ฉันเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระคัมภีร์กับพระเจ้าแล้ว
โดย Jean, แคเมอรูน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว วิถีทางดั้งเดิมของผู้คนเกี่ยวกับการเชื่อ (วิถีทางของศาสนาคริสต์...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
ฉันได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อปี 2012 ค่ะ ฉันได้ยินศิษยาภิบาลพูดในการชุมนุมบ่อยๆ ว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ (กิจการ 1:11) ‘และเมื่อนั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ด้วยฤทธานุภาพและพระรัศมีอันยิ่งใหญ่’ (ลูกา 21:27) องค์พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสู่สวรรค์โดยขึ้นไปบนก้อนเมฆในรูปกายพระวิญญาณ ดังนั้น พระองค์จะทรงกลับมาแบบเดิมแน่นอน โดยการทรงปรากฏต่อเราบนก้อนเมฆ ตอนนี้ คำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์หลายข้อลุล่วงแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในไม่ช้า เราต้องเชื่อว่าพระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆ ข่าวใดๆ ที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นั้นเป็นข่าวปลอม และเราต้องไม่เชื่อ ไม่เช่นนั้นเราจะถูกหลอก และพลาดโอกาสเข้าสู่สวรรค์ได้” ฉันจำคำพูดของศิษยาภิบาลไว้ในใจเสมอ ต่อมา ฉันได้ทำงานให้คริสตจักร ฉันย้ำเตือนตัวเองตลอดว่าต้องเป็นผู้ดูแลที่ดี และคอยเฝ้าระวังให้แกะขององค์พระผู้เป็นเจ้า
วันหนึ่งในเดือนมิถุนายน ปี 2018 ฉันกับพี่สาวอีกสองคนไปอ่านพระคัมภีร์ที่บ้านซิสเตอร์ลี่ ซิสเตอร์จิน หลานสาวของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย เราเลยเจาะลึกเรื่ององค์พระคัมภีร์ด้วยกัน ซิสเตอร์จินได้พูดถึงคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า “เพราะว่าพระบิดาไม่ทรงพิพากษาใคร แต่ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร” (ยอห์น 5:22) “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” (1 เปโตร 4:17) เธอบอกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาเมื่อพระองค์ทรงกลับมา พระองค์จะทรงแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน แยกแกะออกจากแพะ และแยกผู้รับใช้ที่ดีออกจากผู้รับใช้ชั่ว ผ่านพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ การสามัคคีธรรมของซิสเตอร์จินเป็นเรื่องที่ใหม่และให้ความรู้แจ้งจริงๆ มันเพลิดเพลิน และฉันก็ได้อะไรเยอะมาก ตอนที่กำลังจะเลิก ซิสเตอร์จินก็บอกเราว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระองค์ก็คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และได้เสด็จมายังโลก ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา โดยเริ่มที่ครอบครัวของพระเจ้า…” พอได้ยินเธอพูดคำนี้ รอยยิ้มบนหน้าฉันก็หายไปทันที องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจในร่างมนุษย์งั้นเหรอ มันจะเป็นไปได้ยังไง ศิษยาภิบาลพูดตลอดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในรูปกายพระวิญญาณ และข่าวเรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระองค์คือข่าวปลอม ฉันตั้งกำแพงใส่ซิสเตอร์จินทันที ฉันไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว ตอนที่เรากำลังจะกลับ เธอยื่นหนังสือชื่อ หนังสือม้วนนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระเมษโปดก ให้ฉัน พลางกำชับฉันอย่างจริงใจว่าให้อ่านอย่างถี่ถ้วน ฉันรับหนังสือนั้นมาเพราะเห็นแก่เธอค่ะ
หลังกลับถึงบ้าน ฉันก็เปิดดูสองสามหน้าด้วยความอยากรู้ ฉันคิดว่าถ้อยคำเหล่านี้เปี่ยมสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พอคิดถึงคำพูดของศิษยาภิบาล ฉันก็หยุดอ่านทันที วันถัดมา พี่สาวสองคนได้ชวนฉันไปฟังการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์จิน ฉันจึงเผยความกังวลใจออกไป พวกเธอตอบว่า การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นวาระใหญ่ และเพราะการสามัคคีธรรมของเธอให้ความรู้แจ้ง พวกเราจึงควรแสวงหาและตรวจสอบดูให้ดี พวกเธอบอกว่า นั่นคือทางเดียวที่จะบอกได้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงไหม ฉันคิดว่าสิ่งที่พวกเธอพูดก็มีเหตุผล จึงไปที่บ้านของซิสเตอร์ลี่อีกครั้ง
พอเจอซิสเตอร์จิน ฉันก็ถามเธอว่า “คุณบอกว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงกลับมาแล้ว คุณรู้ได้ยังไงคะ คุณเคยเห็นพระเจ้าแล้วเหรอ” เธอยิ้มแล้วตอบว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา’ (ยอห์น 10:27) ‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา’ (วิวรณ์ 3:20) คำเผยพระวจนะเหล่านี้ชัดเจนมาก ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในยุคสุดท้าย และเปล่งพระวจนะ และแกะของพระเจ้าจะได้ยินพระสุรเสียง แล้วมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ในการรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะเชื่อแค่ในสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่เราต้องคอยฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้จดจำและรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คือการเป็นพยานให้การทรงปรากฏของพระองค์ ตอนที่โยบได้ยินพระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสจากลมหมุน เขาได้กล่าวว่า ‘ข้าพระองค์เคยได้ยินถึงพระองค์ด้วยหู แต่บัดนี้ดวงตาข้าพระองค์เห็นพระองค์’ (โยบ 42:5) โยบบอกว่าเขาเห็นพระองค์ แต่เขาเห็นพระยาห์เวห์พระเจ้าด้วยสองตาหรือเปล่าคะ เขาได้ยินพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์จากลมหมุน และรู้ในหัวใจว่านั่นคือพระเจ้า มันเหมือนการได้เห็นพระเจ้าเลยค่ะ และตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจของพระองค์ เปโตร นาธานาเอล หญิงชาวสะมาเรีย และคนอื่นๆ ต่างก็จำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ จากพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงได้แน่ใจว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ แล้วพวกเขาก็เริ่มติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า หากเราไม่คอยฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ต่อให้เราเห็นพระองค์ ได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เราก็ไม่รู้จักพระองค์อยู่ดี เหมือนกับตอนที่พวกฟาริสีได้เห็นองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาจำไม่ได้ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ ซ้ำยังต้านทานและกล่าวโทษพระองค์ เราถึงเชื่อสายตาตัวเองไม่ได้ในเรื่องการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้า กุญแจสำคัญคือการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และยืนยันในหัวใจของเราค่ะ เรายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเห็นว่าพระวจนะนั้นคือความจริง คือพระสุรเสียงของพระเจ้า เราจึงรู้ได้จากหัวใจว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา” สิ่งนี้ดังก้องอยู่ในใจฉัน แต่พอคิดถึงสิ่งที่ศิษยาภิบาลพูดขึ้นมา ฉันก็ไม่สามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้วในร่างมนุษย์ และได้พูดว่า “ฉันต้องตรวจสอบดูก่อน” คืนนั้น ฉันนอนไม่หลับและพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง ฉันเอาแต่นึกถึงการสามัคคีธรรมของซิสเตอร์จิน และคิดกับตัวเองว่า “การสามัคคีธรรมของเธอมีความสว่างจริงๆ ฉันไม่เคยได้ยินการสามัคคีธรรมที่ยอดเยี่ยมแบบนี้มาก่อน ถ้าเกิดพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูที่ทรงกลับมาจริงๆ ล่ะ ถ้าฉันปฏิเสธที่จะตรวจสอบเรื่องนี้ ฉันจะไม่พลาดการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอาเหรอ แต่ศิษยาภิบาลได้บอกเราอย่างชัดเจนว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในกายพระวิญญาณ ไม่ใช่ในร่างมนุษย์ ถ้าฉันเดินผิดทาง ก็อาจจะทำให้คนอื่นพินาศไปด้วย!” ถึงจุดนั้น ฉันก็คุกเข่าลงเพื่ออธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โอ้องค์พระเยซูเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์สับสนเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่รู้เลยว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาของพระองค์จริงไหม โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและมอบปัญญาแยกแยะ ให้ข้าพระองค์ไม่พลัดหลงไปจากทางของพระองค์ด้วยเถิด”
วันต่อมา ฉันบังเอิญเจอกับบราเดอร์หวัง ที่เป็นผู้เชื่อมาหลายปีและรอบรู้เรื่องพระคัมภีร์ เขาคือนักแสวงหาผู้อุทิศตน ฉันเล่าเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้เขาฟัง พอได้ยินเรื่องนี้ บราเดอร์หวังก็พูดว่า “นี่คือช่วงเวลาวิกฤตแห่งการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากเราได้ยินคนแพร่ข่าวว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว เราก็ควรแสวงหาด้วยใจที่เปิดกว้าง จะตัดสินโดยเลินเล่อไม่ได้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย’ (มัทธิว 5:3) ส่วนในโรม 10:17 กล่าวว่า ‘ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์’ เราจะรู้ได้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาไหมผ่านการแสวงหาและตรวจสอบเท่านั้น หากองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาจริง แล้วเราไม่ทำ เราจะไม่พลาดโอกาสที่จะถูกรับขึ้นไปเหรอ” ฉันรู้สึกว่าสิ่งที่บราเดอร์หวังพูดมีเหตุผล และเราควรเข้าหาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความยำเกรงต่อพระเจ้า ไม่ใช่ตัดสินไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ฉันจึงตัดสินใจไปตรวจสอบดูที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ
สองสามวันต่อมา ฉันกับบราเดอร์หวังไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์พร้อมพี่สาวอีกสองคน ฉันได้เผยความกังวลว่า “การสามัคคีธรรมของซิสเตอร์จินเมื่อคราวก่อน สอดคล้องกับพระคัมภีร์ทั้งหมด และมีความสว่างจริงๆ แต่ฉันยอมรับคำพยานของคุณไม่ได้ ที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในร่างมนุษย์ เพราะในพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘และเมื่อนั้นพวกเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ด้วยฤทธานุภาพและพระรัศมีอันยิ่งใหญ่’ (ลูกา 21:27) เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ก็ควรปรากฏต่อเราด้วยพระรัศมีอันยิ่งใหญ่ในกายพระวิญญาณสิ พระองค์จะเสด็จมาในร่างมนุษย์ได้ยังไง”
พี่ชายคนหนึ่งได้แบ่งปันสามัคคีธรรมว่า “เรื่องการทรงปรากฏในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น นอกจากคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ที่ว่าพระองค์เสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ ก็ยังมีคำเผยพระวจนะอีกมากมาย ที่ว่าพระองค์ทรงกลับมาในเนื้อหนัง ในฐานะบุตรมนุษย์” ฉันประหลาดใจมากที่ได้ยินแบบนี้ มีคำเผยพระวจนะที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในร่างมนุษย์ด้วยเหรอ ฉันไม่เคยสังเกตเลยได้ยังไง แล้วพี่ชายคนนั้นก็พูดว่า “ตัวอย่างเช่น ‘พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ (ลูกา 12:40) ‘เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น’ (มัทธิว 24:27) และ ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ (ลูกา 17:24-25) คำเผยพระวจนะเหล่านี้กล่าวถึงบุตรมนุษย์และการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ เมื่อพูดถึงบุตรมนุษย์ ย่อมหมายความว่าพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และครอบครองความเป็นมนุษย์ปกติ หากพระองค์ทรงปรากฏในกายพระวิญญาณ คงไม่มีใครเรียกพระองค์ว่าบุตรมนุษย์ ตัวอย่างเช่น พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ เราก็ไม่เรียกว่าบุตรมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้าในเนื้อหนังคือบุตรมนุษย์ พระองค์คือพระคริสต์ และนี่เป็นเพราะว่า พระองค์คือพระวิญญาณของพระเจ้าที่ห่อหุ้มด้วยเนื้อหนัง ภายนอกพระองค์ทรงดูธรรมดามาก แต่พระองค์ทรงศักดิ์สิทธิ์โดยสมบูรณ์ และทรงพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ ดังนั้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวถึง ‘บุตรมนุษย์ที่เสด็จมา’ และ ‘การมาของบุตรมนุษย์’ พระองค์ทรงพูดถึงพระเจ้าที่ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายในร่างมนุษย์ โดยเฉพาะในข้อนี้ที่ว่า ‘แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’—คือคำเผยพระวจนะของสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทนทุกข์ ตอนที่พระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ครั้งแรก ถ้าองค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาบนก้อนเมฆด้วยพระรัศมียิ่งใหญ่ในกายพระวิญญาณ คงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งโลก ทุกคนก็คงล้มลงกราบและสั่นเทา ใครจะกล้าต่อต้านพระองค์ พระองค์คงไม่ทรงต้องทนทุกข์หรือถูกคนยุคนี้ปฏิเสธ มีเพียงตอนที่พระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในเนื้อหนังในฐานะบุตรมนุษย์ ตอนที่พระองค์ทรงดูปกติมากๆ เท่านั้น ที่ผู้คนไม่รู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า และปฏิบัติต่อพระองค์อย่างคนทั่วไป พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ตามมโนคติอันหลงผิดของตน และนั่นทำให้ลุล่วงตามคำกล่าวในพระคัมภีร์ที่ว่า ‘แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ ตอนที่เราตรวจสอบการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเราอิงจากแค่หนึ่งหรือสองข้อ และหมายมั่นว่าพระองค์จะเสด็จลงมาบนก้อนเมฆ เราก็มีแนวโน้มจะต่อต้านพระเจ้าและพลาดโอกาสของความรอดในยุคสุดท้าย”
ฉันหักล้างการสามัคคีธรรมของเขาไม่ได้เลย ข้อเหล่านั้น ได้เผยพระวจนะว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์ ในเนื้อหนังจริงๆ ฉันอ่านพระคัมภีร์ตั้งหลายรอบ ทำไมถึงไม่เคยเห็นเลย ฉันลดกำแพงในใจลงพอควร แต่แล้วฉันก็คิดว่า ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในร่างมนุษย์ แล้วคำเผยพระวจนะที่ว่า พระองค์จะเสด็จมาบนก้อนเมฆและทุกคนจะเห็นพระองค์ จะลุล่วงได้ยังไง เขาเลยเปิดวิดีโอเรื่อง ความล้ำลึกของการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ จากหนังเรื่อง ความล้ำลึกของความเลื่อมใสในศาสนา โดยคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วฉันก็ได้เข้าใจ ว่าในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาสองรูปแบบ แบบหนึ่งคือมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ และอีกแบบคือมาอย่างลับๆ นั่นไม่ได้ขัดแย้งกันเลย คำเผยพระวจนะลุล่วงขณะที่พระราชกิจของพระเจ้าคืบหน้าไป ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และใช้ชีวิตอย่างลับๆ ท่ามกลางมนุษย์ก่อน ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด ผู้ที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและยอมรับการพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา และจะถูกนำขึ้นไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า พวกเขาผ่านการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า และความเสื่อมทรามของพวกเขาก็ได้รับการชำระให้สะอาด พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเป็นผู้ชนะก่อนความวิบัติ หลังจากผู้ชนะกลุ่มนี้เกิดขึ้น พระราชกิจลับๆ ของพระเจ้าก็จะจบลง และพระองค์จะทรงบันดาลความวิบัติเพื่อปูนบำเหน็จคนดี และลงโทษคนชั่ว จากนั้น พระองค์ก็จะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อมนุษย์ทุกคน ทุกชนชาติ ผู้ที่ยอมรับการตัดสินของพระเจ้าและได้รับการชำระให้สะอาด จะถูกรับเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ขณะเดียวกันผู้ที่ปฏิเสธการตัดสินแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า อีกทั้งต่อต้านและกล่าวโทษพระคริสต์ ก็จะจำนนต่อความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งจะลุล่วงตามคำเผยพระวจนะที่ว่า “นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์” (วิวรณ์ 1:7)
มีพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งจากในหนังที่กระตุ้นใจฉันมาก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร? การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) เหมือนพระเจ้าทรงเตือนฉันด้วยพระวจนะนี้เลยค่ะ ถ้าฉันยึดถือแนวคิดเรื่องก้อนเมฆและไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เมื่อฉันได้เห็นพระเจ้าทรงปรากฏอย่างเปิดเผย ก็คงสายเกินไปแล้ว ฉันจึงเลิกตั้งกำแพงในใจ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่า ทำไมพระเจ้าเสด็จมาในร่างมนุษย์เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด แทนที่จะมาในกายพระวิญญาณ ฉันเลยเอ่ยถึงความสับสนนี้
พี่ชายคนนั้นเลยอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฟังอีกสองบทตอน “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “เนื่องจากผู้ที่ได้รับการพิพากษาคือมนุษย์ มนุษย์ผู้ซึ่งมีเนื้อหนังและถูกทำให้เสื่อมทรามไป และมันไม่ใช่วิญญาณของซาตานที่ได้รับการพิพากษาโดยตรง เพราะฉะนั้นพระราชกิจแห่งการพิพากษาจึงมิได้ดำเนินการในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่ดำเนินการท่ามกลางมนุษย์ ไม่มีผู้ใดเหมาะสมและมีคุณสมบัติเหมาะสำหรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาความเสื่อมทรามของเนื้อหนังมนุษย์มากไปกว่าพระเจ้าในเนื้อหนัง หากการพิพากษาดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าโดยตรง เช่นนั้นแล้วก็คงจะไม่ครอบคลุมทั่วถึง ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจเช่นนั้นคงจะยากสำหรับมนุษย์ที่จะยอมรับ เพราะพระวิญญาณไม่สามารถที่จะมาพบกันซึ่งหน้ากับมนุษย์ได้ และเนื่องจากการนี้ ประสิทธิผลทั้งหลายก็คงจะไม่ส่งผลในทันที นับประสาอะไรที่มนุษย์จะสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้าอย่างชัดเจนขึ้น…หากพระราชกิจนี้กระทำโดยพระวิญญาณของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมันก็คงจะมิใช่หมายถึงชัยชนะเหนือซาตาน พระวิญญาณทรงเป็นที่ยกย่องโดยเนื้อแท้ภายในมากกว่าบรรดาสิ่งมีชีวิตที่ต้องตายทั้งหลาย และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงบริสุทธิ์โดยเนื้อแท้ภายใน และทรงมีชัยชนะเหนือเนื้อหนัง หากพระวิญญาณทรงพระราชกิจนี้โดยตรง พระองค์คงจะไม่สามารถพิพากษาความไม่เชื่อฟังทั้งหมดของมนุษย์ได้ และอาจจะไม่สามารถเผยความไม่ชอบธรรมทั้งหมดของมนุษย์ได้ เนื่องจากพระราชกิจแห่งการพิพากษายังถูกดำเนินการโดยผ่านทางมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าด้วยเช่นกัน และมนุษย์ไม่เคยได้มีมโนคติอันหลงผิดใดๆ เกี่ยวกับพระวิญญาณ และดังนั้น พระวิญญาณจึงไม่สามารถที่จะเผยความไม่ชอบธรรมของมนุษย์ได้ดีกว่า นับประสาอะไรที่จะสามารถเปิดเผยความไม่ชอบธรรมเช่นนั้นอย่างครบถ้วน พระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ทรงเป็นศัตรูของบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระองค์ทั้งหมด พระองค์ทรงเปิดเผยความไม่เชื่อฟังทั้งหมดของมวลมนุษย์โดยผ่านทางการพิพากษามโนคติอันหลงผิดทั้งหลายและการต่อต้านพระองค์ของมนุษย์ ประสิทธิผลทั้งหลายของพระราชกิจของพระองค์ในเนื้อหนังเป็นที่ประจักษ์ชัดมากกว่าประสิทธิผลทั้งหลายของพระราชกิจของพระวิญญาณ และดังนั้น การพิพากษามวลมนุษย์ทั้งปวงจึงมิได้ถูกดำเนินการโดยพระวิญญาณโดยตรง แต่เป็นพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์มากกว่า)
แล้วเขาก็พูดว่า “ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจในกายพระวิญญาณหรือในเนื้อหนัง ก็มีนัยยะสำคัญเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อย่างไรต่อพระราชกิจของพระองค์ และมนุษย์เสื่อมทรามแค่ไหน พระเจ้าทรงเลือกวิธีการที่เป็นประโยชน์ที่สุด ต่อพระราชกิจของพระองค์ และต่อมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม ในฐานะผู้เชื่อ เราต่างตระหนักอย่างลึกซึ้ง ว่าแม้องค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยแก่บาปของเราแล้ว รากเหง้าแห่งความเปี่ยมบาปและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเราก็ยังคงอยู่ เราเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอยู่บ่อยครั้ง เช่น ความโอหัง ความเปี่ยมเล่ห์ลวง ความชั่ว และการต่อต้านความจริง เราโกหกและคดโกงเพื่อประโยชน์ของตัวเอง และสู้กับคนอื่นเพื่อเงินทองและสถานะ เราอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต้านทานพระเจ้า พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แล้วคนโสมมอย่างเราคู่ควรอย่างไรที่จะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เสื่อมทรามของมวลมนุษย์ ชำระเราให้สะอาดและช่วยเราให้รอดอย่างครบถ้วน มีเพียงพระเจ้าในเนื้อหนัง ในฐานะบุตรมนุษย์ ผู้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางหมู่เราจริงๆ เท่านั้น ที่จะทำทั้งหมดนี้ให้สำเร็จได้ พระองค์ทรงแสดงความจริงทุกเวลาตามสิ่งที่เราต้องการ พระองค์ทรงตีแผ่และพิพากษาอุปนิสัยที่เสื่อมทราม รวมถึงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา และสื่อสารน้ำพระทัยของพระเจ้ากับเราโดยตรง นี่รวมถึงผู้ที่พระเจ้าทรงรัก และผู้ที่พระองค์ทรงเกลียดชัง วิธีเป็นคนซื่อสัตย์ วิธีที่จะรักและเชื่อฟังพระเจ้า และอื่นๆ เราจึงสามารถเข้าใจน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง ทางเดียวที่จะละทิ้งบาปได้ คือการผ่านการพิพากษาและตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า เมื่อนั้นความเสื่อมทรามของเราจะได้รับการชำระให้สะอาด และเราก็จะรักและนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ท้ายที่สุด เราก็จะได้รับการช่วยให้รอด และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า หากพระเจ้าทรงพระราชกิจด้วยพระวิญญาณโดยตรง พระสุรเสียงของพระองค์คงเหมือนฟ้าคำราม มันคงทำให้ทุกคนหวาดกลัว และคงไม่กล้าเข้าใกล้พระเจ้า คงไม่มีใครเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ มโนคติอันหลงผิดต่อพระเจ้าและความเสื่อมทรามของมนุษย์คงไม่ถูกเปิดโปง และพวกเขาก็คงไม่ได้รู้จักตัวเองหรือกลับใจและเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง อีกอย่าง หากพระเจ้าทรงปรากฏในกายพระวิญญาณ ผู้คนก็คงกลัว และคงไม่มีใครมีมโนคติอันหลงผิดหรือต่อต้านพระองค์ ทั้งคนดีและคนชั่วคงล้มลงเบื้องพระพักตร์ของพระองค์กันหมด แล้วพวกเขาจะต่างกันยังไง มนุษย์จะถูกจำแนกตามประเภทของตนได้ยังไง”
การสามัคคีธรรมของพี่คนนี้ ทำให้ฉันสัมผัสได้ว่า การที่พระเจ้าทรงปรากฏเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายนั้นฉลาดและมีความหมายแค่ไหน หากพระเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในกายพระวิญญาณ ไม่ใช่ในเนื้อหนัง พระองค์คงไม่ทรงสามารถเปิดโปงความเป็นกบฏหรือความเชื่อที่ไม่จริงใจของผู้คน ไม่สามารถชำระให้บริสุทธิ์ กำจัด และช่วยผู้คนให้รอด รวมถึงแบ่งประเภทของแต่ละคนได้ หลังจากนั้น เราได้ดูวิดีโอการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและภาพยนตร์ข่าวประเสริฐกันอีกหลายเรื่องเลยค่ะ หลังจากแสวงหาและตรวจสอบมาสักระยะ เราก็สรุปได้ว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาอย่างแท้จริง เรายอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เรารู้สึกตื่นเต้นและปลื้มปีติ เราหยุดขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าไม่ได้เลย ฉันนึกย้อนไปถึงที่ตัวเองไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า เอาแต่หลับหูหลับตาเชื่อศิษยาภิบาล ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนก้อนเมฆในกายพระวิญญาณ ฉันสร้างกำแพงใส่พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันช่างโง่เขลาสิ้นดี หากพระเจ้าไม่ทรงใช้พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นมาสามัคคีธรรมกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันคงพลาดความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าเพราะมโนคติอันหลงผิดของตัวเองแน่นอน อันตรายจริงๆ! ฉันขอบคุณการทรงนำของพระเจ้า ที่ทำให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ได้ต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และได้ติดตามรอยพระบาทของพระเมษโปดกค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย Jean, แคเมอรูน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว วิถีทางดั้งเดิมของผู้คนเกี่ยวกับการเชื่อ (วิถีทางของศาสนาคริสต์...
โดย Kemu, เกาหลีใต้ ตอนต้นปี 2017 ภรรยากับลูกสาวของผม ย้ายตามผมมาที่เกาหลีใต้ ถึงผมจะตื่นเต้นดีใจ...
โดย Allie, สหรัฐอเมริกา ฉันเคยบัพติศมาในนามขององค์พระเยซูเจ้าในปี 1990 และพอปี 1998 ฉันก็ได้เป็นผู้ร่วมงานของคริสตจักร...
โดย หลี่เต๋อหมิง, ประเทศจีน ครอบครัวผมเป็นคาทอลิกมาสี่รุ่นแล้ว และในช่วงปลายทศวรรษ 1970 บ้านของพวกเราก็กลายเป็นสถานที่ชุมนุม...