ฉันจะไม่ตีกรอบพระเจ้าอีกต่อไป
ฉันปฏิบัติความเชื่อในองค์พระเยซูเจ้ากับแม่ของฉันตั้งแต่ยังเล็ก และได้ชื่นชมพระคุณอันบริบูรณ์ของพระองค์ นี่ทำให้ฉันมีสำนึกอันลึกซึ้งในความกรุณาและความรักอันล้ำลึกที่องค์พระเยูเจ้าทรงมีให้มนุษยชาติ ฉันเคยชินกับการยื่นมือออกไปร้องขอพระคุณจากพระองค์ เมื่อไรก็ตามที่ฉันเผชิญปัญหา ฉันจะอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า และเมื่อฉันทำบาป ฉันจะมาสารภาพเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก พระองค์ย่อมทรงยกโทษบาปให้ฉันเสมอ
วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2019 ฉันพบกับพี่น้องหญิงไดแอนาและวาเนสซาทางเฟซบุ๊ก พวกเราเข้าร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ด้วยกัน และฉันพบว่าการสามัคคีธรรมถึงพระคัมภีร์ของวาเนสซานั้นให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งมาก ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง วาเนสซาพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งในยุคสุดท้าย ดังนั้นเมื่อไรพวกเราจึงจะสามารถต้อนรับพระองค์ได้? องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา’ (ยอห์น 10:27) ‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา’ (วิวรณ์ 3:20) รวมทั้ง ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์ 2:7) จากบทตอนเหล่านี้ พวกเราจะเห็นได้ว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงแสดงพระวจนะของพระองค์ กุญแจสู่การต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้ายคือการเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า เมื่อพวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเราก็สามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าดังเช่นหญิงพรหมจารีมีปัญญาได้” ฉันประหลาดใจมากเมื่อฉันได้ยินการสามัคคีธรรมของวาเนสซา ฉันไม่เคยได้ยินถ้อยคำที่ให้ความเข้าใจลึกซึ้งเช่นนี้เลย เธอระบุกุญแจสำคัญของการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันไม่เคยตระหนักถึงเรื่องนี้มาก่อน หลังจากนั้น วาเนสซาก็เปิดวีดิทัศน์เพลงสรรเสริญที่มีชีวิตชีวามากให้ฉันดู ตรงตอนจบของวีดิทัศน์ มีข้อความเขียนว่า “คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ฉันเลยเกิดความสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา เมื่อชั้นเรียนพระคัมภีร์จบลง ฉันก็รีบเข้าไปค้นอินเทอร์เน็ต ฉันเห็นข้อมูลในเชิงลบเยอะมาก ฉันก็เลยรีบติดต่อไปขอข้อมูลเพิ่มจากไดแอนา ไดแอนาบอกว่าการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่มากและหนุนใจฉันไม่ให้หวั่นไหวไปตามข่าวลือ ฉันควรจะวางความกังวลไว้ก่อนและแสวงหาอย่างถ่อมใจเพื่อดูว่านี่คือหนทางที่แท้จริงหรือไม่ สองสามวันต่อมา ไดแอนาชวนฉันเข้าร่วมการชุมนุมงานหนึ่ง ฉันรู้สึกขัดแย้งในใจมากว่าฉันควรจะไปหรือไม่? การสามัคคีธรรมถึงพระคัมภีร์ของวาเนสซาให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งจริงๆ และฉันก็อยากจะฟังเพิ่มอีก แต่ฉันก็วิตกเช่นกันว่าสิ่งที่เธอประกาศนั้นไม่ใช่หนทางที่แท้จริง ระหว่างที่ลังเลใจอยู่นั้นเอง ฉันอธิษฐานถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า ขอการทรงนำจากพระองค์ หลังจากนั้น ฉันก็เข้าร่วมการชุมนุม
ระหว่างการชุมนุม วาเนสซาพูดกับฉันอย่างตื่นเต้นว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงสรุปจบยุคพระคุณและสถาปนายุคราชอาณาจักร ได้ทรงแสดงพระวจนะเป็นล้านๆ คำ และบนรากฐานของพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์กำลังดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดโดยถ้วนทั่ว พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงล้วนเป็นความจริง และพระวจนะเหล่านั้นก็เปิดเผยความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า พระราชกิจสามระยะของพระองค์ และเรื่องราวเบื้องหลังพระคัมภีร์ พระวจนะของพระองค์ยังบอกแหล่งที่มาของความบาปของมนุษยชาติ วิธีที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม วิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไปทีละระยะ และบอกความหมายของพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า พระเจ้ายังได้ทรงแสดงให้พวกเราเห็นหนทางที่ผู้เชื่อจะสามารถได้รับความรอดอีกด้วย ตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงอธิบายวิธีที่จะมีประสบการณ์กับการพิพากษาจากพระวจนะของพระองค์เพื่อกำจัดความเสื่อมทรามของพวกเรา การปฏิบัติความจริงและเป็นคนที่ซื่อสัตย์ การยำเกรงพระองค์และอยู่ให้ห่างจากความชั่วเพื่อที่จะเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ เป็นต้น พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ลุล่วงคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น’ (ยอห์น 16:12-13) ‘ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย’ (ยอห์น 12:48) ‘เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า’ (1 เปโตร 4:17)” เมื่อฉันได้ยินวาเนสซาพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ฉันเชื่อไม่ลง ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ และฉันก็นึกถึงที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย” (มัทธิว 5:3) ฉันคิดว่า “การทรงกลับมาของพระเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ ฉันจะด่วนสรุปอะไรลงไปอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ไม่ได้ ฉันควรจะเป็นผู้แสวงหาที่ถ่อมใจและฟังต่อไป”
หลังจากนั้น วาเนสซาก็ให้ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์ พวกที่ไม่ได้รับการจัดหาน้ำแห่งชีวิตมาให้จะยังคงเป็นซากศพ ของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงแค่พยายามเก็บรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่โดยการอยู่นิ่งเฉย และไม่พยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ? ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถแก้ต่างให้พระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นว่าเป็นพระเจ้าที่มีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร? และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร? ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร? สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้แต่เพียงการปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้ คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ? มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ? เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ? หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าสู่สวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่? เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้ หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) ขณะที่ฉันอ่าน ฉันเริ่มรู้สึกเหมือนว่าพระวจนะเหล่านี้มีบางอย่างต่างออกไป และฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพพระวจนะเหล่านี้อยู่บ้าง พระวจนะเหล่านี้ฟังดูน่าเกรงขามมาก—แต่ละคำแต่ละวลีเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ ฟังดูไม่เหมือนถ้อยคำที่มนุษย์ธรรมดาคนใดจะกล่าวออกมาได้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถตรัสแบบนี้ได้ แต่แล้วฉันก็คิดด้วยว่า “นี่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก—พระวจนะของพระองค์เต็มไปด้วยการปลอบประโลมและความละมุนละไม แต่พระวจนะเหล่านี้แข็งกร้าวมาก เหมือนคำแช่งสาปหรือคำกล่าวโทษมนุษยชาติ นี่เป็นพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ หรือ? ดูจากการที่พระวจนะเหล่านี้เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ ก็ต้องเป็นพระวจนะของพระเจ้าเป็นแน่ใช่ไหม? แต่ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาจริงๆ พระองค์ก็ควรตรัสแบบเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าสิ พระองค์ควรจะเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก พระวจนะของพระองค์ก็ควรอ่อนโยนและคำนึงถึงผู้อื่น แต่ถ้อยดำรัสของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นแข็งกร้าวมาก พระองค์จะเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาได้จริงหรือ?” ฉันรู้สึกสับสนมาก
หลังจากนั้น ฉันเล่าความคลางแคลงใจของฉันให้วาเนสซาฟัง และเธอก็สามัคคีธรรมกับฉันอย่างใจเย็นว่า “พวกเราเชื่อกันมาตลอดว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก ว่าพระองค์ตรัสแก่พวกเราในแบบที่อ่อนโยนและรักษาน้ำใจ และดังนั้นถ้าพระวจนะของพระองค์แข็งกร้าว ก็ย่อมไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า แต่แนวคิดนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและความจริงจริงๆ หรือ? ที่จริงแล้วในทุกยุค พระเจ้าไม่เพียงตรัสพระวจนะที่รักษาน้ำใจและหนุนใจเท่านั้น แต่ยังตรัสพระวจนะที่ประณาม พิพากษา และแช่งสาปผู้คนอีกด้วย พวกเราเพียงแค่ไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งนี้เท่านั้น มาดูกันว่าเรื่องนี้มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างไร พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า ‘ยามของเขาตาบอด เขาทุกคนไร้ความรู้ เขาทุกคนเป็นสุนัขใบ้ ไม่สามารถเห่า ได้แต่ฝัน ได้แต่นอน รักแต่จะหลับ พวกสุนัขหิวจัด ไม่เคยรู้จักอิ่ม พวกเขาคือผู้เลี้ยงแกะที่ไม่มีความเข้าใจ เขาทุกคนหันไปตามทางเขาเอง แต่ละคนล้วนหากำไรให้ตัวเองโดยไม่มีใครยกเว้น’ (อิสยาห์ 56:10-11) และองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เจ้าพวกงู พวกชาติงูร้าย เจ้าจะพ้นโทษนรกได้อย่างไร?’ (มัทธิว 23:33) ‘อย่าให้ของบริสุทธิ์แก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกรงว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดพวกท่านด้วย’ (มัทธิว 7:6) มีข้อพระคัมภีร์เช่นนี้อีกมาก จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ พวกเราจะเห็นได้ว่า ในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พระเจ้าทรงประณาม กล่าวโทษ และแช่งสาปผู้คน แม้ว่าพระวจนะของพระองค์จะฟังดูแข็งกร้าวและทิ่มแทงความรู้สึกมาก แต่พระวจนะเหล่านี้ล้วนเป็นความจริง และล้วนเปิดโปงเนื้อแท้ของผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นกบฏต่อพระเจ้า ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะอ่อนโยนหรือแข็งกร้าว ก็เป็นการแสดงออกซึ่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าทั้งสิ้น หากพวกเราไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าและตีกรอบพระองค์ว่าเปี่ยมกรุณาและพระทัยดี พวกเราจะมีความเห็นไปในทางหนึ่งเมื่อพระองค์ตรัสอย่างแข็งกร้าว คิดไปว่าพระเจ้าตรัสในแบบที่อ่อนโยนเท่านั้นและไม่ควรตรัสด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเช่นนี้ และด้วยเหตุนี้ พระวจนะเช่นนี้จึงไม่อาจเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้ การที่พวกเราตัดสินบนพื้นฐานที่ว่าพระวจนะนั้นอ่อนโยนหรือเข้มงวด เป็นเรื่องที่ผิดและเป็นผลสืบเนื่องจากมโนคติอันหลงผิดและความเชื่อของพวกเราเอง ตัวอย่างเช่น หากพวกเรายอมรับพ่อแม่ว่าเป็นพ่อแม่ของเราเมื่อพวกท่านพูดกับพวกเราอย่างอ่อนโยนเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพวกท่านว่าเป็นพ่อแม่ของเรา เมื่อพวกท่านพูดจาเข้มงวดหรือดุว่าเรา เพราะเราทำผิด นั่นจะไม่ไร้สาระหรอกหรือ?” หลังจากที่ได้ฟังสามัคคีธรรมของวาเนสซา ฉันก็รู้สึกว่าเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างขึ้นมาก ฉันคิดว่า “ใช่แล้ว ไม่ว่าพ่อแม่ของเราจะพูดกับเราอย่างอ่อนโยนหรือเข้มงวด พวกท่านก็ยังเป็นพ่อแม่ของเราวันยังค่ำไม่ใช่หรือ? พระยาห์เวห์พระเจ้าและองค์พระเยซูเจ้าต่างเคยตรัสอย่างแข็งกร้าวมาก่อน แล้วทำไมก่อนหน้านี้ฉันถึงไม่ทันสังเกตนะ? ฉันเดาว่าคงผิดจริงๆ ที่จะตัดสินว่าพระวจนะเหล่านี้คือพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่บนพื้นฐานที่ว่า พระวจนะเหล่านี้อ่อนโยนหรือเข้มงวด” หลังจากที่ฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกต่อต้านเท่าเดิม แต่เมื่อไรก็ตามที่ฉันอ่านบทตอนต่างๆ ในพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโปงและพิพากษามนุษยชาติ ฉันจะรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นขึงขัง เหมือนฉันถูกกล่าวโทษ ฉันเอาแต่คิดกลับไปกลับมา องค์พระเยซูเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรัก แล้วทำไมพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงทรงเข้มงวดมากและกริ้วผู้คนอยู่เสมอ? ระหว่างการชุมนุมครั้งหนึ่ง ฉันถามคำถามนี้กับวาเนสซาว่า “ฉันมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับองค์พระเยซูเจ้าจะเป็นพระเจ้าองค์เดียวกันได้—พระอุปนิสัยของทั้งสองพระองค์แตกต่างกันเกินไป เวลานึกภาพองค์พระเยซูเจ้า ฉันก็นึกถึงว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรักขนาดไหน แต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เหมือนจะทรงเข้มงวดมาก และสิ่งที่พระองค์ตรัสส่วนใหญ่เป็นการเปิดโปงและชำแหละผู้คน ทำไมพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับองค์พระเยซูเจ้าถึงแตกต่างกันมากนัก?”
เธอสามัคคีธรรมว่า “ผู้คนมักจะสับสนในเรื่องนี้และหลักๆ แล้วก็เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า ย้อนกลับไปดูพระราชกิจก่อนหน้าของพระเจ้ากัน ทันทีที่พวกเราเริ่มเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ปัญหานี้ก็จะคลี่คลายไปเอง พวกเราทุกคนรู้ว่าเมื่อพระเจ้าทรงสังเกตเห็นการทำชั่วของผู้คน ในโสโดมและนีนะเวห์ พระอุปนิสัยของพระองค์ก็เดือดดาลและ พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะทำลายเมืองทั้งสองแห่งนี้ ก่อนที่จะทำลายทั้งสองเมือง พระเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์สององค์ไปที่โสโดม และโลทเป็นเพียงคนเดียวที่เปิดบ้านให้พวกเขาพัก ชาวเมืองคนอื่นๆ ไม่เพียงไม่ต้อนรับทูตสวรรค์ทั้งสองเท่านั้น แต่ยังต้องการที่จะฆ่าพวกเขาด้วย พระเจ้าทรงเห็นการกระทำอันชั่วของพวกเขา จึงพิโรธ หลังจากที่ทูตสวรรค์ทั้งสองได้ช่วยโลทและครอบครัวของเขาให้รอดแล้ว พระเจ้าทรงเทไฟลงมาจากสวรรค์ เผาทำลายผู้คน ปศุสัตว์ และพืชพันธุ์ทั้งหมดในเมืองจนสิ้นซาก ทีนี้มาดูที่นีนะเวห์กัน พระเจ้าทรงวางแผนจะทำลายเมืองนี้เช่นเดียวกัน และดังนั้นพระองค์จึงส่งโยนาห์ไปถ่ายทอดสารจากพระองค์ว่า ‘อีกสี่สิบวัน นีนะเวห์จะถูกทำลาย’ (โยนาห์ 3:4) เมื่อกษัตริย์แห่งนีนะเวห์ได้ยินข่าวเหล่านี้ พระองค์ก็ทรงนำผู้คนในเมืองเปลี่ยนไปสวมผ้ากระสอบ นั่งในกองเถ้า อดอาหาร อธิษฐาน ปลดเปลื้องความชั่วที่พวกเขาทำอยู่ และกลับใจต่อพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงเห็นเช่นนี้ พระองค์ก็หายพิโรธ และยกเว้นการทำลายพวกเขาอย่างกรุณายิ่ง จากท่าทีอันแตกต่างที่พระเจ้าทรงมีต่อเมืองนีนะเวห์และโสโดมนี้ เราจะเห็นได้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นจริงและแจ่มชัด พระองค์ไม่เพียงทรงเปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณาเท่านั้น แต่ยังทรงเปี่ยมบารมีและเปี่ยมพิโรธอีกด้วย เมื่อผู้คนทำบาป พระเจ้าประทานโอกาสให้พวกเขากลับใจ แสดงพระอุปนิสัยอันเปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณาของพระองค์แก่พวกเขา เมื่อผู้คนพากันดื้อรั้นและไม่อยากกลับใจ เมื่อพวกเขาถึงกับต่อต้านพระเจ้าและคัดค้านพระองค์อย่างดื้อดึง พระเจ้าก็ปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ใส่พวกเขา แสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระองค์ นี่เปิดโอกาสให้พวกเราเห็นว่า พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าไม่เพียงเปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณาเท่านั้น แต่ยังเปี่ยมบารมีและเปี่ยมพิโรธอีกด้วย ทั้งสองด้านนี้มีอยู่ในพระอุปนิสัยประจำองค์ของพระเจ้า
ทีนี้มาพิจารณายุคพระคุณที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์กัน เมื่อผู้คนทำบาปและมาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อสารภาพและกลับใจ พระองค์จะทรงอภัยบาปให้พวกเขาและประทานพระคุณอันเปี่ยมล้นให้แก่พวกเขา ดังนั้นผู้คนมากมายจึงเชื่อว่าพระอุปนิสัยขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีแต่เปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณา ไม่กริ้วโกรธและไม่สาปแช่ง แต่ในความเป็นจริง ความเชื่อเหล่านี้เป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของผู้คน ในเรื่องของพวกฟาริสีที่กล่าวโทษและต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า และถึงกับทักท้วงพระองค์อย่างเปิดเผย องค์พระเยซูเจ้าก็ทรงเต็มไปด้วยพระพิโรธ พระองค์ทรงกล่าวโทษและสาปแช่งพวกเขา และประกาศความวิบัติทั้งเจ็ดแก่พวกเขา พระองค์ไม่มีความกรุณาให้แก่พวกเขาแม้แต่น้อย จากเรื่องนี้ พวกเราจะเห็นได้ว่า นับแต่ห้วงเวลาแห่งการทรงสร้างจนถึงปัจจุบัน พระเจ้าแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์แก่มนุษยชาติเสมอ พระเจ้าทรงเปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณา แต่ก็เปี่ยมบารมี เปี่ยมพิโรธ สาปแช่ง และลงโทษด้วย ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็กริ้วอย่างล้ำลึก พระองค์กริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด? พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป…พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์ เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก’ (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า พวกเราจะเห็นได้ว่า ‘ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก’ คือพระอุปนิสัยสองด้านของพระเจ้าที่พระองค์ทรงแสดงให้มนุษยชาติเห็นอย่างต่อเนื่อง พระอุปนิสัยของพระองค์ทั้งสองด้านนี้ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยประจำพระองค์ พวกเราต้องไม่ตีกรอบพระเจ้าว่าทรงทำได้เพียงประทานความกรุณาและไม่พิโรธใส่ใคร ตามข้อเท็จจริงที่พวกเราเคยได้ชื่นชมพระคุณของพระองค์ในอดีตเท่านั้น ความเข้าใจประเภทนี้เป็นการมองด้านเดียวมากไป” เมื่อได้ฟังแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่า พระเจ้าไม่เพียงเปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณาเท่านั้น แต่ยังทรงเปี่ยมบารมี เปี่ยมพิโรธ และสาปแช่งอีกด้วย ทั้งหมดนี้คือพระอุปนิสัยประจำองค์ของพระเจ้าในด้านต่างๆ เป็นเพราะฉันเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าน้อยเกินไป จนยอมเชื่ออยู่ด้านเดียวว่าพระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรักเท่านั้น ความเชื่อเหล่านี้เป็นมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของฉัน และไม่ตรงกับความเป็นจริง ฉันตระหนักว่าฉันต้องฟังการสามัคคีธรรมให้มากขึ้นเพื่อทำให้ตัวเองมีความเข้าใจที่ลึกซึ่งขึ้น
วาเนสซาสามัคคีธรรมต่อไปว่า “พระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงสำแดงในแต่ละยุคนั้น เป็นไปตามข้อพึงประสงค์ในพระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้า รวมถึงความต้องการของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอนนี้สามารถช่วยให้พวกเรากระจ่างในเรื่องนี้ได้ ‘พระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับความจำเป็นของมนุษย์ในยุคนั้น พระราชกิจของพระองค์คือเพื่อไถ่มนุษย์ เพื่ออภัยบาปของพวกเขา และด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของพระองค์จึงเต็มเปี่ยมด้วยความถ่อมใจ ความอดทน ความรัก ความศรัทธา ความอดกลั้น ความกรุณา และความเมตตา พระองค์ทรงนำมาซึ่งพระคุณและพระพรอันล้นเหลือแก่มนุษย์ รวมถึงทุกๆ สิ่งที่ผู้คนจะสามารถชื่นชมได้ พระองค์ทรงมอบสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขา อันได้แก่ สันติภาพ ความสุข ความอดกลั้นและความรัก ความกรุณาและความเมตตาของพระองค์ ณ เวลานั้น ความอุดมล้นเหลือของสิ่งบำเรอความสุขต่างๆ ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสุขสงบและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยภายในใจ ความรู้สึกมั่นใจภายในจิตวิญญาณ และความรู้สึกพึ่งพิงในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ล้วนเนื่องมาจากยุคที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่) ‘ในพระราชกิจสุดท้ายแห่งการสรุปปิดตัวยุค พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือพระอุปนิสัยแห่งการตีสอนและการพิพากษา ซึ่งพระองค์ทรงใช้เผยสิ่งที่ไม่ชอบธรรมทั้งปวง เพื่อพิพากษากลุ่มชนทั้งหมดอย่างเปิดเผย และเพื่อทำให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ด้วยหัวใจที่จริงใจมีความเพียบพร้อม มีเพียงพระอุปนิสัยเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถนำยุคไปถึงปลายทางได้ ยุคสุดท้ายมาถึงแล้ว สรรพสิ่งทรงสร้างจะถูกแยกไปตามประเภทของตน และจะถูกแบ่งออกเป็นจำพวกต่างๆ กันตามธรรมชาติของตน นี่คือเวลาที่พระเจ้าทรงเผยจุดจบของมนุษยชาติและบั้นปลายของพวกเขา หากผู้คนมิได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้วไซร้ ก็ย่อมจะไม่มีหนทางเปิดโปงความไม่เชื่อฟังและความไม่ชอบธรรมของพวกเขา มีเพียงโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาเท่านั้นที่จะสามารถเผยจุดจบของสรรพสิ่งทรงสร้างได้ มนุษย์แสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเฉพาะเมื่อเขาถูกตีสอนและถูกพิพากษาเท่านั้น คนชั่วจะถูกนำไปอยู่กับคนชั่ว คนดีอยู่กับคนดี และมนุษยชาติทั้งปวงจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกเขา จุดจบของสรรพสิ่งทรงสร้างจะได้รับการเปิดเผยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่คนชั่วอาจได้รับการลงโทษและคนดีได้รับบำเหน็จรางวัล และผู้คนทั้งปวงกลับกลายมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า พระราชกิจทั้งหมดนี้จะต้องสัมฤทธิ์โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาที่ชอบธรรม เนื่องจากความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว และความไม่เชื่อฟังของพวกเขากลับกลายเป็นร้ายแรงเหลือหลาย จึงมีเพียงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระอุปนิสัยที่ประกอบด้วยการตีสอนและการพิพากษาเป็นสำคัญ และเป็นพระอุปนิสัยที่ถูกเปิดเผยในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถแปลงสภาพมนุษย์และทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมได้ มีเพียงพระอุปนิสัยนี้เท่านั้นที่สามารถเปิดโปงคนชั่ว และด้วยเหตุนี้จึงสามารถลงโทษพวกที่ไม่ชอบธรรมทั้งหมดอย่างรุนแรงได้ ดังนั้นพระอุปนิสัยเช่นนี้จึงบรรจุความสำคัญของยุคเอาไว้ และการเปิดเผยและแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์ชัดก็เป็นไปเพื่อพระราชกิจของยุคใหม่แต่ละยุค มิใช่ว่าพระเจ้าเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ตามใจชอบและโดยไม่มีนัยสำคัญ สมมุติว่าในการเปิดเผยจุดจบของมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้าจะยังคงประทานความสงสารและความรักอันไม่สิ้นสุดแก่มนุษย์และเปี่ยมรักต่อเขาต่อไป โดยไม่ให้มนุษย์ได้รับการพิพากษาอันชอบธรรม แต่กลับทรงแสดงให้เขาเห็นการยอมผ่อนปรน ความอดทน และการให้อภัย และทรงยกโทษให้มนุษย์ไม่ว่าบาปของเขาจะใหญ่หลวงเพียงใด โดยไม่มีการพิพากษาอันชอบธรรมแม้แต่นิดเดียว เช่นนั้นแล้ว การบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าจะถึงกาลสิ้นสุดลงเมื่อใด? พระอุปนิสัยเช่นนี้จะสามารถนำทางผู้คนไปสู่บั้นปลายที่เหมาะสมของมวลมนุษย์ได้เมื่อใด? จงดูตัวอย่างของผู้พิพากษาคนหนึ่งที่เปี่ยมรักอยู่เสมอ ผู้พิพากษาที่มีใบหน้าที่ใจดีและหัวใจที่อ่อนโยน เขารักผู้คนโดยไม่คำนึงถึงอาชญากรรมที่พวกเขาอาจก่อเอาไว้ และเขาเปี่ยมรักและอดกลั้นกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ในกรณีนั้น เมื่อใดเขาจึงจะสามารถมีคำพิพากษาที่ยุติธรรมได้เสียที? ในระหว่างยุคสุดท้าย มีเพียงการพิพากษาอันชอบธรรมเท่านั้นที่สามารถแยกมนุษย์ไปตามประเภทของพวกเขาและพามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรใหม่ได้ ในหนทางนี้ ทั้งยุคย่อมไปถึงปลายทางโดยผ่านทางพระอุปนิสัยอันชอบธรรมแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า’” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))
วาเนสซาสามัคคีธรรมว่า “ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงแสดงความเป็นพระองค์เองด้วยพระอุปนิสัยที่แช่งสาป เผาผลาญ และพิโรธเป็นสำคัญ ในช่วงเวลานั้น ผู้คนขาดความเข้าใจอย่างลึกล้ำ พวกเขาไม่รู้ว่าบาปคืออะไร พวกเขาควรใช้ชีวิตอย่างไร หรือจะนมัสการพระเจ้าอย่างไร ดังนั้นด้วยสิ่งที่พวกเขาต้องการในเวลานั้น พระเจ้าจึงทรงประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติเพื่อนำทางผู้คนในชีวิตของพวกเขา ผู้ที่เชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้าย่อมได้รับความกรุณาจากพระองค์ แต่ผู้ที่ละเมิดธรรมบัญญัติจะถูกไฟสวรรค์ของพระเจ้าแผดเผาหรือถูกขว้างด้วยหินจนตาย อย่างไรก็ตาม เมื่อใกล้สิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ เมื่อผู้คนเสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังจะทำบาปและละเมิดธรรมบัญญัติโดยไม่ได้ตั้งใจ พวกเขาทุกคนก็คงจะถูกทำให้ถึงแก่ความตายภายใต้ธรรมบัญญัติ ถ้าการกระทำของพวกเขาถูกธรรมบัญญัติในเวลานั้นพิพากษา ดังนั้น ระหว่างยุคพระคุณ พระเจ้าพระองค์เองจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อไถ่มวลมนุษย์ตามความจำเป็นของพวกเขา แสดงพระอุปนิสัยอันเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรักของพระองค์ และประทานพระคุณอันเปี่ยมล้นแก่ผู้คน พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความกรุณาและความรักอันเหลือประมาณ ทรงอดทนและอภัยให้แก่บาปของพวกเขา และท้ายที่สุดก็ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่บาปให้แก่ผู้คนทั้งปวง พระองค์ทรงงดเว้นการตัดสินโทษพวกเขา และเปิดโอกาสให้พวกเขาดำเนินชีวิตต่อไป ในยุคพระคุณ ถ้าพระเจ้ายังแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์ในรูปของการสาปแช่ง การเผาไหม้ และพระพิโรธต่อไป บาปของผู้คนคงจะไม่มีวันได้รับการอภัย ผู้คนภายใต้ธรรมบัญญัติจะไม่มีวันได้รับการไถ่ มวลมนุษย์คงจะสูญสลาย และย่อมจะไม่ได้อยู่อย่างทุกวันนี้ ดังนั้นพระเจ้าจึงแสดงพระอุปนิสัยอันเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรักของพระองค์ในยุคพระคุณ ตราบเท่าที่ผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระองค์และยอมรับการไถ่ของพระองค์ พระองค์ก็จะอภัยบาปให้แก่พวกเขา ในยุคสุดท้าย ผู้คนมีความเสื่อมทรามมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงองค์พระเยซูเจ้าจะได้ทรงไถ่และอภัยบาปให้แก่พวกเราแล้ว แต่ธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของพวกเรา เช่น ความโอหัง ความคิดคดทรยศ ความชั่ว ความหัวแข็ง และความโหดร้าย ยังคงหยั่งรากลึกอยู่ภายในตัวพวกเราทั้งสิ้น อุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเรายังไม่ได้ถูกถอนรากถอนโคนออกไป และดังนั้นพวกเราจึงยังโกหก ทำบาป กบฏ และต่อต้านพระเจ้าบ่อยครั้ง พวกเรายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและลิดบาปของพวกเราให้เกลี้ยง พระเจ้าจึงได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง พระองค์กำลังปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์บนรากฐานแห่งพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า เพื่อถอนรากถอนโคนอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของพวกเราให้สิ้น ชำระบาปของพวกเราให้บริสุทธิ์ และเปิดโอกาสให้พวกเรานบนอบและเคารพพระเจ้าอย่างแท้จริง และนำพวกเราเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ในท้ายที่สุด เนื่องจากความจำเป็นในพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าจึงไม่แสดงพระอุปนิสัยอันเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรักของพระองค์อีกต่อไป แต่กลับสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมบารมี และเปี่ยมพิโรธของพระองค์แทน เพื่อพิพากษาและเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ ด้วยการทำเช่นนี้เท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงและชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ได้ แม้ว่าพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงสำแดงในแต่ละยุคจะแตกต่างกัน แต่แก่นแท้ของพระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์และเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ตามสิ่งที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องได้รับ เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจและรู้จักพระเจ้าดีขึ้น เพื่อให้พวกเขาไม่ตีกรอบพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์ พวกเราไม่ควรคิดว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกันเพียงเพราะว่า พระองค์แสดงพระอุปนิสัยที่แตกต่างกัน”
หลังจากฟังสามัคคีธรรมของวาเนสซาแล้วเท่านั้นที่ฉันตระหนักว่า พระเจ้าตัดสินพระทัยว่าจะสำแดงพระอุปนิสัยแบบใดในแต่ละยุค ตามข้อพึงประสงค์ในพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ และตามสิ่งที่มนุษยชาติที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องได้รับ ในพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำแดง พระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระองค์เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด ถึงแม้ว่าพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงจะแตกต่างจากขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ก็ยังสำแดงพระอุปนิสัยนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าองค์เดียวกัน สามัคคีธรรมของวาเนสซากระจ่างชัดและคลายความสับสนของฉันจนสิ้น
ในการชุมนุมครั้งถัดมา วาเนสซาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่งให้ฉันฟังว่า “การที่พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์เพียบพร้อมนั้นสำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด? สำเร็จลุล่วงได้ด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบธรรม พระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการสาปแช่ง และส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยวิถีทางของการพิพากษาของพระองค์ ผู้คนบางคนไม่เข้าใจ และถามว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้โดยผ่านทางการพิพากษาและการสาปแช่งเท่านั้น พวกเขากล่าวว่า ‘หากพระเจ้าทรงประสงค์จะสาปแช่งมนุษย์ มนุษย์จะไม่ตายหรอกหรือ? หากพระเจ้าทรงประสงค์จะพิพากษามนุษย์ มนุษย์จะไม่ถูกกล่าวโทษหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขายังคงสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อีกเล่า?’ เช่นนี้คือคำพูดของผู้คนที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งคือความไม่เชื่อฟังของมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงพิพากษาคือบาปทั้งหลายของมนุษย์ ถึงแม้ว่าพระองค์ตรัสอย่างเกรี้ยวกราดและอย่างไม่ปรานี พระองค์ก็ทรงเปิดเผยทั้งหมดที่อยู่ภายในมนุษย์ โดยการเปิดเผยผ่านทางพระวจนะที่เข้มขรึมเหล่านี้ ซึ่งเป็นแก่นแท้ภายในมนุษย์ พระองค์ก็ทรงมอบความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับแก่นแท้ของเนื้อหนังให้แก่มนุษย์ และเช่นนั้นเองมนุษย์จึงนบนอบเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า เนื้อหนังของมนุษย์เป็นเนื้อหนังที่มีบาปและมีซาตาน เนื้อหนังนั้นไม่เชื่อฟัง และมันเป็นวัตถุแห่งการตีสอนของพระเจ้า ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์รู้จักตัวเขาเอง พระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าจึงต้องเกิดขึ้นกับเขา และต้องใช้กระบวนการถลุงทุกประเภท เมื่อนั้นเท่านั้นพระราชกิจของพระเจ้าจึงสามารถมีประสิทธิผลได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) นั่นละคือสิ่งที่วาเนสซาพูดในการสามัคคีธรรมของเธอ เธอพูดว่า “ในยุคสุดท้าย พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าเป็นพระราชกิจขั้นสุดท้ายในการที่พระองค์จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และเป็นช่วงท้ายสุดของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์ ด้วยการแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมีของพระองค์ พระองค์กำลังทรงสรุปจบยุคทั้งยุค และจัดแยกผู้คนไปตามประเภทของตน คนดีอยู่กับคนดี และคนชั่วอยู่กับคนชั่ว ถ้าพระเจ้าแสดงเพียงพระอุปนิสัยอันเปี่ยมกรุณาและเปี่ยมรักของพระองค์เท่านั้น ทรงอดทน อดกลั้น และให้อภัยพวกเราเสมอ ไม่ว่าพวกเราจะทำบาปมากมายขนาดไหน เช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะไม่มีวันขจัดความเปี่ยมบาปของตนได้ และพวกเราจะตกอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองและการล้างผลาญของซาตานตลอดไป อีกอย่าง พระราชกิจแห่งความรอดของพระเจ้าก็จะไม่มีวันเสร็จสิ้น และจะไม่มีวันแยกคนดีกับคนชั่วออกจากกันอย่างสมบูรณ์ได้ ดังนั้น ในยุคสุดท้าย พระเจ้าจึงแสดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรม เปี่ยมบารมี และเปี่ยมพิโรธของพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ และเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของผู้คนด้วยภาษาที่แข็งกร้าวของพระองค์ ผู้ที่รักความจริงย่อมมารู้จักตัวพวกเขาเองและพวกเขาย่อมยอมรับการพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าที่ไม่ทนการล่วงเกินใดๆ และด้วยเหตุนี้จึงเกิดความเคารพพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่ว ท้ายที่สุดก็บรรลุการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ส่วนผู้ที่เบื่อหน่ายความจริงและปฏิเสธการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงเปิดโปงและขับพวกเขาออกไป ทุกคนจึงถูกจัดแบ่งไปตามประเภทของตนด้วยวิธีนี้”
ฉันตระหนักว่า ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ ในแบบเดียวกับที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ แสดงเพียงความกรุณาและความรักแก่ผู้คนเท่านั้น ไม่ทรงเข้มงวดและไม่พิพากษาพวกเขา พระองค์ก็จะไม่สามารถจำแนกแต่ละคนไปตามประเภทของพวกเขาได้ ธรรมชาติอันเปี่ยมบาปและต่อต้านพระเจ้าของพวกเราก็จะไม่มีวันได้รับการแก้ไข และพวกเราจะไม่มีวันได้รับการช่วยให้รอดหรือเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ดังนั้นจึงมีความหมายอันลึกซึ้งในการแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งมีลักษณะสำคัญได้แก่ ความชอบธรรม บารมี การพิพากษา และการตีสอนในยุคสุดท้าย!
ต่อมา พวกเราได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอน ซึ่งยิ่งทำให้ฉันเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงในยุคสุดท้ายดีขึ้นไปอีก “วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรม และเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์…พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์) “แม้วจนะของเราอาจเข้มงวด แต่ทั้งหมดนั้นพูดไปเพื่อความรอดของมนุษย์ เพราะเราเพียงกำลังกล่าววจนะเท่านั้น และไม่ได้กำลังลงโทษเนื้อหนังของมนุษย์ วจนะเหล่านี้เป็นเหตุให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง รู้ว่าความสว่างนั้นมีอยู่ รู้ว่าความสว่างนั้นล้ำค่า และยิ่งไปกว่านั้น รู้ว่าวจนะเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับพวกเขาอย่างไร ตลอดจนรู้ว่าพระเจ้าคือความรอด แม้เราได้เปล่งวจนะไปแล้วมากมายเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา แต่สิ่งที่วจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนก็ยังไม่ได้ถูกปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นการกระทำ เราได้มาเพื่อทำงานของเราและเพื่อกล่าววจนะของเรา และแม้ว่าวจนะของเราอาจเคร่งครัด แต่ก็พูดเพื่อการพิพากษาความเสื่อมทรามของพวกเจ้าและความกบฏของพวกเจ้า จุดประสงค์ของการที่เรากระทำการนี้ก็ยังคงเป็นไปเพื่อการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตาน เรากำลังใช้วจนะของเราช่วยมนุษย์ให้รอด จุดประสงค์ของเราไม่ใช่เพื่อทำอันตรายมนุษย์ด้วยวจนะของเรา วจนะของเราเข้มงวดก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหลายในงานของเรา มนุษย์สามารถมารู้จักตัวเองและหลุดรอดจากอุปนิสัยอันกบฏของพวกเขาได้ก็โดยผ่านทางงานดังกล่าวเท่านั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์) วาเนสซาสามัคคีธรรมว่า “ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า พวกเราสามารถมองเห็นว่า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์พิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ไม่ว่าพระวจนะของพระองค์จะเกรี้ยวกราดและบาดหูขนาดไหน ก็มุ่งช่วยให้พวกเราตระหนักรู้ความจริงแห่งความเสื่อมทรามของตนเองทั้งสิ้น เป็นอิสระจากอิทธิพลมืดของซาตาน และได้รับความรอดของพระเจ้า พวกเราทุกคนรู้ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรมและบริสุทธิ์ แต่มนุษย์อย่างพวกเราที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก กลับไล่ตามกระแสนิยมอันชั่วร้ายของโลก ต่อสู้และวางแผนร้ายใส่กัน เพื่อไล่ตามเงินทองและผลประโยชน์ส่วนตน โดยไม่มีสภาพคล้ายคนที่แท้จริงแม้แต่นิดเดียว กระทั่งผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการได้ และมักจะเรียกร้องเอาพระคุณและพรจากพระเจ้า คุณความดีใดๆ ที่พวกเขาทำก็เป็นไปเพื่อจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์และได้รับชีวิตนิรันดร์เท่านั้น ไม่ใช่เพราะพวกเขารักองค์พระผู้เป็นเจ้าและพยายามทำให้พระองค์พอพระทัย ทั้งหมดล้วนทำไปเพียงเพื่อที่จะใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาบรรลุจุดมุ่งหมายอันน่ารังเกียจของพวกเขา ผู้นำศาสนาบางคนภายนอกดูเหมือนถ่อมใจ อดทน และเป็นผู้รับใช้ที่กระตือรือร้นของพระเจ้า แต่บ่อยครั้งในการเทศนาของพวกเขานั้น พวกเขากลับยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้ตนเองเพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสและความเคารพนับถือจากคนอื่น เมื่อพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้ง และแสดงองค์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ ก็ไม่มีใครต้อนรับพระองค์ โลกศาสนาทั้งปวงจับมือกับรัฐบาลอเทวนิยมเพื่อกล่าวโทษและต่อต้านการกลับมาของพระองค์ แพร่เรื่องโกหกตามใจชอบเพื่อทำลายชื่อเสียงของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และยับยั้งไม่ให้ผู้คนสืบค้นหนทางที่แท้จริง กล่าวได้ว่า มนุษยชาติล้วนกล่าวโทษและต่อต้านพระเจ้า ปฏิเสธการเสด็จมาของพระองค์มาตลอด ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย’ (1 ยอห์น 5:19) มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามต่อต้านพระเจ้าทุกทาง พวกเขาล้วนเป็นพวกเดียวกับซาตานและงูพิษ เมื่อพระเจ้าทรงแสดงพระวจนะอันแข็งกร้าวของพระองค์เพื่อเปิดโปงความเป็นจริงของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ ก็มีเพียงผู้ที่รักความจริงเท่านั้น ที่สามารถตระหนักรู้ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนที่ต่อต้านพระเจ้าและทรยศพระเจ้า และตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้แสวงหาที่จะรู้จักพระเจ้าในความเชื่อของตนเอง ว่าพวกเขาเพียงแค่มีเจตนาอันต่ำช้า เช่น การได้รับพรและทำข้อตกลงกับพระเจ้าเท่านั้น พวกเขามองเห็นชัดเจนถึงความจริงอันอัปลักษณ์ของความเสื่อมทรามอย่างหนักของตนที่ซาตานทำไว้ พวกเขากลับใจต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจ สาบานว่าจะทำตามคำขอของพระเจ้า และได้รับสภาพเสมือนมนุษย์ขึ้นมาบ้างในท้ายที่สุด พวกเราจะเห็นได้จากเรื่องนี้ว่า ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าจะเกรี้ยวกราดและบาดหูขนาดไหน ก็ล้วนเปิดโปงความเป็นจริงแห่งความเสื่อมทรามของพวกเรา และล้วนเป็นไปเพื่อช่วยพวกเราฟื้นฟูวิญญาณที่ด้านชาของตนเอง ตระหนักรู้แก่นแท้อันเสื่อมทรามของตน เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาปอย่างสมบูรณ์ และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ พระวจนะแห่งการเปิดโปงและการพิพากษาอันแข็งกร้าวของพระเจ้า มีประโยชน์อย่างมากในกระบวนการทำความรู้จักตนเองและได้รับการช่วยให้รอดของพวกเรา!”
หลังจากฟังสามัคคีธรรมของวาเนสซาจบ ฉันก็ตระหนักในที่สุด ว่าพระเจ้าได้ทรงแสดงพระวจนะอันแข็งกร้าวอย่างมากมายในยุคสุดท้าย เพื่อเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา นี่คือความรอดของพระเจ้า ไม่ใช่การกล่าวโทษ ฉันนึกถึงการที่ฉันเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อให้ได้รับพรและพระคุณเท่านั้น และถึงกับตีกรอบพระเจ้าว่าเปี่ยมกรุณาและพระทัยดี และการที่ฉันไม่ได้ตระหนักรู้เลยว่าเป็นพระองค์ตอนที่พระองค์ตรัสอย่างแข็งกร้าว ฉันช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย! ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็สามารถยอมรับพระวจนะที่แข็งกร้าวและพิพากษาของพระเจ้าได้ และฉันก็ยิ่งเต็มใจมากขึ้นที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเกิดความแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา
หลังจากยืนยันพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่าเป็นความจริง ฉันก็เข้าร่วมการชุมนุมและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแข็งขันทุกวัน วันหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “หากผู้คนยังคงติดอยู่ในยุคพระคุณแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และยิ่งไม่มีทางรู้จักพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้าเลย หากผู้คนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณที่ล้นเหลือเสมอ แต่ไม่มีหนทางแห่งชีวิตที่เปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักกับพระเจ้าหรือทำให้พระองค์สมดังพระทัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันได้รับพระองค์อย่างแท้จริงในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา การเชื่อประเภทนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง เมื่อเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคแห่งราชอาณาจักร เจ้าจะรู้สึกว่าบรรดาความอยากได้อยากมีที่เจ้ามีมานานหลายปีได้กลายเป็นจริงในที่สุด เจ้าจะรู้สึกว่าบัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้เห็นพระเจ้าแบบเผชิญหน้าอย่างแท้จริง บัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้จ้องมองโฉมพระพักตร์ของพระองค์ ได้ยินถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระองค์ ได้ตระหนักถึงพระปรีชาญาณของพระราชกิจของพระองค์และได้สำนึกรับรู้อย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงเป็นจริงและทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไร เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนในอดีตกาลไม่เคยได้เห็นหรือครอบครอง ณ เวลานี้ เจ้าจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้าและอะไรคือการปฏิบัติให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แน่นอนว่าหากเจ้าเกาะติดกับมุมมองของอดีตและบอกปัดหรือปฏิเสธข้อเท็จจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงมือว่างเปล่า ไม่ได้รับอะไรมาเลย และในท้ายที่สุด เจ้าจะถูกประกาศว่ามีความผิดในการต่อต้านพระเจ้า บรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังความจริงและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการอ้างสิทธิ์ภายใต้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาจะสามารถยอมรับการทรงนำส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้รับความจริงมากขึ้นและสูงส่งขึ้น ตลอดจนชีวิตที่เป็นจริง พวกเขาจะได้เห็นนิมิตที่ไม่เคยมีผู้คนในอดีตเคยได้เห็นมาก่อน กล่าวคือ ‘แล้วข้าพเจ้าก็หันกลับมาดูตรงที่พระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้านั้น และเมื่อหันกลับมาแล้วข้าพเจ้าก็เห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคัน ในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์ยาวคลุมพระบาท และทรงคาดแถบทองคำที่พระอุระ พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า’ (วิวรณ์ 1:12-16) นิมิตนี้เป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ยังเป็นการแสดงออกของพระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันของพระองค์ด้วยเช่นกัน ในกระแสเชี่ยวกรากของการตีสอนและการพิพากษา บุตรมนุษย์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์โดยอาศัยถ้อยดำรัส อนุญาตให้ทุกคนที่ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้เห็นพระพักตร์แท้จริงของบุตรมนุษย์ ซึ่งเป็นภาพพรรณนาอันสัตย์จริงของพระพักตร์ของบุตรมนุษย์ตามที่ยอห์นได้เคยเห็น (แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับพวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร) พระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพอย่างครบถ้วนได้โดยใช้ภาษามนุษย์ และดังนั้นพระเจ้าจึงใช้วิธีที่พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์เพื่อแสดงพระพักตร์แท้จริงของพระองค์ต่อมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) เพราะพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงตระหนักว่า นิมิตที่ยอห์นมีในวิวรณ์ บอกล่วงหน้าว่าพระวจนะแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นเหมือนเปลวไฟหรือดาบอันแหลมคม และเต็มไปด้วยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าอย่างไร มีเพียงผู้ที่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และซาบซึ้งในเจตนารมณ์อันแรงกล้าของพระองค์ที่จะใช้พระวจนะของพระองค์พิพากษาและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เพราะความตระหนักชัดของตนเอง ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตันใจอย่างสุดซึ้งว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ด้วยการเปิดโปงและพิพากษาแห่งพระวจนะของพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้เห็นว่าพระองค์ไม่เพียงทรงเปี่ยมรักและเปี่ยมกรุณาเท่านั้น แต่ยังเปี่ยมบารมีและเปี่ยมพิโรธอีกด้วย เหล่านี้คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมประจำพระองค์ในทุกๆ ด้าน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! พระวจนะของพระองค์นั้นล้ำค่าอย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ข้าพระองค์จะต้องยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระองค์เพื่อให้รู้จักตัวข้าพระองค์เอง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์จะดื่มและกินพระวจนะของพระองค์อย่างขยันขันแข็ง ยอมรับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระองค์ และเดินบนเส้นทางแห่งการแสวงหาความจริง!”
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ