ความไม่ละอายแห่งการโอ้อวด
โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2021 ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมและรับผิดชอบงานให้น้ำ ตอนที่ได้ยินข่าวนี้ ผมมีความสุขมาก ผมคิดว่าการให้น้ำพี่น้องชายหญิงทำให้ผมได้รับความรู้แจ้งมากมายและมีประสบการณ์ที่เข้มข้นขึ้น ถ้าผมแก้ปัญหาที่พวกเขาเผชิญในการเข้าสู่ชีวิตได้ พี่น้องชายหญิงก็จะพูดเป็นแน่ว่าผมเก่งและเข้าใจความจริง และบอกว่าผมสามารถเป็นเสาหลักของคริสตจักรได้ ดังนั้นผมจึงทุ่มเททำหน้าที่ ไปยังที่ชุมนุมเพื่อสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงบ่อยครั้ง และเมื่อพวกเขามีปัญหา ผมก็ริเริ่มแสวงหาพระวจนะของพระเจ้ามาช่วยพวกเขาแก้ปัญหาเหล่านี้ ผ่านไปได้สักพัก ถ้าพี่น้องชายหญิงมีคำถามอันใด พวกเขาก็จะมาหาผมเพื่อสามัคคีธรรม และผมก็มีความสุขมาก
เวลาผ่านไป พอมีคนยอมรับพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากขึ้น ผู้คนในคริสตจักรก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวน วันหนึ่งผมรู้มาว่าจะมีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งมาให้น้ำผู้มาใหม่และติดตามดูผลงานของผม ถ้าพี่น้องชายหญิงมีปัญหาให้แก้ไข พวกเขาก็สามารถถามเขาได้อีกด้วย ตอนที่ได้ยินเช่นนี้ ผมไม่ยินดีเลย เพราะผู้นำคนนี้เคยให้น้ำผมมาก่อน มีขีดความสามารถดี มีความเข้าใจมากกว่าผม สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้าได้ค่อนข้างชัดเจน และสามารถแก้ปัญหาให้พี่น้องชายหญิงได้อย่างง่ายดาย ผมคิดในใจว่า “คราวนี้เขาจะมาทำงานคู่กับฉัน แล้วพี่น้องชายหญิงจะเอาคำถามทั้งหมดของพวกเขามาถามฉันเหมือนเมื่อก่อนไหม? พวกเขาจะเลิกสนใจฉันแล้วไปถามผู้นำหรือเปล่า? แบบนี้ในอนาคตใครจะยกย่องนับถือฉันกันล่ะ? สถานะของฉันในหัวใจของพี่น้องชายหญิงก็จะหายไป” พอคิดแบบนี้ ผมก็ไม่อยากทำงานคู่กับผู้นำคนนี้เลย ขณะเดียวกันผมก็รู้สึกถึงวิกฤต ผมบอกตัวเองว่า “เรื่องนี้ยอมไม่ได้ ฉันต้องรักษาสถานะของตัวเองในหัวใจของพี่น้องชายหญิงเอาไว้” นับแต่นั้น เวลาได้ยินว่าพี่น้องชายหญิงอยู่ในสภาวะย่ำแย่หรือมีเรื่องยากลำบาก ผมก็รีบรุดไปสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาให้พวกเขา เพราะกลัวว่าผู้นำจะไปถึงตัวพวกเขาก่อน ผมยังติดต่อหาพี่น้องทีละคน ถามไถ่เผื่อพวกเขาต้องการความช่วยเหลือ และบอกพวกเขาว่าถ้ามีคำถามหรือสงสัยอะไรก็มาหาผมได้ และบอกไปว่าผมช่วยได้ ผมคิดว่าทำแบบนั้น พี่น้องชายหญิงก็จะไม่ไปขอให้ผู้นำช่วยแก้ปัญหาให้ แต่อะไรๆ ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่ผมกะไว้ ผมมองปัญหาที่พวกเขาถามผมไม่ออกหลายข้อ และผมก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาเหล่านั้นอย่างไร แต่ผมไม่อยากถามผู้นำ ผมคิดในใจว่า “ถ้าฉันถามผู้นำ เขาจะไม่คิดหรือว่าฉันไม่เข้าใจความจริง ว่าฉันแก้ปัญหาไม่ได้? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าฉันปล่อยให้ผู้นำแก้ปัญหาของพี่น้องชายหญิง พวกเขาจะไม่คิดว่าฉันไร้ความสามารถและช่วยพวกเขาไม่ได้หรอกหรือ?” ผมไม่อยากแสดงให้พวกเขาเห็นว่าผมช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้ ผมอยากให้ทุกคนรู้ว่าผมมีคุณสมบัติเหมาะสมกับงานนี้ เวลาที่พวกเขามีคำถาม พวกเขาจะได้มาถามผมได้ต่อไป แต่ผมช่วยเหลือพี่น้องชายหญิงด้วยตัวผมเองได้ยาก มีบางเรื่องที่ผมขาดประสบการณ์ และไม่รู้ว่าจะสามัคคีธรรมกับพวกเขาเพื่อหาทางแก้ปัญหาต่อไปอย่างไร และบางครั้งก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าผมจะหาพระวจนะของพระเจ้าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาของพวกเขาเจอ แล้วพอพี่น้องคนอื่นมาหาผมพร้อมกับคำถาม ผมก็ไม่มีเวลาจัดเตรียมพระวจนะให้กับคำถามเหล่านั้น เวลาหนึ่งเดือนผ่านพ้นไปในลักษณะเช่นนี้ และเพราะผมไม่อาจช่วยพี่น้องชายหญิงบางคนได้อย่างทันท่วงที ปัญหาของพวกเขาจึงยังไม่ได้รับการแก้ไข และพวกเขาก็ยังอยู่ในสภาวะที่ย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง ผมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าถ้าผมบอกผู้นำถึงปัญหาที่ผมไม่เข้าใจเหล่านี้ พวกเราก็คงจะสามารถช่วยกันแสวงหาความจริงเพื่อช่วยพวกเขาได้ และปัญหาของทุกคนก็คงได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น ผมรู้สึกผิดนิดหน่อยเมื่อรู้ว่าถ้าตัวเองยังทำแบบนี้ต่อไป แน่นอนว่าผมย่อมจะขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงอย่างร้ายแรง
วันหนึ่งผมได้เห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นที่ผมเกิดความเข้าใจในท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่ของตน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หน้าที่ทั้งหลายคือกิจที่พระเจ้าทรงวางใจมอบหมายให้แก่ผู้คน หน้าที่ก็คือภารกิจสำหรับผู้คนที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าหน้าที่ไม่ใช่การบริหารจัดการส่วนตนของเจ้า อีกทั้งหน้าที่ก็ไม่ใช่ขั้นให้เจ้าก้าวไปเพื่อที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน ผู้คนบางคนใช้หน้าที่ของพวกเขาเป็นโอกาสเหมาะที่จะได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการของตัวพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อสนองความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอง บางคนใช้เพื่อเติมความว่างที่พวกเขารู้สึกภายใน และบางคนใช้เพื่อตอบสนองวิธีการคิดของตนว่าทุกอย่างจะดีเอง คิดไปว่าตราบใดที่พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาย่อมจะมีส่วนแบ่งในพระนิเวศของพระเจ้าและในบั้นปลายอันอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมไว้ให้แก่มนุษย์ ท่าทีที่มีต่อหน้าที่เช่นนั้นย่อมไม่ถูกต้อง เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้าและต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, อะไรคือการปฏิบัติหน้าที่อย่างเพียงพอ?) เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมจึงเข้าใจว่าหน้าที่ของพวกเราคือพระบัญชาจากพระเจ้า และไม่ใช่เรื่องส่วนตัว พวกเราไม่ควรทำเหมือนหน้าที่คือวิถีทางให้พวกเราโอ้อวดและทำให้คนอื่นมาเลื่อมใสตนเอง และไม่ควรใช้การลุล่วงหน้าที่มาเป็นโอกาสไล่ตามไขว่คว้าความมีหน้ามีตาและสถานะ เพื่อให้คนอื่นเลื่อมใสในตัวพวกเรา แต่พวกเราควรมองหน้าที่ในฐานะภาระผูกพัน และทำหน้าที่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่เป็นอย่างไร? ผมทำหน้าที่เพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ และเพื่อสนองความอยากได้อยากมีของตัวเอง ผมอยากให้พี่น้องชายหญิงเลื่อมใสและเคารพบูชาผม ผมไม่แบกรับภาระเพื่อชีวิตของพวกเขา และไม่ได้อยากช่วยพวกเขาจริง ผมอยากให้พวกเขาประทับใจในตัวผม เพื่อที่เวลาพวกเขาพูดถึงผม จะได้บอกว่าผมนิสัยดีมากและใจดีมาก ผมใช้หน้าที่เพื่อไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เพื่อจะได้มีที่ทางในหัวใจของผู้คน พวกเขาจะได้หอบปัญหามาหาผม แล้วละวางพระเจ้า ผมกำลังดำเนินแผนการส่วนตัว นี่คือตอนที่ผมตระหนักว่าท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่นั้นผิด ต่อให้ผมสามารถช่วยพี่น้องชายหญิงได้ เจตนาของผมก็ไม่ใช่การทำหน้าที่ให้ดี ซึ่งย่อมไม่มีวันทำให้พระเจ้าพอพระทัย
ต่อมา ผมได้เห็นบทตอนที่พระเจ้าทรงเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งบรรยายสภาวะของผมได้ดี พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่ว่าบริบทจะเป็นอะไร ไม่ว่าพวกเขาจะทำหน้าที่ใด ศัตรูของพระคริสต์จะพยายามสร้างภาพประทับใจว่าพวกเขาไม่อ่อนแอ ว่าพวกเขาแข็งแกร่งอยู่เสมอ เปี่ยมด้วยความเชื่อ และไม่เคยคิดลบ ผู้คนจะได้ไม่มีวันมองเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาหรือท่าทีแท้จริงที่พวกเขามีต่อพระเจ้า ที่จริงแล้ว ในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาไม่สามารถทำได้? พวกเขาเชื่ออย่างจริงแท้กระนั้นหรือ ว่าพวกเขาปราศจากความอ่อนแอ ความคิดลบ หรือการเผยความเสื่อมทรามออกมา? แน่นอนที่สุดว่าไม่ พวกเขาเก่งในการแสร้งเล่นละคร เก่งกาจในการซ่อนเร้นสิ่งทั้งหลาย พวกเขาชอบแสดงให้ผู้คนเห็นด้านที่แข็งแกร่งและสง่างามของพวกเขา พวกเขาไม่ต้องการให้ผู้คนเหล่านั้นเห็นด้านที่แท้จริงและอ่อนแอของพวกเขา จุดประสงค์ของพวกเขานั้นเห็นได้ชัดว่า พูดง่ายๆ ตรงๆ ก็คือ เป็นการรักษาหน้า เป็นการอารักขาที่ทางซึ่งพวกเขามีอยู่ในหัวใจของผู้คน พวกเขาคิดว่าหากพวกเขาเปิดกว้างต่อหน้าผู้อื่นเกี่ยวกับความคิดลบและความอ่อนแอของพวกเขาเอง หากพวกเขาเปิดเผยด้านที่เป็นกบฏและเสื่อมทรามของพวกเขา นี่ย่อมจะสร้างความเสียหายอันร้ายแรงให้กับสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา—เป็นความเดือดร้อนมากกว่าที่จะเป็นความคุ้มค่า ดังนั้น พวกเขาจึงยอมตายมากกว่าจะยอมรับว่าบางครั้งพวกเขาก็อ่อนแอ เป็นกบฏ และคิดลบ และหากวันหนึ่งมาถึงเมื่อทุกคนเห็นด้านที่อ่อนแอและเป็นกบฏของพวกเขา เมื่อทุกคนเห็นว่าพวกเขาเสื่อมทรามและมิได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด พวกเขาก็จะยังคงเล่นละครต่อไป พวกเขาคิดว่าหากพวกเขายอมรับแต่โดยดีว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ เป็นใครบางคนที่ไม่มีนัยสำคัญ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะสูญเสียที่ทางของพวกเขาในหัวใจของผู้คน สูญเสียความเคารพบูชาและความชื่นชูจากทุกคน และดังนั้นก็ย่อมจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นแล้ว ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาก็จะไม่เปิดใจกับผู้คน ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น พวกเขาก็จะไม่มอบอำนาจและสถานะของพวกเขาให้แก่ผู้อื่นใดได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับลองพยายามที่จะแข่งขันอย่างหนักเท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ และจะไม่มีวันล้มเลิกเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สิบ)) หลังจากอ่านพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้า ผมก็เข้าใจว่าศัตรูของพระคริสต์ชมชอบสถานะ เพื่อที่จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตนในหัวใจของผู้คน พวกเขาไม่เคยเล่าความยากลำบากของตนให้ใครฟัง เพราะกลัวว่าทุกคนจะมองเห็นข้อบกพร่องของพวกเขา ขนาดเจอเรื่องยากลำบากในการทำหน้าที่ พวกเขาก็เสแสร้งเพื่อให้คนอื่นมองว่าพวกเขาทรงอำนาจและเป็นผู้ที่เข้าใจความจริง นี่คือสภาวะของผม ชัดเจนว่าผมเองก็มีปัญหามากมายที่ผมแก้ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร และผมก็อำพรางตัวตนไว้เสมอ เพราะผมอยากสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในหัวใจของผู้คน เพื่อให้พี่น้องชายหญิงคิดว่าผมไม่ได้ขาดหรือบกพร่องตรงไหน และคิดว่าผมสามารถช่วยพวกเขาแก้ปัญหาทั้งปวงของพวกเขาได้ เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งและภาพลักษณ์ของตัวเองในหัวใจของพวกเขา ผมปิดบังตัวตน เลือกที่จะใช้เวลาค้นพระวจนะของพระเจ้ามากกว่าจะแสวงหาจากผู้นำ ผลคือผมขัดขวางการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ผมมองเห็นว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผมนั้นร้ายแรง และผมเป็นคนหน้าซื่อใจคด ผมนึกถึงยุคเริ่มต้นศาสนายิวที่ภายนอก พวกฟาริสีดูถ่อมใจและยอมผ่อนปรน พวกเขามักจะอธิษฐานตามทางแพร่ง หรืออธิบายพระคัมภีร์แก่ผู้อื่น พวกเขามีภาพลักษณ์ที่ดีในหัวใจของผู้คน แต่ในความเป็นจริง ภายในตัวพวกเขานั้นกลับหน้าซื่อใจคด โอหัง และชั่ว ไม่ได้เชื่อฟังหรือยำเกรงพระเจ้า และทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็ไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ในทางกลับกัน พวกเขากลับหลอกลวงผู้คนด้วยการประพฤติปฏิบัติอย่างดีงาม และสร้างภาพลวงตาเพื่อให้ผู้อื่นเลื่อมใสและเคารพบูชาพวกเขา ผมมองเห็นว่าผมก็หน้าซื่อใจคดเหมือนพวกฟาริสี และกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ที่ต้านทานพระเจ้า
ในภายหลัง ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าที่ว่า “แก่นแท้ของพฤติกรรมของศัตรูพระคริสต์คือการใช้วิถีทางและวิธีการต่างๆ มาสนองความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของตนตลอดเวลา ชักพาให้หลงผิดและดักจับผู้คน และการได้สถานะอันสูงส่งเพื่อให้ผู้คนติดตามและเคารพบูชาตน เป็นไปได้ว่าในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่จงใจแย่งชิงมนุษยชาติกับพระเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือแม้ในเวลาที่พวกเขาไม่แย่งชิงพวกมนุษย์กับพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์ ต่อให้วันนั้นมาถึงเมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังแย่งชิงสถานะกับพระเจ้า และพวกเขาดึงรั้งตัวเองเอาไว้บ้าง พวกเขาก็ยังคงใช้วิธีการต่างๆ มาไล่ตามไขว่คว้าสถานะและความมีหน้ามีตา พวกเขาชัดเจนในหัวใจของตนว่าพวกเขาจะมีสถานะที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหากได้รับความเห็นชอบและความเลื่อมใสจากผู้คนบางส่วน กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำดูเหมือนจะประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่ผลที่เกิดขึ้นคือการชักพาผู้คนให้หลงผิด ทำให้ผู้คนบูชาและติดตามพวกเขา—ซึ่งในกรณีนี้ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในหนทางนี้คือการยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้แก่ตัวพวกเขาเอง ความทะเยอทะยานของพวกเขาที่จะควบคุมผู้คนและได้รับสถานะและอำนาจในคริสตจักรย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด และไม่ว่าพระองค์จะทรงขอสิ่งใดจากผู้คน ศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรทำหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนในหนทางที่สอดคล้องกับพระวจนะและข้อกำหนดของพระองค์ และพวกเขาก็ไม่เลิกไล่ตามไขว่คว้าอำนาจและสถานะในฐานะผลลัพธ์อันเกิดจากการเข้าใจความจริงอยู่บ้าง ความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขายังคงมีอยู่ตลอดเวลา ยังคงยึดครองหัวใจของพวกเขา และควบคุมทั้งหมดที่พวกเขาเป็น ชี้นำพฤติกรรมและความคิดของพวกเขา และกำหนดเส้นทางที่พวกเขาเดิน พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยแท้ สิ่งที่มองเห็นได้มากที่สุดในตัวศัตรูของพระคริสต์คืออะไร? บางคนกล่าวว่า ‘ศัตรูของพระคริสต์แข่งกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ผู้คนไว้ พวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้า’ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้า ในหัวใจแล้วพวกเขายอมรับและเชื่ออย่างแท้จริงในการดำรงอยู่ของพระองค์ พวกเขาเต็มใจที่จะติดตามพระองค์และอยากไล่ตามเสาะหาความจริง แต่พวกเขาฝืนตัวเองไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถทำความชั่ว แม้พวกเขาจะกล่าวหลายสิ่งหลายอย่างที่ฟังดูดีงามก็ตาม แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นคือความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีอำนาจและสถานะในตัวพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนไป พวกเขาจะไม่มีวันยอมทิ้งการไล่ตามไขว่คว้าอำนาจและสถานะเพราะเกิดความล้มเหลวหรือเกิดปัญหาชะงักงัน หรือเพราะพระเจ้าทรงละวางหรือทอดทิ้งพวกเขา เยี่ยงนี้คือธรรมชาติแห่งศัตรูของพระคริสต์” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่ห้า: พวกเขาชักพาผู้คนให้หลงผิด ดึงผู้คนมาเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน) พระเจ้าตรัสว่าศัตรูของพระคริสต์ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและสถานะ เพื่อให้ผู้คนติดตามพวกเขา และสัมฤทธิ์ความทะเยอทะยานที่จะควบคุมและครอบครองผู้คน พวกเขาแข่งกับพระเจ้าเพื่อจะได้ครอบครองผู้คน นี่คือเส้นทางแห่งการต้านทานพระเจ้าที่ผมเดินอยู่ ผมเชื่อในพระเจ้าและอยากจะรักพระองค์ ผมรู้ด้วยว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง และอยู่เหนือสรรพสิ่ง พระองค์คือพระผู้สร้าง และพวกเราควรนมัสการพระองค์ แต่ในการทำหน้าที่ ผมกลับอยากให้ผู้คนเลื่อมใสและเคารพบูชาผมอยู่เสมอ เพื่อให้มีที่ทางของผมเองในหัวใจของผู้คน ผมกำลังเดินอยู่บนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์! ผมนึกถึงเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของโลกศาสนา ถึงพวกเขาจะประกาศข่าวประเสริฐ ตีความพระคัมภีร์ อธิษฐานให้ผู้คน อวยพรผู้อื่น และประพฤติดีอยู่บ้างตามที่เห็น แต่เป้าหมายในการทำทุกอย่างนั้นก็เพื่อปกปักรักษาสถานะของตนเอาไว้และให้ผู้เชื่อยกย่องนับถือและติดตามพวกเขา และเพื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ผู้เชื่อมีคำถาม ผู้เชื่อจะได้ไปขอการนำของพวกเขา แม้แต่ตอนที่ผู้เชื่อได้ฟังเรื่องการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอยากแสวงหาและสืบค้นหนทางอันเที่ยงแท้ ก็ยังไปขอความยินยอมจากพวกเขา นี่คือการให้ผู้คนทำเหมือนพวกเขาเป็นพระเจ้าไม่ใช่หรือ? ศิษยาภิบาลและผู้นำพวกนี้ควบคุมผู้คนไว้อย่างแน่นหนา พวกเขาไม่เป็นมิตรกับพระองค์อย่างเปิดเผย และกลายเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่เชื่อในพระเจ้า แต่กลับต้านทานพระองค์ไปพร้อมกัน ผมเองก็เหมือนกัน ผมอยากให้พี่น้องชายหญิงเลื่อมใสและนำปัญหาทั้งหมดของพวกเขามาหาผม ไม่ใช่ผู้นำคนนั้น ที่จริงแล้ว ผมเป็นผู้เชื่อมาไม่นานเท่าไร มีประสบการณ์น้อย ผมไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในสภาวะและปัญหาของพี่น้องชายหญิง ผมไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ดีเท่าไร แต่ผมก็ยังคงไม่แสวงหาความจริง และไม่เต็มใจที่จะทำงานคู่กับผู้นำ ผมอยากให้พี่น้องชายหญิงวนเวียนรอบตัวผมเท่านั้น ผมโอหังและไร้เหตุผลจริงๆ! เมื่อก่อนผมรู้สึกว่ามีแต่ผู้นำระดับสูงที่มีแนวโน้มว่าจะเดินตามเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์และกลายเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ และในฐานะหัวหน้าทีมที่ไม่ได้มีสถานะสูงส่ง ผมย่อมจะไม่เดินบนเส้นทางนั้น แต่ตอนนี้ผมตระหนักแล้วว่ามุมมองนี้ผิด ถ้าไม่มีการพิพากษาและการเปิดเผยแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมก็คงไม่มีวันรู้ว่าตัวเองกำลังเดินบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์ และผมก็คงจะมีชีวิตตามอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ทำชั่วมากขึ้น และคงถูกพระเจ้าปฏิเสธและขับไล่ ผมขอบคุณพระเจ้าที่ประทานความรู้แจ้งและนำให้ผมตระหนักในเรื่องนี้ ผมขอให้คำสัตย์ว่าจะกลับใจ ไม่ไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะอีก และจะทำหน้าที่ของตนตามที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์
ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง ความว่า พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อพระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงเป็นอย่างดี พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้พวกเขาทำกิจจำนวนหนึ่งให้เสร็จสิ้นหรือสำเร็จลุล่วงโครงการอันยิ่งใหญ่อันใด หรือทำภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้ผู้คนสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนทางแบบติดดิน และใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เจ้ายิ่งใหญ่หรือสูงศักดิ์ หรือสร้างปาฏิหาริย์อันใด อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นความประหลาดใจซึ่งน่ายินดีอันใดในตัวเจ้า พระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งทั้งหลายเช่นนั้น ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้เจ้าปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อย่างแน่วแน่ ยามที่เจ้าฟังพระวจนะของพระเจ้า จงทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ ลงมือทำในสิ่งที่เจ้าเข้าใจ จดจำสิ่งที่เจ้าได้ฟังให้ขึ้นใจ แล้วจากนั้นเมื่อถึงเวลาปฏิบัติ ก็จงปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า จงยอมให้พระวจนะกลายเป็นชีวิตของเจ้า ความเป็นจริงของเจ้า และแบบอย่างในการใช้ชีวิตของเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงจะพึงพอพระทัย เจ้าแสวงหาความยิ่งใหญ่ ความสูงศักดิ์ และสถานะอยู่เสมอ เจ้าแสวงหาการยกย่องอยู่เสมอ พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการนี้? พระองค์ทรงเกลียดการนี้ และพระองค์จะทรงออกห่างจากเจ้า ยิ่งเจ้าแสวงหาสิ่งทั้งหลายเช่นความยิ่งใหญ่ นั่นคือความสูงศักดิ์และการเหนือกว่าผู้อื่น ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง โดดเด่น และเป็นที่สังเกตจดจำมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและกลับใจ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงชังและละทิ้งเจ้า จงหลีกเลี่ยงการกลายเป็นคนที่น่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า จงเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรัก ดังนั้นแล้ว คนเราจะสามารถได้รับความรักจากพระเจ้าได้อย่างไร? โดยการยอมรับความจริงอย่างเชื่อฟัง ยืนหยัดในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง กระทำการตามพระวจนะของพระเจ้าโดยยืนอยู่บนความเป็นจริง ปฏิบัติหน้าที่ของคนเราอย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ นี่ก็เพียงพอแล้ว พระเจ้าย่อมจะพอพระทัย ผู้คนต้องแน่ใจว่าไม่ถือครองความทะเยอทะยานหรือฝันเฟื่อง ไม่แสวงหาชื่อเสียง ความได้เปรียบ และสถานะ หรือพยายามโดดเด่นจากฝูงชน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องไม่พยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์ สูงส่งอยู่ท่ามกลางมนุษย์และทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา นั่นคือความอยากได้อยากมีของสภาวะความเป็นมนุษย์อันเสื่อมทราม และนั่นคือเส้นทางของซาตาน พระเจ้าไม่ทรงช่วยผู้คนเช่นนี้ให้รอด… ที่จริงแล้วการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นไม่ยาก และการทำเช่นนั้นด้วยความจงรักภักดีและตามมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับได้ก็ไม่ได้ยากลำบาก เจ้าไม่ต้องพลีอุทิศชีวิตของเจ้าหรือทำสิ่งใดที่พิเศษหรือยาก เจ้าเพียงจำต้องทำตามพระวจนะและพระบัญชาของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์และแน่วแน่ ไม่เพิ่มเติมแนวคิดของเจ้าเองหรือดำเนินงานของเจ้าเอง แต่เดินไปบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง หากผู้คนสามารถทำการนี้ได้ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาย่อมจะมีสภาพเสมือนมนุษย์ เมื่อพวกเขานบนอบพระเจ้าอย่างแท้จริง และกลายเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ พวกเขาก็จะมีสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ วันนี้พระเจ้าตรัสพระวจนะมากมายเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ด้วยทรงหวังว่าพวกเราจะฟังพระวจนะของพระองค์ ยืนอยู่ในที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ปฏิบัติหน้าที่ตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างสัตย์ซื่อ กำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และได้รับการช่วยให้รอด ในการทำหน้าที่ พวกเราไม่ควรมีแผนการส่วนตัวที่จะรักษาความมีหน้ามีตาและสถานะ แต่กลับกัน พวกเราควรละวางเหตุจูงใจแอบแฝง ขยันไล่ตามความจริงและหมั่นเพียรในการลุล่วงหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อทำให้พระเจ้าพอพระทัย เป็นเพราะการนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผมถึงได้พบเส้นทางปฏิบัติ
หลายวันต่อมา พี่น้องหญิงคนหนึ่งได้เล่าความยากลำบากของเธอให้ผมฟัง และบอกว่าต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้ และไม่รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร ผมจึงตระหนักว่าผมจะทำตัวแบบเดิมและไม่ยอมร่วมมือกับผู้นำเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตัวเองอีกไม่ได้ ผมเลยเอาปัญหานี้ไปถามผู้นำว่า “ผมแก้ปัญหานี้ไม่ได้ คุณช่วยผมหน่อยได้ไหม?” พอผู้นำพบพระวจนะที่เหมาะสมก็ส่งมาให้ผม พวกเราจึงได้ทำงานร่วมกันในการสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาของพี่น้องหญิงคนนั้น จากนั้น เวลาใดที่ผมมีปัญหาที่ตัวเองไม่อาจเข้าใจได้ ผมก็จะแสวงหากับผู้นำ ให้ความร่วมมือกับเขา และไม่ทำอะไรตามลำพังเหมือนเดิมอีก ท่าทีของผมต่างไปจากเมื่อก่อน ผมไม่อยากที่จะคิดว่าพี่น้องชายหญิงจะยกย่องนับถือผมหรือไม่ แต่กลับคิดว่าจะแก้ปัญหาของพวกเขาให้ดีขึ้นได้อย่างไร การฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ทำให้ผมสบายใจขึ้นมากทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ว่าน ซินผิง, ประเทศจีน เดือนมีนาคมปี 2020 ฉันย้ายไปยังคริสตจักรใหม่ ที่คริสตจักรเก่าฉันเป็นผู้นำ และพี่น้องชายหญิง ก็เคารพฉันมาก...
โดยซินหยี ชาวฟิลิปปินส์ (หญิง) สิงหาคมปี 2021 ฉันเริ่มฝึกให้น้ำผู้มาใหม่ ฉันกลัวโดนพวกเขาดูถูกเวลาสามัคคีธรรม...
โดย หลี่หยาง ประเทศจีน ช่วงต้นปี 2008 ฉันสังเกตว่าที่หลังหูเขามีก้อนเนื้ออยู่ ฉันพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วหมอก็บอกว่ามันเป็นเนื้องอก...
โดย ชู ซิ่น, เกาหลีใต้ ไม่นานมานี้ ฉันได้พบคริสเตียนชาวฟิลิปปินส์ชื่อเทเรซาทางออนไลน์ พอได้รู้จัก...