ตอนนี้ฉันรู้วิธีเป็นพยานต่อพระเจ้าแล้ว

วันที่ 20 เดือน 02 ปี 2022

โดย สวีลู่, ประเทศจีน

เมื่อเดือนเมษายน ปี 2021 ฉันทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับพี่เฉิน ฉันมีประสบการณ์ในงานนั้นอยู่บ้างแล้ว ผ่านไปสักพัก ฉันก็เริ่มมีผลงานที่ดีกว่าเธอ ฉันแสดงให้เธอเห็นต่อหน้าว่าฉันทำสิ่งต่างๆ ยังไง ฉันตอบคำถามของผู้ที่อาจเปลี่ยนความเชื่อยังไง ฉันทำให้ดูอย่างละเอียด พี่เฉินรู้สึกทึ่งมาก มีครั้งหนึ่ง พี่น้องชายหญิงไม่มาร่วมการชุมนุม พอฉันไปสามัคคีธรรมกับพวกเขา ก็เริ่มมาเข้าร่วมตามปกติ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงนำ ดลใจพวกเขา แต่ฉันก็ให้กำลังใจตัวเอง คิดว่าตัวเองก็มีส่วน และอดไม่ได้ที่จะอวดตัวกับพี่เฉินว่า “ฉันพึ่งพิงพระเจ้า สามัคคีธรรมไม่กี่คำ พวกเขาก็อยากเข้าร่วมชุมนุม” เธอพูดอย่างชื่นชมว่า “ขอบคุณพระเจ้า! คุณแก้ไขสิ่งต่างๆ ผ่านการสามัคคีธรรมได้เก่งมาก” ฉันชอบที่ได้ยินเธอพูดอย่างนั้น และมีครั้งหนึ่ง ตอนเธอตอบคำถามของคนที่เธอทำการประกาศไม่ได้ เธอรู้สึกเศร้าใจมาก ฉันถามเธอว่าพูดกับพวกเขาว่าอะไร เธอก็สรุปให้ฉันฟัง แล้วฉันก็คิดว่า พี่เฉินเธอขาดประสบการณ์ คำถามพวกนั้นเป็นคำถามง่ายๆ เป็นฉันจะจัดการได้ในเวลาไม่นาน ฉันต้องสอนเธอว่าฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐยังไง ฉันบอกเธอถึงวิธีสามัคคีธรรมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พี่เฉินชอบสิ่งที่ฉันพูด บอกว่าตัวเองยังบกพร่องอยู่จริงๆ ขอให้ฉันช่วยเธอมากกว่านี้ ฉันบอกไปว่าเราต้องพึ่งพิงพระเจ้า แต่ในใจนั้นพอใจตัวเองเหลือเกิน ฉันรู้สึกว่าตัวเองทำงานได้ดี

ในการชุมนุม ผู้นำถามเราว่าช่วงที่ผ่านมาเราได้เรียนรู้อะไรในหน้าที่บ้าง พี่เฉินพูดว่า เธอได้เห็นว่าตัวเองบกพร่องแค่ไหน มีหลายคำถามที่เธอตอบไม่ได้ เธอบอกว่าฉันพบพระวจนะสำหรับการสามัคคีธรรมเร็วจริงๆ ผู้นำยิ้มให้ฉันและพยักหน้า ฉันรู้ว่าตัวเองประสบความสำเร็จในงานล่าสุดของเรา ฉันอยากแสดงให้ผู้นำเห็นใจจะขาดว่าฉันรู้มากแค่ไหน และฉันสามารถตอบคำถามของผู้คนได้ ฉันจงใจขัดจังหวะ โดยพูดว่า “การตอบคำถามพวกเขามันยากจริงๆ” ผู้นำก็ถามว่า “คำถามอะไร?” ฉันรีบคิดบางสิ่งบางอย่าง คิดถึงคำถามที่จะอวดทักษะของฉันได้ดีที่สุด ฉันเลือกคำถามที่ซับซ้อนที่สุด ผู้นำจะได้คิดว่าฉันตอบคำถามที่ยากที่สุดได้ ฉันจะได้ดูฉลาดมาก ฉันจึงออกท่าออกทาง ยิ้มแย้มแจ่มใส เล่าถึงวิธีที่ฉันตอบคำถามของผู้คน และสุดท้ายฉันโน้มน้าวใจพวกเขาได้ยังไง ฉันพูดเกินจริง พรรณนาสิ่งต่างๆ ให้มันยากกว่าที่เป็น เหมือนกับว่าคนอื่นแก้ปัญหาพวกนั้นไม่ได้ มีแต่ฉันเท่านั้นที่แก้ได้ ฉันอยากให้ผู้นำคิดว่า ฉันมีความเป็นจริงของความจริง ฉันเป็นคนแบ่งปันข่าวประเสริฐที่ดีที่สุดท่ามกลางทุกคน ผู้นำและพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ ต่างพากันยกย่องฉัน และฉันก็รับไว้อย่างหน้าชื่นตาบาน หลังถามถึงงานแบ่งปันข่าวประเสริฐของเรา ผู้นำก็สามัคคีธรรมตามหลักธรรมกับเรา หลังจากผู้นำพูดไปไม่กี่คำ ฉันก็คิดว่า ฉันมีประสบการณ์บางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกันที่ควรแบ่งปันจริงๆ ถ้าการสามัคคีธรรมดำเนินต่อ ฉันคงไม่มีโอกาสได้พูดถึงมัน ฉันอดใจรอที่จะแย่งซีนไม่ไหวเลยพูดไปว่า “ยังมีอะไรมากกว่านั้นค่ะ” แล้วฉันก็สรุปประสบการณ์ของฉัน แบ่งปันวิธีที่ฉันจัดการเพื่อให้ได้คนที่เปลี่ยนความเชื่อ ทุกคนพากันพยักหน้า ยิ่งพูดฉันก็ยิ่งออกรส พี่น้องชายหญิงสอดแทรกความคิดเห็นของตัวเอง แต่ฉันไม่ได้เก็บมาพิจารณา ฉันรู้สึกเหมือนพวกเขาไม่มีความเข้าใจจริงหรือมีความคิดที่มีคุณค่าเลย ฉันคอยแต่แบ่งปันความคิดเห็นตัวเอง ไม่ให้โอกาสคนอื่นได้พูด ฉันแค่อยากระบายประสบการณ์ทั้งหมด เพื่อให้ผู้นำเห็นว่าฉันมีพรสวรรค์ แสวงหาหลักธรรมในหน้าที่ได้ และเห็นว่าฉันมีความสามารถ ขณะที่พูด มันก็ผุดขึ้นในใจฉันว่า ฉันอาจกำลังอวดตัว ฉันเลยพยายามเพลาๆ ลง ควบคุมน้ำเสียง พูดถึงความเสื่อมทรามและข้อผิดพลาดเล็กน้อย แต่ฉันก็คิดด้วยว่า วิธีที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหล่านี้ควรจะสามัคคีธรรม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ทุกคน ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ตรงของฉัน ฉันไม่อาจหยุดสามัคคีธรรมเพียงเพราะกลัวว่าจะอวดตัว พอคิดได้แบบนั้น ฉันก็พูดไปเรื่อย แล้วฉันก็เห็นผู้นำพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเห็นชอบ ฉันสนุกกับมันมาก ดังนั้นในการชุมนุมครั้งนั้น พูดง่ายๆ คือทุกคนก็แค่ฟังฉันพูด ไม่ใช่แค่นั้น แต่ในการชุมนุมหลายๆ ครั้ง ฉันแทบไม่บอกคนอื่นถึงสภาวะที่เป็นลบ หรือตัวอย่างความล้มเหลวของตัวเองเลย ฉันรู้สึกเหมือนมันจะทำลายภาพลักษณ์ ฉันจึงเลือกพูดแต่ความสำเร็จของตัวเอง หลังการชุมนุมสองสามครั้ง ทุกคนก็คิดว่าฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐได้ดี และคนอื่นๆ บางคนในหน้าที่นั้นก็เริ่มพึ่งพาฉัน พวกเขาขอให้ฉันไปพูดกับคนที่ติดอยู่ในมโนคติอันหลงผิดโดยตรง ฉันยิ่งชอบมากกว่าเดิม พอใจกับความรู้สึกที่ได้รับการเคารพนับถือ

เวลาฉันรู้สึกพอใจในตัวเองมากๆ การบ่มวินัยก็มาถึง ฉันเริ่มพบอุปสรรคมากมายและทำอะไรไม่สำเร็จเลย ฉันคิดว่า ฉันมักจะโอ้อวดและอวดตัวกับคนอื่นในการชุมนุม ตอนนี้ฉันกลับทำอะไรไม่เป็นผลเลย หรือพระเจ้าทรงรังเกียจฉันและซ่อนพระองค์ไปจากฉัน ฉันเปิดอกถึงสภาวะที่เป็นอยู่กับพี่เฉิน เธอพูดว่า “ตลอดเวลาที่รู้จักกันมา ฉันสังเกตว่าคุณมักจะคุยโว เวลาผู้นำมาร่วมการชุมนุม คุณจะเอาแต่พูดตลอดเวลา คุณตัดบทเธอก่อนที่เธอจะพูดจบ ฉันไม่ได้ถามคำถามด้วยซ้ำ เห็นประสบการณ์ทั้งหมดที่คุณแบ่งปันข่าวประเสริฐ ฉันรู้สึกด้อยกว่าคุณมาก” ได้ยินแบบนั้นฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการอวดตัวของฉันจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบ นั่นไม่ใช่การกระทำชั่วหรอกหรือ? ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง และนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ที่ว่า “ทั้งหมดของบรรดาพวกที่เดินลงเหวนั้น ล้วนยกย่องตัวพวกเขาเองและให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเอง พวกเขาเที่ยวอวดตัวไปทั่วเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและคุยโวโอ้อวดตัวเองเกินจริง และพวกเขาไม่ได้นำพระเจ้าเข้าไปในหัวใจแต่อย่างใดเลย พวกเจ้ามีประสบการณ์ในเรื่องที่เรากำลังพูดคุยอยู่บ้างหรือไม่? ผู้คนมากมายกำลังให้คำพยานต่อตัวพวกเขาเองอยู่เป็นนิตย์ว่า ‘ข้าพเจ้าได้ทนทุกข์ในหนทางนี้หนทางนั้น ข้าพเจ้าได้ทำงานนี้งานนั้น พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติต่อข้าพเจ้าในหนทางนี้หนทางนั้น พระองค์ทรงขอให้ข้าพเจ้าทำดังนี้ดังนั้น พระองค์ทรงพระดำริเกี่ยวกับข้าพเจ้าอย่างสูงส่งเป็นพิเศษ และตอนนี้ข้าพเจ้าจึงเป็นดังนี้ดังนั้น’ พวกเขาจงใจพูดจาในกระแสเสียงเฉพาะอย่างหนึ่งและนำท่าทางเฉพาะอย่างหนึ่งมาใช้ ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้คนบางคนจบลงตรงความคิดที่ว่าผู้คนเหล่านี้คือพระเจ้า ทันทีที่พวกเขาได้มาถึงจุดนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาไปนานแล้ว แม้ว่าในระหว่างนั้น พวกเขาถูกเพิกเฉยและไม่ถูกขับไล่ แต่ชะตากรรมของพวกเขาถูกกำหนดแล้ว และทั้งหมดที่พวกเขาทำได้ก็คือ รอคอยการลงโทษพวกเขา(“ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเสียดแทงใจฉันมาก ฉันเผชิญอุปสรรคมากมาย และไม่รู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจความโอ้อวดของฉัน พระอุปนิสัยอันชอบธรรมจะไม่ทนต่อการล่วงเกินของมนุษย์ ฉันรู้สึกกลัวขึ้นมา ฉันรู้ว่าขืนเป็นแบบนั้นต่อ พระเจ้าจะทรงทอดทิ้งฉันด้วยความรังเกียจ ฉันต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหานี้

ฉันอาจพระวจนะบทตอนหนึ่งที่เปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ค่ะ “การยกย่องและการให้การเป็นพยานกับตัวพวกเขาเอง การโอ้อวดตัวพวกเขาเอง การลองพยายามที่จะทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขา—มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ นี่คือวิธีที่ผู้คนแสดงปฏิกิริยาไปตามสัญชาตญาณเมื่อพวกเขาถูกธรรมชาติเยี่ยงซาตานของพวกเขาครอบงำ และนี่เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งปวง ผู้คนมักจะยกย่องและให้การเป็นพยานต่อตัวพวกเขาเองอย่างไรหรือ? พวกเขาสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้อย่างไรเล่า? หนทางหนึ่งคือการให้การเป็นพยานว่าพวกเขาได้ทนทุกข์มามากเพียงใด พวกเขาได้ทำงานมามากเพียงใด และพวกเขาได้สละตัวพวกเขาเองมามากเพียงใด พวกเขาพูดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ในรูปแบบของเงินทุนส่วนตัว กล่าวคือ พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเงินทุนซึ่งพวกเขาใช้ในการยกย่องตัวพวกเขาเอง ซึ่งให้พวกเขามีที่ทางซึ่งสูงกว่า มั่นคงกว่า ปลอดภัยกว่าในจิตใจของผู้คน เพื่อที่จะได้มีผู้คนมากขึ้นนับถือ เลื่อมใส เคารพ และแม้กระทั่งเทิดทูน ชื่นชู และติดตามพวกเขา นั่นคือผลพวงสูงสุด สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำเพื่อสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้—การยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองทั้งหมด—มีเหตุผลหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นไม่มีเหตุผล สิ่งเหล่านั้นอยู่เลยพ้นข่ายรับผิดชอบของความมีเหตุผล ผู้คนเหล่านี้ไม่มีความอับอายเลย กล่าวคือ พวกเขาเป็นพยานยืนยันอย่างหน้าไม่อายถึงสิ่งที่พวกเขาได้ทำไปเพื่อพระเจ้าและว่าพวกเขาได้ทนทุกข์ไปมากมายเพียงใดเพื่อพระองค์ พวกเขาถึงขั้นโอ้อวดพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษ ประสบการณ์ และทักษะพิเศษของพวกเขา หรือเทคนิคอันฉลาดแยบยลของพวกเขาสำหรับการประพฤติปฏิบัติตน และวิธีการที่พวกเขาใช้ในการเล่นกับผู้คน วิธีการของพวกเขาในการยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองคือ การโอ้อวดตัวพวกเขาเองและดูแคลนผู้อื่น พวกเขายังกลบเกลื่อนและอำพรางตัวพวกเขาเองด้วยเช่นกัน โดยซ่อนเร้นความอ่อนแอ ข้อบกพร่อง และความล้มเหลวของพวกเขาจากผู้คน เพื่อที่ผู้คนเหล่านั้นจะเพียงแค่มองเห็นความปราดเปรื่องของพวกเขาไปตลอดเท่านั้น พวกเขาไม่แม้กระทั่งกล้าที่จะบอกผู้คนอื่นๆ เมื่อพวกเขารู้สึกคิดลบ พวกเขาขาดพร่องความกล้าที่จะเปิดกว้างและสามัคคีธรรมกับผู้อื่น และเมื่อพวกเขาทำบางสิ่งที่ผิด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถในการที่จะปกปิดสิ่งที่ผิดนั้นและปิดบังสิ่งที่ผิดนั้น พวกเขาไม่เคยพูดพาดพิงถึงอันตรายซึ่งพวกเขาได้เป็นเหตุให้เกิดขึ้นต่อพระนิเวศของพระเจ้าในครรลองของการทำหน้าที่ของพวกเขาเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้มีส่วนร่วมแบ่งปันเล็กน้อยอยู่บ้างหรือได้สัมฤทธิ์ความสำเร็จเล็กน้อยอยู่บ้าง พวกเขาก็รีบร้อนที่จะโอ้อวดการนั้น พวกเขาไม่สามารถรอเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด ขีดความสามารถของพวกเขาสูงเพียงใด พวกเขายอดเยี่ยมเพียงใด และพวกเขาดีกว่าผู้คนปกติมากเพียงใด นี่ไม่ใช่หนทางของการยกย่องและการเป็นพยานยืนยันต่อตัวพวกเขาเองหรอกหรือ?(“พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานเกี่ยวกับตัวเอง” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) ฉันอวดตัวและยกชูตัวเอง เหมือนที่พระเจ้าทรงบรรยายไว้ไม่ใช่หรือ? ฉันไม่ได้เป็นพยานต่อพระเจ้า แต่ฉันแค่อวดตัวเพื่อให้ผู้คนนับถือ ฉันใช้ประสบการณ์ข่าวประเสริฐเหมือนเป็นเงินทุนส่วนตัว คิดว่าตัวเองฉลาดและมีคารมคมคาย แค่วางท่าอวด พอทำอะไรสำเร็จเข้าหน่อย ฉันก็โอ้อวดกับพี่น้องหญิงที่ร่วมงานด้วยถึงความสามารถในการแก้ปัญหา พอเห็นว่าเธอเผชิญความล้มเหลว ฉันก็เล่าถึงประสบการณ์ของตัวเอง ฉันอวดตัวกับเธออยู่ตลอด แสดงความสามารถของตัวเอง ภายนอกฉันแสร้งทำเป็นช่วยเธอ แต่อันที่จริงแค่เพื่อโอ้อวดตัวเอง ฉันอยากให้เธอคิดว่าฉันดีกว่าเธอ ทำให้เธอลงเอยด้วยการจำกัดตัวเองและรู้สึกคิดลบ เธอพึ่งพาฉันในการทำหน้าที่ แทนที่จะเป็นพระเจ้า เมื่อผู้นำมาที่การชุมนุม ฉันก็คอยแสดงตัวตลอดเวลา คุยโวถึงปัญหายากๆ ที่ฉันแก้ไขได้ เพื่อแสดงความสามารถ ผู้นำจะได้ชื่นชมยกย่องฉัน รู้สึกว่าฉันมีทักษะและสามารถแก้ปัญหาได้จริง เวลาผู้นำสามัคคีธรรมตามหลักธรรม ฉันก็พูดขัดจังหวะโดยไม่รอให้เธอพูดจบด้วยซ้ำ พูดถึงวิธีที่ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐตามหลักธรรม แสดงความสามารถเพื่อให้คนอื่นนับถือ ฉันได้เห็นว่าตัวเองน่ารังเกียจและเจ้าเล่ห์จริงๆ เนื่องจากฉันมักขัดจังหวะและอวดตัวในการชุมนุม ไม่ให้โอกาสคนอื่นได้สามัคคีธรรม การชุมนุมจึงกลายเป็นเหมือนงานแสดงส่วนตัวฉัน ขโมยโอกาสคนอื่นเพื่อจะตอบคำถามเสียเอง ฉันไม่อาจสงบใจเพื่อไตร่ตรองพระวจนะ และรับฟังประสบการณ์ของคนอื่น แต่ทุ่มความคิดทั้งหมดว่าจะสามัคคีธรรมยังไงให้คนอื่นชื่นชม ฉันไม่ได้เรียนรู้ในการชุมนุมมากนัก ฉันรู้ว่าตัวเองมีข้อบกพร่องและความล้มเหลวมากมาย แต่ฉันกลัวว่าจะทำลายภาพลักษณ์ในสายตาคนอื่น ฉันเลยปกปิดข้อบกพร่องเหล่านั้นไว้ พูดถึงแต่ความสำเร็จเท่านั้น แล้วคนอื่นๆ ในทีมข่าวประเสริฐก็จะชื่นชมและพึ่งพาฉัน ฉันนำทุกคนมาอยู่ต่อหน้า ฉันไม่กลัวแถมยังเพลิดเพลินไปกับมัน ฉันเห็นจากพฤติกรรมว่าไม่ได้พยายามทำหน้าที่เพื่อให้พระเจ้าพอพระทัย แต่กลับหลอกลวงผู้คนให้ติดกับ

ฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ ที่ช่วยให้ฉันเข้าใจธรรมชาติและแก่นแท้ของตัวเอง “ผู้คนบางคนชื่นชูเปาโลมากเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาชอบที่จะออกไปข้างนอกและกล่าวสุนทรพจน์และทำงาน พวกเขาชอบที่จะเข้าร่วมการชุมนุมและเทศนา พวกเขาชอบให้ผู้คนฟังพวกเขา เคารพบูชาพวกเขา และกังวลสนใจพวกเขาเป็นหลัก พวกเขาชอบที่จะมีสถานะในจิตใจของผู้อื่น และพวกเขาซาบซึ้งเมื่อผู้อื่นให้คุณค่าภาพลักษณ์ที่พวกเขานำเสนอ พวกเราลองมาวิเคราะห์ธรรมชาติของพวกเขาจากพฤติกรรมเหล่านี้กันว่า สิ่งใดหรือที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา? หากพวกเขาประพฤติเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วมันก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเขาโอหังและทะนงตน พวกเขาไม่นมัสการพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกเขาแสวงหาสถานะที่สูงส่งกว่าและปรารถนาที่จะมีสิทธิอำนาจเหนือผู้อื่น ที่จะครองพวกเขา และที่จะมีสถานะในจิตใจของพวกเขา นี่คือภาพลักษณ์ดั้งเดิมของซาตาน แง่มุมที่โดดเด่นของธรรมชาติของพวกเขาก็คือความโอหังและความทะนงตน ความไม่เต็มใจที่จะนมัสการพระเจ้า และความปรารถนาที่จะได้รับการเคารพบูชาจากผู้อื่น พฤติกรรมเช่นนั้นสามารถให้ทรรศนะที่ชัดเจนมากแก่เจ้าในเรื่องธรรมชาติของพวกเขา(“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) สิ่งนี้ทำให้ฉันตระหนักว่า การโอ้อวดอยู่เสมอนั้นถูกธรรมชาติอันโอหังควบคุม ฉันชอบความรู้สึกที่ได้รับการชื่นชมและสนับสนุนตั้งแต่ยังเด็ก นั่นจึงเป็นสิ่งที่ฉันไล่ตามมาตลอดในชีวิต แม้ว่าหลังจากได้รับความเชื่อ ฉันก็ยังคงทำแบบนั้น โอ้อวดและอวดตัวทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันเพลิดเพลินไปกับมัน สุขใจเวลาเห็น คนมองฉันด้วยความชื่นชม การเผยแผ่ข่าวประเสริฐเป็นความรับผิดชอบ เป็นหน้าที่ของฉัน ความสำเร็จใดๆ ก็ตามล้วนเป็นเพราะการทรงนำของพระเจ้า แต่ฉันถูกความโอหังควบคุม ใช้พรสวรรค์หรือประสบการณ์เหมือนกับเงินทุนส่วนตัว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองคือพรสวรรค์ที่ขาดไม่ได้ และมองข้ามทุกคน ฉันยังคว้าทุกโอกาสที่จะโอ้อวดต่อหน้าพี่น้องชายหญิง ว่าฉันประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐยังไง แต่ไม่เคยพูดถึงข้อบกพร่องหรือความล้มเหลวของตัวเองเลย พี่น้องชายหญิงจึงเริ่มมาพึ่งพาฉันแทนที่จะพึ่งพาพระเจ้า ในหัวใจพวกเขาไม่มีที่ให้แก่พระเจ้า พระเจ้าควรครอบครองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจผู้คน แต่ฉันนำผู้อื่นมาอยู่ต่อหน้า ในหัวใจของพวกเขาจึงมีแต่ที่สำหรับฉันเท่านั้น นี่ฉันแข่งขันกับพระเจ้าเพื่อสถานะไม่ใช่หรือ? ฉันคิดถึงเปาโล ผู้ที่โอหังมากในยุคพระคุณ ในสารของเขา เขาไม่เคยยกย่ององค์พระเยซูคริสต์เจ้าเลย ไม่เคยเป็นพยานต่อสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงงานเพื่อมวลมนุษย์เลย เขาคุยโวโอ้อวดตัวเองถึงพรสวรรค์และความสามารถ หลอกล่อผู้อื่นให้มาชื่นชมและติดตามเขา เขาเป็นพยานยืนยันว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าอัครทูตคนอื่น และสุดท้ายก็บอกว่าเขาใช้ชีวิตเหมือนพระคริสต์ ซึ่งล่วงเกินพระอุปนิสัยอย่างร้ายแรง เปาโลยกชูตัวเองอยู่เสมอ ทำให้คนอื่นยกย่องเขา จนเป็นเวลาสองพันปีที่ผู้เชื่อปฏิบัติต่อวาจาของเขาเสมือนพระวจนะ เป็นพื้นฐานสำหรับความเชื่อและหลักธรรมเพื่อนำไปปฏิบัติ วาจาของเขาเหนือกว่าพระวจนะ ทำให้พระเจ้าเป็นแค่หุ่นเชิด สุดท้ายเปาโลก็กลายเป็นศัตรูของพระคริสต์อันดับแรกและถูกพระเจ้าลงโทษ ฉันตระหนักว่าตัวเองเป็นเหมือนเปาโล ฉันไม่ยกย่องพระเจ้าในการทำหน้าที่ แต่แค่อวดตัวและหลอกล่อใจผู้คน แบบนั้นจะเป็นการทำหน้าที่ได้ยังไง? ฉันก็แค่ทำธุรกิจส่วนตัว ต่อต้านและต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อพื้นที่ นั่นเป็นการล่วงเกินพระเจ้าอย่างร้ายแรง ตอนนั้นฉันรู้สึกกลัวจริงๆ และเห็นว่ามันอันตรายแค่ไหน ฉันมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าฯ ไม่อยากใช้ชีวิตต่อต้านพระองค์ภายใต้อุปนิสัยอันเสื่อมทราม โปรดบ่มวินัย หากข้าพระองค์อวดตัวอีก พระเจ้า ทรงนำให้ข้าฯ เข้าใจตัวเองอย่างลึกซึ้งขึ้นด้วย”

ต่อมาฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันละอายใจมาก “จงอย่าคิดว่าเจ้าเข้าใจทุกสิ่ง เราบอกเจ้าว่าทั้งหมดที่เจ้าเคยเห็นและเคยได้รับประสบการณ์มาแล้วนั้นไม่พอเพียงที่จะทำให้เจ้าเข้าใจแม้เพียงหนึ่งในพันของแผนการบริหารจัดการของเรา ถ้าเช่นนั้น เหตุใดเจ้าจึงทำตัวหยิ่งผยองนัก? พรสวรรค์อันเล็กน้อยและความรู้อันน้อยนิดที่เจ้ามีนั้นไม่พอเพียงที่จะให้พระเยซูทรงใช้แม้เพียงหนึ่งวินาทีในพระราชกิจของพระองค์! จริงๆ แล้วเจ้ามีประสบการณ์มากเท่าใดกัน? สิ่งที่เจ้าเคยเห็นและทั้งหมดที่เจ้าเคยได้ยินมาในช่วงชีวิตของเจ้า และสิ่งที่เจ้าเคยจินตนาการถึงนั้นน้อยกว่างานที่เราทำในชั่วขณะเดียวเสียอีก! เจ้าอย่าจับผิดและมองหาความผิดพลาดจะดีที่สุด เจ้าสามารถโอหังได้เท่าที่เจ้าต้องการ แต่เจ้าไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างซึ่งไม่แม้แต่จะเทียบเท่าได้กับมดสักตัว! ทั้งหมดที่เจ้ามีในพุงเจ้านั้นน้อยกว่าสิ่งที่อยู่ในพุงของมดตัวหนึ่ง! จงอย่าคิดว่านี่ทำให้เจ้ามีสิทธิทำท่าทางอย่างลำพองและคุยโตได้เพียงเพราะเจ้าเคยได้รับประสบการณ์และวัยวุฒิมาบ้างแล้ว ประสบการณ์และวัยวุฒิของเจ้าไม่ใช่ผลิตผลของคำพูดที่เราได้เอ่ยออกไปหรอกหรือ? เจ้าเชื่อหรือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนจากแรงงานและการตรากตรำงานหนักของเจ้าเองไหม? วันนี้ เจ้ามองเห็นว่าเราได้บังเกิดเป็นมนุษย์ และด้วยเหตุนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงมีความคิดรวบยอดต่างๆ มากจนเกินไปในตัวเจ้าและมีมโนคติอันหลงผิดมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากไม่ใช่เพราะการจุติเป็นมนุษย์ของเรา ต่อให้เจ้าจะมีพรสวรรค์พิเศษก็ตาม เจ้าก็จะไม่มีมโนทัศน์มากมายขนาดนี้ และไม่ใช่เพราะมโนทัศน์เหล่านี้หรอกหรือ มโนคติอันหลงผิดของเจ้าจึงเกิดขึ้น?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์) ฉันไม่มีความเป็นจริงของความจริง แค่รู้หลักคำสอนบางอย่าง ได้รับประสบการณ์มาบ้าง ได้ทำงานเล็กน้อยแล้วมองข้ามคนอื่น แม้แต่พระเจ้า ฉันขโมยพระสิริของพระเจ้า ฉันโอหังอย่างไร้เหตุผล ขณะแบ่งปันข่าวประเสริฐ จริงๆ แล้วฉันรู้ดีว่าพระเจ้าทรงค้ำจุนงานของพระองค์เอง บางครั้ง มีคนถามคำถามที่ฉันไม่รู้จะตอบยังไง ฉันก็จะอธิษฐานต่อพระเจ้า หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความรู้แจ้ง ฉันถึงรู้วิธีจัดการปัญหา บางครั้งฉันไม่ได้พูดอะไรมากด้วยซ้ำ แต่แค่อ่านพระวจนะบางส่วน ผู้คนก็จะจำพระสุรเสียงได้ทันที และพร้อมจะแสวงหางานในยุคสุดท้ายของพระองค์ ฉันเห็นว่าทั้งหมดล้วนสำเร็จได้โดยการนำของพระวจนะ ที่พระเจ้าทรงดลใจผู้คน มีครั้งหนึ่ง ฉันแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่ชายของพี่สาวคนหนึ่งในคริสตจักร มีคนไม่น้อยเคยสามัคคีธรรมกับเขามาก่อน แต่เขาถูกจำกัดด้วยมโนคติอันหลงผิด และไม่ได้สืบค้นดู ฉันไม่ได้รู้สึกมั่นใจเกินไป แต่แค่เตรียมพร้อมเล็กน้อยจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของตัวเอง พอฉันพูดกับเขาถึงสิ่งที่ฉันคิดไว้แล้ว เขาไม่สนใจแถมยังหยิบยกมโนคติอันหลงผิดมามากขึ้น ฉันไม่รู้จะสามัคคีธรรมยังไง ฉันจึงอธิษฐานและพึ่งพิงพระเจ้า ขอให้พระเจ้าทรงนำเขา จากนั้นเขาได้ชมวิดีโอคำพยาน และประทับใจมากในการสามัคคีธรรม อยากสืบค้นพระราชกิจใหม่จริงๆ ฉันประหลาดใจมาก เขาเปลี่ยนเป็นคนละคนในเวลาไม่ถึง 30 นาที ฉันรู้ว่า นั่นไม่ใช่เพราะฉันสามัคคีธรรมได้ดี แต่เพราะพระเจ้าทรงดลใจเขา เมื่อแรงจูงใจในหน้าที่ของฉันผิด ไม่ว่าฉันจะพูดคล่องแค่ไหน ก็ไม่มีใครอยากยอมรับข่าวประเสริฐ ประสบการณ์แสดงให้ฉันเห็นว่า พรสวรรค์และขีดความสามารถ แค่มีบทบาทสนับสนุนในการทำหน้าที่ พวกมันไม่ใช่ปัจจัยกำหนด แกะของพระเจ้าจะได้ยินพระสุรเสียง ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้า จะได้ยินพระสุรเสียงในพระวจนะ และอยากสืบค้นหนทางที่แท้จริง ถ้าไม่ใช่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือก จะพูดจาคล่องแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ แม้ไม่มีพรสวรรค์ใดๆ ถ้าหัวใจของคนคนนั้นอยู่ในที่ที่ถูก พึ่งพาพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาก็จะได้รับการทรงนำ และจะประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ความสำเร็จในหน้าที่ของฉันจริงๆ มาจาก ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการนำของพระวจนะ ไม่อย่างนั้น ไม่ว่าฉันจะพูดด้วยตัวเองมากแค่ไหน ก็ไม่มีทางโน้มน้าวใจผู้เชื่อได้ ฉันทำผลงานได้น้อยนิดแต่โอ้อวดไปทั่ว ขโมยพระสิริของพระเจ้า ไร้สาระสิ้นดี ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองตาบอดจริงๆ ฉันยกเกียรติทั้งหมดให้ตัวเองสำหรับความสำเร็จเพียงเล็กน้อย และใช้เป็นข้ออ้างในการโอ้อวด ฉันมันไร้ยางอายจริงๆ พอนึกย้อนกลับไปถึงวิธีที่ฉันอวดตัว ฉันรู้สึกตัวเองต่ำช้ามาก ฉันมันเป็นตัวตลกจริงๆ เที่ยวหลับหูหลับตาโอ้อวด ถ้าพระเจ้าไม่ทรงสร้างสถานการณ์ยากๆ ให้ฉันแล้วให้พี่สาวมาวิจารณ์ฉัน ฉันก็ยังคงไม่รู้สึก ไม่รู้จักตัวเองเลย เมื่อตระหนักดังนี้ ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐาน อยากจะกลับใจ เพื่อเลิกยกชูตัวเองและอวดตัว

ต่อมา ฉันตั้งใจแสวงหาว่าควรยกย่องและเป็นพยานต่อพระเจ้ายังไง ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “ตอนที่กำลังเป็นคำพยานต่อพระเจ้า โดยหลักนั้น เจ้าควรพูดคุยให้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงพิพากษาและตีสอนผู้คน บททดสอบอะไรที่พระองค์ทรงใช้ถลุงผู้คนและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขา เจ้าควรพูดคุยเกี่ยวกับการที่ความเสื่อมทรามได้ถูกเปิดเผยในประสบการณ์ของพวกเจ้าไปมากเท่าไร เจ้าได้สู้ทนไปมากเท่าใด และพระเจ้าได้ทรงพิชิตเจ้าอย่างไรในท้ายที่สุดนั้น นั่นคือ เจ้ามีความรู้ที่เป็นจริงเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้ามากเท่าไร และเจ้าควรเป็นพยานสำหรับพระเจ้าและชดใช้คืนพระองค์สำหรับความรักของพระองค์อย่างไร พวกเจ้าควรใส่สาระสำคัญเข้าไปในภาษาประเภทนี้ ในขณะเดียวกันก็ทำไปในลักษณะอันเรียบง่าย จงอย่าพูดคุยเกี่ยวกับทฤษฎีอันว่างเปล่าทั้งหลาย จงพูดจาแบบติดดินไม่ถือตัวให้มากกว่านี้ พูดจาจากหัวใจ นี่คือวิธีที่เจ้าควรได้รับประสบการณ์ จงอย่าทำให้มีทฤษฎีว่างเปล่าทั้งหลายที่ดูลุ่มลึกอยู่ในตัวพวกเจ้าเองด้วยความพยายามที่จะโอ้อวด การทำเช่นนั้นทำให้เจ้าปรากฎเป็นค่อนข้างโอหังและไร้เหตุผล เจ้าควรพูดให้มากขึ้นถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นจริงจากประสบการณ์จริงของเจ้าซึ่งเป็นจริงแท้และมาจากหัวใจ การนี้มีประโยชน์ต่อผู้อื่นที่สุด และเป็นการเหมาะสมที่สุดที่พวกเขาจะมองเห็น(“โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นว่า การยกย่องและเป็นพยานต่อพระเจ้าคือการเป็นพยานยืนยันต่องาน พระอุปนิสัย พูดถึงความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏของเราเอง และวิธีที่เราเรียนรู้ตัวเองผ่านการพิพากษาแห่งพระวจนะ แล้วผู้อื่นก็จะได้มีปัญญาแยกแยะ เห็นความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นเดียวกับความรักที่พระองค์มีต่อเรา แต่ฉันกลับพูดถึงแต่ความสำเร็จในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ แทบไม่เคยพูดถึงความเสื่อมทรามที่ฉันแสดงหรือฉันต่อต้านพระเจ้ายังไง ฉันไม่ได้เป็นพยานต่อพระเจ้า ฉันต้องการแสดงตัวตนที่แท้จริง เปิดเผยว่าฉันเคยคุยโวโอ้อวดตัวเองยังไง ตีแผ่การดิ้นรนต่อสู้และข้อบกพร่องในการประกาศข่าวประเสริฐ และแบ่งปันว่าพระวิญญาณทรงนำฉันยังไง ฉันต้องการสามัคคีธรรมทั้งหมดนั้น เพื่อที่คนอื่นจะได้เข้าใจฉันได้ชัดเจน และเห็นว่าพระเจ้าทรงงานยังไง แล้วพวกเขาก็จะมีความเชื่อที่จะพึ่งพาพระเจ้าในหน้าที่ เพื่อได้รับการทรงนำ พอฉันได้เปิดอกแบบนั้น ทุกคนก็ตระหนักว่าพวกเขาไม่มีพระเจ้าอยู่ในหัวใจจริงๆ พวกเขาอยากสร้างความเปลี่ยนแปลง เพื่อพึ่งพิงพระเจ้าในหน้าที่

จากนั้นฉันก็ดูวิดีโอพระวจนะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งใดคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า เกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น? สิ่งใดคือความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระองค์และเกี่ยวกับฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดและพระปรีชาญาณของพระองค์? ผู้ใดรู้หรือไม่ว่ากี่ปีมาแล้วที่พระเจ้าได้กำลังทรงพระราชกิจอยู่ท่ามกลางมนุษยชาติทั้งมวลและทุกสรรพสิ่ง? ตราบจนถึงวันเวลาปัจจุบัน ไม่มีใครเลยที่รู้จำนวนปีที่แม่นยำที่พระเจ้าได้กำลังทรงพระราชกิจและบริหารจัดการมวลมนุษย์ทั้งปวงอยู่ พระองค์ไม่ทรงแถลงสิ่งทั้งหลายดังกล่าวต่อมวลมนุษย์ ทว่าหากซาตานจะทำการนี้เพียงเล็กน้อย มันจะประกาศแถลงหรือไม่? แน่นอนว่ามันคงจะประกาศแถลงถึงการนั้น ซาตานต้องการอวดโอ้ตัวมัน เพื่อที่มันอาจหลอกลวงผู้คนเป็นจำนวนมากขึ้นและทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นเชื่อถือมัน เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงแถลงถึงการดำเนินงานนี้? มีแง่มุมหนึ่งของแก่นแท้ของพระเจ้าที่ถ่อมพระทัยและซ่อนเร้น สิ่งใดหรือที่อยู่ตรงข้ามกับความถ่อมใจและความซ่อนเร้น? ความโอหัง ความเหิมเกริม และความทะเยอทะยาน…พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่แตกต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขาอวดตัวต่อหน้าทุกคนเกี่ยวกับสิ่งเล็กน้อยทุกสิ่งที่พวกเขาทำ เวลาได้ยินพวกเขา ก็ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า—แต่หากเจ้าฟังอย่างใกล้ชิด เจ้าจะค้นพบว่าพวกเขาไม่ได้กำลังให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า แต่กำลังอวดโอ้ กำลังสร้างชื่อให้ตัวเอง แรงจูงใจและแก่นแท้เบื้องหลังสิ่งที่พวกเขาพูดคือการแย่งชิงกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรและสถานะพระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น และซาตานก็โอ้อวดตัวมันเอง มีความแตกต่างหรือไม่? จะสามารถบรรยายซาตานว่าถ่อมใจได้หรือไม่? (ไม่) เมื่อตัดสินโดยธรรมชาติและแก่นแท้ที่เลวของมัน มันคือขยะไร้ค่าชิ้นหนึ่ง ทั้งนี้ คงจะเป็นเรื่องพิเศษเหนือธรรมดาสำหรับซาตานที่จะไม่โอ้อวดตัวมันเอง จะสามารถเรียกซาตานว่า ‘ถ่อมใจ’ ได้อย่างไรกัน? ‘ความอ่อนน้อมถ่อมตน’ เป็นการพูดถึงพระเจ้า พระอัตลักษณ์ แก่นแท้ และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นสูงส่งเลิศเลอและทรงเกียรติ แต่พระองค์ไม่ทรงอวดโอ้เลย พระเจ้าถ่อมพระทัยและทรงซ่อนเร้น พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ผู้คนเห็นสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำแล้ว แต่ขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจในความเลือนรางดังกล่าว มนุษยชาติก็ได้รับการจัดเตรียมไว้ให้ การบำรุงเลี้ยง และการทรงนำอย่างไม่หยุดหย่อน—และทั้งหมดนี้จัดการเตรียมการโดยพระเจ้า การที่พระเจ้าไม่ทรงแพร่งพรายสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ทรงพาดพิงถึงสิ่งเหล่านี้เลย นั่นใช่ความซ่อนเร้นและความอ่อนน้อมถ่อมตนหรือไม่? พระเจ้าถ่อมพระทัยแน่นอนว่าเพราะพระองค์ทรงมีความสามารถที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ไม่ทรงพาดพิงถึงหรือแพร่งพรายสิ่งเหล่านี้เลย ไม่ทรงเสวนาสิ่งเหล่านี้กับผู้คน เจ้ามีสิทธิอะไรหรือที่จะพูดถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนในเมื่อเจ้าไม่สามารถทำสิ่งทั้งหลายดังกล่าวได้? เจ้าไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเลยไม่ว่าสิ่งใด แต่กระนั้นกลับดึงดันที่จะรับเอาความน่าเชื่อถือสำหรับสิ่งเหล่านั้น—นี่เรียกว่าการไร้ยางอาย ขณะที่ทรงนำมวลมนุษย์ พระเจ้าทรงดำเนินพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงเป็นประธานเหนือทั้งจักรวาล สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กระนั้นก็ตาม พระองค์กลับไม่เคยตรัสว่า ‘ความสามารถของเราพิเศษเหนือธรรมดา’ พระองค์ยังคงซ่อนเร้นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง โดยทรงเป็นประธานเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง บำรุงเลี้ยงและจัดเตรียมให้แก่มนุษยชาติ เปิดโอกาสให้มนุษยชาติคงอยู่ต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ลองดูอากาศและแสงอาทิตย์เป็นตัวอย่างสิ หรือสิ่งของทางวัตถุที่มองเห็นได้ทั้งหมดซึ่งจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไหลเวียนไปโดยไม่มีการหยุดยั้ง การที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับมนุษย์นั้นไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้น หากซาตานทำบางสิ่งที่ดี มันจะเก็บสิ่งนั้นไว้เงียบๆ และดำรงตนเป็นวีรบุรุษที่ไม่เป็นที่รู้จักอยู่กระนั้นหรือ? ไม่มีวัน นั่นก็เป็นเหมือนการที่มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนในคริสตจักรซึ่งก่อนหน้านี้ได้ทำงานอันเป็นภัยอันตราย หรือครั้งหนึ่งได้ทำงานอันเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง ซึ่งอาจได้เข้าคุกตารางไปแล้วเสียด้วยซ้ำ แล้วยังมีบรรดาผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีคุณูปการต่องานด้านหนึ่งแห่งพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่เคยลืมสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาคิดว่าพวกเขาสมควรได้รับความดีความชอบไปชั่วชีวิตสำหรับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาคิดว่าสิ่งเหล่านี้คือทุนชีวิตของพวกเขา—ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้คนต่ำต้อยเพียงใด! ผู้คนต่ำต้อยและซาตานก็ไร้ยางอาย(“พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สอง)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) การที่พระเจ้าช่างอ่อนน้อมและซ่อนเร้น ทำให้ฉันละอายใจจริงๆ พระเจ้าทรงสูงสุด แต่พระองค์ยังทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และมายังโลก แสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด งานจะยิ่งใหญ่แค่ไหนหรือแสดงความจริงมากมายเพียงใด พระองค์ก็ไม่เคยโอ้อวด พระองค์แค่เฝ้าดูมนุษย์อย่างเงียบๆ แก่นแท้ของพระเจ้าคือพระเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ แต่ฉันเป็นเพียงเศษธุลี ไม่มีอะไรเลย ดิ้นรนเพื่อให้ได้รับการชื่นชม ต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อที่ที่หนึ่ง ฉันคุยโวถึงสิ่งเล็กน้อยที่ฉันทำ กลัวว่าคนอื่นจะไม่เห็น เห็นชัดว่าพระเจ้าทรงงานทั้งหมด ฉันแค่ร่วมมือเพียงเล็กน้อย ฉันขโมยพระสิริอย่างไร้ยางอาย อวดพรสวรรค์และขีดความสามารถของตัวเองอยู่ตลอด ฉันอยากชักนำผู้คนไปในทางที่ผิด พรากพวกเขาไปจากพระเจ้า ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งรู้สึกละอาย มันช่างน่ารังเกียจต่อพระเจ้า ฉันไม่อยากเป็นคนประเภทนั้นอีกแล้ว

หลังจากนั้นในการชุมนุม ฉันเลิกพูดถึงความสำเร็จของตัวเองเหมือนแต่ก่อน แต่ตั้งใจยกย่องและเป็นพยานต่อพระเจ้า พูดถึงความเสื่อมทรามและความเป็นกบฏ ซึ่งนำไปสู่ความล้มเหลวมากขึ้น พูดถึงการบ่มวินัยและการทรงนำ เพื่อที่ฉันจะได้เรียนรู้หลักธรรมและเส้นทางปฏิบัติ ฉันยังชำแหละและเปิดอกเกี่ยวกับแรงจูงใจของตัวเอง เพื่อที่คนอื่นๆ จะได้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ว่าฉันเป็นแค่คนเสื่อมทราม พวกเขาจะได้เรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวของฉัน บางครั้ง ฉันก็ยังมีความปรารถนาเล็กน้อยที่จะอวดตัว แต่หลังจากตระหนักดังนั้น ฉันก็อธิษฐานและละทิ้งตัวเองทันที ฉันรู้สึกดีขึ้นมากหลังนำสิ่งนั้นมาปฏิบัติ ฉันได้รับประสบการณ์ที่แท้จริง ว่าการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า เป็นประโยชน์ต่อชีวิตฉันเกินกว่าจะพูดได้ ฉันยังได้สัมผัสความรักและความรอดจากพระเจ้าด้วย ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger