การตื่นขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณของคริสตชนคนหนึ่ง: วิธีกำจัดความเจ็บปวดจากความว่างเปล่าภายในไปจากตนเอง

วันที่ 02 เดือน 03 ปี 2021

โดย Su Chenyu

ฉันยืนอยู่บนท้องถนนที่วุ่นวาย ฟังเสียงแตรรถยนต์ มองดูฝูงคนเดินถนนรีบรุดผ่านไปขณะที่รถบัสจอดออกันที่สี่แยก อัดแน่นเหมือนปลาซาร์ดีนเต็มถนน ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ บรรยากาศนั้นตึงเครียดอย่างสัมผัสได้ชัดเจน ในยุคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่พุ่งทะยานนี้ ก้าวจังหวะของชีวิตได้กลายเป็นวุ่นวายขึ้นทุกที

เริ่มตั้งแต่เวลาตีห้า รถไฟใต้ดินของเมืองเริ่มที่จะยุ่งวุ่นวาย ความสับสนวุ่นวายดำเนินต่อไปตลอดวัน และมีเพียงแค่เวลารุ่งสางเท่านั้น ที่ฝูงชนแห่งท้องถนนเริ่มเบาบางลง ถึงอย่างนั้นก็ตาม ไฟของอาคารสำนักงานบางแห่งก็สว่างไสวตลอดทั้งคืน ผู้คนสาละวนเร่งร้อนตัวเป็นเกลียว ชีวิตของพวกเขาเหมือนลูกข่างที่หมุนรอบด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นทุกที ผู้คนบางคนไล่ตามความฝันของพวกเขา โดยไต่อันดับในสาขางานของพวกเขา บางคนนั้นทำงานตลอดวัน เพื่อที่จะจัดเตรียมให้ครอบครัวของพวกเขา ไม่เคยเลยที่จะปล่อยโอกาสเหมาะอันใดที่จะทำเงินให้หลุดลอยไป คนอื่นๆ บีบเค้นสมองของพวกเขาในการวิจัยหนทางที่จะร่ำรวย เพื่อที่ว่าพวกเขาจะสามารถดำเนินชีวิตอย่างหรูหราได้...บางคนสัมฤทธิ์ความพึงปรารถนาของพวกเขา—สำหรับพวกเขาแล้ว ท้องฟ้าคือขีดจำกัดบนถนนสู่ความมั่งคั่งของพวกเขา คนอื่นๆ ไม่โชคดีเช่นนั้น และเส้นทางสู่ความรุ่งเรืองและชื่อเสียงของพวกเขา ก็สลายอับปางไปกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่ว่าจะเป็นคนเด่นคนดัง บุคคลสำคัญซึ่งเป็นที่เคารพ หรือแค่ผู้คนธรรมดา ทุกคนกำลังต่อสู้และพากเพียรบากบั่นโดยผ่านทางการสำลักกลิ่นอายของชีวิตสมัยใหม่ และฉันก็ไม่ได้แตกต่าง

บนเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียงนี้ ฉันได้เริ่มต้นโดยการทำให้ตัวฉันเองติดธุระอยู่กับการบ้าน โดยหวังว่าจะ “ทำให้ตัวฉันเองโดดเด่นและนำพาเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของฉัน” ฉันต้องการที่จะเหนือกว่าเพื่อนๆ ของฉันและกลายเป็นหนึ่งในชนชั้นสูง เพื่อที่ทุกคนจะได้มองดูฉันด้วยความนับถือและความเลื่อมใส ฉันบอกตัวเองว่า ฉันต้องทำงานหนักเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของฉัน และบ่อยครั้งที่ฉันรอคอยวันที่ความฝันของฉันจะกลายเป็นความเป็นจริงอย่างกระหายร้อนรน ในวันและปีต่อๆ มา ฉันได้ใช้เวลาทั้งหมดของฉันไปกับการศึกษาเล่าเรียนอย่างขยันขันแข็ง และทุ่มเทความพยายามมากกว่าใครในบรรดาเพื่อนๆ ของฉัน หลังจากผ่านไปกว่าสิบปีของการศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก ฉันสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ และหลังจากเรียนจบก็ได้งานทำโดยได้เงินเดือนสูง อย่างที่ฉันได้ปรารถนาไว้เลย อย่างไรก็ตาม ในสังคมที่ประเมินค่าเงินทองสูงกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด ผู้คนกระทำการรู้เห็นเป็นใจ เล่ห์กล และการหลอกลวงทุกลักษณะเพื่อที่จะได้มาซึ่งสถานะและอำนาจ เมื่อปะปนไปกับผู้คนทุกลักษณะ วันแล้ววันเล่า ฉันก็สูญเสียสำนึกตัวตนของฉันไปอย่างช้าๆ ยิ่งฉันกลายเป็นติดธุระมากขึ้นเท่าใด ฉันก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้นเท่านั้นถึงสำนึกแปลกๆ ของความกระวนกระวายซึ่งกระชั้นเข้ามาหาฉัน และยิ่งฉันไล่ตามเสาะหาเป้าหมายซึ่งฉันปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์มากขึ้นเท่าใด ฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าภายในนั้นไร้หนทางและว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ฉันได้ตกสู่วงจรอุบาทว์ และบ่อยครั้งที่รู้สึกกระวนกระวายและปั่นป่วนอย่างไม่สามารถอธิบายได้ ดูเหมือนว่าหลังจากสัมฤทธิ์ความฝันของฉันในการ “ทำให้ตัวฉันเองโดดเด่นและนำพาเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของฉัน” โดยผ่านทางการศึกษาเล่าเรียนอย่างขยันขันแข็งกว่าสิบปี ฉันควรจะมีความสุข สมปรารถนา และชื่นชมตัวฉันเอง ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถเข้าใจได้ว่า เหตุใดฉันจึงไม่มีความสุขแต่อย่างใดเลย และไม่ได้รู้สึกถึงการบรรเทาทุกข์ฝ่ายจิตวิญญาณเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้าม การที่ฉันรู้สึกว่า ภายในถูกขุดเป็นหลุมแอ่งอย่างสิ้นเชิงนั้น เป็นอย่างไรกันหรือ? ฉันไม่สามารถค้นหารากเหง้าของปัญหาของฉันได้ นับประสาอะไรที่ฉันจะรู้ว่า จะกำจัดความรู้สึกถึงความกระวนกระวายและความว่างเปล่าอันประหลาดนี้ไปจากตัวฉันได้อย่างไร

ต่อมา ฉันได้พบคำตอบของฉันในพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ชื่อเสียงและโชควาสนาที่คนเราได้รับในโลกวัตถุให้ความพึงพอใจชั่วคราว ความยินดีที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สำนึกแห่งความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจแบบผิดๆ พวกมันทำให้คนเราหลงทางในระหว่างการดำเนินไป และดังนั้นผู้คนจึงถูกเขมือบกลืนด้วยคลื่นลูกแล้วลูกเล่า ในขณะที่พวกเขาดิ้นตูมตามอยู่ในทะเลแห่งมนุษย์ชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างกระหายในสันติสุข ความสุขสบาย และความสงบเยือกเย็นในหัวใจ ในยามที่ผู้คนยังต้องตอบคำถามต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดที่จะต้องทำความเข้าใจ—พวกเขามาจากไหน เหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิต พวกเขากำลังจะไปไหน และอื่นๆ—พวกเขาถูกยั่วใจด้วยชื่อเสียงและโชควาสนา ถูกพวกมันควบคุมและชักนำไปในทางที่ผิด และหลงทางไปอย่างย้อนคืน เวลาผ่านไปเร็วราวกับติดปีก หลายปีผ่านไปในชั่วพริบตา และก่อนที่คนเราตระหนักในสิ่งนี้ คนเราก็ได้บอกลาปีต่างๆ ที่ดีที่สุดของชีวิตคนเราไปแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3) พระวจนะของพระเจ้าได้เปิดโอกาสให้ฉันเห็นอย่างชัดเจนว่า เหตุใดฉันจึงได้สูญเสียหนทางของฉันไป กลับกลายเป็นว่า ปัญหาก็คือ การไล่ตามเสาะหาความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียงของฉัน ฉันได้ทบทวนตัวเองว่า ในการไล่ตามเป้าหมายของฉันนั้น ฉันไม่เคยพบทิศทางที่แท้จริงของฉันเลย และแทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับถูกนำทางไปโดยความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียง โดยคิดว่าการได้มาซึ่งความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียง จะเปิดโอกาสให้ฉันได้ชื่นชมลีลาชีวิตทางวัตถุที่ดี และได้รับการสนับสนุนและการสรรเสริญจากเพื่อนๆ ของฉัน เมื่อฉันก้าวข้ามข้อจำกัดของฉันในตำแหน่งทางวิชาการ เมื่อฉันแก้ชุดปัญหาที่ยากที่สุด เมื่อฉันยืนอยู่บนเวทีเพื่อรับรางวัลของฉัน เมื่อฉันได้รับการสรรเสริญจากคนอื่นๆ เมื่อฉันเริ่มทำงานและทำเงินล้านแรกของฉันได้...ในกรณีทั้งหมดนี้ ฉันรู้สึกถึงสำนึกชั่วแล่นแห่งความพอใจและความพึงพอใจ และเชื่อว่า ในที่สุดแล้วฉันได้แสดงให้เห็นคุณค่าของฉันแล้ว การนี้จะนำทางฉันให้ยังทำงานอยู่ต่อไปหนักขึ้นเสียด้วยซ้ำ ด้วยความคาดหวังถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ...ฉันไม่เคยจินตนาการเลยว่า ฉันได้กลายเป็นถูกกลืนกินอย่างสิ้นเชิงโดยไม่รู้ตัวด้วยการไล่ตามเสาะหาเงินทองและชื่อเสียงเพียงอย่างเดียว เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เมื่อเวลาผ่านไป ฉันตกสู่ความย้ำคิดของฉันลึกลงไปทุกที ค่อยๆ สูญเสียสำนึกตัวตนของฉัน และไม่สามารถก้าวออกมาจากวิถีชีวิตซ้ำๆ สู่ความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียงนี้ได้อย่างสิ้นเชิง ตลอดทั่วทั้งกระบวนการนี้ ฉันรู้สึกเสมอถึงสำนึกอันอ้อยอิ่งถึงความว่างเปล่านี้ ซึ่งทำให้ฉันกระวนกระวาย ไร้หนทาง และปั่นป่วน แต่ฉันไม่รู้ว่าปัญหานั้นคืออะไร เพียงภายหลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้วเท่านั้น ฉันจึงได้มาตระหนักว่า ปัญหาทั้งหมดของฉันเกิดจากการไล่ตามเสาะหาความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียงอันไม่รู้จบของฉัน ความอุดมด้วยโภคทรัพย์และชื่อเสียงได้เป็นรางวัลที่ขับเคลื่อนฉันไปข้างหน้า และการไล่ตามเสาะหาเพียงอย่างเดียวนี้ได้ทำให้ฉันสูญเสียหนทางของฉันไป จนกระทั่งฉันรู้สึกไร้ทิศทางและขาดพร่องสำนึกถึงการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของในหัวใจและดวงจิตของฉัน

พระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้ฉันเข้าใจแหล่งกำเนิดของความว่างเปล่าของพวกเรา และแสดงให้ฉันเห็นว่า ในโลกมนุษย์แห่งความอยากได้อยากมีทางวัตถุนี้ ผู้คนทั้งหมดเพียรพยายามเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ และมอบทุกสิ่งทุกอย่างในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาอย่างไร แต่แทบจะไม่มีผู้ใดเลยที่แสวงหาความหมายของชีวิต ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าว “เป็นเวลาหลายสิบ หลายพัน หลายหมื่นปีจนถึงตอนนี้ ผู้คนได้สิ้นเปลืองเวลาของพวกเขาในหนทางนี้ตลอดมา โดยไม่มีผู้ใดสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม เจตนาทั้งหมดอยู่ที่การสังหารกันและกันในโลกที่มืดมิดนี้บนการแข่งขันเพื่อชื่อเสียงและโชควาสนา และการวางอุบายต่อต้านกันและกันเท่านั้น มีผู้ใดเคยแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าบ้าง? มีผู้ใดเคยใส่ใจกับพระราชกิจของพระเจ้าไหม?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (3)) พระวจนะเหล่านี้ทำให้ฉันทบทวนว่า ในการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภของพวกเรานั้น พวกเรากระทำการต่อสู้และการเข่นฆ่าซึ่งกันและกันอย่างไร และไม่กล้าที่จะเสียเวลาแม้แต่หนึ่งวินาที พวกเราป่าวประกาศคำพูดที่ฟังดูใหญ่โตอย่างเช่น “อุดมคติ” “อาชีพการงาน” และ “ความทะเยอทะยาน” ว่าเป็นเหตุผลในการต่อสู้กันเพื่อที่จะได้อยู่หน้าคนถัดไป และพวกเรายังกลัวการถูกเอาชนะอีกด้วย พวกเรากลัวว่า หากพวกเราลดความระมัดระวังลงเป็นเวลาแค่หนึ่งวินาที พวกเราจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง และกลัวว่า หากพวกเราไม่สามารถตามทันสังคมได้ พวกเราจะถูกถอนรากถอนโคน หัวใจของพวกเราเต็มไปด้วยความกลัว และดังนั้น พวกเราจึงศึกษาเล่าเรียนด้วยความมุ่งมั่น โดยอยู่อ่านหนังสือดึกคืนแล้วคืนเล่า พวกเราเข่นฆ่ากันและกันในที่ทำงาน และทำงานเพื่อทำให้ความรู้ของพวกเราทันสมัยเป็นนิตย์ พวกเรารู้เห็นเป็นใจและหลอกลวงในสถานที่พบปะชุมนุมกัน โดยคิดถึงเพียงแค่วิธีที่จะสงวนไว้ซึ่งสัมพันธภาพอันละเอียดอ่อนและซับซ้อนของพวกเรากับเพื่อนร่วมงาน พวกเราโดดลงไปร่วมวงด้วยโดยไม่ได้คิดหน้าคิดหลังในอาณาจักรทางการเมือง โดยตะลุยผ่านสถานการณ์ล่อแหลมและอันตรายทุกลักษณะ และดูเหมือนว่าเดินโซเซบนขอบห้วงเหวอยู่เสมอ ในการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะและใครจะเป็นผู้แพ้ กระนั้น ทุกคนก็วางเดิมพันของตนราวกับว่าถูกความบ้าคลั่งเกาะกุม ไม่มีใครต้องการที่จะแพ้ และดังนั้น พวกเขาจึงตระเตรียมสำหรับการสู้รบรอบถัดไปอยู่เสมอ พวกเราปีติยินดีในความสำเร็จชั่วแล่นและความสิ้นหวังในความล้มเหลวของพวกเรา กับความล้มเหลวทุกครั้ง พวกเรารู้สึกอีกครั้งถึงความอยากที่จะหาเรื่องและต่อสู้นั้นอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น พวกเราจึงดิ้นรนต่อสู้ต่อไปเพื่อไปให้ถึงความสำเร็จครั้งถัดไปของพวกเรา...พวกเราวกเวียนไปมา และพวกเราไม่สามารถหลีกหนีวงจรอุบาทว์นี้ได้ ในการไล่ตามเสาะหาเงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ และสถานะ พวกเราดำเนินชีวิตตามลีลาชีวิตอันรวดเร็วนี้วันแล้ววันเล่า ทุกคนกำลังต่อสู้และดิ้นรน โดยจมสู่ชีวิตแห่งความชั่วไกลออกไปยิ่งขึ้นทุกที ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นทุกที และค่อยๆ สูญเสียทุกๆ สำนึกถึงทิศทางของชีวิต ไม่มีผู้ใดหยุดที่จะทบทวนความหมายจริงและค่านิยมของชีวิต โดยคิดว่ามีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาอย่างที่พวกเขาทำเท่านั้น พวกเขาจึงจะไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยสูญเปล่าไปแล้ว พวกเราถูกกระตุ้นเร้าอย่างไม่ลดละโดยการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชคลาภ โดยก้าวหน้าไปอย่างหูหนวกตาบอด ราวกับว่าอยู่ในหมอกควันและสูญหลายปีอันล้ำค่าไปเปล่าๆ...มีผู้คนกี่คนกันที่ได้ใช้ร่างกายและจิตใจของพวกเขาจนเหนื่อยล้าอย่างที่สุด โดยก้าวข้ามข้อจำกัดของพวกเขาเพื่อทำให้เป้าหมายของพวกเขาเป็นจริง? พวกเขาทำงานล่วงเวลาวันแล้ววันเล่า พวกเขาทำงานด้วยความมุ่งมั่นอย่างหัวปักหัวปำ บางครั้งถึงขั้นพลีอุทิศชีวิตของพวกเขาในระหว่างนั้น และดังนั้น บ่อยครั้งที่พวกเราได้ยินว่าผู้คนเสียชีวิตจากการทำงานมากเกินไป มีผู้คนกี่คนกันที่ได้ประสบความสำเร็จในงานของพวกเขาและได้รับความมีหน้ามีตาที่ดี เพียงเพื่อจะตระหนักว่า สุขภาพของพวกเขาได้เสื่อมลงนานมาแล้ว และตระหนักว่าชื่อเสียงและโชคลาภทั้งหมดในโลกนี้ คงจะไร้พลังอำนาจที่จะแลกกับโทษประหารจากโรคภัยไข้เจ็บใดก็ตามซึ่งสร้างความทุกข์ทรมานให้พวกเขา เมื่อในที่สุดแล้วพวกเขาตระหนักทั้งหมดนี้ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ในการดิ้นรนต่อสู้เพื่อชื่อเสียงและโชคลาภของพวกเรา พวกเราผ่านเข้าไปยังอำนาจครอบครองมืดของซาตาน โดยสูญเสียพระพรของพระเจ้าและจมสู่ห้วงเหวแห่งความทุกข์อันไม่รู้จบ

พวกเราสามารถทำสิ่งใดได้เพื่อต้านทานการทดลองของซาตาน ก้าวออกมาจากวิถีชีวิตซ้ำๆ สู่ชื่อเสียงและโชคลาภ และดำเนินชีวิตตามลีลาชีวิตที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระ? ในการค้นหาคำตอบสำหรับคำถามนี้ของฉัน ฉันได้มาพบกับประสบการณ์ของโยบและอับราฮัมในหนังสือเล่มหนึ่งที่ฉันกำลังอ่านอยู่และได้รับการดลใจอย่างลึกซึ้ง โดยรู้ว่าฉันได้พบทิศทางในชีวิตของฉันแล้ว โยบเป็นชายที่มีสถานะสูงส่งท่ามกลางผู้คนตะวันออก แต่เขาไม่ได้ละโมบตำแหน่งของเขาในสังคม แต่ในทางกลับกันอุทิศชีวิตของเขาให้แก่การไล่ตามเสาะหาเส้นทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว เมื่อซาตานโจมตีและทดลองโยบ โดยส่งเขาไปสู่ความย่อยยับทางการเงิน โยบไม่ได้กังวลเกี่ยวกับว่าเขาจะฟื้นคืนความอุดมด้วยโภคทรัพย์ของเขาและสถาปนาตัวเขาเองใหม่ในสังคมอย่างไร แต่ในทางกลับกันได้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า เขารู้ว่า ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะทรงมอบให้หรือทรงนำเอาไป เขาต้องสรรเสริญพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้า เพราะการนี้ เขาจึงไม่ได้เปล่งถ้อยคำร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าแม้แต่คำเดียว และตั้งมั่นในคำพยานต่อพระเจ้าของเขา โยบได้รับคำกล่าวชมเชยจากพระเจ้า และดำเนินชีวิตอย่างมีความหมายและมีคุณค่าที่สุด อับราฮัมเป็นชายที่มีความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความมีหน้ามีตาไม่น้อยเลยในชุมชนของเขา แต่เขาไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อชื่อเสียงและโชคลาภ เขายังอุทิศชีวิตของเขาให้แก่การไล่ตามเสาะหาการนมัสการและการนบนอบต่อพระเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อพระเจ้าได้ทรงบัญชาให้เขาไปจากประเทศและญาติพี่น้องของเขาและย้ายไปยังดินแดนที่พระเจ้าได้ทรงกำหนด อับราฮัมไม่ได้มีความเดือดร้อนในการทิ้งความมีหน้ามีตาของเขาไว้ข้างหลังเลย และไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอนาคต แต่เพียงแค่ฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบต่อแผนของพระเจ้าเท่านั้น โดยย้ายถิ่นฐานตัวเขาเองจากประเทศดั้งเดิมของเขาอย่างเด็ดเดี่ยว เมื่ออับราฮัมมีบุตรคนแรกเมื่ออายุได้หนึ่งร้อยปี พระเจ้าได้ทรงทดสอบเขาโดยการขอให้เขามอบบุตรคนแรกของเขาคืนให้พระเจ้า อับราฮัมมองไม่เห็นทางเลือกนอกจากจะทำตามที่พระเจ้าได้ตรัส—เขาไม่ได้พยายามที่จะใช้เหตุผลกับพระเจ้า แต่นบนอบต่อพระเจ้าโดยสมบูรณ์ โดยมอบถวายบุตรคนเดียวของเขาแด่พระองค์ เมื่อพระเจ้าได้ทรงสังเกตการแสดงถึงความจริงใจของอับราฮัม พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงปฏิเสธที่จะรับเอาอิสอัคไว้เท่านั้น พระองค์ถึงขั้นทรงอวยพรอับราฮัมให้มีลูกหลานที่อุดมดังเช่นมวลดาราแห่งสวรรค์หรือเม็ดทรายบนชายฝั่งทะเล ทั้งอับราฮัมและโยบไม่ได้ถูกชื่อเสียงและโชคลาภหลอกล่อ และพวกเขาก็ยืนกรานในการนบนอบต่อพระเจ้าและความยำเกรงพระเจ้าของพวกเขา ไม่สำคัญว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร พวกเขามีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกเขาเข้าใจสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้า และรู้ว่า ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พวกเขาต้องนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้สร้างอย่างไม่มีเงื่อนไข ฉันวางใจว่าพวกเราหลายคน ในฐานะคริสตชน เข้าใจแนวคิดนี้ในทางทฤษฎี แต่พวกเราจะถูกบังคับให้ทอดทิ้งความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความมีหน้ามีตา ติดตามหนทางของพระเจ้า และนบนอบต่อแผนและการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าดังเช่นอับราฮัมและโยบ อันที่จริงแล้ว ในฐานะเหล่ามนุษย์ที่ใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ พวกเราก็แค่ควรที่จะไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า นมัสการพระเจ้า ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว นี่คือหน้าที่ซึ่งพวกเรา ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ชื่นชมเสบียงชีวิตของพระเจ้า ควรที่จะทำให้ลุล่วง และนี่คือความหมายและค่านิยมสูงสุดของชีวิตของพวกเรา ดังที่พระเจ้าตรัสว่า “หากผู้คนมีความเข้าใจอันถ่องแท้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสามารถให้การสรรเสริญอันจับใจต่อความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระองค์แล้วไซร้ นั่นย่อมหมายความว่า พวกเขารู้จักพระองค์และครองความจริงอย่างแท้จริง เมื่อถึงตอนนั้นเท่านั้น พวกเขาจึงจะดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง เพียงทันทีที่ทรรศนะของบุคคลหนึ่งเกี่ยวกับโลกและเกี่ยวกับชีวิตเปลี่ยนแปลงเท่านั้น คนเราจึงจะก้าวผ่านการแปลงสภาพแบบพื้นฐานเบื้องต้น เมื่อคนเรามีเป้าหมายชีวิตและวางตัวคนเราให้สอดคล้องกับความจริง เมื่อนั้นคนเราย่อมนบนอบอย่างสมบูรณ์ต่อพระเจ้าและดำรงชีวิตอยู่โดยพระวจนะของพระองค์ เมื่อคนเรารู้สึกสงบสุขและได้รับความกระจ่างลึกภายในดวงจิตของคนเรา เมื่อหัวใจของคนเราเป็นอิสระจากความมืดมิด และเมื่อคนเราสามารถดำรงชีวิตอย่างไม่ถูกจำกัดเหนี่ยวรั้งและมีอิสระโดยครบบริบูรณ์อยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นคนเราจึงจะดำเนินชีวิตอยู่อย่างมนุษย์ที่จริงแท้ และเมื่อนั้นเท่านั้นที่คนเราได้กลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งครองความจริง นอกจากนี้แล้ว ความจริงทั้งหมดที่เจ้าครองล้วนมาจากพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้าและมาจากพระเจ้าพระองค์เอง องค์ผู้ปกครองแห่งทั้งจักรวาลและสรรพสิ่ง—พระเจ้าผู้ทรงสูงสุด—ทรงเห็นชอบในตัวเจ้า ในฐานะบุคคลที่เป็นจริงซึ่งดำรงชีวิตอยู่แบบมนุษย์ที่แท้จริง สิ่งใดเล่าจะสามารถเปี่ยมความหมายมากไปกว่าความเห็นชอบของพระเจ้า? นี่ก็คือสิ่งที่หมายถึงการครองความจริง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)

โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้รับความระลึกได้และความหยั่งรู้บางอย่างเกี่ยวกับค่านิยมและปรัชญาชีวิตที่เข้าใจผิดของฉัน ฉันไม่เต็มใจอีกต่อไปที่จะใช้ชีวิตตามตรรกะเยี่ยงซาตานและหลักธรรมชีวิตเกี่ยวกับ “การทำให้ตัวเองโดดเด่นและการนำพาเกียรติยศมาสู่บรรพบุรุษของตัวเอง” โดยไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภ บัดนี้ฉันเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า การนบนอบต่อพระเจ้า และการนมัสการพระเจ้า มีเพียงโดยการทำเช่นนั้นเท่านั้น ฉันจึงจะสามารถดำเนินชีวิตประเภทที่มีคุณค่าและเต็มเปี่ยมไปด้วยความหมายที่สุดได้! ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ฉันได้หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ของชีวิตที่รวดเร็วของฉัน ฉันมีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น และฉันได้บรรลุการปลดปล่อยและอิสรภาพฝ่ายจิตวิญญาณแล้ว

ในช่วงเวลาสมัยใหม่นี้ ความงดงามอันหลากสีของโลกทางวัตถุหลอกล่อและทดลองพวกเราอยู่ทุกแห่ง หากพวกเราไม่มีความจริงเป็นการนำของพวกเรา มันก็ง่ายมากยิ่งนักที่จะสูญเสียทิศทาง หากคุณเข้าไปเกี่ยวข้องในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ได้ชื่อเสียงและโชคลาภ และได้รับการปลดเปลื้องจากตัวคุณเองดังเช่นกระแสน้ำเชี่ยวกรากพัดพาคนเราจากชายฝั่ง หากคุณไร้ความสามารถที่จะหลีกหนีความรู้สึกถึงความว่างเปล่านั้นและความเจ็บปวดซึ่งมาพร้อมกับทุกวันในชีวิตที่รวดเร็วของคุณ เหตุใดเล่าจึงไม่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และฟังพระวจนะของพระองค์ด้วยหัวใจของคุณ? มันอาจเป็นสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีจริงๆ ในการที่จะหลุดพ้นจากลีลาชีวิตอันวุ่นวายของคุณและกลับตัวเสียใหม่

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ข้าราชการกลับใจ

โดย เจินซิน ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ตั้งแต่การทรงสร้างโลกจนถึงปัจจุบันนี้...

ทางเลือกเพื่อช่วงชีวิตที่เหลือ

โดย เซี่ยวหย่ง ประเทศจีน ตอนเด็กบ้านผมค่อนข้างจน พวกเราถูกคนในหมู่บ้าน ระรานอยู่บ่อยๆ เวลาเห็นแม่ร้องไห้เพราะโดนรังแก ผมจะรู้สึกแย่เสมอ...

ทางเลือกของคุณหมอ

สมัยเด็ก ครอบครัวฉันยากจนมาก แม่เป็นอัมพาตติดเตียง ต้องกินยาอยู่เป็นปี พ่อก็ออกไปทำงานนอกหมู่บ้านอยู่หลายปี ผู้คนในหมู่บ้านดูถูกครอบครัวเรา...

การกลับใจของคุณหมอ

โดย หยาง ฟาน, ประเทศจีน สมัยที่เริ่มเป็นหมอ ฉันพยายามจะเป็นหมอที่ใจดีและเป็นมืออาชีพ ทำดีกับคนไข้ และวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ ในไม่ช้า...

ติดต่อเราผ่าน Messenger