่ตนเองเสมอ ไม่ใช่ผู้อื่น เจ้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตนอยู่กระนั้นหรือ? สิ่งที่เจ้าทำเรียกว่าอัตตาธิปไตย เป็นการแสดงละครตบตา เป็นพฤติกรรมเยี่ยงซาตาน ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าจะมีจุดแข็ง พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอันใด ก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำงานทั้งหมดด้วยตนเองได้ พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะร่วมมืออย่างกลมเกลียวหากพวกเขาคิดจะทำงานของคริสตจักรให้ดี นั่นคือสาเหตุที่การร่วมมืออย่างกลมเกลียวคือหลักธรรมของการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา ตราบใดที่เจ้าใช้หัวใจและกำลังทั้งหมดของเจ้าและความสัตย์ซื่อทั้งหมดของเจ้า และมอบถวายทุกสิ่งที่เจ้าทำได้ เจ้าก็กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นอย่างดี(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) พระวจนะให้เส้นทางปฏิบัติกับฉัน ขีดความสามารถของฉันไม่สำคัญ ตราบใดที่ฉันมีหัวใจที่ซื่อสัตย์ และทำงานกับผู้อื่นได้ดี ทำอย่างสุดความสามารถ และทำทุกอย่างที่ควรทำ โดยไม่เล่นแง่ แบบนั้น ย่อมสอดคล้องกับน้ำพระทัย ที่จริง พระเจ้าประทานขีดความสามารถ และจุดแข็งที่ต่างกันให้เราสามคน เพื่อให้เราเติมเต็มกันและกัน คู่ทำงานของฉันมีขีดความสามารถ และทำงานได้เกิดผล ทั้งคู่เห็นส่วนสำคัญของปัญหา พวกเขาชดเชยสิ่งที่ฉันขาดไป ฉันขาดขีดความสามาถไปบ้าง แต่ก็อาวุโสกว่าพวกเขา จึงคิดเรื่องต่างๆ ได้รอบคอบ และครบถ้วนกว่า เราทุกคนมีจุดแข็ง เราสามารถทำงานร่วมกันได้ และสิ่งนี้จะเป็นประโยชน์ต่องานของเรา แต่แทนที่จะแสวงหาความจริง ฉันกลับเปรียบเทียบจุดแข็งของตัวเองกับคู่ทำงาน นี่ทำให้ฉันคิดลบและนิ่งเฉย รวมถึงทำหน้าที่ของตัวเองไม่ได้ คิดดูแล้ว ฉันก็โง่เกินไปจริงๆ! เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ หลังจากนั้นฉันก็มุ่งมั่นทำหน้าที่มากขึ้น ไม่ว่าจะมีปัญหา หรือความยากลำบากอะไร ฉันก็จะหารือกับคู่ทำงาน เมื่อฉันไม่ถูกขีดความสามารถ หรืออายุฉุดรั้ง ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายในหน้าที่มากขึ้น เมื่อเราร่วมมือกัน เพื่อดึงจุดแข็งของแต่ละคนออกมา เราก็ทำงานร่วมกันได้อย่างกลมเกลียว จากนั้น ทุกคนก็ทำงานได้ดี และงานให้น้ำของเราก็ประสบความสำเร็จมากขึ้น

ฉันนึกถึงที่พระเจ้าตรัสว่า “ไม่ว่าจะมีพวกเจ้าหลายคนหรือไม่กี่คนที่กำลังร่วมกันทำหน้าที่ของพวกเจ้าให้ลุล่วง ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร และไม่ว่าเมื่อใด จงอย่าลืมสิ่งหนึ่งนี้—การเห็นพ้องต้องกัน ด้วยการดำรงชีวิตในสภาวะนี้ พวกเจ้าก็อาจมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) เมื่อเราปล่อยวางชื่อและสถานะ ทำงานกับผู้อื่นให้ดี เราจะได้รับการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเกิดผลที่ดีในหน้าที่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger