ไขปริศนาแห่งตรีเอกานุภาพ
โดย ฉิวจือ, สิงคโปร์ ผมถูกเปลี่ยนสู่ศาสนาคริสต์โดยผู้อาวุโสคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน เขาบอกผมว่าจากทุกอย่างในจักรวาล...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
สมัยยังหนุ่ม ผมทำงานมาหลายอย่าง ผมเป็นหัวหน้าส่วนงานจัดทำเงินเดือนให้หน่วยงานภาครัฐของซูเกร เวเนซุเอลา ผมต้องจัดการเรื่องเงินเดือนและข้อเรียกร้องของผู้คนมากมายทุกวัน ผมเคยเป็นฝ่ายบุคคลของรัฐสภาด้วย และสอนวิชาคอมพิวเตอร์ที่โรงเรียนภาคค่ำอยู่พักหนึ่ง ทุกตำแหน่งของผมมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการติดต่อกับคนมากมายโดยตรง แต่ละวันผมมุ่งอยู่กับงาน แม้ผมค่อนข้างยุ่ง ชีวิตผมก็สงบสุขมากเสมอ เมื่อเกิดโรคระบาดอย่างกะทันหัน ผมปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ได้ รายได้ของผม ไม่ครอบคลุมค่าอาหารครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ ชีวิตของผมไถลสู่วิกฤต ผมต้องยืนต่อแถวซื้ออาหาร และต่อคิวสามวันเพื่อซื้อน้ำมันเชื้อเพลิง ตอนนั้นผมหวังพึ่งพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อหาการชูใจ เพื่อนบ้านของผมก็เป็นผู้เชื่อเหมือนกัน และเมื่อไรก็ตามที่เราเจอกัน เราจะคุยกันถึงบรรดาความวิบัติที่ถูกเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ และความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์เป็นที่มาของมหันตภัยเหล่านี้ เราอยู่ในยุคสุดท้าย มีคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ว่า องค์พระเยซูเจ้าจะทรงกลับมาพิพากษาเราในหนนี้ เราจึงต้องกลับไปอยู่ข้างพระเจ้าเพื่อรับการทรงคุ้มครองและความรอดจากพระองค์ ทุกวันผมอธิษฐานถึงพระเจ้าขอพระปัญญาและการทรงนำ ผมอยากรู้จักพระเจ้า และผมต้องตามหาพระองค์ เพราะพระวจนะเป็นทางเดียวให้ผมพบการชูใจ เลิกทำบาป และนำความปีติมาสู่พระเจ้าได้ ผมจึงเปิดหน้าพระคัมภีร์ และขอพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้ง ผมอ่านหนังสือสดุดีและหนังสือสุภาษิต รวมถึงคำเทศนาบนภูเขาขององค์พระเยซูเจ้า แต่ก็ยังไม่พบเส้นทางที่ผมควรเดิน ผมหลงทางจริงๆ และปัญหาทางการเงินของผมก็ร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตผมร่วงสู่วิกฤต จนผมหาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ พอลูกสาวต้องการอะไร ผมก็ช่วยเหลือเธอไม่ได้ ผมเสียใจมาก ผมทำได้เพียงปลอบใจเธอว่าความทุกข์ยากนี้เป็นเรื่องชั่วคราว แต่ขนาดผมเองก็ยังไม่เชื่อคำพูดนั้น ความเศร้าเกาะกุมหัวใจผม ผมไม่รู้ว่าจะทำยังไง ผมอยากย้ายถิ่น ไปจากประเทศนี้และมองหาหนทางออกอื่นๆ แต่เนื่องจากโรคระบาดไปทั่ว ผมจึงรวบรวมเอกสารที่จำเป็นหรือหนังสือเดินทางไม่ได้ ทุกอย่างยากลำบากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผม ตอนนั้นเอง ภรรยาผมพูดว่าเธอไม่อยากอยู่กับผมอีกต่อไป นั่นเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับผมจริงๆ ผมรู้สึกเหมือนพังทลาย ชีวิตไม่มีความหมายอีกแล้ว ตอนนั้น ผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก ผมน้ำตาอาบหน้าบ่อยๆ และนอนไม่หลับ ทางเดียวที่ผมจะได้ความสงบสุขสักเล็กน้อยคือการอธิษฐานถึงพระเจ้า
วันหนึ่ง ผมได้รับข้อความทางวอทส์แอพ พี่น้องหญิงคนหนึ่งเชิญผมเข้าร่วมชั้นเรียนคริสเตียนเพื่อฟังพระวจนะ และถามผมว่าผมอยากศึกษาพระวจนะหรือไม่ ผมตอบว่าอยาก แล้วเธอก็ทำการเพิ่มผมเข้าไปในกลุ่มศึกษา เมื่อผมมีโอกาสได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมรู้สึกว่านี่คือพระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของผม ผมถูกถ้อยดำรัสอันทรงสิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดึงเข้าไป และพระวจนะเหล่านี้แก้ข้อสงสัยมากมายที่ผมมี ผมได้รู้ว่าพระเจ้าทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงงานใหม่ นี่ส่งผลกระทบต่อผมอย่างใหญ่หลวง ท่ามกลางความแปลกใจ เบิกบาน และอยากรู้ของผม ผมได้รู้แผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีและพระราชกิจสามระยะของพระเจ้า ว่าพระองค์ทรงใช้พระนามต่างกันในแต่ละยุค พระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และความหมายของงานที่พระองค์ทรงทำในแต่ละยุค พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดึงดูดใจผม ผมสุขใจมาก ผมอยากเรียนรู้ความจริงเพิ่มขึ้น และแบ่งปันกับคนอื่นๆ ผมจึงประกาศข่าวประเสริฐกับเพื่อนบ้านด้วยความยินดี บอกพวกเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ผมคิดว่าผู้เชื่อคนไหนที่ได้ยินข่าวประเสริฐแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า คงปลื้มปิติ แสวงหาความจริง และยอมรับข่าวประเสริฐด้วยความยินดี แต่กลับกลายเป็นตรงกันข้าม พวกเขาถามผมว่า “พระวจนะเหล่านี้ไม่มีในพระคัมภีร์ คุณไปเอาพระวจนะเหล่านี้มาจากไหน?” ผมตอบว่า “ผมได้รู้เรื่องนี้จากกลุ่มศึกษาออนไลน์กลุ่มหนึ่ง และผมเพิ่งเริ่มศึกษา ความรู้จึงจำกัด แต่พระวจนะดึงดูดความสนใจผมจริงๆ” พวกเขาบอกให้ผมระวัง เพราะพระคริสต์เทียมเท็จมากมายจะโผล่มาในยุคสุดท้าย จากนั้น พวกเขาก็ส่งข้อพระคัมภีร์ให้ผมสองข้อ “ในเวลานั้น ถ้าใครจะบอกพวกท่านว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘นี่แน่ะ ท่านอยู่ที่โน่น’ ก็อย่าเชื่อ เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ เพื่อล่อลวงคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้ ฉะนั้นจงระวังให้ดี เราบอกท่านทั้งหลายทุกอย่างไว้ก่อนแล้ว” (มาระโก 13:21-23) พวกเขาบอกว่าผมกำลังตรวจสอบศาสนาเทียมเท็จ และว่าในโลกล้ำเทคโนโลยีของศตวรรษที่ 21 ถ้าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมา พระองค์จะทรงแสดงปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ที่เขย่าโลกทั้งใบแน่นอน แต่ยังไม่มีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นเลย อีกอย่าง องค์พระเยซูเจ้ายังไม่ทรงปรากฏและรักษาคนป่วย คืนชีพคนตาย และอื่นๆ จึงแปลว่าองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไม่ทรงกลับมา พอได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้น หัวใจผมก็เต็มไปด้วยข้อสงสัย ผมกลัวจะทรยศองค์พระเยซูเจ้า ผมกังวล ว่าจะถูกหลอกลวงและติดตามพระคริสต์เทียมเท็จ ตอนนั้นผมยังเชื่อมั่น ว่าองค์พระเยซูเจ้าจะทรงกลับมาบนก้อนเมฆ และนั่งบนพระบัลลังก์ใหญ่สีขาวพิพากษาตามบาปของแต่ละคน แต่ผู้ประกาศข่าวประเสริฐพูดว่าพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้ว และดำรัสพระวจนะเพื่อพิพากษาบาปของเรา ทั้งหมดนี้ทำให้ผมเกิดความขัดแย้งอยู่ภายใน และยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น ถึงแม้ผมจะตั้งตารอการเทศนายามค่ำ และรู้สึกอยากจะตรวจสอบเรื่องนี้ต่อไป แต่ผมเก็บสิ่งที่เพื่อนบ้านพูดมาคิด จึงรู้สึกระแวดระวัง พอการเทศนาเริ่มต้น ผมก็ตัดสินใจออกจากลุ่ม
ผมเขียนเหตุผลที่ผมออกจากกลุ่มบนวอทส์แอพ ชี้แจงความกังวลของผม ว่ากลัวถูกพระคริสต์เทียมเท็จหลอก และใส่ข้อพระคัมภีร์ที่เพื่อนบ้านส่งมาลงไปด้วย ทันทีที่ผมจะส่งข้อความนั้นและออกจากกลุ่ม จู่ๆ โทรศัพท์ก็เตือนว่าแบตฯ หมดและปิดไป ผมแปลกใจมาก เพราะผมชาร์จโทรศัพท์มือถือก่อนการชุมนุมเสมอ แล้วทำไมจู่ๆ แบตถึงหมด? แต่ผมก็ยังไม่เปลี่ยนใจ ผมบอกตัวเองว่า หากพระคริสต์ทรงกลับมาแล้วจะไม่มีการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ได้ยังไง? ผมเสียบปลั๊กโทรศัพท์อีกครั้ง ผมตัดสินใจว่าจะส่งข้อความนั้นเมื่อโทรศัพท์ถูกชาร์จระดับต่ำสุด พอชาร์จแบตเตอรี่ได้ 5% ผมก็เปิดโทรศัพท์ และเห็นข้อพระคัมภีร์ที่ถูกส่งเข้ากลุ่ม ผมเลยอ่านด้วยความอยากรู้อยากเห็น “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมว่า “เราเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้า ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา จะทรงเคาะประตู และใช้พระวจนะร้องเรียกแกะของพระองค์ เราจะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้หรือไม่ ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับว่าเราได้ยินพระสุรเสียงหรือไม่ เราต้องได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเปิดประตูต้อนรับพระองค์ และรับประทานร่วมกับพระองค์ ดังนั้น ถ้าคุณได้ยินใครเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว อย่าปิดประตูหรือกลัวว่าจะถูกหลอกลวง แต่จงเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา การมุ่งฟังเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือกุญแจ” จากนั้น ผมเห็นพี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งมาที่กลุ่ม “หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมา ซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู จงจดจำการนี้ไว้! พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง…ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ กระนั้นในครานี้ พระเจ้าไม่ทรงเป็นเหมือนเช่นนั้นเลย หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และการสามัคคีธรรมของคนอื่นทำให้ผมพูดไม่ออก ทั้งหมดนั้นมีคำตอบทั้งหมดที่ผมต้องการมาตลอด ผมบอกตัวเองว่า นี่มันจริงมาก พระเจ้าทรงใหม่เสมอไม่เคยเก่า และทรงงานใหม่เสมอ พระองค์จะไม่ทรงงานเดิมซ้ำ องค์พระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงงานแห่งยุคธรรมบัญญัติซ้ำ แล้วพระเจ้าจะทรงงานเดียวกับยุคพระคุณเมื่อทรงกลับมาทำไม? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาแล้ว และเริ่มต้นยุคใหม่ ทรงงานใหม่แห่งยุคราชอาณาจักร งานนี้ไม่เคยมีมาก่อน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เตือนเราด้วยซ้ำว่า “หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมา ซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู” มีเพียงวิญญาณชั่วที่เลียนแบบงานเก่าของพระเจ้า และแสร้งเป็นพระเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เพื่อลวงผู้คนให้หลง นี่ให้ความรู้แจ้งผมจริงๆ ผมได้รู้วิธีแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จ และเหตุผลจริงที่พระเจ้าไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในยุคราชอาณาจักร ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงงานพิพากษา ชำระให้สะอาด และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดด้วยการแสดงความจริง เพื่อนำมนุษย์เข้าสู่ราชอาณาจักร พอผมเข้าใจเรื่องนั้น ผมก็เข้าร่วมการชุมนุมต่อไป
ต่อมา ผมอ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “ไม่มีผู้ใดเลยที่เชื่อในพระเยซูจะมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะสาปแช่งหรือกล่าวโทษผู้อื่นได้ พวกเจ้าทั้งหมดควรเป็นคนที่มีสำนึกรับรู้และผู้ที่ยอมรับความจริง บางที เมื่อได้ยินหนทางแห่งความจริงและได้อ่านพระวจนะแห่งชีวิตแล้ว เจ้าเชื่อว่ามีเพียงหนึ่งใน 10,000 ของพระวจนะเหล่านี้ที่สอดคล้องกับความเชื่อมั่นอันแรงกล้าของเจ้าและพระคัมภีร์ เช่นนั้นแล้วเจ้าควรแสวงหาในพระวจนะลำดับที่ 10,000 ของพระวจนะเหล่านี้ต่อไป เรายังขอแนะนำให้เจ้าถ่อมใจ อย่ามั่นใจเกินไป และอย่ายกย่องตัวเองให้สูงส่งจนเกินไป ด้วยหัวใจของเจ้าซึ่งขาดแคลนความเคารพแด่พระเจ้าเช่นนั้น เจ้าจะได้รับความสว่างที่ยิ่งใหญ่กว่า หากเจ้าตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและไตร่ตรองพระวจนะเหล่านี้ซ้ำๆ เจ้าจะเข้าใจว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริงหรือไม่ และพระวจนะเหล่านี้คือชีวิตหรือไม่ บางทีหลังจากที่ได้อ่านเพียงไม่กี่ประโยค คนบางคนจะกล่าวโทษพระวจนะเหล่านี้อย่างหูหนวกตาบอด และพูดว่า ‘นี่ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าความรู้แจ้งบางส่วนของพระวิญญาณบริสุทธิ์’ หรือ ‘นี่คือพระคริสต์เทียมเท็จที่เสด็จมาเพื่อหลอกลวงผู้คน’ พวกที่พูดอะไรเช่นนั้นเป็นผู้ที่ตาบอดด้วยความไม่รู้เท่าทัน! เจ้าเข้าใจพระราชกิจและพระปรีชาญาณของพระเจ้าน้อยเกินไป และเราแนะนำให้เจ้าเริ่มใหม่อีกครั้งตั้งแต่ต้นเลย! พวกเจ้าต้องไม่หูหนวกตาบอดกล่าวโทษพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดง เพราะการทรงปรากฏของพระคริสต์เทียมเท็จในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และพวกเจ้าต้องไม่เป็นคนที่หมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเจ้ากลัวการหลอกลวง นั่นจะไม่เป็นความน่าเวทนาอย่างยิ่งหรอกหรือ? หลังจากการตรวจดูมากมาย หากเจ้ายังคงเชื่อว่าพระวจนะเหล่านี้ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่หนทาง และไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับการลงโทษในท้ายที่สุด และเจ้าจะปราศจากพร หากเจ้าไม่สามารถยอมรับความจริงที่ถูกกล่าวอย่างราบเรียบยิ่งนักและชัดเจนยิ่งนักดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ใช่ไม่เหมาะสมสำหรับความรอดของพระเจ้าหรอกหรือ? เจ้าไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้รับพรเพียงพอที่จะกลับคืนสู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้าหรือ? จงตรองดูเถิด! อย่าหุนหันพลันแล่นและใจเร็ว และอย่าทำเหมือนว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเกม จงขบคิดเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของเจ้า เพื่อประโยชน์ของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้า เพื่อประโยชน์ของชีวิตของเจ้า และอย่าเล่นกับตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านี้ได้หรือไม่?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) ผมเข้าใจจากพระวจนะ ว่าเราต้องเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีมีปัญญาในเรื่องการทรงกลับมาในยุคสุดท้าย ไม่บุ่มบ่ามปฏิเสธการทรงปรากฏของพระคริสต์ เพียงเพราะพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้าย ไม่ได้แปลว่าเราจะหลับหูหลับตาปฏิเสธและกล่าวโทษงานใหม่ของพระเจ้าและพระวจนะที่ตรัสได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะฟังเสียงของพระเจ้า และสืบค้นงานของพระเจ้าด้วยท่าทีแสวงหาอย่างถ่อมใจ นั่นเป็นทางเดียวที่จะฟังพระสุรเสียงและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่อย่างนั้นเราจะสูญเสียความรอดของพระเจ้า ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “อย่าหุนหันพลันแล่นและใจเร็ว และอย่าทำเหมือนว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นเกม จงขบคิดเพื่อประโยชน์แห่งบั้นปลายของเจ้า เพื่อประโยชน์ของความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้า เพื่อประโยชน์ของชีวิตของเจ้า และอย่าเล่นกับตัวเจ้าเอง เจ้าสามารถยอมรับพระวจนะเหล่านี้ได้หรือไม่?” พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงให้ผมเห็น ว่าเมื่อมุมมองผิดๆ ที่เพื่อนบ้านผมแบ่งปันทำให้ผมเลิกสืบค้นงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็หุนหันยอมรับ ผมไม่พยายามเข้าใจคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ลึกขึ้น หรือแสวงหาคนอื่นในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ตอบคำถามของผม ผมหุนหันตัดสินใจออกจากกลุ่มและเลิกตรวจสอบหนทางที่แท้จริง ความหุนหันเกือบทำให้ผมพลาดความรอดในยุคสุดท้ายไปแล้ว จากนั้น ผมก็รู้ว่า ผมไม่อาจยอมจำนนต่อความหุนหันเมื่อเผชิญความสับสนและสงสัย หรือด่วนตัดสิน และผมต้องระวัง คอยอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงอยู่ตลอด ผมต้องปฏิบัติต่อพระวจนะด้วยความเคารพและแสวงหาอย่างถ่อมใจ ผมจะได้รับรู้เสียงของพระเจ้าผ่านการทรงนำ และต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า การกินดื่มพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน ให้ความเข้าใจในพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้งขึ้นแก่ผม ผมจึงแน่ใจว่านี่คือการทรงปรากฏและงานของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และผมยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โดยไม่ลังเล
วันหนึ่ง ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกสองบทตอน “ไม่ใช่การยากที่จะสืบค้นเข้าไปในสิ่งเช่นนี้ แต่ก็จำเป็นที่พวกเราแต่ละคนต้องรู้ความจริงข้อนี้ กล่าวคือ พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์เขลาและไม่รู้เท่าทัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง อย่างนี้แล้ว หากเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาหนทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง เจ้าต้องรับรู้เสียก่อนว่า ด้วยการเสด็จมาสู่แผ่นดินโลกนั่นเองที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการประทานหนทางแห่งชีวิตแก่มนุษย์ และเจ้าจำต้องรับรู้ว่า เป็นช่วงระหว่างยุคสุดท้ายนั่นเองที่พระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อประทานหนทางแห่งชีวิตแก่มนุษย์ นี่ไม่ใช่อดีต มันกำลังเกิดขึ้น ณ วันนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) ผมได้รู้จากพระวจนะ ว่าเราไม่อาจแยกแยะพระคริสต์แท้จริงจากเทียมเท็จที่ภายนอกได้ แต่ต้องดูแก่นแท้ของพวกเขา นั่นก็คือ เราตัดสินโดยการดูว่าพวกเขาทำงานของพระเจ้า และแสดงพระวจนะและพระอุปนิสัยได้หรือไม่ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงงาน ทั้งหมดที่ทรงเปิดเผยคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ล้วนคือพระอุปนิสัย และงานที่พระองค์ทรงทำก็ช่วยผู้คนให้รอดได้ เหล่านี้คือทุกสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองหรือสัมฤทธิ์ได้ ดังนั้น ทางที่ถูกต้องที่สุดที่จะตัดสินว่าใครคือพระคริสต์คือการดูว่าพวกเขาทำงานของพระเจ้า และแสดงพระวจนะได้หรือไม่ ระหว่างการสืบค้นงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และอ่านพระวจนะนั้น นอกจากจะเห็นความรักในมนุษย์ที่เปิดเผยผ่านพระวจนะของพระองค์แล้ว ผมยังเห็นความชอบธรรม พระพิโรธ และพระบารมีของพระเจ้า พระวจนะเหมือนกับดาบคม ผ่าเปิดความเสื่อมทรามในหัวใจของเรา เปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ต่อต้านพระเจ้าของเรา เราเห็นความเสื่อมทรามภายในของเราผ่านพระวจนะได้โดยตรง รวมถึงเส้นทางที่เราต้องเดินในความเชื่อของเรา ด้วยการนำพระวจนะมาปฏิบัติ เราค่อยๆ แก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราและใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ พระวจนะเปิดเผยความล้ำลึกของความจริงมากมาย และเปิดโอกาสให้เรารู้ถึงแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด สิ่งเหล่านี้ไม่อาจพบได้ในพระคัมภีร์หรือในศาสนาใดๆ เหล่านี้ล้วนคือความล้ำลึกแห่งความจริงที่พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่มวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย และล้วนเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่เคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน นอกจากพระเจ้าแล้ว ไม่มีคนอื่นใดหรือผู้ยิ่งใหญ่คนไหนสามารถแสดงความจริงและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ มีเพียงพระเจ้าที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่สามารถแสดงความจริง ทรงงานพิพากษาและชำระมนุษย์ให้สะอาด และนำหนทาง ความจริง และชีวิตมาสู่เราได้ ผมยืนยันจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพระองค์คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าที่ทรงสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าที่ทรงประกาศธรรมบัญญัติเพื่อนำชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระเจ้าที่ถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่ให้มวลมนุษย์ทั้งปวง และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าที่ทรงกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาป ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พระเจ้าทรงเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา พระคริสต์เทียมเท็จเหล่านั้นคือตัวปลอมซึ่งจะร่วงหล่นไม่ช้าก็เร็ว เพราะพวกเขาแสดงความจริงไม่ได้ พวกเขาไม่สามารถทำงานใหม่ของพระเจ้าได้ และไม่อาจนำผู้คนให้ละทิ้งเสื่อมทรามและถูกช่วยให้รอดได้ พวกเขาทำได้แค่เลียนแบบงานเก่าของพระเจ้าเพื่อนำให้ผู้คนหลงผิดและเสื่อมทราม ตอนนี้ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังแสดงความจริง และทรงงานแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ พระองค์กำลังทรงชำระและเปลี่ยนแปลงความเสื่อมทรามของผู้คน และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากบาป พระราชกิจและพระวจนะพิสูจน์เต็มที่ว่าพระองค์คือการทรงปรากฏของพระเจ้าแท้จริง ไม่มีข้อให้สงสัยเลย
ผมเคยยึดติดในมโนคติอันหลงผิด ผมคิดว่าพระเจ้าจะพิพากษาบาปของมนุษย์จากพระบัลลังก์ใหญ่สีขาวบนท้องฟ้าในยุคสุดท้าย แต่ผ่านการชุมนุมและการอ่านพระวจนะ มโนคติอันหลงผิดนี้ก็ถูกแก้ไข นั่นเพราะผมเรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ผ่านงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ยังไง ผมเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” (ยอห์น 17:17) “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 12:47-48) วันหนึ่ง ผมอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะ “ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่ มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)) “พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ วิธีที่มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้า วิธีที่มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดา ตลอดจนพระปัญญาและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เป็นต้น พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่เนื้อแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นตัวแทนของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ แต่พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง มีเพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา นอกจากนี้ยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่แผ่วางความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง) ผมได้รู้ว่า พระเจ้าทรงงานพิพากษาแห่งยุคสุดท้ายโดยการทรงจุติมา และแสดงความจริงเพื่อแปลงสภาพและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงตรัสแล้ว เปิดเผยธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ รวมถึงความโอหัง ความเจ้าเล่ห์ และความชั่วร้าย พระองค์ยังทรงเปิดเผยความเห็นแก่ตัวและความโลภของมนุษย์ และให้ผู้คนเห็นความเสื่อมทรามของตนผ่านการพิพากษาของพระวจนะ ให้เกลียดตัวเอง กลับใจต่อพระเจ้า และเคารพนบนอบต่อพระเจ้า ทางเดียวที่จะแก้ไขธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์คือผ่านงานพิพากษาในยุคสุดท้าย ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำได้ ตอนนั้นเองที่ผมตระหนัก ว่าถ้าพระเจ้าทรงพิพากษาแต่ละคนจากพระบัลลังก์ใหญ่สีขาวบนท้องฟ้า ไม่มีมนุษย์ที่ซาตานทำให้เสื่อมทรามคนใดจะมีโอกาสได้รับความรอด นั่นเพราะมวลมนุษย์ถูกห่อหุ้มโดยความเสื่อมทรามของซาตาน แม้ว่าผ่านความรอดของกางเขนขององค์พระเยซูเจ้า เราได้รับการไถ่และบาปของเราได้รับการอภัย เราก็ยังเป็นคนบาป เราก้าวผ่านวงจรของการทำบาปและสารภาพซ้ำแล้วซ้ำอีก หากไม่ประสบการพิพากษา ความเสื่อมทรามของเราก็ไม่อาจถูกชำระให้สะอาด และสุดท้ายพระเจ้าจะทรงกล่าวโทษและขับเราออก โดยการถูกพระวจนะพิพากษาและเปิดโปงเท่านั้น เราจึงจะรู้จักตัวเองและได้รับการชำระจากความเสื่อมทรามได้อย่างแท้จริง ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้ นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง”
ผมอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมตื้นตันใจจริงๆ “บรรดาผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงมักจะติดตามผู้อื่นอยู่เสมอ กล่าวคือ หากผู้คนกล่าวว่านี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อนั้น เจ้าเองก็จะกล่าวว่ามันเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน หากผู้คนกล่าวว่ามันเป็นงานของวิญญาณชั่ว เมื่อนั้น เจ้าเองก็จะเริ่มกังขา หรือกล่าวว่ามันเป็นงานของวิญญาณชั่วเช่นกัน เจ้ามักจะพูดตามคำพูดของคนอื่นๆ แบบนกแก้วนกขุนทองอยู่เสมอ และไม่สามารถที่จะแยกแยะสิ่งใดด้วยตัวเองได้เลย และเจ้าไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้ นี่คือใครบางคนที่ไม่มีจุดยืน ที่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้—บุคคลเช่นนั้นเป็นคนเข็ญใจผู้ไร้ค่า! เจ้าพูดตามคำพูดของคนอื่นๆ อยู่เสมอ กล่าวคือ วันนี้มีการกล่าวว่านี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่มีความเป็นไปได้ที่ว่าสักวันหนึ่งใครบางคนจะกล่าวว่านั่นไม่ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกล่าวว่าอันที่จริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความประพฤติของมนุษย์เท่านั้น—กระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถหยั่งรู้สิ่งนี้ได้ และเมื่อเจ้าเป็นประจักษ์พยานว่าคนอื่นกล่าวสิ่งนี้ เจ้าก็จะกล่าวสิ่งเดียวกัน แท้ที่จริงแล้วมันเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เจ้ากล่าวว่ามันเป็นงานของมนุษย์ เจ้าไม่ได้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่หมิ่นประมาทพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้วหรอกหรือ? ในการนี้ เจ้าไม่ได้ต่อต้านพระเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้หรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้) พระวจนะเตือนเรา ไม่ให้หลับหูหลับตาฟังการชี้นำของคนอื่นเมื่อสืบค้นหนทางที่แท้จริง และประเมินงานของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์ ซึ่งจะนำเราออกห่างจากหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ และสุดท้ายจะถูกพระเจ้าปฏิเสธและขับออก ทำให้เสียโอกาสในความรอดของเรา ความเป็นจริงอันน่าเศร้านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราได้ทุกคน ผมละอายใจว่าตัวเองโง่เขลาและหุนหันแค่ไหน การที่แม้แต่หลังจากได้ยินเสียงของพระเจ้า และรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้มีสิทธิอำนาจและความจริง ผมกลับยังได้รับอิทธิพลจากเพื่อนบ้าน ถูกคำพูดของพวกเขานำให้หลงผิดได้ยังไง? ความโง่เขลาของผมเกือบทำให้ผมออกจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พลาดการต้อนรับการกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และทำลายโอกาสแห่งความรอดของผม! ความมืดบอดและไม่รู้ความของผมจะทำให้มีผลสืบเนื่องอันเลวร้ายกับผม! ผมเข้าใจว่า ผมต้องเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาอยู่ตลอด เมื่อเราได้ยินเสียงของพระเจ้า เราก็นึกสงสัยไม่ได้ เราต้องอธิษฐานจากหัวใจและขอให้พระเจ้าให้ความรู้แจ้งและทรงนำเรา และไม่หลับหูหลับตาฟังคนอื่น เพราะเราล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเราไม่ครอบครองความจริง เราต้องทำตามพระวจนะของพระเจ้าอยู่ตลอด เหมือนที่เปโตรฟังพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าแล้วติดตามพระองค์ คิดย้อนไปถึงความโง่เขลาและไม่รู้ความในอดีตของผม ผมอธิฐานถึงพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ขอให้พระองค์ยกโทษให้ความผิดพลาดของผม ผมรู้สึกพร้อมยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และการพิพากษาและความรอดของพระวจนะ
จากนั้น ผมก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน เมื่อผมอ่อนแอ ผมขอความเชื่อและกำลังจากพระเจ้า จะได้ไม่สะดุดล้ม ด้วยการทรงนำและความช่วยเหลือของพระเจ้า ตอนนี้ผมชนะความซึมเศร้าของตัวเองและกลายเป็นคนคิดบวก และยังได้งานใหม่ด้วย ผมรู้สึกว่าทั้งนี้เป็นเพราะการจัดเตรียมอันอัศจรรย์ของพระเจ้า ชีวิตของผมค่อยๆ ดีขึ้นเยอะทีเดียว ที่สำคัญที่สุด ผมกินดื่มพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทุกวัน และชุมนุมและสามัคคีธรรมกับคนอื่นได้ ตอนนี้ ผมเริ่มประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานให้พระวจนะ ช่วยเหลือผู้เชื่อที่แท้จริงซึ่งกระหายหนทางที่แท้จริงให้ได้ยินเสียงของพระเจ้ามากขึ้น และยอมรับความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย ฉิวจือ, สิงคโปร์ ผมถูกเปลี่ยนสู่ศาสนาคริสต์โดยผู้อาวุโสคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน เขาบอกผมว่าจากทุกอย่างในจักรวาล...
โดย Chen Liang, สหรัฐอเมริกา ผมเกิดมาในครอบครัวคาทอลิค และตอนอายุ 13 ผมศึกษาบัญญัติสิบประการและได้รับบัพติศมา หลังจากนั้น...
ใน Xinkao, สหรัฐอเมริกา วิธีที่จะกำหนดพิจารณาหนทางที่แท้จริง (2) พี่น้องชายหลิวยังทำการสามัคคีธรรมของเขาต่อไป โดยพูดว่า...
โดย จีนน์ เคลาดิโอ ฟิลิปปินส์ ฉันเกิดมาในครอบครัวคาทอลิก ฉันทำตามวิถีแบบคาทอลิก และโหยหาการทรงกลับมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้น...