สิ่งใดคือนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงใช้พระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน?

วันที่ 20 เดือน 10 ปี 2020

พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงบอกพวกเราอย่างชัดเจนในภาคพันธสัญญาเดิมว่า “เรา เราเองคือยาห์เวห์ และนอกจากเรา ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด(อิสยาห์ 43:11)พระยาห์เวห์…เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ เป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์(อพยพ 3:15) แต่กระนั้น ในภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวว่า “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” (ฮีบรู 13:8) ในภาคพันธสัญญาเดิมกล่าวแต่เพียงว่า พระยาห์เวห์คือพระนามของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้การนั้นจึงจะเป็นไปตลอดกาล อย่างไรก็ตาม ในภาคพันธสัญญาใหม่กล่าวว่า คนเราสามารถได้รับการช่วยให้รอดได้เพียงโดยพระนามพระเยซูเท่านั้น เนื่องจากพระนามของพระเจ้าพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ จะต้องเป็นพระนามของพระองค์ไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซูในยุคพระคุณ? พวกเราจะเข้าใจคำว่า “ตลอดกาล” ดังที่ได้พาดพิงถึงตรงนี้ในพระคัมภีร์ได้อย่างไร? ความจริงและความล้ำลึกใดถูกซ่อนไว้เบื้องหลังพระนามของพระเจ้า? ตอนนี้พวกเราลองมาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการนี้กันเถิด

สารบัญ
เหตุใดพระนามพระยาห์เวห์จึงได้กลายเป็นพระเยซู?
“ตลอดไปเป็นนิตย์” หมายความว่า แก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าพระนามของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เหตุใดพระเจ้าจึงทรงได้รับการเรียกขานโดยพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน และสิ่งใดคือนัยสำคัญของพระนามของพระเจ้า?

เหตุใดพระนามพระยาห์เวห์จึงได้กลายเป็นพระเยซู?

มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่า พระนามพระยาห์เวห์จะคงอยู่ไปตลอดกาลและตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์ แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจแห่งการไถ่บาปของพระองค์ พระนามพระยาห์เวห์ก็ไม่ได้ถูกพาดพิงถึงอีกต่อไป ทุกคนอธิษฐานและร้องเรียกพระนามขององค์พระเยซูเจ้า และพวกเขาชำระพระนามพระเยซูให้บริสุทธิ์ สำหรับพวกเรา ดูราวกับว่ามีความขัดแย้งภายในส่วนที่ต่างกันเหล่านี้ของพระคัมภีร์ แต่ในข้อเท็จจริงนั้นไม่มีความขัดแย้งอันใด นี่เป็นเพราะคำว่า “ตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์” และ “ตลอดไปเป็นนิตย์” ซึ่งพระเจ้าตรัสนั้น ถูกตรัสโดยสัมพันธ์กับพระราชกิจในยุคนั้น ตราบเท่าที่พระราชกิจของพระเจ้าในยุคนั้นยังไม่ครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พระนามของพระองค์ในยุคนั้นย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง และทุกคนที่ติดตามพระเจ้าจำเป็นที่จะต้องยึดมั่นในพระนามของพระเจ้าในยุคนั้น มีเพียงในหนทางนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดำรงชีวิตภายใต้การใส่พระทัยและการอารักขาจากพระเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มยุคใหม่และทรงเปิดตัวพระราชกิจใหม่ พระนามของพระเจ้าก็เปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อการนั้นเกิดขึ้น มีเพียงโดยการยอมรับพระนามใหม่ของพระเจ้าและการอธิษฐานในพระนามใหม่ของพระเจ้าเท่านั้น ผู้คนจึงจะสามารถรับการรับรองจากพระเจ้าและได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตัวอย่างเช่น ในยุคธรรมบัญญัติ พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์ และโดยการยึดมั่นในพระนามพระยาห์เวห์และยึดติดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกล่าวประกาศ เมื่อนั้นผู้คนจึงจะสามารถรับพระพรและความกรุณาของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มยุคพระคุณและทรงสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ และหากผู้คนยังคงยึดมั่นในพระนามพระยาห์เวห์และปฏิเสธที่จะยอมรับพระนามขององค์พระเยซูเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรังเกียจและทรงบอกปัด และพวกเขาก็ดำรงชีวิตในความมืด บรรดาผู้ที่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเขา และอธิษฐาน และร้องเรียกพระนามพระเยซู อาทิ เปโตร มัทธิว และหญิงชาวสะมาเรีย ได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และบรรลุความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นที่ชัดเจนว่า พระนามของพระเจ้าไม่ใช่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระนามนั้นเปลี่ยนแปลงเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเปลี่ยนแปลง

“ตลอดไปเป็นนิตย์” หมายความว่า แก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าพระนามของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

บางทีผู้คนบางคนอาจจะยังคงรู้สึกงุนงงสับสันเล็กน้อย โดยฉงนฉงายว่าพระนามของพระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร ในเมื่อในพระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” ตอนนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับวิธีเข้าใจคำว่า “ตลอดไปเป็นนิตย์” ซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์ อันที่จริงแล้ว “ตลอดไปเป็นนิตย์” หมายความว่า แก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้ามิอาจเปลี่ยนแปลงได้ การนั้นไม่ใช่หมายความว่า พระนามของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้าทรงมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ การนั้นถูกต้อง แต่มันหมายถึงการมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ของพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงพระนามและพระราชกิจของพระองค์มิได้พิสูจน์ว่าเนื้อแท้ของพระองค์ได้ปรับเปลี่ยนไปแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่ง พระเจ้าจะยังทรงเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง…หากพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะทรงสามารถได้นำทางมวลมนุษย์มาตลอดหนทางจนถึงวันปัจจุบันได้กระนั้นหรือ? หากพระเจ้ามิทรงสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วไซร้ เหตุใดจึงเป็นไปได้ว่าพระองค์ได้ทรงพระราชกิจของสองยุคแล้ว?…พระเจ้ามิใช่ทรงเรียบง่ายดังเช่นที่มนุษย์จินตนาการ และพระราชกิจของพระองค์ไม่สามารถประวิงอยู่ในยุคหนึ่งยุคใดได้ ดังตัวอย่างเช่น พระยาห์เวห์ไม่สามารถยืนหยัดเป็นพระนามของพระเจ้าได้ตลอดเวลา พระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์ภายใต้พระนามของพระเยซูด้วยเช่นกัน นี่คือหมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าพระราชกิจของพระเจ้ากำลังก้าวหน้าไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ(“นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)”)พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกลายเป็นซาตาน ซาตานเป็นซาตานอยู่เสมอ และมันจะไม่มีวันกลายเป็นพระเจ้า พระปรีชาญาณของพระเจ้า ความอัศจรรย์ของพระเจ้า ความชอบธรรมของพระเจ้า และพระบารมีของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชกิจของพระองค์นั้น มันกำลังก้าวหน้าไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ มีความลึกซึ้งมากยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพราะพระองค์ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า พระเจ้าทรงรับเอาพระนามใหม่ในทุกยุค พระองค์ทรงพระราชกิจใหม่ในทุกยุค และในทุกยุคพระองค์ทรงอนุญาตให้สรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์มองเห็นน้ำพระทัยใหม่และพระอุปนิสัยใหม่ของพระองค์(“นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)”)

พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า พระราชกิจของพระองค์เคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ และพระนามของพระองค์เปลี่ยนแปลงเมื่อพระราชกิจของพระองค์เปลี่ยนแปลง แต่ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระเจ้าหรือพระนามของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงอย่างไร พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าไปตลอดกาล และพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระนามของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติคือพระยาห์เวห์ และพระนามของพระองค์คือพระเยซูในยุคพระคุณ แต่ไม่สำคัญว่าพระนามของพระองค์อาจเปลี่ยนแปลงอย่างไร พระนามนั้นเพียงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดเท่านั้น จุดประสงค์ของพระเจ้าในการจัดการมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง และแก่นแท้ของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง—เป็นพระเจ้าพระองค์เดียวเสมอมาเท่านั้นที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ อย่างไรก็ตาม พวกฟาริสีในตอนนั้นล้มเหลวที่จะเข้าใจว่า พระนามของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยการแปรผันของยุคทั้งหลายและการแปลงสภาพของพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาเกาะติดถ้อยแถลงที่ว่า “มีเพียงพระยาห์เวห์เท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้า และไม่มีพระผู้ช่วยให้รอดนอกจากพระยาห์เวห์” พวกเขาเชื่อว่า มีเพียงพระยาห์เวห์เท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา และดังนั้น ในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์โดยทรงใช้พระนามพระเยซู พวกเขาจึงไม่ได้เสาะแสวงที่จะค้นพบว่า พระวจนะซึ่งองค์พระเยซูเจ้าตรัสเป็นการแสดงความจริงหรือไม่ หรือว่าพระราชกิจซึ่งองค์พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัตินั้นเป็นพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับพึ่งพาธรรมชาติอันโอหังของพวกเขา และเกาะติดความคิดเห็นที่ผิดของพวกเขาเองอย่างดื้อดึง โดยเชื่อว่า หากใครคนหนึ่งไม่ได้รับการเรียกขานว่าพระเมสสิยาห์ เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ไม่อาจทรงสามารถเป็นพระเจ้าได้ และดังนั้น พวกเขาจึงกล่าวโทษและต้านทานองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง และในที่สุดแล้วก็ตรึงพระองค์บนกางเขน โดยการทำเช่นนั้น พวกเขากระทำบาปชั่วช้า และด้วยเหตุนั้นจึงถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและทรงลงโทษ พวกเราสามารถเห็นได้จากบทเรียนของความล้มเหลวของพวกฟาริสีว่า หากพวกเราล้มเหลวที่จะเข้าใจนัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงพระนามของพระองค์ในยุคที่ต่างกัน และพวกเราปฏิเสธแก่นแท้ของพระเจ้า และปฏิเสธว่าการนั้นทั้งหมดเป็นพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เดียว เพียงเพราะพระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และทรงมีพระนามใหม่ เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ย่อมจะกลายเป็นถนัดที่จะต้านทานพระเจ้าและกระทำการซึ่งล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงได้รับการเรียกขานโดยพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน และสิ่งใดคือนัยสำคัญของพระนามของพระเจ้า?

อันที่จริงแล้วพระนามของพระเจ้าเกิดขึ้นเพราะพระราชกิจของพระองค์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดนั้น พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ต่างกัน และทรงแสดงพระอุปนิสัยที่ต่างกันไปตามความต้องการที่จำเป็นของพระราชกิจของพระองค์และขึ้นอยู่กับยุคนั้น และพระนามของพระองค์เปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับการนั้น หากจะพูดในอีกหนทาง ชื่อหนึ่งเป็นตัวแทนยุคหนึ่ง และชื่อนั้นเป็นตัวแทนช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงในยุคนั้น พระเจ้าทรงใช้พระนามของพระองค์เพื่อเปลี่ยนแปลงและแทนที่ยุคทั้งหลาย ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าว “ทำไมจึงเป็นไปได้ว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูทรงเป็นหนึ่ง ทว่าทั้งสองพระองค์ทรงได้รับการเรียกขานโดยพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน? มันมิใช่เพราะยุคแห่งพระราชกิจของทั้งสองพระองค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ? ชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ได้กระนั้นหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว พระเจ้าจึงต้องทรงได้รับการเรียกขานโดยพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน และพระองค์ต้องทรงใช้พระนามนั้นเพื่อเปลี่ยนยุคและเพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้น เพราะไม่มีชื่อเดียวชื่อใดที่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเพียงแค่เป็นตัวแทนแง่มุมชั่วคราวของพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคที่กำหนดยุคหนึ่งเท่านั้น ทั้งหมดที่จำเป็นต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าทรงสามารถเลือกพระนามใดก็ตามที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคทั้งยุคนั้น(“นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)”)คำหรือพระนามเฉพาะอย่างหนึ่งนั้นไม่สามารถที่จะเป็นตัวแทนพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ได้ แล้วเจ้าคิดว่าพระนามของพระเจ้าสามารถคงที่ได้หรือ? พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนักและทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก กระนั้นแล้วเจ้าจะไม่ยินยอมให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์ในยุคใหม่แต่ละยุคหรือ? ดังนั้น ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองโดยพระองค์เองนั้น พระองค์ทรงใช้พระนามที่เหมาะกับยุคนั้นเพื่อที่จะครอบคลุมพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ พระองค์ทรงใช้พระนามเฉพาะนี้ พระนามที่มีนัยสำคัญชั่วคราว เพื่อเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น นี่คือการที่พระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์เอง…โดยดั้งเดิมนั้นพระเจ้าไม่ทรงมีพระนาม พระองค์เพียงทรงใช้พระนามหนึ่ง หรือสอง หรือหลายๆ พระนามก็เพราะพระองค์ทรงมีพระราชกิจที่ต้องกระทำและทรงต้องจัดการกับมวลมนุษย์เท่านั้น(“นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)”)

ตอนนี้พวกเราลองมาดูกันที่นัยสำคัญของการที่พระเจ้าทรงใช้พระนามพระยาห์เวห์กันเถิด พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “‘พระยาห์เวห์’ คือชื่อที่เราใช้ในช่วงระหว่างงานของเราในอิสราเอล และมันหมายถึงพระเจ้าของคนอิสราเอล (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) ที่ทรงสามารถเวทนามนุษย์ สาปแช่งมนุษย์ และนำทางชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงครองมหาฤทธานุภาพและทรงเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณ…พระนามพระยาห์เวห์เป็นชื่อเฉพาะสำหรับประชาชนอิสราเอลที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ…‘พระยาห์เวห์’ ทรงเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ และเป็นพระนามซึ่งแสดงการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าผู้ซึ่งได้รับการนมัสการโดยประชาชนอิสราเอล(“พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน ‘เมฆขาว’ แล้ว”) “พระยาห์เวห์” คือพระนามซึ่งพระเจ้าได้ทรงใช้เมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ และพระนามนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยอันเปี่ยมบารมี พิโรธ สาปแช่ง และเปี่ยมกรุณาของพระเจ้า ผู้คนในเวลานั้นไม่รู้วิธีนมัสการพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่รู้วิธีดำเนินชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเลวในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ตระหนักรู้การนั้นอย่างสิ้นเชิง และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงกล่าวประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ เพื่อนำมวลมนุษย์ในชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลกโดยผ่านทางโมเสส พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์ยึดติดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติอย่างเคร่งครัด และพระองค์ทรงปล่อยให้พวกเขารู้วิธีนมัสการพระเจ้า และรู้ว่าสิ่งใดดีงามและสิ่งใดเต็มไปด้วยบาป หากผู้คนรักษาธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็มีความสามารถที่จะได้รับพระคุณและพระพรของพระยาห์เวห์ หากพวกเขาล่วงละเมิดธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ถูกไฟสวรรค์กลืนกินหรือถูกปาหินจนตาย ภายใต้การทรงนำของพระยาห์เวห์ คนธรรมดาสามัญของอิสราเอลเคารพธรรมบัญญัติและยกย่องพระนามของพระยาห์เวห์ และพวกเขาได้รับการอวยพรและการทรงนำโดยพระเจ้าอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายพันปี

ในยุคพระคุณ พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเป็นพระเยซู และในที่นี้ยังมีนัยสำคัญอันลุ่มลึกด้วยเช่นกัน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “‘พระเยซู’ คือ อิมมานูเอล ซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาลบล้างบาปอันเปี่ยมไปด้วยความรัก เปี่ยมไปด้วยความสงสาร และซึ่งไถ่บาปให้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ…พระนามของพระเยซูได้มาดำรงอยู่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนของยุคพระคุณได้เกิดใหม่และได้รับการช่วยให้รอด และเป็นพระนามเฉพาะสำหรับการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเหตุนี้(“พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน ‘เมฆขาว’ แล้ว”) เมื่อสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ มวลมนุษย์กำลังกลายเป็นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามยิ่งขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่เคารพธรรมบัญญัติอีกต่อไป ไม่มีเครื่องบูชาลบล้างบาปที่พวกเขาจะสามารถทำได้ ซึ่งเพียงพอที่จะลบมลทินบาปของพวกเขา และพวกเขาเผชิญหน้ากับอันตรายจากการถูกกล่าวโทษและลงโทษจนถึงตายโดยธรรมบัญญัติในเวลาใดก็ได้ เพื่อที่จะอภัยบาปของมนุษย์และทำให้มนุษย์มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตต่อไปได้ พระเจ้าจึงได้ทรงจุติเป็นมนุษย์บนแผ่นดินโลกในฐานะบุตรมนุษย์ และพระองค์ทรงใช้พระนามพระเยซูเพื่อปฏิบัติช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจไถ่บาป และเพื่อแสดงพระอุปนิสัยซึ่งจัดลำดับความสำคัญความรักและความกรุณา องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงบนกางเขนเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของมวลมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการรับบาปของมวลมนุษย์ไว้กับพระองค์เองและกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมวลมนุษย์ ตราบเท่าที่พวกเรายอมรับองค์พระเยซูเจ้าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเรา และอธิษฐาน สารภาพ และกลับใจในพระนามขององค์พระเยซูเจ้า เช่นนั้นแล้ว บาปของพวกเราก็ได้รับการยกโทษ จิตวิญญาณของพวกเรากลายเป็นสงบสุขและสบายใจ และพวกเราก็มีความสามารถที่จะชื่นชมพระคุณและพระพรซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่พวกเรา

จากการนี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่า แต่ละพระนามของพระเจ้าเป็นตัวแทนพระราชกิจซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติ และพระอุปนิสัยซึ่งพระองค์ทรงแสดงในยุคเฉพาะนั้น เมื่อพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจใหม่ไปตามความต้องการที่จำเป็นของมวลมนุษย์ พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปกับพระราชกิจนั้น และมีเพียงโดยการยอมรับพระนามใหม่ของพระองค์เท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถบรรลุความรอดเพิ่มเติมของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น ในยุคพระคุณ หากพระเจ้าได้เสด็จมาด้วยพระนามพระยาห์เวห์ และไม่ใช่พระเยซู เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าก็คงจะยังคงติดอยู่ในยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนคงจะไร้ความสามารถที่จะยอมรับการไถ่บาปขององค์พระเยซูเจ้า และคนอิสราเอลในเวลานั้นก็คงจะถูกพระเจ้าทรงลงโทษและสาปแช่งด้วยเหตุที่ล่วงละเมิดธรรมบัญญัติ

ตอนนี้คือบทอวสานของยุคสุดท้าย และบรรดาพี่น้องชายหญิงล้วนแต่กำลังถวิลหาการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจ และพวกเขารอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอุ้มชูพวกเขาและทรงต้อนรับพวกเขาสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกพวกเราอย่างชัดเจนว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13) และในบทที่ 2 และ 3 ของวิวรณ์ มีการเผยวจนะหลายครั้งว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” และบทที่ 1 ข้อพระคัมภีร์ที่ 5 ของจดหมายของเปโตรฉบับแรกกล่าวว่า “ผู้ได้รับการคุ้มครองโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าทางความเชื่อให้เข้าในความรอด ซึ่งพร้อมจะปรากฏในวาระสุดท้าย” จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีมากกว่าอีกที่จะตรัสเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย และว่าพระองค์จะทรงทำให้พวกเราสามารถเข้าใจความจริงทั้งปวง และบรรลุความรอดของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย ดังนั้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา และทรงปรากฏในยุคสุดท้ายเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์จะเปลี่ยนแปลง แต่พระนามของพระองค์จะเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกันหรือไม่? พระองค์จะยังคงทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซูหรือไม่ เมื่อพระองค์ทรงกลับมา? มีการเผยวจนะไว้ในวิวรณ์ว่า “คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย(วิวรณ์ 3:12) บทตอนนี้ของบทคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าจะทรงมีพระนามใหม่เมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย และเมื่อมองว่าพระองค์จะทรงมีพระนามใหม่ เช่นนั้นแล้ว พระองค์จะไม่ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซูอีกต่อไป การนี้พึงประสงค์ให้พวกเรามีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจใหม่ของพระองค์ และพระองค์ทรงมีพระนามใหม่ พวกเราต้องแสวงหาด้วยจิตใจที่เปิดกว้างและศึกษาอย่างมีสติ และไม่จำกัดเขตพระนามของพระเจ้าด้วยความคิดเห็นที่ผิดและการจินตนาการของพวกเราเอง มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้น พวกเราจึงจะมีโอกาสที่จะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า

พวกเราลองมาขอบคุณความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้ากันเถิด และขอให้พี่น้องชายหญิงทั้งหมดที่โหยหาและแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า ได้กลับมาอยู่ร่วมกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในไม่ช้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การประกาศข่าวประเสริฐ: วิธีที่หญิงพรหมจารี 10 คนในพระคัมภีร์รับองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้

องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าทุกสิ่งจะต้องเกิดขึ้น...

วิธีสัมฤทธิ์การกลับใจใหม่ที่แท้จริง ท่ามกลางความวิบัติทั้งหลาย

โดยเสี่ยวหยู, สหรัฐอเมริกา ใน ค.ศ 2020 ไวรัสโควิด-19 ได้กวาดล้างโลกทั้งใบ ผลักโลกให้เข้าสู่ภาวะตื่นตระหนก ที่น่าเสียขวัญเช่นกันก็คือ...

การศึกษาประจำวัน: 4 หนทางที่จะช่วยเหลือคุณให้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น

โดย เซียวโม ประเทศจีน ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีเพียงโดยการเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและมีการมีปฏิสัมพันธ์จริงกับพระเจ้าเท่านั้น...

ติดต่อเราผ่าน Messenger