เรียนรู้จากการขับผู้กระทำชั่ว

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย ซ่งยี่, เนเธอร์แลนด์

เดือนมีนาคมปีนี้ ฉันได้เข้ารับหน้าที่ผู้นำ พอฉันได้พบกับหัวหน้างาน ฉันก็พบว่าผู้นำกลุ่มให้น้ำบางคนแค่สั่งการไปเรื่อย และเร่งเร้าให้พวกเขาทำงาน ในขณะที่ตัวเองเอาแต่อู้งาน พวกเขาไม่เข้าใจปัญหาจริงๆ ที่กลุ่มต่างๆ เผชิญอยู่เลย พวกเขาจึงเอาแต่พูดถ้อยคำว่างเปล่า และบังคับใช้ระเบียบกฎเกณฑ์ โดยไม่แบ่งปันวิถีปฏิบัติ ตอนนั้น เราสามัคคีธรรมกับพวกเขา ว่าการนำไม่ใช่แค่การบอกผู้คนว่าต้องทำอะไร พวกเขาต้องให้น้ำอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงแก่ผู้มาใหม่ด้วย และทำงานอย่างสอดประสานกับคนอื่นๆ แต่ว่าสองสามวันจากนั้น พวกเขาก็ยังไม่ลงมือทำอะไรจริงๆ เลย ฉันตรวจสอบ แล้วก็พบว่าผู้นำทีมชื่อเกากำลังก่อปัญหา เธอไม่ทำงานที่ได้ผล และยุแยงผู้นำทีมคนอื่นๆ ว่าฉันกับหัวหน้างานสั่งให้พวกเธอให้น้ำผู้มาใหม่ จนพวกเธอไม่มีเวลาติดตามงานของทีมตัวเอง ซึ่งต้องแปลว่า พวกเธอไม่จำเป็นต้องทำงานนั้นอีกต่อไป เช่นนั้นแล้วพวกเธอรับผิดชอบงานอะไรล่ะ? เธอพูดด้วยว่า หัวหน้างานก็แค่คนที่ไม่ได้มีทักษะอะไร แล้วเธอจะทำงานให้ถูกต้องได้ยังไง? นั่นคือเธอจะบอกว่า หัวหน้างานไม่มีประสบการณ์ให้น้ำ จึงให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงไม่ได้ พวกเธอจึงไม่ควรฟัง เมื่อหัวหน้างานพบปัญหาในงานของพวกเธอ ก็ตำหนิอย่างรุนแรง ดังนั้นเกาจึงตัดสินเธอในเรื่องนี้ ว่าที่ผ่านมาเธอวางท่าดุด่าผู้อื่น อีกทั้งเกายังแพร่กระจายข่าวลือเสียด้วย แสร้งว่าเธอต้องการแสวงหา พูดว่าหัวหน้างานเป็นมือสมัครเล่น งานของพวกเธอคงเสียหายแน่ ว่าผู้นำระดับสูงละเมิดหลักธรรมการแต่งตั้งผู้คน แต่ที่จริง พี่หลิวที่เป็นผู้นำระดับสูง เลื่อนขั้นให้หัวหน้างานตามหลักธรรม เธอไม่มีประสบการณ์ให้น้ำผู้มาใหม่มากมายก็จริง แต่เธอนั้นมีฝีมือ สามารถแบกรับภาระในหน้าที่ได้ เธอเป็นคนที่ฝึกฝนได้ เธอยังเห็นปัญหาต่างๆ และแนะแนวงานของทีมได้ด้วย และเธอก็ทำให้งานให้น้ำแก่ผู้มาใหม่คืบหน้าขึ้นบ้าง แต่เกาก็เอาแต่อ้างว่าเธอไม่มีคุณสมบัติ โจมตีเธอและยืนกรานว่าเธอไม่เหมาะกับตำแหน่งนั้น เธอยังแพร่ข่าวลือด้วยว่าผู้นำแต่งตั้งคนโดยขาดหลักธรรม ทำให้คนอื่นมีอคติต่อหัวหน้างานและผู้นำคนนั้น และไม่ยอมทำงาน นี่ทำให้เกิดการหยุดชะงักในหน้าที่ของผู้นำ และในงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า เกายังให้สามัคคีธรรมที่ไม่จริงใจในการชุมนุม เนียนด่าและโจมตี ผู้นำและหัวหน้างานอีกด้วย อย่างเช่น ครั้งหนึ่ง เธอพูดว่าเธอสังเกตเห็นว่าพวกเขาสองคน ไม่ได้จัดเตรียมงานงานหนึ่งให้ดี เกาพูดเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ทั้งสองกลับไม่เข้าใจงานและไม่ฟังเธอ เกาไม่อยากจะดื้อแพ่งต่อ แต่หลังจากนั้นเธอก็สังเกตว่ามีปัญหาอยู่จริงๆ แต่ว่านั่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เลยค่ะ เธอจงใจสามัคคีธรรมให้คลุมเครือ เพื่อให้ดูเหมือนว่าพวกผู้นำไม่เข้าใจงานของเธอและเหนี่ยวรั้งเธอไว้ ไม่ยอมฟังคำแนะนำของเธอ และบีบเธอที่ค้ำจุนผลประโยชน์แห่งพระนิเวศ ทุกคนจะได้เห็นใจเธอ และเข้าข้างเธอ เกาดูแคลนและตัดสินบรรดาผู้นำ และหัวหน้างานอยู่เสมอ ซึ่งคนอื่นๆ ก็สามัคคีธรรมกับเธอในเรื่องนี้หลายต่อหลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ไม่เคยกลับใจเลยสักนิดค่ะ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องแสดงความเสื่อมทรามเล็กน้อย แต่คือปัญหาเรื่องธรรมชาติ

ฉันนึกถึงพระวจนะเกี่ยวกับการเปิดโปงคนแบบนี้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในชีวิตคริสตจักร ผู้คนใด เรื่องใด และสิ่งใดเชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาเกี่ยวกับการแข่งขันเพื่อให้ได้สถานะ? การสำแดงใดเกี่ยวกับการแข่งขันเพื่อสถานะเชื่อมโยงกับการขวางกั้นและทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงักโดยธรรมชาติ? ที่พบมากที่สุดคือการแข่งขันกับบรรดาผู้นำคริสตจักรเพื่อให้ได้สถานะของพวกเขาในคริสตจักร เพื่อที่จะได้ควบคุมผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร โดยใส่ร้าย หาความ และกล่าวโทษเหล่าผู้นำคริสตจักรอยู่เนืองนิจ และจงใจเปิดโปงความล้มเหลวและข้อบกพร่องในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา หรือปัญหาเกี่ยวกับขีดความสามารถของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงเรื่องของความผิดพลาดที่พวกเขาได้ทำไปในงานของพวกเขาหรือเมื่อจัดการกับผู้คน นี่คือการแข่งขันเพื่อสถานะที่เห็นกันมากที่สุดและโจ่งแจ้งที่สุด มีการสำแดงอื่นๆ อีกบ้างหรือไม่? การแข่งขันเพื่อสถานะกับบรรดาผู้นำคริสตจักรอย่างเปิดเผยได้แก่ การไม่เชื่อฟังผู้นำคริสตจักร ไม่ว่าผู้นำคริสตจักรจะทำงานของพวกเขาดีเพียงใดก็ตาม ไม่ว่านั่นจะเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ และไม่ว่าจะมีประเด็นปัญหากับสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาหรือไม่ เหตุใดพวกเขาจึงไม่เชื่อฟังผู้นำคริสตจักร? เพราะบุคคลที่แข่งขันเพื่อให้ได้สถานะย่อมต้องการเป็นผู้นำ ดังนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าผู้นำที่ได้รับเลือกหรือได้รับการแต่งตั้งทำสิ่งใด พวกเขาย่อมหาความผู้นำ และกล่าวโทษผู้นำ พวกเขาไม่ใช้หลักธรรมซึ่งพระนิเวศของพระเจ้าพึงประสงค์จากบรรดาผู้นำและคนทำงานมาประเมินวัดหรือดูว่าสิ่งที่ผู้นำคนนี้ทำเป็นไปตามหลักธรรมหรือไม่ พวกเขาเป็นผู้คนที่ถูกต้องหรือไม่ พวกเขาเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่ มีมโนธรรมและสำนึกในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาหรือไม่—พวกเขาไม่ดูสิ่งทั้งหลายดังกล่าว แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับจับผิดและคิดเล็กคิดน้อยเป็นนิตย์ซึ่งก็สมควรแก่ความมักใหญ่ใฝ่สูง แรงจูงใจ และจุดมุ่งหมายของพวกเขาเอง โดยกดดันผู้นำหรือคนทำงาน แพร่ข่าวลือลับหลังเกี่ยวกับการที่ผู้นำหรือคนทำงานละเมิดความจริงหรือยกข้อบกพร่องของผู้นำหรือคนทำงานขึ้นมาพูด ตัวอย่างเช่น พวกเขาอาจจะพูดว่า ‘ครั้งหนึ่งผู้นำคนนั้นๆ ทำความผิดนี้และถูกเบื้องบนจัดการ ซึ่งไม่มีพวกเธอคนใดรู้เรื่อง—เขาเก่งในการเล่นละครถึงเพียงนี้นั่นเอง’ พวกเขาเพิกเฉยและมองข้ามไปว่าผู้นำหรือคนทำงานคนนี้กำลังได้รับการฝึกฝนให้พร้อมจากพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ และพวกเขาเป็นผู้นำหรือคนทำงานที่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่ แต่กลับเอาแต่หาความผู้นำหรือคนทำงาน นินทาผู้นำหรือคนทำงาน และวางอุบายใส่ผู้นำหรือคนทำงานลับหลังต่อไป แล้วพวกเขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่อจุดหมายใด? นั่นเป็นเพราะพวกเขากำลังแข่งขันเพื่อสถานะมิใช่หรือ? มีจุดมุ่งหมายในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำ นี่มิใช่เพื่องานของคริสตจักร และมิได้มีพื้นฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริง และยิ่งไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนการจัดการเตรียมการแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือหลักธรรมซึ่งพระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ แต่บนความมักใหญ่ใฝ่สูงและจุดมุ่งหมายของพวกเขาเอง พวกเขาโต้แย้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้นำหรือคนทำงานพูดด้วย ‘ความรู้ความเข้าใจเชิงลึก’ ของพวกเขาเอง พวกเขาบอกปัดอะไรก็ตามที่เจ้าพูดด้วยความเห็นที่แตกต่างออกไปของพวกเขาเอง พวกเขายินดีเป็นพิเศษเมื่อผู้นำหรือคนทำงานเปิดกว้างและตีแผ่ตัวเอง และพูดคุยเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง กล่าวคือ พวกเขาคิดว่าพวกเขาสบโอกาสของพวกเขาแล้ว โอกาสใดหรือ? โอกาสที่จะใส่ร้ายผู้นำหรือคนทำงาน โอกาสที่จะให้ทุกคนรู้ว่ามีปัญหากับขีดความสามารถของคนเหล่านี้ รู้ว่าคนเหล่านี้ก็อ่อนแอได้ ว่าคนเหล่านี้เสื่อมทราม ว่าพวกเขาผิดพลาดอยู่บ่อยครั้งในสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ ว่าพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นทุกคน นี่คือโอกาสของพวกเขาที่จะกดดันผู้นำหรือคนทำงาน เป็นโอกาสเหมาะของพวกเขาที่จะหนุนใจให้ทุกคนโค่นล้ม บ่อนทำลาย และวิจารณ์ผู้นำหรือคนทำงาน และแรงจูงใจสำหรับพฤติกรรมและการกระทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่อะไรนอกจากการแข่งขันเพื่อให้ได้สถานะ” “การส่งเสียงโวยวายอย่างเปิดเผยใส่ผู้นำหรือคนทำงานและการแข่งขันกับพวกเขาเพื่อให้ได้สถานะไม่เพียงต้องมีขอบเขตและข้อจำกัดเท่านั้น หากสถานการณ์นั้นร้ายแรงและตรงตามภาวะของการปลดและขับออกไป เช่นนั้นแล้วก็ควรจัดการรับมือสถานการณ์นั้นตามหลักธรรม นอกจากนี้ พวกเขายังพยายามที่จะแปลกแยกและโจมตีผู้คนที่เหมาะแก่การไล่ตามเสาะหาความจริงในคริสตจักรมากกว่า เพราะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงมีความเข้าใจที่บริสุทธิ์ พวกเขามีประสบการณ์เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระวจนะ และโหยหาพระวจนะ และท่ามกลางเหล่าพี่น้องชายหญิง บ่อยครั้งที่ผู้คนเหล่านี้สามารถแก้ไขปัญหาได้โดยการสามัคคีธรรมถึงความจริง และด้วยเหตุนี้จึงให้ความเจริญใจแก่ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงค่อยๆ มีเกียรติยศในคริสตจักร ใครก็ตามที่โจมตีหรือพยายามที่จะแปลกแยกผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง กำลังทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักและก่อกวนชีวิตคริสตจักรโดยตรง พวกเขาอาจไม่เล็งไปที่ผู้นำคริสตจักรโดยตรง แต่พวกเขามีความจงเกลียดจงชังบางอย่างต่อผู้คนในคริสตจักร ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์จริง ครองความเป็นจริงของความจริง เข้าใจและรักความจริง พวกเขาแปลกแยก บ่อนทำลาย และดูถูกผู้คนดังกล่าวโดยเย้ยหยันและทำให้ผู้คนดังกล่าวเสียเกียรติอยู่บ่อยครั้ง ถึงขั้นวางกับดักและวางอุบายกับผู้คนดังกล่าว และอื่นๆ แม้ว่าปัญหาเช่นปัญหาเหล่านี้ร้ายแรงน้อยกว่าการแข่งขันกับบรรดาผู้นำและคนทำงานเพื่อให้ได้สถานะ แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงก่อกวนและทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักอยู่ดี และด้วยความที่เป็นอุปสรรคและทำให้หยุดชะงัก ผู้คนเหล่านี้จึงควรถูกจำกัดและได้รับการดูแลควบคุม และหากพี่น้องชายหญิงจำนวนมากในคริสตจักรพลอยได้รับผลไปด้วย หากพวกเขาถูกทำให้คิดลบและอ่อนแออยู่บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่เพียงควรได้รับการดูแลควบคุมเท่านั้น แต่ควรถูกชำระล้างหรือแยกออกมาจากคนอื่นทุกคนเพื่อทบทวนตัวพวกเขาเอง หากพวกเขาเป็นอุปสรรคและทำให้หยุดชะงักโดยธรรมชาติ เช่นนั้นแล้ว ประเด็นปัญหาจำพวกนี้ทั้งหมดก็เป็นประเภทที่เกี่ยวกับนิสัยใจคอ หากผู้คนสองคนเลิกคบหากันชั่วครั้งชั่วคราวเพราะบางสิ่งบางอย่าง หากพวกเขาชอบทะเลาะและชอบบ่นซึ่งกันและกันเนื่องจากความแตกต่างในบุคลิกภาพ หนทางที่พวกเขามองสิ่งทั้งหลาย หรือหนทางที่พวกเขาแสดงตัวตนของพวกเขาเองออกมา เช่นนั้นแล้ว การทำตนในหนทางนี้เป็นครั้งคราวย่อมไม่เชื่อมโยงกับการเป็นอุปสรรคและทำให้หยุดชะงักโดยธรรมชาติ สิ่งที่พวกเรากำลังพูดคุยกันนี้คือเรื่องที่ธรรมชาติของการนี้ได้มาถึงจุดของการเป็นอุปสรรคและทำให้เกิดการหยุดชะงักแล้ว ซึ่งก็คือผู้คนที่ปฏิบัติตนในหนทางนี้เป็นนิสัย พยายามบ่อนทำลาย แปลกแยก เย้ยหยัน และวางอุบายใส่ใครก็ตามที่มีประสบการณ์จริงและแบ่งปันประสบการณ์จริงเหล่านี้ พวกเขาปฏิบัติตนในหนทางนี้เป็นนิสัย พวกเขาไม่สามารถทนผู้คนที่ดีได้—คนดีกระตุ้นความโกรธของพวกเขา คนดีทำให้พวกเขาเดือดดาล และพวกเขาพุ่งเป้าไปที่ใครก็ตามที่ดี พวกเขาพยายามทำร้ายคนดีและทำให้คนดีทนทุกข์ ผู้คนดังกล่าวได้เป็นเหตุขัดขวางและทำให้ชีวิตปกติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของคริสตจักรหยุดชะงักอย่างรุนแรง และบรรดาผู้นำและคนทำงานควรร่วมมือกับเหล่าพี่น้องชายหญิงในการตีขอบ จำกัด และเปิดโปงปัจเจกบุคคลทั้งหลายดังกล่าว หากเป็นไปไม่ได้ที่จะคอยควบคุมพวกเขา หากการสามัคคีธรรมกับพวกเขาไม่เป็นเหตุให้พวกเขากลับใจหรือบังคับตัวเอง เช่นนั้นแล้ว ทันทีที่เหล่าพี่น้องชายหญิงได้สามัคคีธรรมร่วมกันและมีฉันทามติแล้ว ผู้คนเหล่านี้ก็ควรถูกชำระล้างไปจากคริสตจักร พวกเขาไม่ควรได้รับการผ่อนปรนใดๆ อีก การที่พวกเขาทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักไม่ควรได้รับการทนยอมรับอีกต่อไป หากเจ้าทนยอมรับการทำชั่วของพวกเขา เจ้าย่อมไม่ได้กำลังลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้าต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง(“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (14)” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันเรียนรู้จากพระวจนะว่า การไม่มองว่าบรรดาผู้นำเหมาะสมกับงานหรือไม่ สอดคล้องกับหลักธรรมการอุปถัมภ์ผู้คนไหม แต่คอยหลับหูหลับตาจับผิด และพยายามกดดันพวกเขา และตัดสินพวกเขาลับหลัง พยายามยุยงปลุกปั่นผู้อื่นให้ต่อต้าน และล้มล้างพวกเขา นี่เป็นการทำให้งานแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก คนพวกนี้ควรถูกเปิดโปงและควบคุมเอาไว้ และหากร้ายแรงก็กำจัดออกจากคริสตจักร พอเทียบกับเรื่องของเกา เธอไม่ได้มองว่าหัวหน้างานทำหน้าที่ให้เกิดผลหรือไม่ งานของเธอเป็นผลดีต่อพระนิเวศหรือไม่ หรือเธอควรค่าแก่การฝึกฝนหรือไม่ เกาแค่เห็นว่าเธอไม่มีประสบการณ์ของตัวเอง และตัดสินว่าเธอเป็นมือสมัครเล่น เกาบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความขัดแย้ง และทำให้คนอื่นๆ เกิดอคติต่อหัวหน้างานคนนี้ ปฏิเสธที่จะทำตามคำสั่ง นี่ขัดความความคืบหน้าในงานข่าวประเสริฐของเรา เกาไม่ได้เพียงแสดงให้เห็นความเสื่อมทรามประเดี๋ยวประด๋าว เธอเป็นแบบนั้นมาตลอดเลยค่ะ เธอได้ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก และไม่เหมาะกับหน้าที่ใดๆ เลย ตามหลักธรรมแล้วฉันควรปลดเธอทันที แล้วถ้าเธอไม่กลับใจ ก็จะถูกกำจัดจากคริสตจักร แต่ฉันเองก็ลังเลใจ คิดอยู่ว่า เธอเป็นผู้นำทีมมาสักพักนึงแล้ว และวางตัวดีมาก พี่น้องชายหญิงไม่มีปัญญาแยกแยะมากนัก บางคนก็นับถือเธอ พวกเขาคิดว่าเธอเป็นธรรม แบกรับภาระและรักหน้าที่ ถ้าทันทีที่ฉันเข้าร่วมคริสตจักรก็ปลดเธอเสียแล้ว พี่น้องชายหญิงจะคิดว่าฉันไร้หัวใจและโหดร้ายหรือเปล่า ว่าฉันกำลังลงโทษเธอหรือเปล่า? หลังจากนั้นพวกเขาจะเห็นชอบให้ฉันเป็นผู้นำต่อไปเหรอ? แต่เกาก็ชั่วร้ายจริงๆ เก่งราดน้ำมันเข้ากองไฟ และยุแยงตะแคงรั่วอยู่ฉากหลัง ถ้าหากว่าฉันล่วงเกินเธอ แล้วเธอชี้นิ้วมาที่ฉัน และตัดสินฉันท่ามกลางคนอื่นๆ ปลุกปั่นความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพวกเขา ฉันก็คงทำงานได้ลำบากขึ้นมากทีเดียว ฉันคิดคำนวณว่า ฉันไม่ควรรีบปลดเธอออกจากตำแหน่ง แต่ควรตัดแต่งและจัดการเธอเสียก่อน เปิดโปงและชำแหละผลสืบเนื่องจากการกระทำของเธอ ถ้าเธอยอมรับและเปลี่ยนแปลง เธอก็ยังมีโอกาส แต่ถ้าไม่ยอมรับ ยังตัดสินผู้นำและคนทำงาน ก็ค่อยกำจัดเธอออกไป

ต่อมา ฉันกับพี่หลิวผู้นำระดับสูงของเราคุยกับเกาและคนอื่นที่เกี่ยวข้อง และสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมสำหรับการคัดเลือกในพระนิเวศ และเบื้องหลังในการเลื่อนขั้นให้หัวหน้างานคนนี้ ฉันอธิบายด้วยว่าพฤติกรรมของเกากับผู้นำทีมอีกสองสามคน ที่จริงคือกำลังสร้างความขัดแย้ง โจมตีบรรดาผู้นำและคนทำงาน อีกทั้ง ดูถูกดูแคลนพวกเขา ทำให้งานแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก ถ้าพวกเธอไม่เปลี่ยนแปลง และยังทำทั้งหมดนี้ต่อไป พวกเธอก็จะถูกปลดออก ผู้นำทีมสองสามคนยอมรับความผิดพลาดของตนเอง และพูดว่าพวกเขาอยากร่วมมือกับหัวหน้างานคนนี้ ทำงานให้เสร็จด้วยกัน แต่ว่า เกากลับไม่ชี้แจงให้ชัดเจน ไม่กี่วันต่อมา เกาเริ่มกระจายข่าวลือกับพี่สาวอีกคน ว่าหัวหน้างานคนนี้ไม่มีคุณสมบัติ ผู้นำเลือกคนผิดแล้ว พี่สาวคนนั้นไม่เชื่อที่เธอพูด แต่สามัคคีธรรมถึงหลักธรรมกับเธอแทน พอเห็นว่าพี่สาวคนนั้นไม่คล้อยตาม เกาเลยหยุดแค่นั้น ไม่นานจากนั้น เกาก็ส่งข้อความให้ผู้นำทีมสองสามคนเพื่อหลอกลวงพวกเขา ว่า “หลังจากสามัคคีธรรมเมื่อวันก่อนฉันก็ระแวง กลัวว่าจะถูกปลด พวกคุณรู้สึกเหมือนกันไหมคะ? ตอนนี้ฉันไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว มันเหมือนเราเสนอแนะอะไรไม่ได้ เห็นต่างก็ไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วถ้าเราเปิดปากพูด เราก็จะถูกไล่ออก ออกจากคริสตจักร แบบนี้ใครจะกล้าเสนอแนะอีก?” แล้วเธอก็พูดว่าที่คริสตจักรไม่คืบหน้าก็เพราะพวกผู้นำ พวกเขาไม่แต่งตั้งผู้คนตามหลักธรรม ไม่ใช่แค่นั้น เธอยังไปหาพี่ชายคนหนึ่งในทีมข่าวประเสริฐ แสร้งทำเป็นแสวงหาหลักธรรมเหล่านั้น และให้ร้ายหัวหน้างาน พี่ชายคนนั้นรู้เรื่องการเลื่อนขั้นหัวหน้างานคนนี้พอสมควร และสามัคคีธรรมกับเธอถึงหลักธรรมในการเลือกเฟ้นผู้คนในพระนิเวศ หลังจากนั้นเขาก็ถามว่าเธอเข้าใจไหม เธอตอบว่าเข้าใจ และไม่อคติกับหัวหน้างานอีก เขาถามเธอว่าเธอจะสนับสนุนและทำงานกับหัวหน้างาน ด้วยความปรองดองได้ไหม และเธอก็สาบานว่าเธอทำได้ แต่หลังจากนั้น เธอก็แอบไปพูดกับพี่สาวคนหนึ่ง แสร้งทำเป็นแสวงหาและสามัคคีธรรม แต่กลับแค่ตำหนิ บิดเบือนความจริงว่า “พี่หลิวผู้นำของเธอจัดเตรียมสิ่งต่างๆ กับพี่น้องชายหญิงไว้ล่วงหน้า สมรู้ร่วมคิดกัน หลิวค่อนข้างมีอำนาจ และทุกคนก็กลัวเธอ เกากลัวว่าถ้าคอยรายงานถึงปัญหาของหัวหน้างานคนนี้ต่อไป พี่หลิวอาจทำกับเธอเหมือนเป็นศัตรูของพระคริสต์” ที่จริงแล้วเธอจะสื่อว่า ทั้งคริสตจักรตกอยู่ใต้อำนาจของพี่หลิว เธอข่มไว้ไม่ให้รายงานปัญหา ฉันเห็นว่าเกาเหลี่ยมจัดและเจ้าเล่ห์แค่ไหน เธอแสร้งเชื่อฟัง มีหลายคนสามัคคีธรรมกับเธอตามหลักธรรม แต่เธอก็ไม่ยอมรับ เธอไม่กลับใจเรื่องที่ตัดสินเหล่าผู้นำและคนทำงาน แต่กลับยิ่งหลอกลวงมากขึ้นไปอีก และกำลังโจมตีพวกเขาอย่างหัวชนฝา เธอคอยยุยงให้ผู้นำและคนอื่นๆ แตกคอกัน ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก เธอเป็นปีศาจ ลูกสมุนของซาตาน พอมาถึงจุดนั้น ฉันก็นึกเสียใจที่ไม่ได้ปลดเธอออกจากหน้าที่ตั้งแต่แรก ในระหว่างที่ฉันมัวแต่ลังเล ฉันได้ให้โอกาสเธอหลอกลวงผู้คนมากขึ้น ฉันรู้ว่าเกาดูแคลนและตัดสินบรรดาผู้นำมาตลอด และทำให้งานของพวกเขาหยุดชะงัก ดังนั้นฉันจึงควรปลดเธอแต่แรก แต่ฉันกลัวว่าคนอื่นจะคิดกับฉันยังไง ก็เลยอยากค่อยเป็นค่อยไป อยากสามัคคีธรรมความจริง และตำหนิเธอก่อน แล้วถ้าเธอยังไม่กลับใจ ก็ปลดและขับไล่เธอ แบบนั้นพี่น้องชายหญิงจะเชื่อถือฉัน และไม่คิดกับฉันในทางลบ เพื่อปกป้องชื่อและสถานะของตัวเอง ฉันไม่ได้คอยควบคุมเกา ฉันปล่อยเธอทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงัก ฉันก็ร่วมกระทำชั่วไปกับเธอไม่ใช่เหรอ? การย้อนทบทวนสิ่งที่ฉันทำนั้นหนักหนาสำหรับฉันมากค่ะ ฉันรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ผู้นำหรือปกป้องผลประโยชน์ของพระนิเวศ พระเจ้าเกลียดสิ่งนั้น ฉันจึงอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำให้ฉันทบทวนและรู้จักตัวเองค่ะ

วันถัดมาตอนเฝ้าเดี่ยว ฉันได้เห็นพระวจนะเรื่องการเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งช่วยให้ฉันเข้าใจตัวเองดีขึ้นค่ะ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์คิดคำนึงอย่างจริงจังถึงวิธีปฏิบัติต่อหลักธรรมของความจริง พระบัญชาของพระเจ้า และงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือวิธีจัดการกับบางสิ่งที่พวกเขาเผชิญ พวกเขาไม่คำนึงถึงวิธีลุล่วงน้ำพระทัยของพระเจ้า วิธีเลี่ยงจากการสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า วิธีทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย หรือวิธีทำประโยชน์แก่เหล่าพี่น้องชายหญิง เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาคำนึงถึง สิ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์คำนึงถึงก็คือว่าสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองจะได้รับผลกระทบหรือไม่ และเกียรติยศของพวกเขาจะลดลงได้หรือไม่ หากการทำบางสิ่งตามหลักธรรมของความจริงจะเป็นประโยชน์ต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและนำประโยชน์มาสู่เหล่าพี่น้องชายหญิง แต่จะเป็นเหตุให้ความมีหน้ามีตาของพวกเขาเองได้รับผลกระทบ และทำให้ผู้คนมากมายตระหนักถึงวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาและรู้ว่าพวกเขามีธรรมชาติและแก่นแท้จำพวกใด เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่ปฏิบัติตนอย่างสอดคล้องกับหลักธรรมของความจริงเป็นแน่ หากการทำบางสิ่งในหนทางบางอย่างจะทำให้พวกเขาสามารถได้รับเกียรติยศที่สูงขึ้นภายในพระนิเวศของพระเจ้า ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้คนในจำนวนที่มากขึ้นคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง เคารพยกย่องพวกเขาและเลื่อมใสพวกเขา และทำให้คำพูดของพวกเขามีสิทธิอำนาจ และทำให้ผู้คนในจำนวนที่มากขึ้นนบนอบต่อพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะเลือกทำสิ่งนั้นในหนทางนั้น มิฉะนั้นแน่นอนที่สุดว่าพวกเขาย่อมจะไม่พิจารณาผลประโยชน์อันใดแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือของเหล่าพี่น้องชายหญิง แล้วจากนั้นก็จะเลือกทิ้งขว้างผลประโยชน์ของพวกเขาเอง นี่คือธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ นี่ไม่เห็นแก่ตัวและสามานย์หรอกหรือ?(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระเจ้าทรงเผยว่าศัตรูของพระคริสต์รักความมีหน้ามีตาและสถานะจริงๆ และทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เพื่อสิ่งเหล่านั้น พวกเขาทำแค่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อสถานะของตัวเอง แต่ถ้าผลประโยชน์ของพวกเขาต้องเสี่ยง พวกเขาก็จะทำเป็นมองไม่เห็นปัญหา เลือกเห็นผลประโยชน์แห่งพระนิเวศเสียหายเพื่อค้ำจุนผลประโยชน์ของตัวเอง พฤติกรรมของฉันเหมือนที่พระเจ้าตรัสเรื่องศัตรูของพระคริสต์ไม่มีผิด ฉันรู้ดีว่าพระนิเวศต้องการให้ชำระล้างคริสตจักร และพระเจ้าตรัสมาหลายครั้ง ว่าเมื่อคนชั่วทำให้คริสตจักรหยุดชะงัก ผู้นำและคนทำงานก็ควรจัดการพวกเขาโดยเร็ว ไม่ว่า เปิดโปง จำกัด หรือกำจัดพวกเขา พฤติกรรมของเกาได้สร้างความยุ่งเหยิงให้แก่งานของคริสตจักรแล้ว ดังนั้นฉันจึงควรจัดการเธอ แต่ฉันเป็นกังวลว่าคนอื่นๆ จะคิดไม่ดีกับฉัน และจะไม่ส่งเสริมฉันที่เป็นผู้นำ เพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง ฉันก็แค่สามัคคีธรรมกับเธอนิดหน่อย และรู้ว่าเธอยังไม่ได้ยอมรับมันเลย แต่ก็ไม่ได้กำจัดหรือปลดเธอออก เธอก็เลยมีโอกาสยุแยงตะแคงรั่วให้คนผิดใจกันต่อไป และทำให้งานชะงัก ฉันพร้อมจะสละผลประโยช์ของพระนิเวศเพื่อปกป้องตัวเอง ฉันช่างฉลาดแกมโกง เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมาก! ฉันไม่ได้ปลดเกาออกตามที่หลักธรรมบรรญัติเอาไว้ หรือนำคนอื่นๆ ให้เข้าใจความจริงและเกิดปัญญาแยกแยะ ผลก็คือ หลายคนถูกเธอหลอกลวงและเข้าข้างเธอ ซึ่งขัดขวางงานของคริสตจักร ฉันรู้สึกผิด และเต็มไปด้วยความรู้สึกสำนึกเสียใจ ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่คู่ควรจะเป็นผู้นำเลย ฉันอธิษฐานว่า “พระเจ้า คนทำชั่วที่สร้างความวุ่นวายโผล่ขึ้นในคริสตจักร ข้าพระองค์ปกป้องสถานะของตัวเอง แทนผลประโยชน์ของคริสตจักร ช่างเห็นแก่ตัวนัก พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากอยู่บนทางอันเลวทรามอีก ข้าพระองค์อยากกลับใจจริงๆ!”

จากนั้น ฉันไปพบคนอื่นๆ ที่รู้สถานการณ์ดี เพื่อเรียนรู้ถึงพฤติกรรมของเกาเพิ่มเติม ระหว่างที่ตรวจสอบ ฉันก็เห็นว่าบางคนขาดปัญญาแยกแยะเรื่องเธอ พวกเขาคิดว่าเธอกำลังปกป้องพระนิเวศของพระเจ้าอย่างชอบธรรม บางคนรู้ว่าวิธีการของเธอนั้นมีข้อผิดพลาด แต่ก็คิดว่าเธอแค่ไม่เข้าใจหลักธรรมทั้งหลายของความจริง ฉันสามัคคีธรรมกับพวกเขาว่าความชอบธรรมและความโอหังคืออะไร รวมถึงความแตกต่างระหว่างการฝ่าฝืนชั่วคราวและธรรมชาติของบุคคลหนึ่ง นี่ช่วยให้พวกเขามีปัญญาแยกแยะมากขึ้น และพร้อมจะลุกขึ้นเปิดโปงเธอ แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจ พอพูดเรื่องเธอให้พี่หวังฟัง เขาก็ตอบฉันกลับมาว่า “นี่ คุณจะอยากรู้เรื่องเธอไปทำไม? เธอแค่เสนอแนะนิดหน่อย ทำไมถึงเพ่งเล็งเธอล่ะ? ทำไมพวกคุณผู้นำถึงกำราบคนที่มีข้อเสนอแนะ แล้วก็กลั่นแกล้งพวกเขาอย่างนี้ล่ะ? ทีนี้ใครจะกล้าเสนอแนะอีก? การสืบสวนของพวกคุณครั้งนี้ ทำผมกลัวที่จะมีความเห็นเลย พวกคุณดูเหมือนศัตรูของพระคริสต์มากนะ พวกเขาไม่ยอมให้ใครมีความเห็นต่างเลย” พอฉันได้ยินแบบนั้น ฉันก็ตะลึงไปเลย ฉันไม่คิดว่าเขาจะตอบกลับรุนแรง และอ้างว่าเราไม่ยุติธรรมกับเธอ ดังนั้น ฉันจึงเริ่มสามัคคีธรรมกับเขาอย่างใจเย็น แต่เขาก็ไม่ยอมฟัง และยังเชื่อในเกา คิดไปว่า ปัญหาเกิดจากฝ่ายเราต่างหาก ตอนนั้น ฉันอยากล้มเลิกจริงๆ ค่ะ ฉันรู้สึกเหมือนความเข้าใจความจริงของฉัน นั้นตื้นเขินและฉันขาดประสบการณ์ ถ้าฉันยังจัดการเรื่องนี้ต่อไป คนอื่นๆ ก็อาจจะไม่เคารพนับถือฉันเหมือนก่อน แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันกำลังเริ่มคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเองอีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ขอความเชื่อและกำลังจากพระองค์ ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนนี้ค่ะ “จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง รวมไปถึงการที่ว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้อยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี หากเจ้ามีขีดความสามารถต่ำ ประสบการณ์ของเจ้าตื้นเขิน หรือเจ้าไม่ชำนาญในงานสายอาชีพของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ก็อาจมีข้อผิดพลาดหรือความขาดตกบกพร่องบางอย่างในงานของเจ้า และผลลัพธ์อาจไม่ดีมาก—แต่เจ้าจะได้ทุ่มความพยายามของเจ้าอย่างดีที่สุดแล้ว เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังคิดถึงความพึงปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเอง หรือไม่ได้กำลังพิจารณาผลประโยชน์ของเจ้าเองในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าทำ และกำลังพิจารณางานในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอ คำนึงถึงผลประโยชน์ของการนั้น และปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดีแทน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะสะสมเพิ่มพูนความประพฤติดีเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้คนที่ปฏิบัติความประพฤติดีเหล่านี้คือผู้ที่ครองความเป็นจริงแห่งความจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงได้เป็นคำพยาน หากเจ้าดำรงชีวิตไปตามเนื้อหนังอยู่เสมอ โดยตอบสนองความพึงปรารถนาอันเห็นแก่ตัวของเจ้าเองอยู่เป็นนิตย์ เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนั้นย่อมไม่ครองความเป็นจริงของความจริง นี่คือเครื่องหมายของการนำพาการลดเกียรติมาสู่พระเจ้า(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันเห็นจากพระวจนะว่า เราไม่อาจคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัวในหน้าที่ของเราได้ ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศต้องมาก่อน ยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ และทุ่มเททั้งหัวใจของเรา นั่นเป็นทางเดียวที่หน้าที่ของเราจะได้รับการทรงเห็นชอบ ไม่อย่างนั้นเราก็ทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ฉันไม่อาจหยุดปฏิบัติความจริงเพราะกลัวจะล่วงเกินคนอื่น หรือกลัวอคติของพวกเขาได้ ฉันไม่เคยรับมือเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่อย่างน้อยฉันก็ต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของตัวเอง และสามัคคีธรรมกับคนอื่นๆ ให้ดีที่สุด ฉันรู้ว่าเกาชักนำให้พี่หวังเข้าใจผิดและสับสน ดังนั้นเขาเลยออกตัวพูดแทนเธอ เธอหลอกว่าคำโกหกนั้นเป็นเรื่องจริง และพูดว่าสิ่งที่เหล่าผู้นำวิจารณ์เธอ เป็นเพราะพวกเขาไม่ยอมรับข้อเสนอแนะหรือความเห็นต่าง ความเท็จที่ฟังดูจริงเหล่านี้ก่อความเข้าใจผิดได้ เกาพูดว่าพวกผู้นำเลือกคนโดยไม่มีหลักธรรม แต่ว่าเธอพูดผิดไปถนัด เราบอกเธอถึงเรื่องหลักธรรมสำหรับการคัดเลือกผู้คนแล้ว แต่เธอกลับปฏิเสธไม่ยอมรับ หรือทบทวนตัวเอง เธอบิดเบือนเรื่องต่างๆ ไปเรื่อย พูดว่าพวกผู้นำปราบปรามเธอ และความเห็นต่างทั้งหมด นั่นไม่ใช่การกลับขาวให้เป็นดำ และให้ร้ายคนอื่นเหรอ? เธอพูดว่า ถ้าหากกลายเป็นว่า ต้องถูกเตะออกจากคริสตจักร ใครจะกล้าแสดงความเห็นต่างล่ะ? คำพูดเหล่านั้น ดูเผินๆ เหมือนกล่าวออกมาจากหัวใจ พูดอย่างซื่อสัตย์ แต่ที่เรียกว่าความซื่อสัตย์นั้น แอบซ่อนเจตนาอันชั่วร้ายของเธอ และกลอุบายของซาตานไว้ เธอต้องการชักนำ คนอื่นๆ ให้หันมาอยู่ข้างเดียวกับเธอ ให้พูดแทนเธอ และต่อต้านพวกผู้นำ นี่เป็นการหลอกลวง และทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงัก พี่หวังไม่มีปัญญาแยกแยะ และถูกหลอกจากคำพูดของเกา เขาต้องการการสามัคคีธรรมด้วยความรักค่ะ จากนั้น ผ่านการสามัคคีธรรม เขาก็เกิดปัญญาแยกแยะเรื่องเธอ เขาตระหนักว่าเขาไม่ได้แสวงหาความจริง และขาดปัญญาแยกแยะ ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาปกป้องเกา และเลือกอยู่ข้างเดียวกับความชั่ว เขายังเห็นด้วยว่าตัวเองน่าสมเพชที่ไม่เข้าใจความจริง และอ่อนไหวให้กับคนทำชั่ว ตอนนั้นฉันดีใจจริงๆ ที่เห็นการกลับตัวกลับใจของเขา ต่อมา ฉันกับเพื่อนร่วมงานบางส่วนก็สามัคคีธรรมกับคนอื่นๆ เรื่องการแยกแยะคนชั่ว และเราก็ชำแหละพฤติกรรมทั้งหมดของเกา ทุกคนเกิดปัญญาแยกแยะในเรื่องเธอ และเราก็ลงคะแนน เกือบจะเป็นเอกฉันท์ ให้กำจัดเกาออกจากคริสตจักร ระหว่างการลงคะแนน พวกเขาให้ข้อสังเกตถึงบางสิ่งที่เพิ่งได้เรียนรู้ พวกเขาพูดสิ่งต่างๆ อย่าง “เกาสร้างเรื่องโกหก และแพร่อคติของเธอไปทุกที่ ในขณะที่โบกธงว่ากำลังปกป้องพระนิเวศของพระเจ้า ทำให้งานของคริสตจักรวุ่นวายยกใหญ่ ไม่ว่าพวกผู้นำจะเปิดโปงและจัดการเธอยังไง เธอก็ไม่เสียใจหรือกลับใจสักนิด เธอมีแก่นแท้ที่ชั่วร้าย” คนอื่นๆ พูดว่า “เกาดูเหมือนอ่อนโยนมาก แต่คำพูดกลับชักนำให้หลงผิด ร้ายกาจและชั่วช้าจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะการสามัคคีธรรมและการชำแหละนี้ ฉันก็คงยังขาดปัญญาแยกแยะ ฉันได้เห็นความสำคัญของการมีปัญญาแยกแยะแล้ว” บางคนพูดว่าพวกเขาเคย ถูกเธอหลอกเสียสนิท คิดว่าเธอกำลังปกป้องงานของพระนิเวศ ไม่รู้เลยว่าเธอแอบทำชั่วมามากมาย พวกเขาก็เลยเข้าข้างเธอ พูดสิ่งต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องกับความจริง พวกเขาต้องทบทวนและกลับใจ พวกเขายังเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่ไม่ทนการล่วงเกินใด เมื่อคนทำชั่วทำให้งานแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะถูกกำจัดทิ้ง นั่นย้ำเตือนพระวจนะที่ว่า “คนเลวย่อมเลวเสมอ และจะไม่มีทางหนีรอดวันแห่งการลงโทษได้ ผองมนุษย์ที่ดีย่อมดีงามเสมอ และจะได้รับการเปิดเผยเมื่อพระราชกิจของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน ไม่มีคนเลวสักคนเดียวที่จะถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม และไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวที่จะนับเป็นคนเลว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน) ประสบการณ์นี้ได้สอนฉันว่า ในฐานะผู้นำคนหนึ่ง เมื่อคนชั่วในคริสตจักรทำให้งานแห่งพระนิเวศหยุดชะงัก ถ้าฉันไม่รับมือมันตามหลักธรรมและความจริง แต่ปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง โดยหลักแล้วนั่นคือให้ซาตานบ่อนทำลายงานของพระนิเวศ ทำตัวเป็นสมุนของมัน ทำชั่วและต่อต้านพระเจ้า ฉันต้องกำจัดคนทำชั่วออกจากคริสตจักรทันที และนำพี่น้องชายหญิงให้มีปัญญาแยกแยะ นี่คือการปกป้องพระนิเวศ และเป็นการทำสิ่งที่ผู้นำคนหนึ่งควรทำ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใช้ชีวิตเบื้องหน้าพระเจ้า

โดย หย่งสุย ประเทศเกาหลีใต้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การเข้าสู่ความจริงนั้น คนเราต้องหันทุกสิ่งไปหาชีวิตจริง...

พระวจนะของพระเจ้าแสดงทิศทางในชีวิตให้แก่ฉัน

ตั้งแต่เด็ก ฉันได้คะแนนดีมาตลอด และได้เข้าแข่งขันด้านวรรณกรรมและศิลปะ พูดได้เลยว่าเส้นทางการศึกษาของฉันนั้นก้าวหน้าได้อย่างราบรื่นมาโดยตลอด...

ฉันหยุดพูดโกหกอย่างไร

โดย มารีเนศ, ฝรั่งเศส ก่อนฉันจะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจะโกหกและประจบผู้คนโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger