ฉันควรต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างไร

วันที่ 09 เดือน 03 ปี 2023

โดย จีนน์ เคลาดิโอ ฟิลิปปินส์

ฉันเกิดมาในครอบครัวคาทอลิก ฉันทำตามวิถีแบบคาทอลิก และโหยหาการทรงกลับมาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้น ฉันก็เริ่มอ่านพระคัมภีร์บ่อยขึ้น พยายามเข้าใจความจริงให้มากขึ้น แล้วบาทหลวงก็ตีความพระคัมภีร์ให้เรา อย่างวิวรณ์บทที่ 1 ข้อ 7 ที่ว่า “ดูเถิด พระองค์เสด็จมาพร้อมหมู่เมฆ และทุกคนจะมองเห็นพระองค์ รวมทั้งพวกที่เคยแทงพระองค์ด้วย และทุกชนเผ่าบนแผ่นดินจะร่ำไห้เสียใจเรื่องตนเองเพราะพระองค์” บาทหลวงบอกเราว่า ทุกคนจะเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลงมาบนเมฆ แต่แล้วตอนอายุยี่สิบ ฉันก็ได้อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ “แต่จะเป็นวันและเวลาใดไม่มีใครรู้ ทูตสวรรค์ก็ไม่รู้ เว้นแต่พระบิดาเพียงพระองค์เดียว(มัทธิว 24:36) ข้อนี้บอกว่า ตอนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา จะไม่มีใครรู้ แต่บาทหลวงกลับบอกเราว่าเมื่อทรงกลับมา พระองค์จะลงมาบนเมฆให้ทุกคนเห็น เรื่องนี้หมายความว่ายังไง? พระองค์จะทรงกลับมายังไงกันแน่? ฉันรู้สึกสับสนมาก ตอนชุมนุม ฉันไปถามบาทหลวงอีกคน แต่เขาบอกว่า “พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนมาก ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงลงมาบนเมฆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายมากมาย แค่เชื่อตามนั้นก็พอ” ฉันผิดหวังกับท่าทีของบาทหลวงจริงๆ ฉันอยากเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำเผยพระวจนะ แต่ในโบสถ์คาทอลิก เราเอาแต่สวดภาวนาและเข้าร่วมพิธีกรรม นั่นไม่ได้ทำให้เข้าใจพระวจนะ หรือให้เสบียง ฉันค่อยๆ หมดความสนใจในศาสนจักรคาทอลิก และไปทำมิสซาด้วยความเคยชินเท่านั้น

ปี 2001 ฉันไปทำงานเมืองนอก วันหนึ่ง เพื่อนร่วมงานชวนฉันไปเข้าชุมนุมของคริสเตียน ฉันคิดว่าอาจได้เรียนรู้ความจริงที่นั่น เลยขอให้ศิษยาภิบาลไขข้อข้องใจ เขาตอบแบบไม่คิดเลยว่า “เรื่องนี้พระคัมภีร์ว่าไว้ชัดเจนมาก ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ เราจะเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนเมฆอย่างแน่นอน” ฉันผิดหวังในคำตอบของเขามาก แถมปัญหาของฉันก็ไม่ถูกแก้ไข เวลาผ่านไป ฉันพบว่านิกายนี้ก็ไม่มีเสบียงอาหารเหมือนกัน และในใจฉันก็เริ่มว่างเปล่าลงทุกที ความปรารถนาที่จะหาคำตอบแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉันเลย เริ่มไปตามองค์กรคริสเตียนอื่นๆ แต่ก็ไม่มีที่ไหนไขข้อข้องใจให้ฉันได้ ฉันอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระเจ้า โปรดช่วยให้ลูกเจอคริสตจักรที่ใช่หรือคนที่จะนำลูก ให้เข้าใจความจริง และไขข้อข้องใจนี้ได้ที”

แล้ววันหนึ่งในเดือนมกราคมปี 2019 ซึ่งเป็นวันที่พิเศษมากสำหรับฉัน พี่น้องหญิงคนหนึ่งจากออสเตรเลีย เพิ่มฉันเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊ก ฉันเห็นบางบทความที่เธอแบ่งปันบนไทม์ไลน์ อย่างเช่น “หญิงพรหมจารีมีปัญญา” “พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของคุณได้อย่างไร?” เนื้อหาพวกนั้นแปลกใหม่มาก ฉันรู้สึกว่ามีความจริงอยู่ รู้สึกว่าคริสตจักรของเธออาจตอบคำถามฉันได้ ต่อมา เธอถามฉันว่าอยากเข้าชุมนุมมั้ย ฉันตอบตกลงด้วยความยินดี ตอนชุมนุม พี่น้องหญิงคามิลาพูดว่า “วันนี้เราจะสามัคคีธรรมว่า การทรงกลับมาในยุคสุดท้ายเป็นยังไงกันแน่” ฉันค่อนข้างแปลกใจที่ได้ยินเธอพูดเรื่องนี้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันสับสนมาตลอดไม่ใช่เหรอ? ฉันรอเธอสามัคคีธรรมแทบไม่ไหว พี่น้องหญิงคามิลาพูดว่า “เมื่ออ่านคำเผยพระวจนะในวิวรณ์ ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7) หลายคนคิดว่า พระองค์จะทรงกลับมาบนเมฆให้ทุกคนเห็น และในภาพอันตระการตานั้น ดาวจะตกจากฟ้า แผ่นดินโลกจะสั่นสะเทือน แต่ทรรศนะนี้ถูกต้องรึเปล่า? ที่จริง ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะข้ออื่นเรื่องการทรงกลับมา อย่างเช่น ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย(วิวรณ์ 16:15) และ ‘แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลา แม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว(มัทธิว 24:36) ทั้งหมดนี้กล่าวว่า พระองค์จะทรง มา ‘อย่างขโมย’ และไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ ทุกข้อบอกเราด้วยว่า พระองค์จะเสด็จมาเงียบๆ ไม่มีใครรู้ว่าตอนไหน ถ้าพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆต่อหน้ามนุษย์ให้ทุกคนได้เห็น ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้จะลุล่วงยังไง?” คำพูดของเธอทำฉันตกใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่องการเสด็จมาเงียบๆ “อย่างขโมย” ทำไมบาทหลวงและศิษยาภิบาล ไม่เคยพูดถึงเลย? แต่ถ้าทรง “มาอย่างขโมย” จะไม่ขัดกับคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาบนเมฆหรือ? ฉันอยากเข้าใจจริงๆ แล้วเธอ ก็สามัคคีธรรมต่อว่า “ที่จริง คำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาจะลุล่วง แต่ต้องดูที่กระบวนการ และลำดับเหตุการณ์ พระองค์จะทรงปรากฏในรูปมนุษย์อย่างลับๆ ประกาศความจริงเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและรอดก่อน จากนั้นถึงจะทรงลงมาบนเมฆ ให้คนทุกชาติได้เห็น แล้วทุกคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมา ก็จะลุล่วง” สามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคนนี้เปิดโลกมาก ปรากฏว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาสองวิธี ฉันเห็นด้วยกับทุกอย่างที่เธอพูด ฉันอยากรู้ให้มากกว่านี้ ก็เลยถามเธอว่า “คุณเพิ่งพูดถึงการเสด็จมาอย่างลับๆ ในร่างมนุษย์ เรื่องนี้หมายความว่ายังไงคะ?” เธออ่านพระคัมภีร์ให้ฉันฟังสองสามข้อ “พวกท่านจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา(ลูกา 12:40)เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน(ลูกา 17:24-25)เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:37) แล้วสามัคคีธรรมว่า “เห็นมั้ยว่าหัวใจของทุกข้อนี้คืออะไร? ทุกข้อพากันพูดถึงคำว่า ‘บุตรมนุษย์’ แสดงว่า พระองค์จะทรงกลับมาอย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์ แล้ว ‘บุตรมนุษย์’ หมายถึงอะไร? หมายถึงพระเจ้าที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ถ้าทรงเป็นวิญญาณ ก็เรียกว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้ เหมือนที่พระยาห์เวห์พระเจ้า เป็นวิญญาณไม่ใช่บุตรมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้าถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์ เพราะทรงเป็นพระวิญญาณพระเจ้าในรูปมนุษย์ ถึงจะทรงดูเหมือนคนธรรมดา ประสูติจากมนุษย์ และมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่ก็ทรงมีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ภายใน เป็นพระเจ้าที่ปรากฏในรูปมนุษย์ เพราะฉะนั้น การเผยพระวจนะว่านี่เป็น ‘การเสด็จมาของบุตรมนุษย์’ จึงแสดงว่าจะทรงกลับมาปรากฏในรูปมนุษย์ ไม่ใช่กายพระวิญญาณโดยตรง” สามัคคีธรรมของเธอ ทำให้ฉันเข้าใจความหมายที่แท้จริงของ “บุตรมนุษย์” ฉันยังได้รู้ว่า การเสด็จลงมาลับๆ หมายถึง พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ สามัคคีธรรมนี้ สอดคล้องกับพระคัมภีร์ แล้วเธอก็พูดต่อไปว่า “ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก่อน ทรงประกาศความจริง และพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศ เพื่อชำระผู้ที่ถูกยกขึ้นสู่เบื้องพระบัลลังก์ให้สะอาดและรอด สร้างกลุ่มผู้ชนะก่อนเกิดความวิบัติ เมื่อสร้างกลุ่มผู้ชนะแล้ว วิบัติจะมา พระเจ้าจะลงโทษคนชั่ว และปูนบำเหน็จคนดี แล้วจะทรงปรากฏบนเมฆขาวต่อหน้ามวลมนุษย์ ตอนนี้เองที่ทุกคนจะร้องไห้ ทำไมพวกเขาถึงร้องไห้? เพราะเมื่อพระเจ้าลงมาเป็นมนุษย์อย่างลับๆ หลายคนไม่ยอมรับพระองค์ พวกเขามองว่าพระองค์ดูธรรมดา ไม่สูงส่ง เลยไม่ปฏิบัติต่อพระองค์อย่างพระเจ้า นอกจากจะไม่ยอมรับ ยังกล่าวโทษ ต่อต้าน และปฏิเสธพระองค์ พอเสด็จมาบนเมฆเพื่อปูนบำเหน็จคนดี พวกเขาจะเห็นว่า ที่จริงพวกเขากล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา แต่ก็สายไปแล้ว พวกเขาเลยได้แต่ร้องไห้ ถึงตอนนั้น วิวรณ์บทที่ 1 ข้อ 7 ที่ว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ ก็จะลุล่วงไปโดยสมบูรณ์! ดังนั้น การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มาทรงงานในรูปมนุษย์ ถึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้ารอจนพระองค์เสด็จมาบนเมฆ ก็จะสายเกินไป” พอฟังสามัคคีธรรมของเธอ ฉันรู้สึกเหมือน ในที่สุดก็ได้เป็นอิสระจากคุกที่คุมขังฉันมานาน ฉันเห็นความสว่าง รู้สึกว่าหลุดพ้นอย่างแท้จริง สามัคคีธรรมของพี่น้องคนนี้ช่วยให้หายข้องใจ และทำให้ฉันเข้าใจความล้ำลึกเรื่องการทรงกลับมา ฉันรู้สึกว่าคริสตจักรของเธอ มีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และฉันแทบจะรอการชุมนุมครั้งต่อไปไม่ไหว

ไม่คิดเลยว่า ในการชุมนุมครั้งถัดมา เธอบอกข้อมูลที่ทำให้ฉันตกใจมาก เธอว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ประกาศความจริงมากมาย และทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ…” ได้ยินอย่างนั้น ฉันก็ประหลาดใจ ตื่นเต้น และอยากรู้มาก ถ้าพระคัมภีร์บอกว่าไม่มีใครรู้ว่าจะทรงกลับมาตอนไหน แล้วพวกเขารู้ได้ยังไง? ฉันถามเรื่องนี้กับพี่น้องคนนั้น เธอก็สามัคคีธรรมให้ฟังว่า “ถ้าไม่มีใครรู้เรื่องการทรงกลับมา แล้วเราจะต้อนรับพระองค์ยังไง? ที่จริง พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลา แม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว(มัทธิว 24:36) นี่หมายถึง ไม่มีใครรู้เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาอย่างแน่ชัด แต่เมื่อพระองค์เริ่มตรัสและทรงงาน ผู้คนจะจำพระสุรเสียงได้จากพระวจนะ แล้วก็รู้ว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ถึงได้ต้อนรับพระองค์ คำขององค์พระเยซูเจ้าถึงลุล่วง ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น 10:27)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20) นี่เหมือนตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน เปโตร ยอห์น ยากอบ มัทธิว และคนอื่นๆ ไม่รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าที่แท้คือพระเมสสิยาห์ แต่หลังจากที่พวกเขามาสัมผัสพระองค์ และจำเสียงของพระเจ้าได้จากพระวจนะ พวกเขาก็รู้ว่านี่คือพระเมสสิยาห์ จากนั้น เปโตร ยอห์น และคนอื่นๆ ก็เริ่มเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้แผ่ไพศาล นี่ทำให้มีคนรู้ถึงความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น และผู้เชื่อ ก็ค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วทั้งโลก ดังนั้น การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ไม่ได้ขึ้นกับว่าเรารู้เวลาที่จะทรงกลับมารึเปล่า แต่เราสืบค้นได้มั้ย เวลามีคนเป็นพยานให้การทรงกลับมา และเมื่อพระองค์ตรัส เราจำพระสุรเสียงได้มั้ย แบบนี้เราถึงจะต้อนรับพระองค์ได้” เธอสามัคคีธรรมได้ตรงใจจริงๆ เพราะการสามัคคีธรรมพระวจนะ ไขข้อสงสัยให้ฉันได้ เมื่อก่อนฉันสับสนอยู่เสมอว่า “เราควรต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไงกันแน่? คนเราจะต้อนรับและทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้ายินดีได้ ด้วยการสวดภาวนาและเข้าร่วมพิธีเหรอ?” แต่ฉันเข้าใจแล้วว่า ต้องคอยเงี่ยหูฟังพระสุรเสียง ถึงจะได้ต้อนรับการทรงกลับมา แล้วฉันก็รู้สึกว่า ความรู้แจ้งจากการชุมนุมทั้งสองครั้ง มีมากกว่าที่ได้รับมาหลายปีก่อนหน้านี้ ฉันยิ่งอยากเรียนรู้ความจริงมากขึ้น เพราะจะช่วยให้ฉันยิ่งมั่นใจ ว่านี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมา ฉันเลย ถามพี่น้องหญิงอีกคำถามว่า “ในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาลับๆ ก่อน แล้วค่อยปรากฏเปิดเผยบนเมฆ เรื่องนี้ฉันเข้าใจ แต่ทำไมถึงทรงปรากฏเป็นมนุษย์ก่อน ไม่ปรากฏในกายพระวิญญาณโดยตรง?”

เธอสามัคคีธรรมว่า “การทรงปรากฏเป็นมนุษย์เป็นไปตามความจำเป็นในการทรงพระราชกิจทั้งนั้น รวมทั้งความต้องการของมนุษย์ที่เสื่อมทราม” แล้วเธอ ก็อ่านพระวจนะให้ฟังอีกสองบทตอน “การช่วยมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าไม่ได้ทำโดยการใช้วิธีการของพระวิญญาณและพระอัตลักษณ์ของพระวิญญาณโดยตรง เพราะพระวิญญาณของพระองค์นั้นไม่สามารถทั้งถูกสัมผัสและมองเห็นได้โดยมนุษย์ ทั้งมนุษย์ยังไม่สามารถเข้าใกล้ได้เช่นกัน หากพระองค์ได้ทรงพยายามที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดในลักษณะของพระวิญญาณโดยตรง มนุษย์ก็คงจะไร้ความสามารถที่จะได้รับความรอดของพระองค์ได้ หากพระเจ้ามิได้ทรงสวมรูปสัณฐานภายนอกของมนุษย์ที่ถูกสร้าง ก็คงจะปราศจากหนทางที่มนุษย์จะได้รับความรอดนี้ เนื่องเพราะมนุษย์นั้นปราศจากหนทางที่จะเข้าหาพระองค์ มากพอๆ กับที่ไม่มีใครเลยเคยมีความสามารถที่จะเข้าไปใกล้เมฆของพระยาห์เวห์ โดยการบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างเท่านั้น นั่นก็คือ โดยการบรรจุพระวจนะของพระองค์เข้าไปในร่างกายของมนุษย์ที่พระองค์กำลังจะทรงบังเกิดมาเป็นเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถนำพระวจนะของพระองค์มาดำเนินการในตัวทุกคนที่ติดตามพระองค์ได้ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงสามารถมองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เข้าสู่การครองพระวจนะของพระองค์ได้ด้วยตัวเองโดยเฉพาะ และโดยวิถีทางนี้จึงมาได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบถ้วน หากพระเจ้ามิได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่มีเลือดเนื้อจะมีความสามารถได้รับความรอดอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ ทั้งยังจะไม่มีเลยสักคนที่ได้รับการช่วยให้รอด หากพระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจโดยตรงในท่ามกลางมวลมนุษย์ มนุษยชาติทั้งมวลก็คงจะถูกบดขยี้จนคว่ำลงไป หรือไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงจะถูกซาตานจับไปเป็นเชลยอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีหนทางที่จะมาสัมผัสกับพระเจ้าเลย…ด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นพระเจ้าจึงจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างไปกับมนุษย์ รับประสบการณ์ความทุกข์ของโลกนี้ และดำรงพระชนม์ชีพในพระกายเนื้อหนังปกติได้ เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์สามารถจัดหาให้กับมนุษย์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในฐานะสิ่งมีชีวิตซึ่งทรงสร้าง โดยผ่านทางการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านี่เองมนุษย์จึงได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอย่างครบถ้วน และไม่ใช่โดยตรงจากสวรรค์ในคำตอบของคำอธิษฐานของเขา เนื่องจากสำหรับมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนัง เขาไม่มีหนทางที่จะมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าหาพระวิญญาณของพระองค์ ทั้งหมดที่มนุษย์สามารถมาติดต่อได้คือเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และเพียงด้วยวิถีทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจหนทางทั้งหมดและความจริงทั้งหมดและได้รับความรอดอย่างครบถ้วน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))พระราชกิจที่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ที่สุดต่อมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือพระราชกิจที่จัดเตรียมพระวจนะที่ถูกต้องทั้งหลาย เป้าหมายที่ชัดเจนทั้งหลายเพื่อไล่ตามเสาะหา และที่สามารถมองเห็นและสัมผัสได้ มีเพียงพระราชกิจที่เป็นจริงและการทรงนำที่ถูกกาลเทศะเท่านั้นที่เหมาะกับรสนิยมของมนุษย์ และมีเพียงพระราชกิจจริงเท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและต่ำช้าของเขาได้ การนี้สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้น มีเพียงพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์เท่านั้นที่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามและต่ำช้าก่อนหน้านั้นของเขาได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์มากกว่า) เธอสามัคคีธรรมต่อว่า “พระคัมภีร์เผยพระวจนะว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13)เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) ผ่านคำเผยพระวจนะเหล่านี้ เราถึงรู้ว่า เมื่อทรงกลับมา พระองค์จะแสดงพระวจนะเพิ่ม และจะพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ เพื่อให้งานนี้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด พระเจ้าต้องเสด็จมาทรงงานในรูปมนุษย์ เพราะเรามองไม่เห็น และสัมผัสพระวิญญาณไม่ได้ คำของพระวิญญาณเพียงคำเดียว จะทำให้เราหวั่นกลัว เราจะไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่มีทางสื่อสารกับพระวิญญาณได้ แล้วเราจะเข้าใจความจริงได้ยังไง? การที่พระเจ้าเสด็จมาในรูปมนุษย์ คือทางที่จะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การเป็นบุตรมนุษย์ จะทำให้เราข้องเกี่ยวกับพระองค์ได้ง่ายมาก อีกอย่าง พระเจ้าจะใช้ภาษามนุษย์แสดงความจริงได้ทุกที่ทุกเวลา ประกาศถ้อยแถลงเพื่อนำเรา ตอบคำถามและไขข้อข้องใจให้เรา เราก็จะไม่ต้องคลำหา หรือเดาว่าอะไรสอดคล้องกับน้ำพระทัย เหมือนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน เปโตรถามว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ควรยกโทษให้พี่น้องที่ทำผิดต่อข้าพระองค์สักกี่ครั้ง? ถึงเจ็ดครั้งเชียวหรือ?’ (มัทธิว 18:21) พระองค์ทรงตอบตรงๆ ว่า ‘เราไม่ได้บอกท่านว่าเจ็ดครั้งแต่เจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด(มัทธิว 18:22) พระองค์บอกเปโตรอย่างชัดเจนว่าควรทำยังไง แบบนี้ ผู้คนถึงเข้าใจน้ำพระทัยและรู้วิธีปฏิบัติความจริงได้ง่าย อีกอย่าง องค์พระเยซูเจ้ายังใช้สิ่งที่คนเห็นและสัมผัสได้ทุกวันในชีวิต สิ่งที่เข้าใจได้ง่ายมาแต่งเป็นนิทานสอนใจพวกเขา อย่างเช่น การเปรียบกับเชื้อ กับข้าวละมานและข้าวสาลี เปรียบกับผู้หว่าน กับเมล็ดมัสตาร์ด และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนเข้าใจความจริงดีขึ้น เข้าใจว่าพระเจ้า ต้องการและเรียกร้องอะไรจากมนุษย์ รวมทั้งรู้สึกถึงความเมตตา และเข้าถึงได้ของพระองค์ ทั้งหมดเป็นผลของพระวจนะและงานตอนที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ตรัสและทรงงานในเนื้อหนัง เข้าไปคลุกคลีกับมนุษย์ และตรัสต่อหน้าพวกเขา พระองค์ทรงเผยความล้ำลึกของแผนบริหารจัดการหกพันปี ความจริงเรื่องงานสามระยะ ความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ความจริงที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และจุดจบของคนในแต่ละประเภท…นี่ทำให้เราเข้าใจพระอุปนิสัยและงานของพระเจ้ามากขึ้น และลึกซึ้งขึ้น และพระเจ้าก็ประกาศความจริงทุกที่ทุกเวลา ตามความต้องการของมนุษย์ เผยนิสัยเยี่ยงซาตานของเรา และมโนคติอันหลงผิดเกี่ยวกับพระองค์ แก้ไขความเชื่อที่เบี่ยงเบนของเรา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังทรงมอบเส้นทางในการได้รับความรอดให้เรา อย่างเช่น วิธีรับใช้ตามน้ำพระทัย วิธีเป็นคนซื่อสัตย์ วิธีเคารพ เชื่อฟัง และรักพระองค์ และอื่นๆ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้เรารู้จักอุปนิสัยที่เสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ ได้เกลียดตัวเองจากข้างใน และกลับใจจริงๆ เรายังได้เข้าใจน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ ได้รู้จักพระอุปนิสัยบางอย่าง รู้ว่าทรงช่วยใครให้รอด ทรงขับใครออกไป นี่เป็นทางเดียวที่เราจะปฏิบัติความจริงได้ถูก ทิ้งความชั่วและได้รับความรอด”

พอฟังแล้ว ฉันก็เห็นความสว่าง ฉันพูดกับเธอว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าพระเจ้าไม่ทรงปรากฏและทรงงานในรูปมนุษย์ คงยากที่เราจะเข้าใจความจริง แต่การทรงปรากฏและตรัสพระวจนะด้วยภาษามนุษย์ ทำให้เราเข้าใจได้ง่าย และเราก็อาจปฏิบัติตามความจริง ตามน้ำพระทัยได้”

แล้วเธอก็อ่านพระวจนะให้ฉันฟังอีกสองบทตอน “ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงเป็นพระกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระกายที่พระเจ้าทรงใช้กลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูให้เจ้าเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?)แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้ หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้ แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว? ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ? เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?) เธอยังพูดด้วยว่า “พระเจ้าในรูปมนุษย์ คือน้ำพุแห่งความจริงทั้งปวง เป็นประตูให้เราเข้าสู่ราชอาณาจักร การยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้เราได้รับความจริงจากพระองค์ เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เราถึงจะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ ถ้าพระเจ้าไม่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย เราจะชำระและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานไม่ได้ ทำได้แต่เสื่อมทรามเพราะซาตานต่อไป และต่อต้านพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็ถูกทำลายในความวิบัติ ดังนั้น การต้อนรับการทรงกลับมา และยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ได้ ถึงเป็นเรื่องความเป็นความตายสำหรับพวกเรา! เราต้องระวังอย่างมาก และคว้าโอกาสที่หาแทบไม่ได้นี้ไว้! คนที่ยอมรับแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ยอมรับพระคริสต์ในยุคสุดท้าย จะลงเอยด้วยการไม่ได้รับความรอด”

การได้ฟังพี่น้องหญิงอ่านพระวจนะ ทำให้ฉันรู้สึกว่าคำเหล่านี้มาจากพระเจ้า คนธรรมดาเอ่ยคำเหล่านี้ไม่ได้ ฉันยังรู้สึกได้ถึงความกังวลที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงเอง เพื่อช่วยเราให้รอดจากความเสื่อมทรามของซาตาน พระเจ้าทรงงานแบบนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่มาก! ฉันตื่นเต้นมาก รู้สึกจริงๆ ว่าได้รับพร ให้ได้ฟังข่าวประเสริฐในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันอยากจะอ่านพระวจนะมากขึ้น และไม่อยากพลาดซักการชุมนุม แม้แต่ตอนที่ฉันยุ่งอยู่กับงาน หรือว่าตอนที่ฉันเจ็บป่วยไม่สบาย ฉันก็อยากเข้าชุมนุม เพราะฉันหวังจะเข้าใจความจริงให้มากยิ่งขึ้น จากนั้น ฉันก็ชุมนุมกับคนอื่น และสามัคคีธรรมพระวจนะบ่อยๆ จนเข้าใจความแตกต่างของพระคริสต์แท้จริงและพระคริสต์เทียมเท็จ ความล้ำลึกที่ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับพระคัมภีร์ ฉันดูวิดีโอจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมาก และเห็นว่าพระเจ้าทรงสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นในจีนแล้ว คำเผยพระวจนะในวิวรณ์ลุล่วงแล้ว พอมาสืบค้น ฉันก็แน่ใจเรื่องงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า มั่นใจว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันได้ต้อนรับพระองค์! ฉันรู้สึกตื่นเต้นมากค่ะ การได้ต้อนรับการทรงกลับมา ช่างล้ำค่ามากจริงๆ ฉันอยากไล่ตามความจริง ทำหน้าที่เพื่อเผยแผ่พระวจนะ เป็นคำพยานให้พระราชกิจ และพาคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏมาเฉพาะพระพักตร์มากขึ้น ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

กบฏกลับใจ ตอนที่หนึ่ง

ผมมาเป็นคริสเตียนในปี 1990 มีผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งที่พูดเสมอว่า พระคัมภีร์คือรากฐานของความเชื่อ และเราต้องทำตามพระคัมภีร์ คำพูดเหล่านั้น...

ไขปริศนาแห่งตรีเอกานุภาพ

โดย ฉิวจือ, สิงคโปร์ ผมถูกเปลี่ยนสู่ศาสนาคริสต์โดยผู้อาวุโสคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน เขาบอกผมว่าจากทุกอย่างในจักรวาล...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger