การตัดสินใจที่มิอาจลบเลือน
ตอนฉันอายุได้สิบห้าปี พ่อก็เสียชีวิตด้วยอาการป่วยกระทันหัน แม่ฉันทนรับความสะเทือนใจนี้ไม่ไหวจนเริ่มป่วยหนัก ไม่มีญาติคนไหนมาช่วยเรา เพราะกลัวต้องมายุ่งเกี่ยวพัวพันกับเรา และฉันก็รู้สึกสิ้นหวังมาก พ่อก็จากไปแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับแม่อีกคน ฉันกับน้องสาวก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงกันดี ต่อมา มีคนมาประกาศข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้ากับเรา ด้วยพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า หลังเข้าชุมนุมแค่สองครั้ง แม่ของฉันก็อาการดีขึ้น นั่นจึงทำให้เราได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนที่ได่รู้ว่าพระองค์ถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ฉันก็ตื้นตันใจในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงตามเรามา” (ยอห์น 1:43) และ “เราบอกเรื่องนี้กับพวกท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:33) พระวจนะเหล่านี้ชูใจฉันมาก ฉันรู้สึกมีแรงบันดาลใจ ตอนที่ได้ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้เผยแผ่ศาสนาทางฝั่งตะวันตก ที่อุทิศชีวิตแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า เลยตั้งปณิธานกับองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ว่า จะสละตนเพื่อพระองค์ และประกาศข่าวประเสริฐให้กับผู้คนอีกมากมาย ย้อนไปตอนนั้น ฉันรู้สึกว่าการไล่ตามเสาะหาสิ่งใดๆ ในโลกนั้นช่างไร้ความหมาย มีเพียงการติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า การทำงานและการประกาศเพื่อพระองค์ และนำผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์ให้มากขึ้นเท่านั้น ที่รู้สึกว่าเปี่ยมความหมายและคุ้มค่า ฉันมักจะ เฝ้ารอให้ถึงวันที่จะได้ออกจากบ้านไปประกาศและทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า พอแม่รู้เรื่องนี้เข้า ก็ต่อว่าฉัน “แกโง่ขนาดนี้ได้ยังไง? ทำไมถึงได้อธิษฐานไปแบบนั้น? แกควรเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่จะล้มเลิกการเรียนไม่ได้ แกต้องเข้าเรียนม ปลาย แกควรมุ่งมั่นกับการเรียน ถ้าแกไม่ประสบความสำเร็จ ญาติๆ ก็จะไม่คิดกับแกดีๆ” นี่ทำให้ฉันรู้สึกลังเล พลางคิดว่า “ถูกของแม่ ฉันแบกความหวังทั้งหมดของครอบครัวเอาไว้ ถ้าฉันล้มเลิกการเรียนเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ แม่ก็จะเจ็บปวดมากจริงๆ การจุนเจือเราก็ยากพออยู่แล้วสำหรับแม่ ฉันจะทำให้ท่านเจ็บปวดไปกว่านี้อีกไม่ได้” ฉันเลยเก็บงำความต้องการที่จะไปประกาศและทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไว้อย่างเงียบๆ
ในเดือนกรกฎาคมปี 2001 ตอนที่เพิ่งเข้าวิทยาลัยได้ ฉันได้พบพี่น้องชายหญิงที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันกับน้องสาวมั่นใจว่าพระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ฉันตื่นเต้นมาก ที่ในที่สุดองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ฉันรอคอยมานานก็กลับมาแล้ว และพระเจ้าแสดงพระคุณอันใหญ่หลวงให้ฉันได้เห็นอย่างแท้จริง โดยทรงอนุญาตให้ฉันได้ฟังพระสุรเสียงกับหูตัวเอง เพื่อยอมรับในการทรงนำและการช่วยให้รอดโดยพระองค์เอง ตอนอ่านพระคัมภีร์ ฉันเคยอิจฉาเหล่าสาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้า ที่สามารถฟังคำสอนของพระองค์ได้ทุกเมื่อ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ฉันก็จะโชคดีอย่างพวกเขา แต่หลายคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังไม่รู้ว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ในฐานะที่ฉันได้ยินข่าวที่ยิ่งใหญ่นี้ก่อนพวกเขา ฉันก็รู้ว่า ต้องเร่งรีบประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ฉันคิดไปว่า “ถ้าเข้าวิทยาลัยไม่ได้ก็คงจะดี ฉันจะได้มีเหตุผลเหมาะๆ ไปบอกแม่ ว่าฉันจะออกไปประกาศข่าวประเสริฐ”
ผ่านไปสัปดาห์กว่าๆ อาจารย์ก็บอกฉันด้วยความตื่นเต้นว่า ฉันเข้าวิทยาลัยดีๆ ได้ ส่วนเพื่อนร่วมชั้นก็ชมว่า “มีแค่สิบคนจากหลายพันคนในมณฑลของเราที่ได้รับเลือก เธอทำได้ดีมาก ที่เข้าวิทยาลัยนั้นได้” แม่ฉันดูมีความสุขมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันมั่นใจว่าแม่จะไม่ยอมให้ฉันล้มเลิกการเรียนเพื่อไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐแน่ พอญาติๆ ของเราได้รู้เรื่องที่ฉันเข้าวิทยาลัยได้ ญาติทุกคนก็มาแสดงความยินดีกับฉัน ตอนที่เห็นว่าแม่พูดคุยกับญาติๆ อย่างมีความสุข ฉันก็รู้ได้ว่าญาติของเราเคารพนับถือแม่มากขึ้นเพราะการที่ฉันเข้าวิทยาลัยได้ และนั่นก็ทำให้แม่ภูมิใจในตัวฉันมาก ถ้าหากฉันเลือกที่จะไม่ไปเรียนในวิทยาลัย แม่ฉันคงเสียใจหนักมากอย่างแน่นอน และญาติทุกคนก็จะดูถูกครอบครัวเราอีกเหมือนเมื่อก่อนที่เคยทำ พอนึกถึงว่า แม่เคยเศร้าโศกเสียใจกับวิธีที่ญาติๆ ใช้ดูถูกเรายังไง ฉันก็คิดว่า “สำหรับแม่ การเลี้ยงพวกเราให้โตขึ้นมาก็ยากมากอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่ทำอย่างที่ท่านต้องการ จะไม่เป็นการทำให้แม่ผิดหวังหรอกหรือ” นั่นทำให้ฉันรู้สึกไม่มีทางเลือก ฉันจึงต้องไปเรียนวิทยาลัย พอเริ่มไปเรียน ฉันก็พบความเหลื่อมล้ำระหว่างนักเรียนที่มีฐานะยากจนกับร่ำรวย เด็กที่มาจากครอบครัวร่ำรวย จะคอยดูถูกคนที่ยากจน และสั่งให้พวกเขาทำนั่นทำนี่ เพื่อนร่วมชั้นของฉันก็มีแต่หลอกลวงและหลอกใช้กัน ไม่มีสักคนที่นั่น ที่ฉันสามารถพูดคุยด้วยอย่างจริงใจและไว้เนื้อเชื่อใจได้ ฉันรังเกียจกับเรื่องทั้งหมดนี้ และเริ่มคิดถึงชีวิตคริสตจักรและพี่น้องที่บ้านเกิดมากยิ่งกว่าเดิม ฉันอยากจะออกจากวิทยาลัยและกลับไปหาพวกเขาเต็มที
หลังจากดิ้นรนใช้ชีวิตอยู่ที่วิทยาลัยกว่าสามเดือน ก็ได้เวลาปิดเทอมฤดูหนาว และฉันก็สามารถกลับไปสู่ชีวิตในคริสตจักรได้อีกครั้ง ฉันมีความสุขมาก และตั้งใจเอาไว้เลยว่า จะคุยกับแม่ว่าฉันจะหยุดเรียนไม่ว่าจะเป็นยังไงก็ตาม
วันแรกที่กลับถึงบ้าน ฉันฟังบทเพลงสรรเสริญพระวจนะที่ชื่อ “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”
1 “ความรัก” อ้างอิงถึงความเสน่หาซึ่งไร้ราคีและปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อครุ่นคิด ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์ ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์ หากเจ้ารัก เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่หลอกลวง พร่ำบ่น ทรยศ ก่อกบฏ เรียกร้องหรือแสวงหาที่จะได้รับบางสิ่งหรือได้รับในปริมาณที่เจาะจง
2 “ความรัก” ก็เป็นดั่งชื่อของมันซึ่งอ้างอิงถึงความเสน่หาซึ่งไร้ราคีและปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อครุ่นคิด ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์ ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์ หากเจ้ารัก เจ้าก็จะมอบอุทิศตัวของเจ้าอย่างยินดี จะทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างยินดี เจ้าจะไปกันได้กับเรา เจ้าจะละทิ้งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อเรา เจ้าจะยอมละทิ้งครอบครัวของเจ้า อนาคตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า และการสมรสของเจ้า หาไม่แล้ว ความรักของเจ้าจะไม่ใช่ความรักเลย แต่เป็นการหลอกลวงและการทรยศ!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว
พระวจนะจับใจและดลใจฉันอยู่ลึกๆ ฉันรู้สึกตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกผิดและสำนึกผิดด้วย ฉันตั้งปณิธานเอาไว้ว่า จะติดตามพระเจ้าไปตลอดชีวิต จะไล่ตามเสาะหาความรู้ของพระองค์และรักพระองค์ ความรักไม่มีการหลอกลวง หรือทรยศ ถ้าคุณรักพระองค์จริง คุณก็ควรอุทิศตน และสละทุกสิ่งเพื่อพระองค์ แต่ความรักของฉันที่มีต่อพระองค์ ก็แค่ลมปาก เมื่อเจอกับเรื่องจริงแล้ว ฉันก็คิดถึงแต่ครอบครัวและสายใยทางอารมณ์ที่มีต่อแม่ ความรักอยู่ที่ไหนในนั้น? ฉันก็แค่หลอกลวงและทรยศพระเจ้า ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “สำหรับทุกคนซึ่งทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้านั้น ไม่มีความจริงที่ไม่อาจได้มา และไม่มีความยุติธรรมที่พวกเขาไม่อาจตั้งมั่นเพื่อมันได้ เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าอย่างไรหรือ? เจ้าควรรักพระเจ้าและใช้ความรักนี้สนองเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างไร? ไม่มีเรื่องใดในชีวิตเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความมานะบากบั่น และไม่ควรเป็นดั่งพวกที่ใจเสาะ พวกที่ปวกเปียกอ่อนแอ เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายและได้รับประสบการณ์กับความจริงอันเปี่ยมความหมาย และไม่ควรปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองอย่างขอไปทีแบบนั้น เมื่อเจ้าไม่ตระหนักถึงมัน ชีวิตเจ้าก็จะผ่านเจ้าไปโดยเจ้าไม่ทันไหวตัว หลังจากนั้น เจ้าจะมีโอกาสที่จะได้รักพระเจ้าอีกครั้งหรือ? มนุษย์สามารถรักพระเจ้าได้หรือ หลังจากที่เขาได้ตายไปแล้ว? เจ้าจักต้องมีความทะเยอทะยานและมโนธรรมดุจดังเปโตร ชีวิตเจ้าจะต้องเปี่ยมความหมาย และเจ้าต้องไม่เล่นเกมกับตัวเจ้าเอง ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะบุคคลซึ่งเสาะหาพระเจ้า เจ้าต้องสามารถพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อชีวิตของเจ้าอย่างไร เจ้าควรถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรมีความเชื่อที่เปี่ยมความหมายยิ่งขึ้นในพระเจ้าอย่างไร และด้วยความที่เจ้ารักพระเจ้า เจ้าควรรักพระองค์ในหนทางที่บริสุทธิ์มากขึ้น สวยงามมากขึ้น และดีงามมากขึ้นอย่างไร” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) ฉันรู้สึกถึงความหวังของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ผ่านพระวจนะ หาได้ยากมากที่ชีวิตนี้เราจะได้พบพระเจ้าแม้สักครั้ง สองพันปีก่อน เหล่าสาวกขององค์พระเยซูเจ้าได้พบพระองค์ และตอนนี้ สองพันปีต่อมา พระเจ้าก็ประทานโอกาสเพียงครั้งหนึ่งในชีวิตให้ฉัน เพื่อติดตามพระองค์ และเพื่อแสวงหาความรู้ของพระองค์ และรักพระองค์ ถ้าฉันยังคงไล่ตามเส้นทางในทางโลกแห่งซาตาน เพราะไม่สามารถเอาชนะสายใยทางอารมณ์ที่มีต่อแม่ กลัวว่าจะทำให้ท่านเจ็บปวด ฉันจะไม่เสียเวลาเปล่าหรือ? ฉันนึกถึงเปโตร พ่อแม่ของเขา อยากให้เขาเป็นข้าราชการ แต่เขาก็ไม่ได้ถูกบีบคั้นด้วยสายใยทางอารมณ์ที่มีต่อพวกเขา เขาเลือกจะติดตามพระเจ้า และแสวงหาที่จะรักพระองค์ และได้รับการทำให้เพียบพร้อมจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันรู้ว่า ฉันควรเอาอย่างเปโตร และไล่ตามเสาะหาความรู้และรักพระเจ้า นั่นถึงจะเป็นชีวิตที่เปี่ยมความหมายที่สุด หลังจากนั้น ฉันก็ไม่รู้สึกว่าถูกบีบคั้นด้วยสายใยทางอารมณ์กับแม่อีกต่อไป
ก่อนจะถึงวันเปิดเทอมอีกครั้ง ฉันก็บอกแม่อย่างจริงจังว่า “หนูไม่อยากกลับไปเรียนค่ะแม่” พอได้ยินแบบนี้ แม่ก็ดุฉันทันทีว่า “แม่รู้นะ ว่าแกอยากล้มเลิกการเรียนและเชื่อในพระเจ้าแทน แต่แกทำแบบนั้นไม่ได้ ลืมความคิดนั้นไปซะ!” ฉันบอกว่า “พระเจ้าทรงสร้างพวกเราทุกคน เราก็ควรนมัสการพระองค์ นั่นคือสิ่งฟ้าลิขิตไว้แล้ว พระคัมภีร์เองก็สอนเราว่า ‘อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น’ (1 ยอห์น 2:15) พวกเราผู้เชื่อในพระเจ้า ไม่ควรเดินบนเส้นทางของฆราวาสเพื่อไล่ตามโอกาสในทางโลก นั่นไม่ใช่น้ำพระทัย หนูอยากติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่ของตัวเอง” แม่ฉันเลยพูดว่า “พวกเราไม่เหมือนครอบครัวอื่น พ่อแกก็ตายไปแล้ว เราไม่มีเงิน และญาติๆ ก็ดูถูกเรา หลายปีมานี้ แม่ทนทุกข์และเหนื่อยล้าไปเพื่ออะไร แม่ทำเพื่อให้แกได้เข้าวิทยาลัย ประสบความสำเร็จ และมีชีวิตดีๆ มันเป็นเรื่องที่ยากมากเหลือเกิน แกใกล้จะถึงเส้นชัยอยู่แล้ว แต่แกกลับหยุดกลางคัน แกทำให้แม่เจ็บปวดแบบนี้ได้ยังไง?” พอแม่พูดแบบนี้ ฉันก็เริ่มอ่อนแอ พลางคิดว่า “ก็ใช่ ถ้าฉันจบจากวิทยาลัยและมีงานดีๆ แล้วบ้านเราก็จะมีเงิน คนอื่นก็จะดูถูกแม่ไม่ได้อีกต่อไป” แต่แล้วฉันก็คิดว่า “เราใช้ชีวิตดีๆ ทางวัตถุ และเป็นที่นับหน้าถือตาของคนอื่น แต่มันจะไปสำคัญอะไรล่ะ? เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง โลกใบนี้ของซาตานจะถูกทำลาย และมีเพียงราชอาณาจักรของพระคริสต์เท่านั้นที่จะยังอยู่ ทุกความปิติยินดีและความฟุ้งเฟ้อ จะหายไปในพริบตา” ฉันเลยพูดกับแม่ไปว่า “เราเป็นแค่ผู้มาเยือนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะทำงานหนักแค่ไหน หรือใช้ชีวิตอย่างดีแค่ไหน เมื่อพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าสิ้นสุดลง มวลมนุษย์ก็ต้องเผชิญกับมหาวิบัติ และชีวิตที่ ‘ดี’ ของเราก็จะถูกทำลาย ไม่ว่าจะมีเงินมากแค่ไหน เราก็จะไม่สามารถเพลิดเพลินไปกับมันได้หรอก องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘มนุษย์ได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?’” (มัทธิว 16:26) แม่ตัดบทฉันด้วยการบอกว่า “แกเชื่อในพระเจ้าแม่ก็ไม่ห้าม แต่อย่าจริงจังมากนัก แกควรเชื่อในพระเจ้า แต่อย่าได้ละทิ้งทางโลกไปเสียหมด ไม่อย่างนั้น แกจะมีชีวิตที่มีความสุขได้ยังไง? ถ้าไม่มีรายได้ แม่จะเลี้ยงพวกแกได้ยังไง?” พอแม่พูดแบบนี้ ฉันก็ตระหนัก ได้ว่าความเชื่อของแม่เป็นแค่ลมปาก แม่กำลังจับปลาสองมือ แม่ต้องการเชื่อในพระเจ้าแล้วได้รับพระพร แต่แม่ก็ต้องการทางโลกด้วย ฉันทำได้แค่พยายามโน้นน้าวแม่ต่อไป บอกว่า “ถ้าไม่มีพระพรของพระเจ้า ผู้คนก็มั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักแค่ไหน พระเจ้าทรงตัดสินว่า ในชีวิตนี้เราจะมีเงินเท่าไหร่ และถ้าไม่มีความจริง ทรัพย์สมบัติมากมายแค่ไหนก็ไร้ความหมายเช่นกัน” แม่ก็ไม่ยอมฟัง และตั้งใจที่จะค้านความปรารถนาของฉัน ท่านเลย โทรเรียกญาติๆ ของฉันมา และขอให้พวกเขาพูดคุยเพื่อให้ฉันเลิกยุ่งกับเรื่องนั้น พอเห็นแม่ไม่เปลี่ยนความคิด ฉันก็รู้สึกผิดหวังมาก ฉันไม่รู้เลยว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก จึงรีบกล่าวคำอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เงียบๆ ขอพระองค์ทรงปกป้อง เพื่อให้ข้าพระองค์ยืนหยัดต่อไปได้ด้วยเถิด
ทันใดนั้น ญาติๆ ทุกคนก็มาถึง ทันทีที่มาถึง ลุงก็พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เรื่องพระเจ้าทั้งหมดนี่มันอะไรกัน? แกยังเด็กอยู่เลย ทำไมถึงได้งมงายนัก!” ส่วนป้าก็บอกว่า “แม่ของแกก็แค่อยากให้แกได้สิ่งที่ดีที่สุด” พวกเขาต่างพากันดุด่าฉันทีละคน ฉันรู้ว่าพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และคงจะไม่ฟังฉันด้วย ไม่ว่าฉันจะพูดอะไรก็ตาม ถ้าฉันพูดออกไป พวกเขาก็จะพูดคำหมิ่นประมาทและต้าทานพระเจ้ายิ่งกว่าเดิม ฉันก็เลยไม่พูดอะไร คาดไม่ถึงว่า จู่ๆ ลุงจะพูดกับแม่ด้วยท่าทีดุร้ายว่า “เธอเชื่อในพระเจ้าเพราะกลัวจะตายในความวิบัติ ถ้างั้น ก็ปล่อยให้ตายก่อนความวิบัติไปเลย โทรแจ้งตำรวจมา แล้วปล่อยให้พวกนั้นใช้กระบองไฟฟ้าหวดเธอ ดูซิว่า ถึงตอนนั้นจะยังเชื่ออยู่ไหม!” ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ลุงแท้ๆ จะพูดจาโหดร้ายแบบนั้นออกมาได้ ฉันคิดว่า “นี่เป็นญาติของฉันหรือเป็นปีศาจกันแน่?” แล้วฉันก็ต้องแปลกใจ ที่แม่พูดเสริมขึ้นมาว่า “เด็กคนนี้จำเป็นต้องถูกบ่มวินัย เธอช่างดื้อด้านไม่เชื่อฟังเลย!” หัวใจฉันแหลกสลาย เมื่อได้เห็นแม่เข้าข้างพวกเขา และพยายามที่จะบังคับให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ แล้วลูกพี่ลูกน้องของฉันก็พูดขึ้นมาว่า “ถ้าเธอล้มเลิกความเชื่อ และตั้งใจเรียนให้จบ เราทุกคนจะช่วยเธอเอง พวกเราจะช่วยดูแลแม่ของเธอให้ และจะช่วยให้น้องสาวของเธอมีงานที่ดีทำ แต่ถ้า เธอยังเชื่อต่อไป พวกเราจะตัดขาดกับครอบครัวของเธอ และจากนี้ไป ไม่ว่าเธอจะเผชิญกับความยากลำบากอะไร เราก็จะไม่ช่วยพวกเธอเลยสักคน และจะไม่เป็นครอบครัวกันอีกต่อไป คิดดูให้ดีเถอะ!” ฉันมั่นใจมากว่า เขาแค่ต้องการให้ฉันเลิกติดตามพระคริสต์ ไม่มีญาติคนไหนช่วยเราสักคน ระหว่างที่ฉันเรียนม ปลายและเรียนในวิทยาลัยสามปี! ตอนนี้ฉันอยากติดตามพระเจ้า และเดินบนทางที่ถูกต้อง พวกเขากลับพากันมาห้ามฉัน มาพูดสิ่ง “ดีๆ” เพื่อล่อลวงฉัน มันคืออุบายของซาตาน และฉันจะหลงกลไม่ได้ แต่แล้วฉันก็คิดว่า “ถ้าฉันไม่กลับไปเรียนจริงๆ แม่ก็จะเสียใจมาก หลายปีมานี้ท่านทนทุกข์มามากพอแล้ว ฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง ถ้าทำให้แม่เจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม?” หลังจากคิดแบบนี้ ฉันก็รีบกล่าวคำอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ทราบว่า การติดตามพระองค์และการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง แต่ข้าพระองค์ก็รู้สึกขัดแย้งเมื่อคิดถึงแม่ จนไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงดี โปรดให้ความรู้แจ้งและช่วยเหลือข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธฤทธิ์ที่ว่า “พระเจ้าคือผู้ที่ทรงกำหนดว่าแต่ละบุคคลต้องทนทุกข์มากน้อยเพียงใดและพวกเขาต้องเดินไปบนเส้นทางของพวกเขาในระยะทางไกลแค่ไหน และไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (6)) ทันใดนั้น ฉันก็ได้เข้าใจว่า “ใช่แล้ว” ฉันคิด “พระเจ้าทรงกำหนดว่าแต่ละคนต้องทนทุกข์แค่ไหน นั่นไม่ใช่อะไรที่ใครจะสามารถตัดสินใจได้ และฉันก็ไม่สามารถบรรเทาการทนทุกข์ของแม่ หรือหยุดไม่ให้ท่านต้องทนทุกข์เพียงเพราะการหาเงินให้ได้มากๆ และส่งให้ท่าน ต้นตอความเจ็บปวดของเรา คือความเสื่อมทรามของซาตานและน้ำพิษเยี่ยงซาตานทั้งมวล และความอยากได้อยากมีอันแรงกล้าที่อยู่ในตัวเรา ถ้าผู้คนไม่นมัสการพระเจ้า และยอมรับการทรงพิพากษาเพื่อให้ถูกชำระให้สะอาด พวกเขาก็จะไม่มีวันเป็นอิสระจากความเจ็บปวด แต่ถ้าผู้คนเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ต่อให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทางกายสักเล็กน้อย แต่ถ้าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริง สละตนเพื่อพระเจ้า เป็นพยานยืนยันให้พระองค์ พบความสงบและความชื่นบานยินดี เลิกถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม และได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยได้ พวกเขาก็จะมีชีวิตที่มีความสุขที่สุด ฉันเคยมีความคิดว่า การเรียนหนัก หาเงินให้ได้เยอะๆ และเป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คน จะช่วยบรรเทาความทนทุกข์ของแม่ได้ แต่นั่นเป็นเพียงความคิดที่ไร้สาระ ฉันเกือบตกหลุมพรางของซาตานเข้าแล้ว” ด้วยควาามคิดเหล่านี้ ความตั้งใจของฉันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ไม่ว่าพวกเขา จะพูดจาหมิ่นประมาทและให้ร้ายยังไง ก็ไม่มีผลกับฉันเลย พอเห็นฉันเงียบ แม่ก็โกรธจัด ท่านผลักและจับฉันโยนลงบนเตียง ฉันตกใจมาก ที่แม่ทำกับฉันแบบนี้ได้ ฉันรู้สึกเสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น จนอดไม่ได้ที่จะเริ่มร้องไห้ ฉันยังคงอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่เงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงปกปักรักษา เพื่อให้ฉันยืนหยัดเป็นพยานให้พระองค์ได้ภายใต้สภาวการณ์เหล่านี้ และไม่ยอมจำนนต่อครอบครัวของฉัน ฉันนึกถึง สิ่งที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสไว้ว่า “ผู้คนหนุ่มสาวควรมีความเพียรพยายามที่จะดำเนินต่อไปตามหนทางแห่งความจริงที่บัดนี้พวกเขาได้เลือกแล้ว—เพื่อตระหนักถึงความปรารถนาของพวกเขาที่จะสละทั้งชีวิตของพวกเขาเพื่อเรา พวกเขาไม่ควรอยู่โดยปราศจากความจริง อีกทั้งพวกเขาไม่ควรเก็บงำความหน้าซื่อใจคดและความไม่ชอบธรรม—พวกเขาควรตั้งมั่นในจุดยืนที่เหมาะสม พวกเขาไม่ควรล่องลอยตามไปเฉยๆ แต่ควรมีจิตวิญญาณที่กล้าที่จะทำการพลีอุทิศและดิ้นรนต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและความจริง ผู้คนหนุ่มสาวควรมีความกล้าหาญที่จะไม่ยอมจำนนต่อการบีบคั้นโดยกำลังบังคับแห่งความมืดและที่จะแปลงสภาพนัยสำคัญแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะสำหรับผู้เยาว์และผู้สูงวัย) พระวจนะได้มอบความเชื่อและความเข้มแข็ง รวมถึงความมั่นใจที่จะยึดอยู่บนเส้นทางที่ฉันเลือก
จากนั้น แม่ของฉันก็ไม่ไปทำงาน และอยู่บ้านคอยจับตาดูฉันกับน้องไม่ให้คลาดสายตา แม่รื้อค้นข้าวของของฉัน เพื่อหาหนังสือพระวจนะ และเทปบทเพลงสรรเสริญ และพูดด้วยความโกรธว่า “นับจากนี้ไป แกทั้งคู่ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปชุมนุม แม่จะอยู่บ้านเฝ้าดูแก ไม่ว่าแกสองคนจะไปที่ไหน แม่ก็จะไปด้วยทุกที่ แม่จะหาสถานที่ชุมนุมของแกให้เจอให้ได้!” ฉันรู้สึกเหมือน โดนคุมขังอยู่ในบ้าน ฉันอ่านพระวจนะไม่ได้ และไม่กล้าคุยกับน้องสาวเรื่องความเชื่อ ยิ่งเรื่องการใช้ชีวิตคริสตจักรด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย มันทำให้ฉันวิตกมากๆ ฉันเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงแสดงให้เห็นทางออก สองสามวันต่อมา ในตอนเที่ยง ตอนที่แม่อยู่ในห้องน้ำ ฉันเห็นว่าสบโอกาส จึงวิ่งสุดฝีเท้าไปยังบ้านของพี่น้องหญิงถังฮุยที่เป็นผู้นำคริสตจักรของเรา ฉันเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น รวมถึงความคิดของฉันให้เธอฟัง บอกว่า “การติดตามพระเจ้าคือเส้นทางแห่งแสงสว่างและแห่งความรอด ฉันอยากทำหน้าที่ของตัวเองในคริสตจักร แต่แม่ก็เอาแต่พยายามบีบบังคับและห้ามฉัน ตอนนี้ฉันกับน้องไปร่วมชุมนุมไม่ได้ตามปกติ ฉันรู้สึกหงุดหงิดมาก ทำไมถึงเกิดเรื่องทั้งหมดนี้กับพวกเราล่ะคะ?” พี่น้องหญิงถังฮุยจึงได้สามัคคีธรรมกับฉันอย่างใจเย็น บอกว่า “เมื่อคนคนหนึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันจากคนในครอบครัว นั่นคือการก่อกวนและการบงการของซาตานจริงๆ เราอยากสละตนเพื่อพระเจ้า แต่ซาตานกลับใช้ครอบครัวของเราเพื่อมาหยุดเรา และใช้ความอ่อนแอมาโจมตีเรา ให้เราทรยศพระเจ้าและสูญเสียโอกาสของการช่วยให้รอด เราควรพึ่งพาพระเจ้า เพื่อที่จะได้มองอุบายของซาตานออก” จากนั้น เธอก็อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งให้ฉันฟัง “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในตัวผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการรบกวนของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานที่พวกเขามีให้พระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือการกระทำของมนุษย์และการรบกวนของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ… เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร? เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พระวจนะเหล่านี้แสดงให้ฉันเห็นว่า ถ้าฉันอยากติดตามพระคริสต์ในโลกที่มืดและชั่วนี้ นั่นก็ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย มันจะเต็มไปด้วยการสู้รบทางจิตวิญญาณและตัวเลือกที่ยาก พระราชกิจการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เป็นระยะสุดท้ายที่สำคัญที่สุดในพระราชกิจของพระองค์ในการชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอด พระเจ้าทรงหวังว่า ทุกคนจะได้รับความจริงและชีวิตจากพระองค์ ซึ่งนั่นจะช่วยเราให้รอดและอยู่ต่อไปได้ แต่พระองค์ไม่ทรงบังคับใคร พระองค์ทรงให้เราเลือกด้วยตัวเอง แม่ถูกซาตานหลอกและชักพาให้หลงผิด จึงไม่เห็นว่าการไล่ตามเกียรติยศและสถานะนั้นว่างเปล่าเพียงใด และเอาแต่บังคับให้ฉันไปวิทยาลัยเพื่อร่ำเรียนและประสบความสำเร็จ ฉันไม่สามารถจะทำตามทางเลือกที่ผิดของแม่ได้ พี่น้องหญิงถังฮุยสามัคคีธรรมต่อไป บอกว่า “เห็นไหมว่าการไล่ตามความรู้และโอกาสในอนาคตนั้นไร้ความหมายแค่ไหน คุณสาบานไว้ว่าจะสละตนเพื่อพระเจ้า และเลือกเส้นทางแห่งการไล่ตามเสาะหาความจริง นี่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า แต่สิ่งที่คุณเลือกสำหรับเส้นทางในชีวิต ก็ล้วนขึ้นอยู่กับตัวคุณเองทั้งหมด และคุณต้องอธิษฐาน กับแสวงหาให้มากขึ้นในเรื่องนี้” ฉันคิดว่า “ถึงฉันจะสาบานว่าจะติดตามพระคริสต์ แต่ตอนนี้ แม่ก็คอยจับตาดูฉันอย่างไม่คลาดสายตา และยังบอกว่าจะหาที่ชุมนุมของเราให้เจอ ถ้าฉันยืนกรานไม่กลับไปวิทยาลัย ท่านจะต้องทำให้พี่น้องชายหญิงเดือดร้อนแน่เลย” และเมื่อเป็นอย่างนั้น ฉันเลยสัญญากับแม่ไปว่าฉันจะกลับไปวิทยาลัย
พอกลับไปถึงที่นั่น ฉันก็ยื่นหนังสือขอพักการเรียน วิทยาลัยอนุมัติคำร้องของฉัน แต่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง พอแม่รู้เข้า ท่านก็ต่อต้านอย่างแรง แม่เอาแต่ร้องห่มร้องไห้ถึงเรื่องที่ต้องทนทุกข์มามากแค่ไหน และการเลี้ยงฉันกับน้องมานั้นยากเย็นแค่ไหน และไม่ยอมให้ฉันพักการเรียน พอเห็นแม่เป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็เสียใจมากจริงๆ และคิดว่า “แม่ต้องดิ้นรนจริงๆ เพื่อเลี้ยงเรามา และฉันยังไม่ได้ตอบแทนท่านเลย ถ้าไม่ทำอย่างที่แม่ต้องการ ฉันจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังหรือ?” ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า บอกว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ควรทำอย่างไรดี? ได้โปรดให้ความรู้แจ้งและช่วยเหลือข้าพระองค์ด้วยเถิด” ตอนนั้นเองพระวจนะบทตอนหนึ่งก็พลันปรากฎขึ้นหัวว่า “เมื่อความอบอุ่นแห่งฤดูใบไม้ผลิมาถึงและดอกไม้ทั้งหลายผลิบาน เมื่อทุกสิ่งใต้ฟ้าสวรรค์เขียวขจี และทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกเข้าที่เข้าทาง เมื่อนั้นผู้คนทั้งปวงและทุกสรรพสิ่งจะค่อยๆ เข้าสู่การตีสอนของพระเจ้า และในเวลานั้น พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกก็จะสิ้นสุด พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจหรือดำรงพระชนม์ชีพบนแผ่นดินโลกอีกต่อไป เพราะพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าย่อมจะสำเร็จลุล่วงไปแล้ว ผู้คนไม่สามารถละวางเนื้อหนังของพวกเขาเป็นเวลาสั้นๆ นี้ได้กระนั้นหรือ? สิ่งใดเล่าจะสามารถตัดแยกความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้? ผู้ใดสามารถดึงแยกความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าได้? เป็นบิดามารดา สามี พี่สาวน้องสาว ภรรยา หรือกระบวนการถลุงอันเจ็บปวดกระนั้นหรือ? ความรู้สึกแห่งมโนธรรมจะลบพระฉายาของพระเจ้าภายในมนุษย์ออกไปได้หรือ? ความเป็นหนี้และการกระทำต่อกันของผู้คนเป็นการกระทำของพวกเขาเองหรือ? มนุษย์สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่? ผู้ใดสามารถอารักขาตัวพวกเขาเองได้? ผู้คนสามารถจัดหาเพื่อตัวพวกเขาเองได้หรือ? ใครกันเล่าคือผู้ที่แข็งแกร่งในชีวิต? ผู้ใดเล่าสามารถผละจากเราไปและมีชีวิตด้วยตัวพวกเขาเองได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 24 และ 25) พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นว่า ทุกคนมีชีวิตอยู่ใต้อธิปไตยและการกำหนดของพระเจ้า ถึงจะดูเหมือนว่าแม่ได้เลี้ยงดูฉันมา แต่จริงๆ แล้ว ชีวิตของเรานั้นมาจากพระเจ้า พระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมและเลี้ยงดูเรา การเลี้ยงเด็ก เป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระผูกพันของมนุษย์ที่พ่อแม่ต้องทำ ไม่มีใครติดค้างกันทั้งสิ้น พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับฉันเพื่อการอยู่รอด และจัดการเตรียมการผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกรูปแบบ เพื่อนำฉันให้มาเฉพาะพระพักต์ที่ละก้าวทีละก้าว จนยอมรับความรอดของพระองค์ ความรักของพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่มาก! ฉันชื่นชมยินดีมากกับการดูแล การคุ้มครอง และการจัดเตรียมจากพระเจ้า แต่ฉันก็ไม่เคยตอบแทนพระองค์เลย และเมื่อความยากลำบากตกมาสู่ฉัน คำมั่นที่ฉันเคยให้ไว้กับพระเจ้าเลยกลายเป็นคำโกหก พระเจ้าผู้ทรงสร้างคือผู้ที่ฉันเป็นหนี้บุญคุณอย่างแท้จริง พอคิดว่าพระราชกิจบนโลกตอนนี้ของพระเจ้าจะสั้นเพียงใด เช่นเดียวกับพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ฉันก็รู้ว่าฉันก็ต้องหวงแหนโอกาสที่หาได้ยากนี้ไว้ เพื่อทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งทรงสร้างและเป็นการตอบแทนความรักของพระองค์ และขณะที่ฉันตัดสินใจจะติดตามพระคริสต์ สิ่งต่างๆ ก็เปลี่ยนไปแบบไม่คาดคิด แม่ฉันได้ยินมาว่า ถ้าฉันขาดเรียนมากเกินไป ฉันก็จะโดนไล่ออก ท่านกลัวว่าถ้าเป็นแบบนั้น ฉันก็จะไม่ได้เรียนในวิทยาลัยอีก ก็เลยยอมให้ฉันพักการเรียนและกลับมาบ้าน พอกลับมาถึงบ้าน แม่ก็เตือนฉันว่า “แกไม่ได้รับอนุญาติให้เชื่อในพระเจ้าอีกต่อไป แกต้องทำตัวดีๆ และหางานใกล้ๆ แถวนี้ทำเป็นเวลาหนึ่งปี แล้วค่อยกลับไปเรียนที่วิทยาลัย” ฉันสัญญากับแม่ว่าจะทำ แต่ในใจก็คิดว่า “พระเจ้ากำหนดมาให้ฉันติดตามพระคริสต์ และนี่คือทางเลือกของฉัน ฉันจะไม่ล้มเลิกง่ายๆ หรอก”
ฉันจึงหางานทำ แล้วก็ทำงานไปด้วยและเข้าชุมนุมกับทางคริสตจักรไปด้วย และประกาศข่าวประเสริฐกับพี่น้องชายหญิงอื่นๆ เมื่อมีเวลาว่าง จากการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะ ฉันก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงขึ้นบ้าง และตระหนักว่าการไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นชีวิตที่เปี่ยมความหมายที่สุด และได้รับความเชื่อมากขึ้นเพื่อติดตามพระเจ้า ไม่ทันไร ก็ได้เวลาที่ฉันต้องกลับไปเรียน และฉันต้องตัดสินใจเลือกเป็นครั้งสุดท้าย ฉันเลือกเชื่อในพระเจ้า! ตอนที่กลับบ้านในวันนั้น ฉันก็พบว่าแม่เก็บข้าวของของท่าน ฉันได้คำตอบว่า เพื่อนบ้านแนะนำชายคนหนึ่งให้แม่รู้จัก ท่านกำลังจะไปแต่งงานกับเขา ฉันรู้สึกแปลกใจและเจ็บปวดจริงๆ และถามแม่ไปว่า ท่านไม่ต้องการพวกเราแล้วหรือ แม่บอกว่า “ปัญหาไม่ได้อยู่แม่ไม่ต้องการพวกแก แต่เป็นเพราะแกแน่วแน่ที่จะเชื่อในพระเจ้า และแม่ก็พึ่งพาอาศัยอะไรแกไม่ได้แล้ว แม่จะให้โอกาสกับแกเป็นครั้งสุดท้าย นี่คือเบอร์โทรศัพท์ของคู่หมั้นแม่ ถ้าแกกลับไปเรียน แล้วจะกลับมาบ้านในวันหยุด ก็โทรมาเบอร์นี้ แล้วพวกเราจะไปรับ แต่ถ้าแกกับน้องสาวแกยืนกรานที่จะมีความเชื่อต่อไป ฉันก็จะไม่อยู่ช่วยแกอีกต่อไปแล้ว” ยังไม่ทันที่จะได้คิดเรื่องนั้นให้มากขึ้น แม่ก็พาเราไปขึ้นรถประจำทางเพื่อไปเรียน ฉันคิดมากไปตลอดทาง แค่วันเดียว ฉันกับน้องสาวก็กลายเป็นคนจรจัดไม่มีบ้าน และไม่มีใครให้เป็นที่พึ่งพิงอีกต่อไป ช่างน่าเศร้าใจเสียจริง น้องสาวของฉันพูดอย่างสิ้นหวังว่า “แม่ไม่ต้องการเราอีกต่อไปแล้ว ถ้าพี่ไม่กลับไปเรียน พวกเราจะทำยังไงกันดี?” คำพูดของน้องสาวจี้ใจดำฉัน ฉันคิดว่า “ก็ใช่ ตอนนี้บรรดาญาติๆ ก็ทอดทิ้งเราไปแล้ว แถมแม่ก็กำลังจะแต่งงานกับคนอื่น ถ้าฉันยังเชื่อในพระเจ้าต่อไป พวกเราจะอยู่กันยังไง? เราสองคนจะไปอยู่ที่ไหน? ฉันจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดี?” แล้วฉันก็รู้สึกเจ็บปวดและอ่อนแอจริงๆ เลยอธิษฐานถึงพระเจ้า บอกว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อาจข้ามผ่านเรื่องนี้ไปได้จริงๆ ข้าพระองค์อยากให้พระองค์พอพระทัย แต่ข้าพระองค์ ไม่เหลือความเชื่อและกำลังที่จะทำต่อไปแล้ว ข้าพระองค์ รู้ว่าพระองค์ทรงทำเพื่อข้าพระองค์มามากแล้ว แต่ข้าพระองค์ อ่อนแอเกินไป ไม่ควรค่าแก่การช่วยให้รอดของพระองค์” ทันใดนั้นเอง พระวจนะบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดฉันอย่างชัดเจน “เมื่อถึงวันที่พระราชกิจนี้เผยแผ่ออกไป และเจ้ามองเห็นทั้งหมดทั้งสิ้นของมัน เจ้าจะเสียใจ และ ณ เวลานั้น เจ้าจะอึ้งและงงงัน พรทั้งหลายนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมพวกมันอย่างไร และความจริงนั้นมีอยู่ ทว่าเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหามัน นี่เจ้าไม่ได้ทำให้ตัวเองน่าเหยียดหยามหรอกหรือ?… ไม่มีใครเลยที่โง่เขลาไปกว่าพวกที่มองดูความรอดแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาที่จะได้รับมัน กล่าวคือ เหล่านี้เป็นผู้คนที่มูมมามไปกับเนื้อหนังจนเกินขนาดและสุขสำราญไปกับซาตาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) นั่นเป็นเรื่องจริง พระราชกิจจะจบลงในอีกไม่นาน และฉันได้เห็นหนทางที่แท้จริงแล้ว ถ้าฉันเลือกสนองเนื้อหนัง เพราะไม่สามารถทนทุกข์ได้ เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าสิ้นสุดลง ฉันก็จะพลาดโอกาสที่มีเพียงครั้งเดียวในชีวิตในการได้รับความจริง และฉันจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน ฉันนึกถึงตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ที่ฉันได้ทำหน้าที่ในคริสตจักร การได้รับน้ำและการบำรุงเลี้ยงจากพระวจนะ ทำให้ฉันเข้าใจความจริงบางอย่าง แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจอย่างถ่องแท้ในหลายสิ่งเกี่ยวกับโลกใบนี้ ฉันได้เห็นว่า มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ชำระผู้คนให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดได้ และการติดตามพระคริสต์ คือเส้นทางแห่งแสงสว่างและแห่งความรอด ฉันจะลังเลต่อไปไม่ได้แล้ว ชีวิตของฉันมาจากพระเจ้า และพระองค์ให้ทุกอย่างกับฉัน การทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้นเป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้! แม่ไม่สนับสนุนความเชื่อของฉัน และอยากให้ฉันไล่ตามความรู้เพื่อจะได้ประสบความสำเร็จ ถ้าฉันทำตามที่ท่านต้องการ และเลือกทางที่ผิด ฉันก็คงถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามขึ้นเรื่อยๆ และคงลงเอยด้วยการถูกลงโทษและทำลาย ความรู้ไม่อาจทำให้ฉันหลุดพ้นจากอุปนิสัยเสื่อมทรามหรือชำระฉันให้สะอาดได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยฉันให้รอดได้ ถ้าครอบครัวไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันก็ยังมีพระเจ้า พอนึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉันก็ตระหนักได้ว่าทุกครั้งที่ฉันรู้สึกคิดลบและอ่อนแอ ก็ได้พระวจนะที่หนุนใจฉัน ช่วยฉัน และมอบความแข็งแกร่งให้แก่ฉัน เวลาที่ฉันกำลังจะหันหลังให้กับพระเจ้าในห้วงแห่งความเจ็บปวดและอ่อนแอที่สุด พระวจนะก็ช่วยปลุกใจฉัน สำหรับฉันแล้ว ในโลกนี้มีแต่ความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นจริง! พอคิดได้แบบนี้แล้ว ความเชื่อของฉันก็กลับมา ฉันเช็ดน้ำตา และบอกน้องสาวว่า “พระเจ้าคือพระองค์เดียวที่เราจะพึ่งพาได้ และพระองค์จะทรงนำเรา กลับไปที่คริสตจักรกันเถอะ” วันรุ่งขึ้น เราสองคนพี่น้องก็พากันขึ้นรถโดยสารกลับบ้าน และจากนั้นเราก็เริ่มทำหน้าที่ของเราในคริสตจักร ขอบคุณพระเจ้า! พระวจนะนำฉันให้ชนะความอ่อนแอทางเนื้อหนัง และเลือกเส้นทางที่สดใสและถูกต้องในชีวิต
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ