ข้าพเจ้าได้เป็นพยานการทรงปรากฏของพระเจ้า

วันที่ 20 เดือน 02 ปี 2022

โดย เจี้ยนจึ้ง, เกาหลีใต้

ผมเคยเป็นสมาชิกคริสตจักรเพรสไบทีเรียนเกาหลี ตอนที่ลูกสาวของผมล้มป่วย ทุกคนในครอบครัวก็ได้กลายเป็นผู้เชื่อ จากนั้น อาการป่วยลูกสาวผมก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผมรู้สึกขอบคุณในพระกรุณาขององค์พระเยซูเจ้าเหลือเกิน ตั้งแต่นั้นมา ผมสาบานว่าผมจะติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า ทำงานหนักเพื่อเป็นคนตามพระประสงค์ และทำให้พระองค์พอพระทัย ถึงงานจะยุ่งแค่ไหน แต่ผมก็ไปคริสตจักรไม่เคยขาด ผมบริจาคทานและของถวายอยู่เสมอ เข้าร่วมกิจกรรมคริสตจักรอย่างแข็งขัน ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านพระคัมภีร์ และเข้าร่วมกิจกรรมของคริสตจักร จนแทบไม่ได้ไปทานอาหารมื้อค่ำ รวมถึงงานเลี้ยงของครอบครัว เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมงานและอื่นๆ พวกเขาถึงกับโกรธผมเพราะเรื่องนั้น เพื่อนผมบางคน พอผมเป็นผู้เชื่อแล้วผมเลิกดื่มเหล้าเลิกสูบบุหรี่ และจะไม่ไปสังสรรค์กับพวกเขาอีก พวกเขาก็จะชอบพูดเหน็บแนมผมว่า “ชอบไปที่คริสตจักรมากเลยสิ ไหนบอกหน่อย ไปคริสตจักรทุกวันมันได้อะไรบ้าง? ไอ้ความเชื่อที่ว่า มันดีตรงไหน?” บอกตามตรง พอถูกกระหน่ำด้วยคำถามขนาดนั้น ผมไม่รู้จริงๆ ว่าจะตอบยังไง แต่เพราะคำถามพวกนั้น ผมจึงได้เริ่มไตร่ตรองว่า นั่นสิ ความเชื่อของผมมีไปเพื่ออะไร? เพื่อขอให้พระเจ้ารักษาลูกสาว หรือเพื่อให้ครอบครัวผมปลอดภัยใช่ไหม? การมีความเชื่อคือแค่อ่านพระคัมภีร์ และไปคริสตจักรทุกวันใช่ไหม? ผมไม่รู้จริงๆ ผมจึงเอาคำถามพวกนี้ ไปถามนักบวชที่คริสตจักรผม คำตอบที่ได้ก็เหมือนๆ กันหมดครับ คือ ศรัทธาของเรามีไว้เพื่อพระคุณแห่งความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา จะทรงนำเราขึ้นสู่สวรรค์เพื่อชีวิตนิรันดร์ คำตอบแบบนั้นดูเหมือนจะแก้ความสับสนของผม แต่มันก็เกิดคำถามขึ้นอีกว่า แล้วผมจะไปสู่สวรรค์ได้ยังไงล่ะ? พวกเขาบอกผมว่า “โรม 10:10 กล่าวว่า ‘เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด’ นี่คือ พระองค์ทรงอภัยบาปให้เรา เราจึงรอดโดยความเชื่อ เมื่อพระองค์ทรงกลับมา จะทรงนำเราตรงขึ้นสู่ราชอาณาจักร ดังนั้น คุณไม่ต้องกังวลเรื่องการไปสู่สวรรค์ ขอเพียงคุณมีความเชื่อ” ผมมาคิดว่า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพระคัมภีร์ก็กล่าวว่า “ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย(ฮีบรู 12:14) องค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์ให้เราบริสุทธิ์ แต่ผมใช้ชีวิตอยู่ในบาป ไม่สามารถนำพระวจนะไปปฏิบัติได้ ผมจะคู่ควรกับราชอาณาจักรได้ยังไง? องค์พระเยซูเจ้าตรัสแก่เราไว้ว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’(มัทธิว 22:37-39) แต่แค่เรื่องให้ความรักง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ผมก็ทำไม่ได้ ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน ผมรักครอบครัวมากกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วก็ไม่อาจรักผู้อื่นเหมือนรักตัวเองได้ เวลาเพื่อนหรือครอบครัวมาล้อเลียนผม แทนที่จะใจเย็นและอดทน ผมกลับไม่พอใจพวกเขา ผมยังคิดถึง ฮีบรู 10:26 ที่กล่าวไว้ว่า “เพราะถ้าเรายังจงใจทำบาปอยู่เรื่อยๆ หลังจากได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว ก็จะไม่มีเครื่องบูชาลบบาปเหลืออยู่เลย ผมรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าประสงค์สิ่งใด แต่ผมทำไม่ได้ ผมยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบาป และค่าตอบแทนคือความตาย ถ้าเป็นเช่นนั้น จุดจบของผมจะแตกต่างกับผู้ไม่เชื่อตรงไหนกัน? สิ่งนี้ทำให้ผมคิดว่า การเข้าไปสู่ราชอาณาจักรนั้นไม่ง่ายอย่างที่นักบวชพูด แต่ผมก็ยังไม่รู้ว่าจะเข้าสวรรค์และได้ชีวิตนิรันดร์ยังไง ผมยังไม่มีเส้นทาง ผมเที่ยวถามนักบวชและพวกเพื่อนๆ ผมที่คริสตจักร แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบที่ชัดเจน พวกเขาแค่ถามว่า ทำไมจู่ๆ ผมถึงถามคำถามแปลกๆ พวกนี้ และบอกว่าผู้คนเขาปฏิบัติตามความเชื่อเช่นนี้มาช้านาน ผมก็ยังคงสับสนอยู่เหมือนเดิม ดังนั้นผมเลยตัดสินใจอ่านทบทวนข่าวประเสริฐทั้งสี่เล่ม โดยคิดว่าในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า ต้องมีคำตอบแน่

วันหนึ่งในปี 2008 ผมได้อ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ “พระเยซูตรัสกับนางว่า ‘เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย เธอเชื่ออย่างนี้ไหม?’” (ยอห์น 11:25-26) ตอนที่ผมอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ มันทำให้ผมสับสน ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า เราควรใช้ชีวิตและเชื่อในพระองค์? ในฐานะผู้เชื่อ เราทุกคนก็มีชีวิตและเชื่อในพระองค์ไม่ใช่หรือ? หรือมีเหตุให้พระองค์ทรงเห็นว่าเราตายแล้ว มันยิ่งทำให้ผมเกิดคำถามมากมาย ทุกครั้งที่ว่าง ผมก็จะไตร่ตรองถึงเรื่องนี้อยู่สักพัก แต่ก็ไม่เคยเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเรื่องนี้เลย ผมจึงไปหานักบวชกับสมาชิกคริสตจักรคนอื่นๆ เพื่อถามคำถามอีกครั้ง แทนที่จะได้คำตอบ พวกเขากลับหัวเราะใส่ผมแทน แต่ผมยังคงรู้สึกว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสนั้น มีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่

มีครั้งหนึ่ง ที่ผมอ่านข่าวประเสริฐของมัทธิวที่ว่า “คนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์มาทูลพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์ไปฝังศพพ่อของข้าพระองค์ก่อน’ พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า ‘จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของพวกเขาเองเถิด’” (มัทธิว 8:21-22) เมื่อผมเห็นประโยคว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของพวกเขาเองเถิด” ผมเกิดความสับสนเล็กน้อย ทำไมองค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงเรียกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นว่าคนตายล่ะ? พระองค์เห็นว่าเรามีชีวิตอยู่ หรือว่าตายแล้วกันแน่? ผมคิดถึงพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า ค่าตอบแทนของบาปคือความตาย ส่วนผมก็ใช้ชีวิตอยู่ในบาป ซึ่งก็คือ “คนตาย” ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหมายถึงหรือเปล่า? ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วผมจะกลับมีชีวิตขึ้นมาได้ยังไง จะเข้าไปสู่ราชอาณาจักรได้ยังไง ในหัวใจของผมเต็มไปด้วยคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ แต่ลึกลงไป มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจน ในเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้ไว้ คำตอบก็ต้องอยู่ในพระคัมภีร์แน่ ดังนั้นผมจึงไม่สูญเสียความเชื่อ แต่ยังคงตามหาคำตอบต่อไป

ขอบคุณการทรงนำของพระองค์ ไม่กี่เดือนต่อมา ผมก็ได้อ่านที่พระองค์ตรัสไว้อีกว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า เวลากำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อคนตายจะได้ยินเสียงพระบุตรของพระเจ้า และบรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต(ยอห์น 5:25) พออ่านแล้ว ผมก็เข้าใจแจ่มชัดทันทีว่า คนตายจะกลับมามีชีวิตเมื่อได้ยินเสียงของพระเจ้า ผมแน่ใจว่านี่แหละคือคำตอบที่ผมตามหาอยู่! แต่ผมก็ยังสับสนอยู่นิดหน่อย ผมคิดว่าเคยได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อนานมาแล้ว แต่ผมก็ยังไม่หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งบาป นี่นับว่าผมเป็นคนที่มีชีวิตหรือเปล่า? แล้วที่ว่า “บรรดาคนที่ได้ยินจะมีชีวิต” จริงๆ แล้วหมายถึงอะไร? คนเราจะกลับมีชีวิตขึ้นมาได้ยังไง? เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา จะตรัสสิ่งที่เราต้องฟังเพิ่มงั้นหรือ? ถ้าเป็นเช่นนั้น เราจะได้ยินเสียงของพระเจ้าได้ยังไง? เราจะได้ยินจากที่ไหนกันล่ะ? ผมคิดไม่ออก ผมจึงอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพระองค์ได้ยินเสียงของพระองค์โดยเร็วที่สุด ข้าพระองค์ไม่อยากตาย โปรดทรงช่วยให้ข้าพระองค์มีชีวิต”

จากนั้น เวลาผมไปฟังเทศนาที่คริสตจักร ผมเริ่มสนใจว่า ศิษยาภิบาลได้เคยเทศนาถึง การเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือเรื่องเสียงของพระองค์หรือไม่ สิ่งที่ทำให้ผมผิดหวังจริงๆ คือ พวกเขาบอกแค่ให้เราระวังความคิดนอกรีต และให้คอยเฝ้าดู แต่ไม่ได้พูดถึงการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลย ผมยังได้ถามคนสำคัญที่เป็นคนดูแลคริสตจักรถึงเรื่องเหล่านี้ด้วย แต่พวกเขาพูดว่าที่ผมถามคำถามพวกนี้ไม่หยุดหย่อน เพราะผมขาดความเชื่อ บอกว่าผมเป็นเหมือนกับโธมัส พวกเขาเริ่มขับไล่ไสส่งผม จากนั้นสมาชิกคริสตจักรคนอื่นๆ ที่คบหากันมาตลอด ก็เริ่มตีตัวออกหาก และกันผมออก สุดท้ายผมต้องออกจากคริสตจักรที่ผมเคยอยู่มา 18 ปี ผมเอาแต่ดูรายการจากช่องซีบีเอสและซีทีเอสตลอดทั้งวัน เผื่อว่าจะได้ยินเสียงของพระเจ้า จากการเทศนาของศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียง ผมทำแบบนี้อยู่เกือบหกเดือน ผมดูรายการพวกนี้สิบชั่วโมงขึ้นไปทุกวัน ผมได้ฟังเทศนาเยอะมากจริงๆ แต่ผมก็ยังไม่พบคำตอบที่ผมต้องการ ผมได้ยินพวกเขาพูดแค่ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเสด็จกลับมาในเร็วๆ นี้ และให้เราคอยเฝ้าดู แต่ผมก็มีแต่คำถามมากมาย ที่ศิษยาภิบาลล้วนบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้ทรงกลับมาแล้ว แต่เมื่อไหร่ล่ะ? แล้วทำไมเราถึงยังไม่ได้ต้อนรับพระองค์? ในช่วงนั้น ผมอธิษฐานอยู่เสมอ โดยกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์เฝ้ารอพระองค์มาตลอด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในชีวิตนี้ ข้าพระองค์จะได้ต้อนรับและฟังเสียงของพระองค์ พระเจ้า พระองค์จะเสด็จมาเมื่อไหร่? โปรดให้ข้าพระองค์ได้ยินเสียงพระองค์ด้วยเถิด”

วันหนึ่งในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.2013 ตรงทางเข้าตึกของเรา ชายแก่คนหนึ่งดูอายุสัก 70 ปีได้ เดินเข้ามาหาผม ถามผมว่าอยากสมัครสมาชิกหนังสือพิมพ์โชซุน อิลโบหรือเปล่า ผมก็คิดว่า ตอนนี้ทุกคนต่างก็มีมือถือกับคอมพิวเตอร์ ใครจะมาอ่านหนังสือพิมพ์ล่ะ? ผมก็เลยรีบปฏิเสธไป แต่พอหลายวันผ่านไป ทุกครั้งที่เห็นผม เขาจะเอาแต่ขอให้ผมสมัครสมาชิก ส่วนผมก็คอยปฏิเสธไป แต่ผมก็ต้องแปลกใจ หนึ่งเดือนต่อมา ผมได้เจอชายคนนี้ที่ลิฟต์ เหมือนกับว่าเขารอผมอยู่ พอเขาเห็นผม เขาก็ยิ้มและทักทาย แล้วก็ถามผมเรื่องสมัครสมาชิก ผมก็สงสัยว่า ทำไมชายคนนี้ถึงได้พยายาม ขายหนังสือพิมพ์ให้ผมมานานขนาดนี้ เพื่อรักษาน้ำใจ สุดท้ายผมก็สมัครสมาชิกไป แต่ว่าด้วยหลายๆ เหตุผล ผมจึงไม่มีเวลาอ่านเลยสักที จนในเช้าวันหนึ่งต้นเดือนพฤษภาคม พอหนังสือพิมพ์มาส่ง ผมหยิบมาและกวาดตาดูพาดหัวข่าวเร็วๆ เหมือนที่เคยทำ มันมีหัวข้อหนึ่งที่สะดุดตาผมอย่างจัง ในนั้นเขียนว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงพระวจนะในยุคราชอาณาจักร” ผมตกใจมาก อะไรกัน? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ยุคราชอาณาจักร จะเป็นความจริงเช่นนั้นจริงหรือ? ตอนนั้นความรู้สึกผมสับสนไปหมด ผมตื่นเต้นมาก ในที่สุดฉันก็เจอข่าวการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่แล้วผมก็สงสัยขึ้นมาว่า มันอาจจะเป็นข่าวปลอมก็ได้ ผมจึงมองไปที่ด้านล่างของหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นเบอร์โทรกับที่อยู่ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วก็มีชื่อหนังสือจากคริสตจักร ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องสำคัญ ที่จะต้องตรวจสอบเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง เพราะการกลับมาขององค์พระผู้เป็น ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ผมก็เลยโทรไปที่เบอร์ที่เจอในหนังสือพิมพ์ทันที ผมได้ยินเสียงพี่สาวคนหนึ่งรับสาย ผมก็เลยถามเธอว่า “ขอถามได้ไหมครับว่า ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์นี้เป็นความจริงหรือเปล่า? องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วหรือครับ? พระวจนะเหล่านี้มาจากพระเจ้าจริงหรือ” เธอก็บอกว่า “จริงค่ะ” พี่คิมกับพี่พัคจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จึงนัดเวลาพบกับผม สามัคคีธรรมกับผมถึงพระราชกิจสามระยะของพระเจ้า พี่คิมพูดว่า “ตั้งแต่เมื่อครั้งอาดัมกับเอวา ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ก็ใช้ชีวิตอยู่ในบาป อยู่ภายใต้กำลังบังคับของซาตาน ถูกซาตานปั่นหัวและทำร้าย พระเจ้าทรงพระราชกิจสามระยะ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างสมบูรณ์จากอิทธิพลของซาตาน ซึ่งก็คือยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร เหล่านี้คืองานแตกต่างกันสามระยะ แต่ทำโดยพระเจ้าองค์เดียวกัน พระราชกิจแต่ละระยะของพระเจ้า ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จำเป็นต่อมนุษย์ที่เสื่อมทราม แต่ละระยะก็ถูกสร้างขึ้นจากระยะก่อนหน้า เพื่อปฏิบัติงานที่ล้ำลึกและสูงส่งยิ่งขึ้น” แล้วเธอก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “แผนการบริหารจัดการหกพันปีถูกแบ่งออกเป็นพระราชกิจสามระยะ ไม่มีช่วงระยะหนึ่งใดเพียงลำพังที่สามารถเป็นตัวแทนพระราชกิจของสามยุคได้ แต่เป็นได้แค่เพียงหนึ่งส่วนของทั้งองค์รวม พระนามพระยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นตัวแทนองค์รวมแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้พิสูจน์ว่า พระเจ้าสามารถเป็นได้เพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติเท่านั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงออกธรรมบัญญัติสำหรับมนุษย์ และได้ทรงส่งต่อพระบัญญัติมายังเขา ขอให้มนุษย์สร้างวิหารและแท่นบูชาต่างๆ พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปเป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น พระราชกิจนี้ที่พระองค์ได้ทรงทำไปมิได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งขอให้มนุษย์รักษาธรรมบัญญัติเท่านั้น หรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในวิหาร หรือว่าพระองค์เป็นพระเจ้าหน้าแท่นบูชา พูดได้เลยว่านี่คงไม่จริง พระราชกิจที่ทรงทำไปภายใต้ธรรมบัญญัติสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งยุคเท่านั้น เพราะฉะนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะจำกัดขอบเขตของพระเจ้าอยู่ภายในนิยามต่อไปนี้ที่กล่าวว่า ‘พระเจ้าคือพระเจ้าองค์ที่อยู่ในวิหาร และเพื่อที่จะรับใช้พระเจ้า พวกเราต้องสวมเสื้อคลุมแบบปุโรหิตและเข้าสู่วิหาร’ หากพระราชกิจในยุคพระคุณไม่ได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จ และยุคพระธรรมบัญญัติไม่ได้สานต่อมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ก็คงจะไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงเปี่ยมปรานีและเปี่ยมความรักด้วยเช่นกัน หากพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้ถูกกระทำไป และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับมีเพียงพระราชกิจในยุคพระคุณเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่มนุษย์คงจะรู้ก็คือว่า พระเจ้าสามารถไถ่มนุษย์และยกโทษให้กับบาปต่างๆ ของมนุษย์เท่านั้น มนุษย์คงจะรู้เพียงว่า พระองค์ทรงบริสุทธิ์และไร้เดียงสา และว่าพระองค์ทรงมีความสามารถพลีอุทิศพระองค์เองและถูกตรึงกางเขนได้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ มนุษย์คงจะรู้เพียงสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดเลย ดังนั้น แต่ละยุคเป็นตัวแทนหนึ่งส่วนของพระอุปนิสัยของพระเจ้า สำหรับเรื่องที่พระอุปนิสัยด้านใดของพระเจ้ามีตัวแทนในยุคธรรมบัญญัติ ด้านใดมีอยู่ในยุคพระคุณ และด้านใดมีอยู่ในช่วงระยะปัจจุบันนั้น เฉพาะเมื่อช่วงระยะทั้งสามได้ถูกรวมเข้าเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวแล้วเท่านั้น พวกมันจึงจะสามารถเปิดเผยความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าออกมาได้ เฉพาะเมื่อมนุษย์ได้มารู้จักครบทั้งสามช่วงระยะแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างครบถ้วน ไม่มีช่วงระยะใดในสามช่วงระยะนี้ที่สามารถถูกละเว้นได้เลย เจ้าจะมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ก็เฉพาะหลังจากที่ได้มารู้จักสามช่วงระยะเหล่านี้ของพระราชกิจแล้วเท่านั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้พิสูจน์ว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติเท่านั้น และข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าจะทรงไถ่มวลมนุษย์ไปตลอดกาล เหล่านี้คือข้อสรุปที่มนุษย์วาดภาพขึ้นมา การที่ยุคพระคุณได้จบลงไปแล้ว ใช่ว่าเจ้าจะสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าเพียงเป็นของกางเขนเท่านั้น และว่าเฉพาะกางเขนเพียงลำพังเท่านั้นที่เป็นตัวแทนความรอดของพระเจ้า การทำเช่นนั้นย่อมจะเป็นการให้นิยามต่อพระเจ้า ในช่วงระยะปัจจุบัน โดยหลักแล้วพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจแห่งพระวจนะ แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถพูดได้อยู่ดีว่า พระเจ้าไม่เคยทรงเปี่ยมปรานีต่อมนุษย์ และพูดว่าทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงนำมาก็คือการพิพากษาและการตีสอน พระราชกิจในยุคสุดท้ายแผ่วางให้เห็นพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู และความล้ำลึกทั้งหมดที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเปิดเผยบั้นปลายและบทอวสานของมวลมนุษย์ และสิ้นสุดพระราชกิจแห่งความรอดทั้งหมดท่ามกลางมวลมนุษย์ ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจในยุคสุดท้ายนั้นนำพาทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่การปิดฉาก ความลึกล้ำทั้งมวลที่มนุษย์ไม่เข้าใจจำเป็นจะต้องได้รับการคลี่คลาย เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้หยั่งค้นลงไปในความลึกของพวกมัน และมีความเข้าใจที่ชัดเจนโดยครบบริบูรณ์ในหัวใจของเขา เฉพาะเมื่อถึงตอนนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงจะสามารถถูกจำแนกชนชั้นออกไปตามประเภท เฉพาะหลังจากแผนการบริหารจัดการหกพันปีเสร็จสิ้นลงเท่านั้น มนุษย์จึงจะมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะถึงตอนนั้น แผนการบริหารจัดการของพระองค์ก็จะได้มาถึงปลายทางแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) จากนั้นพี่คิมก็แบ่งปันสามัคคีธรรมกับผมเพิ่มอีกมาก ผมได้เรียนรู้ว่าแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า แบ่งออกเป็นสามยุค สามระยะ คือยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ประกาศธรรมบัญญัติเพื่อให้ผู้คนรู้จักบาป ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงงานไถ่ พระองค์ถูกตรึงกางเขนเพื่อมวลมนุษย์ ให้อภัยแก่บาปของเรา ให้เราหลุดพ้นจากการกล่าวโทษและความตายภายใต้ธรรมบัญญัติ ในยุคราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงงานพิพากษา เพื่อแก้ไขต้นเหตุแห่งบาปของมนุษย์ เพื่อช่วยเราให้รอดโดยสมบูรณ์ และนำเราเข้าสู่ราชอาณาจักร พระราชกิจสามระยะเกิดขึ้นในคนละยุค รวมถึงสิ่งต่างๆ ที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดกระทำโดยพระเจ้าองค์เดียว เป็นพระเจ้าองค์เดียวที่ทรงงานต่างกันในแต่ละยุค พอเข้าใจสิ่งนี้ ทำให้ผมรู้แจ้งจริงๆ

จากนั้น พี่พัคก็ได้สามัคคีธรรมกับผมว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงชำระผู้คนให้สะอาด ผ่านงานพิพากษาอย่างไร พี่เขาได้แบ่งปันพระวจนะมาบทตอนหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) แล้วพี่พัคก็บอกผมว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงใช้ความจริงชำระผู้คนให้สะอาด พระองค์ทรงแสดงพระวจนะนับล้านคำ ที่เปิดเผยความล้ำลึกของพระคัมภีร์ และเป็นพยานแก่พระราชกิจ เปิดโปงต้นเหตุแห่งบาปหนักของมนุษย์ และความจริงแห่งความเสื่อมทรามของเรา นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนอุปนิสัยและการเข้าสู่ชีวิต รวมถึงการกำหนดจุดจบของผู้คนและอื่นๆ ซึ่งเป็นความจริงทั้งหมด และล้วนมาจากพระเจ้า สิ่งนี้แสดงให้เราเห็นถึงความชอบธรรม พระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ และพระปัญญาของพระเจ้า ใครก็ตามที่อ่านพระวจนะ จะรู้สึกได้ถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพในนั้น พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ทุกอย่างที่ทำให้มนุษย์เสื่อมทราม พระเจ้าทรงเปิดโปงทุกความคิด มุมมอง แนวคิดและสภาวะที่เสื่อมทรามของเรา ซึ่งชัดเจนมากในแง่ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเช่นนั้น พระองค์ยังทรงเปิดเผยและชำแหละ แก่นแท้ของความเสื่อมทราม แก้ไขต้นเหตุบาปหนักของมนุษย์และการต่อต้านพระเจ้าอย่างสมบูรณ์” พี่เขายังพูดว่า “ผ่านการพิพากษา การเปิดเผยและกระบวนการถลุงของพระวจนะ เราได้เข้าใจความจริงบางอย่างของความเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน แล้วเราจะเห็นว่าเราโอหัง คดโกง เห็นแก่ตัว และน่ารังเกียจแค่ไหน ทุกสิ่งที่เราพูดและทำ ล้วนมาจากความเสื่อมทราม เราแทบไม่ได้ใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ เราต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและสถานะ วางกลอุบาย โกหกหลอกลวง มีความอิจฉาและเกลียดชัง การมีความเชื่อโดยไม่นบนอบต่อพระเจ้า เต็มไปด้วยความปรารถนาฟุ้งเฟ้อ ติเตียนและต่อต้านพระเจ้า เมื่อเราเจอบททดสอบหรือความลำบาก เป็นต้น เราเข้าใจความจริงบางอย่างผ่านการพิพากษาและการตีสอน ได้ปัญญาแยกแยะระหว่างสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบ เรายังรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรม ที่ไม่ทนต่อการล่วงเกิน จนค่อยๆ มาเคารพและนบนอบต่อพระเจ้า เราสามารถกลับใจ ยอมรับการพิพากษาและการตีสอน และดำเนินการให้พระวจนะลุล่วง” พี่เขายังพูดว่า “ถ้าไม่มีพระวจนะที่เปิดโปงเรา พึ่งพาแต่คำอธิษฐานและการสารภาพ เราคงไม่มีทางได้รับความเข้าใจผ่านการทบทวน หรือแก้ไขต้นเหตุของบาปของเรา จากประสบการณ์ที่ได้รับ เรายังเห็นว่าการพิพากษาของพระเจ้า คือความรักที่แท้จริงของพระองค์และความรอดที่ดีที่สุดของมนุษย์ และถ้าไม่มีพระราชกิจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเรา จะไม่มีวันถูกชำระให้สะอาด ดังนั้น การยอมรับงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้าย คือเส้นทางเดียวที่จะไปสู่ราชอาณาจักร” จากนั้น พี่เขาก็บอกผมถึงคำพยานส่วนตัวของการพิพากษาแห่งพระวจนะ ทั้งหมดช่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง ผมบอกได้ว่างานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นสิ่งที่จิตวิญญาณผมต้องการอย่างแท้จริง งานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เปลี่ยนแปลงและชำระผู้คนให้สะอาดได้จริงๆ ทางเดียวที่จะเข้าไปสู่ราชอาณาจักรคือยอมรับการพิพากษาของพระเจ้า

ไม่กี่วันถัดมา พี่สาวทั้งสองบอกผมด้วยว่า ทำไมตอนนี้โลกศาสนาจึงว่างเปล่า และการเทศนาของศิษยาภิบาลจึงแห้งแล้ง ยังมีเรื่องจริงเบื้องหลังพระคัมภีร์ ความล้ำลึกและความหมายของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ผมรู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ มีอยู่มากเหลือเกิน ทำให้ผมเข้าใจความล้ำลึกมากมาย หลังตรวจสอบดู ผมก็ยอมรับความรอดแห่งยุคสุดท้ายด้วยความยินดี

พี่สาวทั้งสองคนให้หนังสือพระวจนะผมมาสองเล่ม ผมเปิดดูเล่มหนึ่งตอนกลับถึงบ้าน หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก สิ่งแรกที่ผมเห็นก็คือ พระวจนะในบทนำที่ว่า “แม้ว่าผู้คนมากมายเชื่อในพระเจ้า แต่น้อยคนนักที่เข้าใจว่าอะไรคือความหมายของความเชื่อในพระเจ้า และพวกเขาต้องทำอะไรเพื่อให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่เป็นเพราะแม้ว่าผู้คนจะคุ้นเคยกับคำว่า ‘พระเจ้า’ และวลีทั้งหลาย อาทิ ‘พระราชกิจของพระเจ้า’ แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักพระเจ้า และพวกเขายิ่งรู้จักพระราชกิจของพระองค์น้อยกว่า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ทุกคนซึ่งไม่รู้จักพระเจ้าจะสับสนปนเปในการเชื่อของพวกเขาในพระองค์ ผู้คนไม่ถือการเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องจริงจัง และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะการเชื่อในพระเจ้าเป็นความไม่คุ้นเคยเกินไป แปลกเกินไปสำหรับพวกเขา ในหนทางนี้พวกเขาจึงไปไม่ถึงข้อเรียกร้องทั้งหลายของพระเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากผู้คนไม่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้จักพระราชกิจของพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานโดยพระเจ้าและพวกเขายิ่งไม่มีความสามารถที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้ ‘การเชื่อในพระเจ้า’ หมายถึงการเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่ง นี่เป็นมโนทัศน์ที่เรียบง่ายที่สุดเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่องค์หนึ่งไม่เหมือนกับการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง ตรงกันข้าม มันเป็นความเชื่อที่เรียบง่ายประเภทหนึ่งซึ่งมีนัยแฝงทางศาสนาที่รุนแรง ความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าหมายถึงสิ่งต่อไปนี้คือ บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง คนเรามีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์และพระราชกิจของพระองค์ ลบล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามของคนเรา ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าและได้มารู้จักพระเจ้า มีเพียงการเดินทางแบบนี้เท่านั้นที่อาจถูกเรียกว่า ‘ความเชื่อในพระเจ้า’(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า) พระวจนะสัมพันธ์กับชีวิตจริง เผยความหมายของความเชื่อในพระเจ้า ผมได้ตระหนักว่า ความเชื่อต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า เพื่อให้ละทิ้งความเสื่อมทราม ได้รับความจริงและรู้จักพระเจ้า นั่นคือความเชื่อที่แท้จริง ผมเคยคิดว่าความเชื่อหมายถึงการอธิษฐานทุกวัน และไปคริสตจักรบ่อยๆ น่าเศร้า ผมไม่เคยรู้เลยว่าผมอยู่บนเส้นทางความเชื่อที่ถูกต้องหรือไม่ ผมถึงได้เดินสะดุดตลอดทางจนถึงตอนนั้น พออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้ผมสะดุดใจ เส้นทางที่ผมเคยเดินด้วยความเชื่อของผมนั้น ผิดอย่างสิ้นเชิง จากนั้น ผมก็เห็นสารบัญ ชื่อเรื่อง “เจ้าคือใครบางคนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกหรือไม่?” มันดึงดูดผมมาก ผมจึงรีบเปิดดูทันที มีพระวจนะดังนี้ครับ “พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ แต่แล้วมนุษย์ก็ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม จนผู้คนกลายเป็น ‘คนตาย’ ดังนั้น หลังจากที่เจ้าได้เปลี่ยนไป เจ้าก็จะไม่เป็นเช่น ‘คนตาย’ เหล่านี้อีกต่อไป เป็นพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่ช่วยให้จิตวิญญาณของผู้คนฟื้นคืนขึ้นมาและทำให้พวกเขาได้เกิดใหม่ และเมื่อจิตวิญญาณของผู้คนเกิดใหม่ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมจะได้กลับมีชีวิตขึ้นอีก เมื่อเราพูดถึง ‘คนตาย’ เรากำลังอ้างถึงบรรดาซากศพที่ไร้วิญญาณ อ้างถึงผู้คนที่จิตวิญญาณของพวกเขาได้ตายไปแล้วภายในตัวพวกเขา เมื่อประกายแห่งชีวิตถูกจุดขึ้นในจิตวิญญาณของผู้คน ผู้คนก็ย่อมกลับมีชีวิตขึ้นอีก เหล่าวิสุทธิชนที่เคยถูกกล่าวถึงก่อนหน้านั้นอ้างอิงถึงผู้คนที่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีก คือบรรดาผู้ที่ได้อยู่ใต้อิทธิพลของซาตานแต่มีชัยเหนือซาตาน…

…‘คนตาย’ คือพวกที่ต่อต้านและกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาเป็นพวกที่ด้านชาในจิตวิญญาณและไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาคือผู้ที่ไม่ได้นำความจริงมาปฏิบัติและไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย และพวกเขาคือผู้ที่มีชีวิตภายใต้แดนครอบครองของซาตานและถูกซาตานหาประโยชน์จากพวกเขา คนตายสำแดงตัวด้วยการยืนหยัดต่อต้านความจริง ด้วยการกบฏต่อพระเจ้า และด้วยการทำตัวต่ำช้า น่าเหยียดหยาม มุ่งร้าย โหดร้าย เล่ห์ลวง และเจ้าเล่ห์ แม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะดำรงชีพตามพระวจนะของพระเจ้าได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิต แต่พวกเขาก็เป็นเพียงซากศพที่เดินได้ หายใจได้ คนตายนั้นไม่สามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะทำให้พระเจ้าสมดังพระทัยได้ และยิ่งไม่เชื่อฟังพระองค์อย่างสิ้นเชิง พวกเขาเพียงแค่สามารถหลอกลวงพระองค์ หมิ่นประมาทพระองค์และทรยศพระองค์เท่านั้น และทั้งหมดที่พวกเขานำออกมาโดยวิธีที่พวกเขาใช้ชีวิตเปิดเผยธรรมชาติของซาตาน หากผู้คนปรารถนาที่จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และได้รับการรับรองจากพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องยอมรับความรอดของพระเจ้า พวกเขาต้องนบนอบด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์และต้องยอมรับด้วยความเปรมปรีดิ์ต่อการตัดแต่งของพระเจ้าและการจัดการโดยพระองค์ เมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถนำความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์มาปฏิบัติได้ และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงจะได้รับความรอดของพระเจ้าและกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างแท้จริง คนเป็นได้รับการทรงช่วยให้รอดโดยพระเจ้า พวกเขาถูกพิพากษาและตีสอนโดยพระเจ้า พวกเขาเต็มใจอุทิศตนและยินดีวางชีวิตของพวกเขาลงเพื่อพระเจ้า และพวกเขาย่อมจะยินดีอุทิศชีวิตทั้งหมดของพวกเขาให้กับพระเจ้า จนเมื่อคนเป็นเป็นคำพยานต่อพระเจ้าแล้วเท่านั้น ซาตานจึงสามารถถูกทำให้อับอายได้ มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สามารถเผยแพร่พระราชกิจข่าวประเสริฐของพระเจ้า มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่สมดังพระทัยของพระเจ้า และมีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นผู้คนจริงๆ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า) หลังอ่านบทตอนนี้ ใจผมก็รู้ทันทีว่า นี่แหละคือคำตอบที่ผมแสวงหามาตลอดหลายปี ในที่สุดผมก็รู้ว่าอะไรหมายถึง “ตาย” อะไรหมายถึง “มีชีวิต” เมื่อพระเจ้าสร้างอาดัมกับเอวา ทั้งคู่สามารถรับฟังพระเจ้า เป็นที่ประจักษ์และสรรเสริญพระองค์ เป็นคนเป็นพร้อมจิตวิญญาณ จากนั้นซาตานล่อลวงพวกเขาให้ทรยศพระเจ้า พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตอยู่ในบาป ภายใต้อำนาจของซาตาน นั่นทำให้มนุษย์เสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพิษของซาตานทุกรูปแบบ ที่ค่อยๆ แทรกซึมเข้าสู่ตัวเรา พวกเราจมลึกลงสู่บาป ไม่ยอมรับพระเจ้า ปฏิเสธและต่อต้านพระองค์ ใช้ชีวิตตามอุปนิสัยเยี่ยงซาตาน เราไม่เหมือนอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างเราในตอนเริ่มแรก พระเจ้าทรงเห็นผู้ที่อยู่ในบาป อยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน ว่าเป็นคนตาย คนตายย่อมเป็นของซาตาน พวกเขาต่อต้านพระเจ้า ไม่คู่ควรกับราชอาณาจักรของพระองค์ ส่วนคนเป็นคือผู้ที่ถูกพระเจ้าช่วยให้รอด ความเสื่อมทรามของพวกเขาถูกชำระให้สะอาด ผ่านการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขาละทิ้งซึ่งบาป กำลังบังคับของซาตาน เลิกกบฏและต่อต้านพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสหรือทรงงานยังไง พวกเขาก็ฟังและเชื่อฟังได้ คนเป็นเป็นพยานและสรรเสริญพระเจ้าได้ และพวกเขาเท่านั้น ที่จะได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าและเข้าราชอาณาจักรได้ จะเป็นคนเป็น เราต้องยอมรับความจริงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง และรับประสบการณ์การพิพากษาของพระองค์ ท้ายที่สุดก็ถูกชำระให้สะอาด และฟื้นคืนมโนธรรมและเหตุผลของเรา เชื่อฟังพระผู้สร้างและนำพระวจนะไปปฏิบัติ เคารพและเป็นพยานต่อพระเจ้า นี่คือคนที่กลับมามีชีวิตอย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถเข้าราชอาณาจักรและมีชีวิตนิรันดร์ได้ พอถึงจุดนั้น ผมก็เข้าใจความหมายขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีกแม้ว่าเขาจะตายไป และทุกคนที่มีชีวิตและวางใจในเราจะไม่ตายเลย(ยอห์น 11:25-26) นั่นคือความหมายของมัน ผมรู้สึกว่าเมื่อผมเข้าใจทั้งหมดนั้นแล้ว ใจผมก็สดใส

จากนั้นผมก็อ่านอีกบทความหนึ่ง มีชื่อเรื่องว่า “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้” ซึ่งทำให้ผมประทับใจมากๆ ครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์ พวกที่ไม่ได้รับการจัดหาน้ำแห่งชีวิตมาให้จะยังคงเป็นซากศพ ของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงแค่พยายามเก็บรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่โดยการอยู่นิ่งเฉย และไม่พยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ? ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถแก้ต่างกับพระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นเป็นพระเจ้าที่ทรงมีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร? และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร? ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร? สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้เพียงแต่การปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้ คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ? มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ? เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ? หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าไปในสวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่? เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินการงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้ หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า) บทตอนนี้ส่งผลกระทบกับผมมาก ผมรู้สึกว่านี่มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพมาก พระวจนะเหล่านั้นมาจากพระเจ้าได้เท่านั้น ผมนึกได้ที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา(ยอห์น 14:6) นั่นแหละครับ นอกจากพระเจ้าแล้ว จะมีใครปกครองประตูแห่งราชอาณาจักรได้? ถ้าเราต้องการชีวิตนิรันดร์ เราต้องยอมรับวิถีแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายนำมา นั่นหมายถึงความจริง ที่องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาได้ทรงแสดง และเป็นทางเดียวที่จะทำให้ความหวัง ในการเข้าราชอาณาจักรเป็นจริง ผมรู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอเส้นทางไปสู่ราชอาณาจักร ผมตื่นเต้นมากๆ ผมอ่านพระวจนะเหมือนคนหิวโหยอาหาร พระวจนะส่งผลกระทบกับผมอย่างมาก ยิ่งอ่านผมก็ยิ่งรู้ว่าพระวจนะเป็นความจริง ซึ่งไม่มีทางมาจากศิษยาภิบาลหรือนักศาสนศาสตร์คนใดได้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บำรุงเลี้ยงจิตวิญญาณ อันสับสนและหิวโหยของผม ผมย้อนนึกไปถึงชายแก่ที่ขายหนังสือพิมพ์คนนั้น เขาเอาแต่ขอให้ผมสมัครสมาชิก ผมถึงได้ยินเสียงของพระเจ้าในที่สุด ผมอยากจะขอบคุณเขา แต่ผมก็ไม่เคยเจอเขาอีก แล้วผมก็ตระหนักว่า นี่คือกิจการอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าที่ได้ทรงอนุญาต ชายคนนั้นขอให้ผมสมัครสมาชิก ทำให้ผมได้ยินเสียงพระเจ้า และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือการทรงนำของพระเจ้า และความรักที่พระองค์มีต่อผม ผมขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองได้รับพรมากเหลือเกินครับ ที่ได้ยินเสียงของพระเจ้า และเห็นการทรงปรากฏในชีวิตนี้ นี่เป็นพระกรุณาและพระคุณ ยิ่งกว่านั้น เป็นความรอดที่พระเจ้ามีต่อผม ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าได้แสดงพระดำรัส นอกเหนือไปจากพระคัมภีร์หรือไม่?

วันหนึ่งในเดือนมกราคมปี 2018 ฉันพบพี่น้องหญิงเซี่ยและพี่น้องหญิงเฉินออนไลน์ ซึ่งมีความเข้าใจลึกซึ่งในพระคัมภีร์เป็นพิเศษ...

กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ผมมาเป็นคริสเตียนในปี 1990 มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่พูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ และเราต้องทำตามพระคัมภีร์ คำพูดเหล่านั้น...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger