ไขปริศนาแห่งตรีเอกานุภาพ

วันที่ 12 เดือน 03 ปี 2022

โดย ฉิวจือ, สิงคโปร์

ผมถูกเปลี่ยนสู่ศาสนาคริสต์โดยผู้อาวุโสคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน เขาบอกผมว่าจากทุกอย่างในจักรวาล มีพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว ซึ่งสร้างมนุษย์ สวรรค์ โลก และทุกสิ่ง นี่น่าหลงใหลสำหรับผม ต่อมา เขาได้บอกผม ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระบุตรของพระเจ้า และในพระองค์ เราถูกช่วยให้รอดผ่านความเชื่อได้ ณ จุดนี้ ผมรู้สึกสับสนเล็กน้อย มีพระเจ้าแค่พระองค์เดียวไม่ใช่หรือ? แล้วพระองค์มีพระบุตรได้ยังไง? ผมเข้าใจไม่ได้เลยว่าสิ่งที่มาจากพระเจ้ามีมากแค่ไหนกันแน่ หลังจากนั้น เมื่อไรก็ตามที่ผมเห็นศิษยาภิบาลของเราให้บัพติศมาใครสักคน ผมสังเกตว่าเขาจะพูดว่า “คุณได้รับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” ผมถามเขาด้วยความสับสนว่า “มีพระเจ้าอยู่กี่พระองค์ครับ? ทำไมคุณถึงให้บัพติศมาผู้คนในพระนามของพระเจ้าหลายพระนามมากเสมอเลย?” คำตอบของเราก็คือ “มีพระเจ้าองค์เดียว แต่ว่ามีตรีเอกานุภาพ ประกอบด้วยพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นบุคคลที่แยกกันชัดเจน แต่ทรงดำรงอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว” พอเห็นว่าผมยังไม่เข้าใจ เขาก็พูดต่อไปว่า “นี่เป็นสิ่งที่คุณต้องเจาะลึกถึงจะเข้าใจ ถ้าคุณไม่เข้าใจตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก แค่ปฏิบัติต่อทุกพระองค์ในฐานะพระเจ้าก็พอ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างทรงงานร่วมกัน” คำอธิบายของเขาทำให้ผมงุนงงอยู่ดี ถ้าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เดียว แล้วจะมีสามบุคคลได้ยังไง? แต่ผมก็คิดว่าในเมื่อนี่เป็นความเชื่อพื้นฐานในศาสนาคริสต์ คงจะผิดไปไม่ได้แน่ นี่นึงอาจจะเป็นความล้ำลึกอันสุดซึ้งของพระเจ้า

ต่อมา ผมเข้าโรงเรียนศาสนศาสตร์ เพื่อจะรับใช้พระเจ้าให้ดีขึ้นได้ ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ผมครุ่นคิดอยากหนักถึงความหมายของตรีเอกานุภาพเช่นกัน เพื่อให้ความสับสนของผมนั้นคลายลง ผมเริ่มอ่านผ่านตาข้อเขียนและองค์พระคัมภีร์มากมาย และถามศิษยาภิบาลบางคน แต่ก็ไม่เคยพบคำตอบเลย หลังจากที่ผมเรียนจบ ผมก็อาสาสมัครให้โรงเรียนวันอาทิตย์ที่คริสตจักร พี่น้องชายหญิงบางคนขอให้ผมอธิบายเรื่องตรีเอกานุภาพ ผมไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยหลอกพวกเขาด้วยสิ่งที่ศิษยาภิบาลเคยพูดไว้ พอเห็นว่าพวกเขายังดูงุนงง ผมก็รู้สึกแย่จริงๆ ครับ ผมรู้ว่าผมควรรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า ผมจึงรู้สึกละอายจริงๆ ว่าไม่สามารถอธิบายบางสิ่ง ที่เป็นพื้นฐานมากในความเชื่อของคริสเตียน

ในปี 2007 ผมมีส่วนร่วมในงานประชุมฝึกอบรมศิสยาภิบาลและผู้อาวุโสชาวจีนของโลก การเห็นศิษยาภิบาลและผู้ประกาศที่โด่งดังจากทั่วโลกมาชุมนุมรวมกัน น่าตื่นเต้นมาก ผมอยากใช้โอกาสนั้นเพื่อแสวงหาและแก้ไขความสันสนที่ผมมีในหัวใจ หลังจากงานประชุม ผมเข้าไปถามศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมถามถึงความเข้าใจของเขาที่มีต่อตรีเอกานุภาพ และเขาบอกผมว่า “พระบิดาทรงกำหนดทุกสิ่ง พระบุตรทรงดำเนินแผนของพระบิดา แลพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอำนวยแผนนั้น” ผมขอให้เขาลงรายละเอียดเพิ่มเติม แต่เขาก็ตอบเลี่ยงหลบคำถามด้วยความช่ำชอง ผมถามศิษยาภิบาลอีกคน เขาพูดว่า “พระยาห์เวห์คือพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระเจ้า ทุกพระองค์คือพระเจ้า คุณอธิษฐานต่อพระองค์ใดก็ได้ ทว่า ผมแนะนำให้คุณอธิษฐานต่อองค์พระเยซูเจ้า เพราะว่าพระองค์คือบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงมีอารมณ์มนุษย์ปกติ และทอดพระเนตรหัวใจมนุษย์ได้ พระองค์ยังทรงทำการอัศจรรย์มากมายด้วย พระยาห์เวห์คือพระวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ด้วย เราเห็นหรือสัมผัสไม่ได้ ดังนั้น การสื่อสารกับพระเจ้าในร่างมนุษย์จึงดีกว่า” นี่ยิ่งทำให้ผมสับสนมากขึ้น และคิดว่า “ในเมื่อทั้งสามบุคคลไม่มีพระองค์ใดยิ่งใหญ่หรือเล็กน้อยกว่า การอธิษฐานต่อองค์ใดองค์หนึ่งจะดีกว่าได้ยังไง? พระยาห์เวห์พระเจ้าก็ทอดพระเนตรเห็นหัวใจของเราและทรงทำการอัศจรรย์ทุกรูปแบบด้วยไม่ได้หรือ?” พอเห็นความสับสนของผม เขาก็เสริมว่า “พระเจ้าคือพระวิญญาณ ซึ่งไม่อาจหยั่งถึง ศิษยาภิบาลมากมายที่มีประสบการณ์ตีความองค์พระคัมภีร์มาหลายสิบปีก็ยังอธิบายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ไม่ได้ และผมก็ยังแสวงหาในเรื่องนี้เช่นกัน” หลังจากนั้น ผมก็ไม่มีอะไรเหลือให้ถามอีก พอคิดถึงเรื่องวิธีที่ศิษยาภิบาลแยกแยะความสำคัญสำหรับอธิษฐาน ทำให้ใจของผมไม่สงบจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ใช่การเข้าหาพระเจ้าอย่างเคารพนบนอบ แต่ผมไม่รู้ว่าผมควรเข้าใจมันยังไง ฉันยังคงเชื่อในตรีเอกานุภาพ ทั้งที่ยังสับสน ทุกครั้งที่มีการเอ่ยถึงตรีเอกานุภาพในชั้นเรียนวันอาทิตย์ ผมก็พูดปัดๆ ไป ด้วยกลัวจะอธิบายผิดๆ แล้วล่วงเกินพระเจ้า แต่ในหัวใจของผมไม่เคยทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจนเลย

สิบกว่าปีผ่านไปในพริบตา ผมพบพี่ซูในปี 2017 สามัคคีธรรมพระคัมภีร์ของเธอให้ความรู้แจ้งจริงๆ และเธอมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากครับ ผมได้อะไรมาเยอะเลย ต่อมา เธอก็เชิญผมให้เข้าร่วมในการชุมนุมกลุ่มเล็กๆ ออนไลน์ มีครั้งหนึ่ง พี่หลี่แบ่งปันสามัคคีธรรมถึงความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และเรื่องราวเบื้องหลังพระคัมภีร์ มันเปิดตาผมอย่างมากครับ เขายังกล่าวถึงคำเผยพระวจนะจากวิวรณ์ด้วย เขาพูดว่า “งานของพระเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเกิดขึ้นในสามยุค พันธสัญญาเดิมคือยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาใหม่คือยุคพระคุณ และวิวรณ์เผยพระวจนะงานแห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงรับพระนามใหม่และทรงพระราชกิจที่แตกต่างกันในแต่ละยุค พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ในพันธสัญญาเดิมระหว่างยุคธรรมบัญญัติ และพระองค์ทรงสอนผู้คนเกี่ยวกับบาปด้วยการประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติผ่านโมเสส นำมนุษย์ยุคแรกในการใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลก และในปลายยุคธรรมบัญญัติ ไม่มีใครักษาธรรมบัญญัติ แต่ทำบาปมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนเผชิญการกล่าวโทษและความตายภายใต้ธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในฐานะองค์พระเยซูเจ้าเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากการกล่าวโทษ พระองค์เองทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปให้แก่พวกเรา ตราบใดที่เรายอมรับองค์พระเยซูเจ้า สารภาพและกลับใจต่อพระองค์ บาปของเราก็ได้รับการอภัย แต่พวกเรายังมีธรรมชาติอันเปี่ยมบาป เราจึงทำบาปแล้วสารภาพต่อไป เราไม่ได้รับการชำระให้สะอาดหรือเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาป โดยทางนั้น เราไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงแสดงความจริงซึ่งสอดคล้องกับความจำเป็นของมวลมนุษย์ พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด เพื่อแก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเรา และช่วยพวกเราให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานอย่างสมบูรณ์ เหล่านี้คือพระราชกิจของพระเจ้าสามระยะเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระราชกิจของพระองค์ทุกระยะเป็นไปตามสิ่งจำเป็นของมวลมนุษย์ ผ่านพระราชกิจสามระยะนี้ เรารู้จักบาป ได้รับการไถ่จากบาป เป็นอิสระจากบาป ตามลำดับ การยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเพื่อปลดปล่อยเราจากบาป เป็นหนทางเดียวให้เราถูกช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าได้”

พี่หลี่สามัคคีธรรมว่าพระราชกิจสามระยะของพระเจ้านั้นเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น และเชื่อมโยงสิ่งนี้กับพระคัมภีร์ เรื่องนี้ดึงดูดให้ผมเข้าไปหาจริงๆ ครับ ผมได้อ่านพระคัมภีร์มาหลายครั้ง และได้ฟังคำเทศนามากมาย แต่ไม่เคยได้ยินใครสามัคคีธรรมเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าชัดเจนขนาดนี้ จากนั้น พี่หลี่ก็ส่งบทตอนหนึ่งมา “จากพระราชกิจของพระยาห์เวห์จนถึงพระราชกิจของพระเยซู และจากพระราชกิจของพระเยซูมาจนถึงพระราชกิจช่วงระยะปัจจุบัน สามช่วงระยะนี้ครอบคลุมแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าให้เกี่ยวเนื่องเป็นเรื่องราวเดียวกัน และทั้งหมดนั้นล้วนเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว นับตั้งแต่การสร้างโลก พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์อยู่ตลอดเวลา พระองค์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงเป็นปฐมและอวสาน และพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงเริ่มต้นยุคหนึ่งและองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสิ้นสุดยุคนั้น พระราชกิจสามช่วงระยะในยุคที่แตกต่างกันและในสถานที่ที่แตกต่างกันนั้น คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวอย่างไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ พวกที่แยกช่วงระยะทั้งสามนี้ออกจากกันล้วนยืนต่อต้านพระเจ้า บัดนี้จำเป็นที่เจ้าจะต้องเข้าใจว่าพระราชกิจทั้งหมดจากช่วงระยะแรกจนถึงทุกวันนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว พระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียว ไม่อาจมีข้อสงสัยในการนี้ได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้า พี่หลี่สามัคคีธรรมว่า “มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ทั้งปวง และพระเจ้าพระองค์เองทรงบริหารจัดการและช่วยมนุษย์ให้รอด ตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงตอนนี้ พระองค์ทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และแม้ว่าพระนามของพระองค์จะแตกต่างกันในพระราชกิจแต่ละระยะ และพระราชกิจ เวลา และสถานที่แตกต่างกัน ทั้งหมดก็ทำโดยพระเจ้าพระองค์เดียว พระราชกิจทุกระยะสร้างขึ้นจากระยะก่อนหน้า สูงขึ้นและลึกขึ้นในทุกระยะ” พอได้ยินเรื่องนี้ผมก็ประหลาดใจมากและคิดว่า “เขาพูดว่าพระราชกิจทุกระยะกระทำโดยพระวิญญาณเดียวกัน ดังนั้นพระยาห์เวห์และองค์พระเยซูเจ้าก็คือพระวิญญาณเดียวกัน มีพระเจ้าองค์เดี่ยว ไม่ใช่สามพระวิญญาณ! สามัคคีธรรมของพี่หลี่สมเหตุสมผลมาก ผมไม่เห็นว่ามีอะไรให้สงสัยหรือโต้แย้งเลย แต่ตามสิ่งที่เขาพูด นั่นไม่ได้แปลว่าตรีเอกานุภาพที่เราเชื่อมานั้นยืนอยู่ไม่ได้เหรอ? แม้ว่าจะมีการโต้แย้งในโลกศาสนาเกี่ยวกับภาวะเอกฐานหรือพหุฐานของพระเจ้า คนส่วนใหญ่ก็เชื่อในตรีเอกานุภาพ พวกเขาผิดทั้งหมดไม่ได้หรอก ผมไม่เคยได้ยินการสามัคคีธรรมแบบนี้มาก่อน มีความเข้าใจใหม่ในชุมชนศาสนาหรือเปล่า?” ผมระงับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ จึงออกมาก่อนเพื่อให้คิดทบทวนได้

เพื่อจะเข้าใจให้ชัดเจน ผมเริ่มเปิดอ่านพระคัมภีร์หน้าแล้วหน้าเล่าอีกครั้ง และตรวจสอบข้อมูลคำเทศนามากมาย ผมค้นหาอยู่หลายวันโดยไม่ได้อะไรกลับมาเลย ณ จุดนั้น ผมเริ่มรู้สึกเป็นกังวล และคิดกับตัวเองว่า “สามัคคีธรรมของพี่หลี่นั้นแตกต่างจากสิ่งที่โลกศาสนาพูด แต่มันฟังดูใหม่และตรงตามพระคัมภีร์ ฉันควรเข้าร่วมการชุมนุมครั้งถัดไปไหม? ถ้าฉันยังคงไปต่อ และบอกปัดแนวคิดเรื่องตรีเอกานุภาพ ผมจะถูกชุมชนศาสนาผลักใสออกมาแน่นอน แต่ก็อีกนั่นแหละ สามัคคีธรรมของเขาให้ความรู้แจ้งที่ผมไม่ได้รับจากคริสตจักร ผมไม่อยากเดินออกมาจากตรงนั้นเฉยๆ” ผมตัดสินใจไม่ได้ ก็เลยพบพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนั้นที่พี่หลี่ส่งให้ผมในการชุมนุม ผมอ่านพร้อมกับไตร่ตรอง และยิ่งผมคิดมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่มีคนธรรมดาคนไหนคิดสิ่งนั้นได้ และไม่มีบุคคลฝ่ายวิญญาณคนไหนกล้าพูดเรื่องงานบริหารจัดการของพระเจ้าด้วยน้ำเสียงแบบนั้น นี่ใช่พระวจนะหรือเปล่า? หลังจากคิดอยู่นาน ผมก็ตัดสินใจ ว่าไม่ว่าโลกศาสนาคิดยังไง ผมก็ต้องฟังสามัคคีธรรมของพี่หลี่ และดูว่ามันจะคลายความสับสนของผมได้ไหม

ในการชุมนุมถัดมา ผมก็แบ่งปันความไม่แน่ใจเรื่องตรีเอกานุภาพ และนี่คือสามัคคีธรรมของเขา “ผู้นับถือศาสนามากมายยึดมั่นในแนวคิดเรื่องตรีเอกานุภาพ พวกเขาคิดว่ามีพระเจ้าองค์เดียว แต่แบ่งเป็นสามบุคคล พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งรับผิดชอบงานบริหารจัดการของพระเจ้าบุคคลละส่วนกัน แต่เราเคยคิดไหมว่าแนวคิดนี้มาจากไหน? พระเจ้าเคยตรัสอะไรเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพไหม? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยานให้เรื่องนี้ไหม? บรรดาผู้เผยพระวจนะเคยพูดเรื่องนี้ไหม? ชัดเจนว่าไม่เคยเลย! ที่จริง แนวคิดเรื่องตรีเอกานุภาพ เกิดขึ้นครั้งแรกที่สังคายนาไนเซียกว่าสามร้อยปีหลังจากเวลาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และถูกตั้งขึ้นหลังจากการโต้แย้งอย่างดุเดือดระหว่างผู้นำศาสนา จากนั้นมา ผู้ถือศาสนาส่วนใหญ่ ก็เริ่มเชื่อว่าพระเจ้าหนึ่งเดียวของเราซึ่งสร้างสรรพสิ่งคือตรีเอกานุภาพ พวกเขาคิดว่า นอกจากองค์พระเยซูเจ้าแล้ว ยังมีพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ในสวรรค์ด้วย มีพระเจ้าสามองค์ สามพระวิญญาณ หากเราคิดตามตรรกะของพวกเขา พระเจ้าจะเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวไหม? พวกเขาป่าวประกาศไปรอบๆ ว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่พวกเขาเชื่อในตรีเอกานุภาพ นั่นมันไม่ขัดแย้งกันเหรอครับ? นั่นไม่ไร้สาระหรอกเหรอ? ไม่เคยมีอะไรเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพในพันธสัญญาเดิม และในสามปีครึ่งที่องค์พระเยซูเจ้า ทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลก พระองค์ไม่เคยตรัสอะไรเกี่ยวกับการมีตรีเอกานุภาพเลย แล้วแนวคิดนั้นจะปรากฏขึ้นหลังจากองค์พระเยซูเจ้าทรงเสร็จสิ้นงานของพระองค์ได้ยังไง? นั่นเป็นเพราะผู้คนไม่เข้าใจแก่นแท้ของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้คำพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระบุตรที่รักของพระเจ้า และพวกเขาเห็นพระองค์อธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ พวกเขาจึงเกิดมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาคิดว่ามีพระเจ้าสามพระองค์ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาคาดเดาจากสิ่งที่พวกเขาจินตนาการและพยายามอย่างมากที่จะกำหนดขอบเขตของพระเจ้า ดูฟีลิปเป็นตัวอย่าง เขาไม่รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เขาจึงขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตอบอย่างชัดเจนว่า ‘ฟีลิป เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ? คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น?” ท่านไม่เชื่อหรือว่าเราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา? คำซึ่งเรากล่าวกับพวกท่านนั้น เราไม่ได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์(ยอห์น 14:9-10) องค์พระเยซูเจ้ายังตรัสด้วยว่า ‘เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน(ยอห์น 10:30) องค์พระเยซูเจ้าทรงชัดเจนมากว่าพวกท่านคือหนึ่งเดียว ว่าพวกท่านคือพระเจ้าหนึ่งเดียว หนึ่งพระวิญญาณ”

จากนั้น พี่หลี่ก็เปิดวิดีโอการอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากคนใดท่ามกลางพวกเจ้ากล่าวว่าตรีเอกานุภาพมีอยู่จริง เช่นนั้นแล้วก็จงอธิบายทีเถิดว่า แท้ที่จริงแล้ว พระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคลนี้คือสิ่งใดกันแน่ พระบิดาผู้บริสุทธิ์คือสิ่งใด? พระบุตรคือสิ่งใด? พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใด? พระยาห์เวห์คือพระบิดาผู้บริสุทธิ์กระนั้นหรือ? พระเยซูคือพระบุตรกระนั้นหรือ? เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์คือสิ่งใดเล่า? พระบิดาไม่ใช่พระวิญญาณหรอกหรือ? แก่นแท้ของพระบุตรมิใช่พระวิญญาณด้วยหรอกหรือ? พระราชกิจของพระเยซูมิใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ? พระราชกิจของพระยาห์เวห์ ณ เวลาที่ดำเนินการโดยพระวิญญาณมิใช่แบบเดียวกันกับของพระเยซูหรอกหรือ? พระเจ้าสามารถมีพระวิญญาณได้กี่ดวง? ตามคำอธิบายของเจ้านั้น ทั้งสามพระองค์ที่มีพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์คือหนึ่งเดียว หากนี่เป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณก็มีสามดวงสินะ แต่การมีพระวิญญาณสามดวงย่อมหมายความว่าพระเจ้ามีสามพระองค์ การนี้หมายความว่าไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงหนึ่งเดียวอยู่เลย พระเจ้าประเภทนี้จะยังคงทรงมีแก่นแท้ที่เป็นเนื้อในของพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้ายอมรับว่ามีพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะสามารถเป็นบิดาและมีบุตรได้อย่างไร? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของพวกเจ้าหรอกหรือ? มีพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น พระองค์เดียวเท่านั้นในพระเจ้าพระองค์นี้ และมีพระวิญญาณของพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น ดังที่มีการเขียนลงในพระคัมภีร์ว่า ‘มีพระวิญญาณบริสุทธิ์หนึ่งเดียวเท่านั้น และพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้น’ ไม่ว่าพระบิดาและพระบุตรที่เจ้าพูดถึงนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วมีเพียงพระเจ้าหนึ่งเดียวเท่านั้นและแก่นแท้ของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พวกเจ้าเชื่อนั้นคือแก่นแท้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ แต่พระองค์ทรงสามารถบังเกิดเป็นมนุษย์และดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์ได้ รวมถึงทรงอยู่เหนือทุกสรรพสิ่ง พระวิญญาณของพระองค์ทรงครอบคลุมทั้งหมดและปรากฏพร้อมทุกแห่งหนแห่ง พระองค์สามารถสถิตในเนื้อหนังและในจักรวาลและเหนือจักรวาลได้ในเวลาเดียวกัน ในเมื่อผู้คนทั้งหมดกล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็มีพระองค์เดียวเท่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบ่งแยกพระองค์ได้ตามใจชอบ! พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวเท่านั้น และพระองค์หนึ่งเดียวเท่านั้น และนั่นคือพระวิญญาณของพระเจ้า” “ถึงกระนั้นบางคนอาจยังคงกล่าวอยู่ดีว่า ‘พระบิดาทรงเป็นพระบิดา พระบุตรทรงเป็นพระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ และในที่สุด พวกพระองค์จะทรงประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียว’ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะทำให้พวกพระองค์เป็นหนึ่งเดียวอย่างไร? พระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์จะสามารถประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร? หากโดยแก่นแท้ภายในแล้วพวกพระองค์ทรงเป็นสอง เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกพระองค์จะเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างไร พวกพระองค์จะไม่ทรงยังคงเป็นสองพระภาคอยู่หรอกหรือ? เมื่อเจ้าพูดถึงการทำให้พวกพระองค์เป็นหนึ่ง นั่นมิใช่เป็นเพียงการเชื่อมต่อสองพระภาคที่แยกกันอยู่เพื่อทำให้เป็นองค์รวมหนึ่งเดียวหรอกหรือ? แต่พวกพระองค์ทรงเป็นสองพระภาคก่อนที่จะถูกทำให้รวมเป็นหนึ่งมิใช่หรือ? แต่ละวิญญาณทรงมีแก่นแท้ที่แตกต่างเด่นชัด และสองวิญญาณไม่สามารถประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวได้ วิญญาณมิใช่วัตถุที่เป็นรูปธรรม และไม่เป็นเหมือนสิ่งอื่นใดในโลกทางวัตถุ ตามที่มนุษย์มองเห็นนั้น พระบิดาทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่ง พระบุตรอีกหนึ่ง และยังเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว พระวิญญาณทั้งสามก็ผสมกันเหมือนกับน้ำสามแก้วมารวมอยู่ในแก้วเดียว เช่นนั้นแล้ว นั่นมิใช่สามรวมเป็นเป็นหนึ่งหรอกหรือ? นี่เป็นคำอธิบายที่ผิดพลาดและไร้เหตุผลล้วนๆ! นี่มิใช่การแยกพระเจ้าออกจากกันหรอกหรือ? พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมดนั้นจะทรงประกอบขึ้นเป็นหนึ่งได้อย่างไร? ก็พวกพระองค์ทรงเป็นสามพระภาคที่แต่ละพระภาคทรงมีธรรมชาติที่แตกต่างกันมิใช่หรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?) แล้วเขาก็สามัคคีธรรมว่า “พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชำแหละเหตุผลวิบัติของตรีเอกานุภาพอย่างชัดเจนและถ้วนทั่ว เราเห็นได้ว่าพระเจ้าคือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว ว่าพระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งมีเพียงหนึ่งเดียว แค่มีพระนามแตกต่างกัน พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเนื้อหนัง และแก่นแท้ของเนื้อหนังของพระองค์คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าเราเรียกพระองค์อย่างไรในการอธิษฐาน พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือองค์หนึ่งเดียว พระวิญญาณเดียว ไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้ พระเจ้าทรงเป็นนายเหนือสรรพสิ่งในจักรวาล พระองค์คือองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระวิญญาณผู้ทรงรอบรู้และรอบด้าน พระองค์ทรงอยู่ทุกแห่งหน และทรงเปี่ยมฤทธานุภาพ พระองค์ทรงสร้างสวรรค์ โลก และสรรพสิ่งได้ และพระองค์ทรงนำชีวิตมนุษย์บนโลกได้ พระองค์ยังบังเกิดเป็นบุตรมนุษย์ได้ด้วย เพื่อไถ่และช่วยผู้คนให้รอด ตามสิ่งที่จำเป็นต่อพวกเขา พระวิญญาณของพระเจ้ายังทรงควบคุมเหนือสรรพสิ่งในจักรวาลด้วย หากเราดูตามสิ่งที่โลกศาสนากล่าวไว้ ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าคือพระบิดาซึ่งทรงสร้างจักรวาล และพระองค์ทรงอยู่ในสวรรค์ทรงพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการและวางแผน ในขณะที่องค์พระเยซูเจ้าคือพระบุตร ซึ่งส่งมาโดยพระบิดาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ เช่นนั้นเมื่อองค์พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ก็จะทรงไม่มีอะไรทำ พระองค์คงต้องทรงพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ละบุคคลของตรีเอกานุภาพมีบทบาทของตนเอง มีความรับผิดชอบสำหรับสวรรค์และโลก และสำหรับพระราชกิจที่เสร็จสิ้นในมวลมนุษย์ นั่นเป็นการแยกพระเจ้าเป็นสามส่วนไม่ใช่เหรอ? เช่นนั้นพระเจ้าจะยังเป็นองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์องค์หนึ่งเดียวผู้รอบรู้ เปี่ยมฤทธานุภาพไหม? มันไม่ขัดแย้งกันเหรอครับ? มีพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว และพระองค์เองก็ทรงบริหารและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด การแยกพระองค์ออกเป็นสามส่วนเป็นการแบ่งพระองค์ออก นั่นเป็นการต้านทานและหมิ่นประมาทพระเจ้า!”

พระวจนะของพระเจ้าซาบซึ้งใจผมมากครับ ผมเห็นว่าตรีเอกานุภาพที่ผมยึดมั่นในหัวใจมาหลายปีนั้นไม่มีอยู่! เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี ยืนกรานเสมอว่าพระเจ้าคือองค์หนึ่งเดียว แต่เราแบ่งแยกพระองค์ออกเป็นสามบุคคล แต่แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำให้พระเจ้าทั้งสามองค์นั้นกับเป็นหนึ่งอีกยังไง นั่นไม่ใช่ความโง่เขลาหรอกหรือครับ? ผมนึกถึงเรื่องศิษยาภิบาลที่โด่งดังเหล่านั้น กับคำอธิบายเรื่องตรีเอกานุภาพที่ขัดแย้งกันของพวกเขา เมื่อพวกเขาอธิบายให้ชัดเจนไม่ได้ ก็พูดว่าพระเจ้าไม่อาจหยั่งถึงและล้ำลึก พวกเขาหลอกลวงเรา ผมเห็นว่าการเชื่อในพระเจ้าโดยไม่รู้จักพระองค์ และแยกพระองค์ออกจากกัน เป็นการต้านทานพระเจ้าและไม่เคารพพระองค์จริงๆ พอคิดแบบนี้ ผมก็รู้สึกติดหนี้พระเจ้าจริงๆ ครับ แต่ผมก็ยังสับสนอยู่นั่นเอง เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “เมื่อพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้วก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และในทันใดนั้นฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาดุจนกพิราบสถิตบนพระองค์ และนี่แน่ะ มีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก’” (มัทธิว 3:16-17) พระเจ้าคือพระวิญญาณหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่งเดียว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรับบัพติศมาในแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ให้คำพยานว่าพระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า และก็มีเวลาเหล่านั้นที่องค์พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ เราจะเข้าใจเรื่องนั้นได้ยังไง? ผมอยากเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ ก็เลยถามพี่หลี่

เขาตอบผมว่า “ใช่ องค์พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าและทรงเรียกพระองค์ว่าพระบิดาในสวรรค์ มีความล้ำลึกในเรื่องนี้ ก่อนที่องค์พระเยซูเจ้าจะเริ่มพันธกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงทราบว่าตนเองคือพระเจ้าในเนื้อหนัง เพราะเมื่อพระวิญญาณทรงงานในเนื้อหนัง พระองค์ทรงปกติ ไม่เหนือธรรมชาติ พระองค์ทรงเหมือนคนทั่วไป จึงแน่นอนที่พระองค์จะอธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ นี่คือองค์พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานต่อพระวิญญาณพระเจ้าในฐานะมนุษย์ เป็นเรื่องปกติที่สุด เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงเริ่มพันธกิจของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส เป็นพยานว่าพระองค์คือพระเจ้าในเนื้อหนัง ตอนนั้นเองที่พระองค์ทรงรู้ตัวตนแท้จริงของพระองค์ แต่พระองค์ก็ยังอธิษฐานต่อพระบิดา ซึ่งแสดงว่าพระคริสต์ทรงถ่อมใจและซ่อนเร้น และแก่นแท้ของพระองค์ก็นบนอบต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์” มาชมวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อความชัดเจนกันนะครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เมื่อพระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาในขณะที่พระองค์ทรงอธิษฐาน การนี้ทำจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่ปกติและธรรมดาสามัญ และทรงมีเครื่องห่อหุ้มภายนอกเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น ถึงแม้ว่าภายในพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้า แต่การปรากฏภายนอกของพระองค์ยังคงเป็นการปรากฏของมนุษย์ปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็น ‘บุตรมนุษย์’ ที่มนุษย์ทั้งหมดได้กล่าวถึง รวมถึงพระเยซูพระองค์เองได้ตรัสถึง เมื่อคำนึงถึงว่าพระองค์ได้รับการเรียกขานว่าบุตรมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลหนึ่ง (ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง คนเราจะมีเปลือกนอกเป็นมนุษย์ในทุกกรณี) ที่ถือกำเนิดมาในครอบครัวปกติครอบครัวหนึ่งของผู้คนธรรมดา เพราะฉะนั้น การที่พระเยซูทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดาก็เป็นแบบเดียวกับวิธีที่พวกเจ้าเรียกพระองค์ว่าพระบิดาในตอนแรก พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของมนุษย์ที่ถูกสร้าง พวกเจ้ายังจำคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระเยซูได้ทรงสอนให้พวกเจ้าท่องจำได้หรือไม่? ‘พระบิดาของพวกเราในสวรรค์…’ พระองค์ได้ทรงขอให้มนุษย์ทุกคนเรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดา และในเมื่อพระองค์ได้ทรงเรียกพระองค์ว่าพระบิดาเช่นกัน พระองค์ทรงทำเช่นนั้นจากมุมมองของคนผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ในฐานรากที่เท่าเทียมกับพวกเจ้าทั้งหมด ในเมื่อพวกเจ้าได้เรียกพระเจ้าในสวรรค์ด้วยพระนามของพระบิดา พระเยซูทรงมองพระองค์เองว่าอยู่บนรากฐานที่เท่าเทียมกับพวกเจ้า และในฐานะมนุษย์คนหนึ่งบนแผ่นดินโลกที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร (นั่นคือ พระบุตรของพระเจ้า) หากพวกเจ้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา นี่ไม่ใช่เพราะพวกเจ้าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งหรอกหรือ? ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเยซูบนแผ่นดินโลกจะยิ่งใหญ่เพียงใด ก่อนหน้าการตรึงกางเขนนั้น พระองค์ทรงเป็นเพียงบุตรมนุษย์ ที่ถูกปกครองดูแลโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (นั่นคือ พระเจ้า) และเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายของแผ่นดินโลก เพราะพระองค์ยังมิได้ทรงทำให้พระราชกิจของพระองค์ครบบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น การที่พระองค์ทรงเรียกพระเจ้าในฟ้าสวรรค์ว่าพระบิดาจึงเป็นเพียงความถ่อมพระทัยและการเชื่อฟังของพระองค์เท่านั้น อย่างไรก็ตามการที่พระองค์ตรัสกับพระเจ้า (นั่นคือ พระวิญญาณในสวรรค์) ในลักษณะเช่นนั้น ไม่เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระวิญญาณของพระเจ้าในสวรรค์ ในทางตรงกันข้าม มันเป็นเพียงว่ามุมมองของพระองค์นั้นแตกต่างไป ไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์บุคคลที่แตกต่างกัน การมีอยู่ขององค์บุคคลทั้งหลายที่แตกต่างกันชัดเจนนั้นเป็นการเข้าใจผิด! ก่อนหน้าการตรึงกางเขนของพระองค์นั้น พระเยซูทรงเป็นบุตรมนุษย์ที่ถูกพันธนาการโดยข้อจำกัดต่างทั้งหลายของเนื้อหนัง และพระองค์มิได้ทรงมีสิทธิอำนาจของพระวิญญาณอย่างเต็มเปี่ยม นั่นคือเหตุผลที่พระองค์สามารถเพียงแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าพระบิดาจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งเท่านั้น นั่นเป็นดังที่พระองค์ได้ทรงอธิษฐานสามครั้งในเกทเสมนีว่า ‘อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์’ ก่อนที่พระองค์จะถูกขึงบนกางเขน พระองค์ทรงเป็นแต่เพียงองค์กษัตริย์ของชาวยิว พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ บุตรมนุษย์ และไม่ใช่พระวรกายที่มีพระสิริ นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ได้ทรงเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาจากจุดยืนของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง” “มีผู้อื่นที่กล่าวว่า ‘พระเจ้าได้ทรงกล่าวระบุไว้อย่างเปิดเผยว่า พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์มิใช่หรือ?’ พระเยซูทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานยิ่ง—การนี้ได้ถูกตรัสไว้โดยพระเจ้าพระองค์เองอย่างแน่นอน นั่นคือการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง เพียงแต่ว่าจากมุมมองที่แตกต่างกัน นั่นเป็นมุมมองของพระวิญญาณในสวรรค์ที่ทรงเป็นพยานต่อการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์เอง พระเยซูทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์ มิใช่พระบุตรของพระองค์ในสวรรค์ เจ้าเข้าใจหรือไม่? พระวจนะของพระเยซูที่ว่า ‘เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา’ บ่งบอกว่าพวกพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวมิใช่หรือ? และนั่นมิใช่เป็นเพราะการปรากฏในรูปมนุษย์หรอกหรือที่พวกพระองค์ได้ถูกแยกห่างระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก? ในความเป็นจริงแล้ว พวกพระองค์ยังคงทรงเป็นหนึ่ง ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงการที่พระเจ้าทรงเป็นพยานต่อพระองค์เอง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของยุคทั้งหลาย ข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระราชกิจ และช่วงระยะที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของพระองค์ พระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์จึงแตกต่างกันไปด้วย เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จมาดำเนินพระราชกิจช่วงระยะแรกนั้น พระองค์สามารถได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ ผู้ที่ทรงเป็นผู้เลี้ยงของชาวอิสราเอลเท่านั้น ในช่วงระยะที่สอง พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์สามารถได้รับการเรียกขานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์เท่านั้น แต่ ณ เวลานั้น พระวิญญาณในสวรรค์ทรงตรัสระบุแต่เพียงว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเท่านั้น และมิได้ทรงกล่าวถึงการที่พระองค์ทรงเป็นพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระผู้เป็นเจ้าแต่อย่างใด การนี้แค่ไม่เคยเกิดขึ้น พระเจ้าจะทรงมีบุตรเพียงพระองค์เดียวได้อย่างไร? เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะมิได้ทรงกลายมาเป็นมนุษย์แล้วหรอกหรือ? เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระบุตรผู้ทรงเป็นที่รักของพระเจ้า และจากการนี้เองจึงเป็นที่มาของสัมพันธภาพระหว่างพระบิดาและพระบุตร นั่นก็เป็นเพียงเพราะการแยกห่างกันระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเยซูได้ทรงอธิษฐานจากมุมมองของมนุษย์ ในเมื่อพระองค์ได้ทรงสวมใส่เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติเช่นนั้น พระองค์จึงได้ตรัสจากมุมมองของเนื้อหนังว่า ‘เปลือกนอกของเราเป็นเปลือกนอกของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่ง เนื่องจากเราได้สวมเนื้อหนังในการมายังแผ่นดินโลกนี้ บัดนี้เราอยู่ห่างไกลแสนไกลจากฟ้าสวรรค์’ ด้วยเหตุผลนี้เอง พระองค์จึงสามารถเพียงแค่อธิษฐานต่อพระเจ้าพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์เท่านั้น นี่คือหน้าที่ของพระองค์ และนั่นคือหน้าที่ซึ่งพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งทรงมาปรากฏในรูปมนุษย์ควรประดับมากับพระองค์ มิอาจกล่าวได้ ว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าเพียงเพราะพระองค์ได้ทรงอธิษฐานต่อพระบิดาจากมุมมองของมนุษย์ ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงได้รับการเรียกขานว่าพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า แต่พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองอยู่ เพราะพระองค์ทรงเป็นแต่เพียงการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณ และแก่นแท้ของพระองค์ยังคงทรงเป็นพระวิญญาณอยู่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?)

พี่หลี่สามัคคีธรรมต่อไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าในเนื้อหนัง พระองค์คือพระวิญญาณพระเจ้าในร่างกายของบุตรมนุษย์ ซึ่งครอบครองความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระองค์ทรงดูไม่เหมือนอะไรที่ไม่ธรรมดาเลย แต่พระองค์มีแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง หลังจากพระองค์รับบัพติศมาและเริ่มพันธกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าคือบุตรชายที่รักของพระองค์ นั่นคือพระเจ้าทรงเป็นพยานต่อการทรงปรากฏในรูปมนุษย์จากมุมมองของพระวิญญาณ เพื่อที่ผู้คนจะติดตามและเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า และรู้ว่าพระองค์มาจากพระเจ้า ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าในเนื้อหนังโดยตรง ผู้คนก็คงยอมรับได้ยาก เพราะพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าเลย การทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นใหม่สำหรับพวกเขาซึ่งไม่รู้เรื่องนี้เลย พวกเขาไม่เคยนึกฝัน ว่าบุตรมนุษย์ คนทั่วไปนี้ คือรูปจำแลงของพระวิญญาณพระเจ้าในเนื้อหนัง องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงพระวจนะมากมายในพระราชกิจของพระองค์ นำหนทางแห่งการกลับใจมา แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และเปิดเผยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าทั้งหมด แต่ผู้คนไม่อาจเห็นจากพระราชกิจและพรวจนะของพระองค์ ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าพระองค์เอง การทรงปรากฏของพระเจ้า ตามวุฒิภาวะของผู้คนในเวลานั้น พระเจ้าทรงเป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระบุตรที่รักของพระองค์ และทรงอนุญาตให้ผู้คนถือองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระบุตรของพระองค์ชั่วคราว นั่นตรงกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน และง่ายที่พวกเขาจะยอมรับ องค์พระเยซูเจ้าเพียงแค่ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นไม่ว่าผู้คนเรียกพระองค์ว่าอะไร พวกเขาเพียงแค่ต้องยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ให้บาปได้รับการอภัย และมีคุณสมบัติจะชื่นชมพระคุณของพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานต่อพระเจ้าในสวรรค์ในฐานะพระบิดา องค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกพระเจ้าจากมุมมองของคนที่ถูกสร้างขึ้น นี่แสดงว่าพระเจ้าทรงถ่อมใจและซ่อนเร้นแค่ไหน องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าพระองค์เอง แต่พระองค์ไม่ทรงแสดงตัวเองในฐานะพระเจ้า แต่พระองค์กลับทรงสอนผู้คนให้อธิษฐานและทรงนำพวกเขาให้รู้จักพระเจ้า ทั้งหมดจากมุมมองของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แบบนั้นผู้คนก็จะไม่รู้สึกว่าพระเจ้าทรงสูงทรงและเอื้อมไม่ถึง แต่มันจึงดึงให้มนุษย์และพระเจ้าใกล้ชิดกัน นี่คือพระปัญญาในงานของพระเจ้า มันคือสิ่งที่มนุษย์เราต้องการ และงานแห่งความรอดของพระเจ้าต้องการ”

นี่ให้ความรู้แจ้งแก่ผมในทันใด ผมเห็นว่าเบื้องหลังข้อพระคัมภีร์นี้ มีพระปัญญาของพระราชกิจของพระเจ้าและความรักของพระองค์ต่อมนุษยชาติ แต่เพราะขาดความเข้าใจ เราจึงเห็นพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งกล่าวถึงในพระคัมภีร์ และแบ่งแยกพระเจ้าออกเป็นสามบุคคล พระเจ้าสามพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดของเรา นั่นเป็นการหมิ่นประมาทพระเจ้าอย่างแท้จริง! เหตุผลวิบัติว่าพระเจ้าคือตรีเอกานุภาพในตัวผมพังทลายลงในทันที ผมได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พระวิญญาณภายในพระเยซู พระวิญญาณในสวรรค์และพระวิญญาณของพระยาห์เวห์ล้วนเป็นหนึ่งเดียว พระวิญญาณนั้นเรียกกันว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณของพระเจ้า พระวิญญาณซึ่งมีความแก่กล้าเป็นเจ็ดเท่า และพระวิญญาณผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด พระวิญญาณของพระเจ้าสามารถดำเนินพระราชกิจได้มากมาย พระองค์สามารถสร้างโลกและทำลายมันโดยการให้น้ำท่วมแผ่นดินโลก พระองค์สามารถไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงและยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ทรงสามารถพิชิตและทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงได้ พระราชกิจนี้ล้วนได้รับการดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เองและไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้โดยสภาวะความเป็นบุคคลอื่นใดของพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์สามารถได้รับการเรียกขานโดยพระนามของพระยาห์เวห์และพระเยซู รวมถึงองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ พระองค์สามารถกลายเป็นบุตรมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน พระองค์สถิตในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกด้วยเช่นกัน พระองค์สถิตอยู่สูงเหนือจักรวาลทั้งหลายและท่ามกลางฝูงชน พระองค์ทรงเป็นองค์เจ้านายองค์เดียวแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก! นับตั้งแต่กาลสมัยแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงบัดนี้ พระราชกิจนี้ได้รับการดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจในฟ้าสวรรค์หรือในเนื้อหนัง ทั้งหมดล้วนดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระองค์เอง สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง ไม่ว่าในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก ล้วนอยู่ในฝ่าพระหัตถ์อันทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองและไม่มีผู้ใดสามารถดำเนินการแทนพระองค์ได้ ในฟ้าสวรรค์นั้น พระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณ แต่ก็ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองด้วยเช่นกัน ท่ามกลางพวกมนุษย์นั้น พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนัง แต่ก็ยังคงทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองอยู่ ถึงแม้ว่าพระองค์อาจได้รับการเรียกขานโดยหลายแสนพระนาม แต่พระองค์ก็ยังคงทรงเป็นพระองค์เอง เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณของพระองค์ การไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงโดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระองค์นั้น เป็นพระราชกิจโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดังนั้นจึงเป็นการกล่าวประกาศต่อชนชาติทั้งมวลและแผ่นดินทั้งมวลในระหว่างยุคสุดท้ายด้วยเช่นกัน ตลอดเวลานั้นพระเจ้าสามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวและผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงครอบคลุมทั้งหมด องค์ทั้งหลายที่แตกต่างกันนั้นไม่มีอยู่จริง นับประสาอะไรที่จะมีแนวคิดนี้เกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก มีพระเจ้าอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ตรีเอกานุภาพมีอยู่จริงหรือไม่?) หลังจากพี่หลี่อ่านบทตอนนี้ เขาสามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าคือพระผู้สร้าง องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์คือพระยาห์เวห์พระเจ้าผู้ทรงปรากาศใช้ธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ เพื่อมวลมนุษย์ นำทางชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก พระองค์ยังเป็นพระผู้ช่วยให้รอด องค์พระเยซูเจ้า ผู้ไถ่เราจากบาป ยิ่งกว่านั้น พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อพิพากษามวลมนุษย์ทั้งปวง องค์พระเยซูเจ้าที่เราถวิลหาเสด็จกลับมาแล้ว พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงงานบนโลกมามากกว่ายี่สิบปีแล้ว ทรงแสดงความจริงและทรงงานแห่งการพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย ทรงเปิดม้วนหนังสือ พระองค์ประทานความจริงทั้งหมดที่เราต้องการเพื่อชำระให้บริสุทธิ์และช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์ นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13)เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:47-48)

การได้ยินแบบนี้ผมตื่นเต้นมากครับ องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จกลับมาและทรงแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ไม่แปลกใจที่ผมรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นทรงฤทธานุภาพและมีสิทธิอำนาจมาก เหมือนพระสุรเสียงของพระเจ้า เป็นพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ ครับ! ผมพูดกับพี่หลี่อย่างตื่นเต้น “ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ไม่ว่าเป็นพระวิญญาณหรือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระองค์ก็คือพระเจ้าพระองค์เอง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตรีเอกานุภาพ หากไม่มีความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง ก็ไม่มีใครโต้แย้งและตีแผ่เหตุผลวิบัติที่มีการถกเถียงกันนี้อย่างทั่วถึงได้ เป็นเวลาเกือบสองพันปี มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองที่ทรงเปิดเผยความจริงนี้ได้ ผมมั่นใจว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือเสียงของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา! ตอนนี้ผมพร้อมจะยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ผมขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่แก้ไขความสับสนที่รบกวนผมมามากกว่า 20 ปีโดยสมบูรณ์”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger