จงอย่าให้เสน่หามาบังจิตใจเรา
ย้อนไปมิถุนายนปี 2015 ฉันไปทำหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐที่คริสตจักร ผู้หญิงชื่อหลี่เจี๋ยอยู่ในทีมให้น้ำ และเราจำเป็นต้องทำงานด้วยกันค่อนข้างบ่อยทีเดียวค่ะ เรามีอายุไล่เลี่ยกัน การใช้ชีวิตและลักษณะนิสัยก็คล้ายๆ กัน เรายังมีประสบการณ์ถูกสามีกดขี่เหมือนกันอีกด้วย เหมือนกันหลายอย่างเลยค่ะ เราเข้ากันได้ดีมากๆ แถมฉันก็ยังใหม่ในคริสตจักรนั้น ฉันจึงไม่รู้จักสมาชิกคนอื่นๆ และหน้าที่ของฉันก็ท้าทายมากค่ะ เธอสามัคคีธรรมกับฉันและช่วยฉันอย่างกระตือรือร้นมาก และเมื่อเธอประสบปัญหาในชีวิต ฉันก็อยู่ตรงนั้นเพื่อเธอเสมอ เวลาผ่านไป เราก็เริ่มแลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดลึกๆ กัน เรารู้สึกถึงสายสัมพันธ์และเข้ากันได้ดีมากค่ะ
ต่อมา ฉันได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้นำ เราก็เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกัน เวลาผ่านไปประมาณสองสามเดือน ฉันก็ได้ยินบรรดาพี่น้องชายหญิงหลายคนพูดถึงปัญหาของหลี่เจี๋ย พวกเขาพูดว่าเธอโอหังอย่างมาก และเมื่อคนอื่นมีปัญหา นอกจากไม่อดทนกับพวกเขาแล้ว เธอยังดุด่าดูถูกพวกเขาด้วย ทุกคนรู้สึกว่าถูกเธอบีบบังคับ เมื่อผู้รับผิดชอบชี้จุดนี้ให้เธอเห็น เธอไม่ยอมรับและปฏิบัติหยาบคายใส่ ในการนัดพบกัน เธอทำตัวก่อกวนมากค่ะ เธอจะไม่ยอมรับการสามัคคีธรรมของคนอื่น แต่กลับโยนความผิดให้กับคนอื่นเอาเสียดื้อๆ ทุกคนพูดว่าเธอขาดงานของพระวิญญาณ สามัคคีธรรมของเธอมั่วซั่วและสับสน บางครั้งเธอก็ทำให้คนอื่นรู้สึกแย่ เป็นเวลาสองเดือนที่เธอทำงานให้น้ำได้ไม่ดีเลย พอฉันได้ยินเรื่องทั้งหมดนี้ ในหัวใจของฉันก็รู้เลยว่าเธอไม่เหมาะสมกับหน้าที่ให้น้ำอีกต่อไป เพื่อนร่วมงานสองสามคนเสนอแนะให้หาคนมาแทนเธอ โดยพูดว่างานของคริสตจักรจะถูกทำให้ล่าช้าออกไป ฉันไม่สบายใจกับความคิดนั้นจริงๆ ค่ะ ฉันไม่อยากไล่เธอออก หลี่เจี๋ยเป็นคนแรกที่ฉันรู้จักตอนฉันยังใหม่ที่คริสตจักร และเธอก็ช่วยฉันไว้เยอะ ความสัมพันธ์ของเราสองคนยอดเยี่ยมมากค่ะ ดังนั้นถ้าฉันตกลงจะปลดเธอออก ฉันก็กลัวว่าเธอจะคิดยังไง จะพูดว่าฉันไร้หัวใจไหม และเธอห่วงชื่อเสียงตัวเองมาก ดังนั้นถ้าหากว่าเธอถูกไล่ออก เธอจะไม่ทุกข์ใจเหรอ? พอฉันคิดแบบนั้น ฉันก็แข็งใจไล่เธอออกไม่ได้ ตอนนั้น ฉันคิดข้ออ้างหนึ่งขึ้นมา โดยอ้างว่า ที่ผ่านมาหลี่เจี๋ยทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ก็โทษเธอคนเดียวไม่ได้ บรรดาผู้มาใหม่ที่เธอให้น้ำนั้นติดหนึบกับมโนคติหลงผิดและเรียนรู้ช้า อีกอย่าง เธอสามารถทำงานหนักได้ และทำงานหลายชั่วโมงมาก ถ้าเราปลดเธอออก การจะหาคนดีๆ มาแทนที่เธอคงต้องใช้เวลาพอสมควร ดังนั้นให้เธออยู่ก็ดีกว่าปล่อยตำแหน่งว่างนะ พอได้ยินฉันพูดแบบนี้ เพื่อนร่วมงานบางคนก็ลังเลค่ะ ตอนนั้น ทุกคนเห็นด้วยอย่างไม่เต็มใจให้เธอทำหน้าที่นั้นไปก่อนชั่วคราว ระหว่างที่มองหาคนมาแทนที่เธอ ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอกมากเลยค่ะ แต่ฉันก็คิดอีกด้วยว่า ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะยังไม่ถูกไล่ออก พอเจอคนที่เหมาะจะมาแทนที่ เธอก็ต้องโดนไล่ออกอยู่ดี บางทีถ้าฉันให้ความช่วยเหลือเธอ เธอก็อาจจะทำงานได้ดีขึ้น แล้วเธอก็จะรักษาหน้าที่ตัวเองไว้ได้ ในคืนนั้นเอง หลังจากการชุมนุมช่วงค่ำ ฉันจึงตรงไปที่บ้านของหลี่เจี๋ย และพูดคุยกับเธอถึงปัญหาต่างๆ ในหน้าที่ของเธอ รวมถึงสาเหตุ ที่เธอทำหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร เธอไม่มีความตระหนักในตัวเอง และแก้ตัวไปเรื่อย เห็นเธอทำตัวแบบนั้น ฉันก็ค่อนข้างหงุดหงิดเลยทีเดียวค่ะ หลังจากนั้นฉันก็สามัคคีธรรมกับเธออีกมาก เพื่อให้เธอทำหน้าที่ได้ดีขึ้น แต่การปฏิบัติงานของเธอก็ไม่ดีขึ้นเลย เรื่องนี้กวนใจฉันให้วิตกกังวลมากค่ะ ไม่นานต่อมาหลังจากนั้น ผู้นำคนหนึ่งก็เขียนจดหมายสองสามฉบับมาถามฉันเรื่องการเปลี่ยนหน้าที่ของหลี่เจี๋ย ฉันตอบไปส่งเดชว่าฉันยังไม่เจอคนที่เหมาะจะมาแทนที่เธอ หลี่เจี๋ยยังคงไม่ยอมรับคำแนะนำใดๆ และเธอเพิ่งติดต่อพี่สาวคนหนึ่งไปโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่เสี่ยงว่าตำรวจอาจกำลังจับตามอง ฉันจึงต้องปลดเธอออกจากหน้าที่อย่างไม่มีทางเลือก
ต่อมา คริสตจักรก็ให้ฉันรับผิดชอบ งานข่าวประเสริฐ และฉันนึกถึงหลี่เจี๋ย ที่นั่งอยู่บ้าน อย่างทุกข์ใจโดยไม่มีหน้าที่ให้ทำ เธอมีแรงจูงใจอย่างมากในการทำงานข่าวประเสริฐ จึงเป็นโอกาสที่ดีมาก ที่จะให้เธอเริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง ในการประชุมกับเพื่อนร่วมงาน ฉันเสนอความคิดนี้ขึ้นมา บอกว่า เธอมีประสบการณ์และจุดแข็งในงานชนิดนั้น ฉันว่าเธอรู้ว่าเธอทำผิดไป และเสียใจ เราควรให้โอกาสเธอได้เข้าร่วมทีมข่าวประเสริฐ ตอนนั้น คนอื่นๆ เห็นด้วยกันหมดเลยค่ะ ไม่นานจากนั้น ฉันต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินรายงานจากบรรดาพี่น้องชายหญิง ว่าเธอเคยมีปัญหากับมัคนายกข่าวประเสริฐมาก่อน ดังนั้นในการชุมนุม เธอจึงเอาแต่คุยถึงเรื่องที่มัคนายกคนนั้น ได้กดขี่เธอมาก่อนหน้านี้ เธอคอยยกมาพูดตลอด พี่น้องชายหญิงมากมายเกิดอคติต่อมัคนายกคนนั้นและคว่ำบาตรเธอ ในการประชุมงาน เธอก็จะประจันกันซึ่งหน้ากับมัคนายกคนนั้น และพี่น้องหญิงอีกสองสามคนก็เข้าข้างเธอ มัคนายกข่าวประเสริฐไม่สามารถทำงานจนเสร็จได้เลย เรื่องนี้ขัดขวางงานคริสตจักรอย่างร้ายแรง พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็ตกใจมากเลยค่ะ ฉันรู้ว่า มัคนายกได้ขอโทษหลี่เจี๋ยอย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว และฉันได้สามัคคีธรรมกับเธอ ฉันบอกเธอให้รู้จักตัวเอง ไม่ฝังใจกับอะไร แต่ให้เรียนรู้บทเรียน แต่ฉันไม่คาดคิดว่าเธอจะยึดติดกับสิ่งต่างๆ และไม่ยอมปล่อยวาง พฤติกรรมของเธอทำให้เกิดการหยุดชะงักในคริสตจักร ถ้าเป็นอย่างนั้นต่อไป เธอก็คงต้องออกจากทีมข่าวประเสริฐ ฉันมีความห่วงกังวลเรื่องเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้น ฉันไปสามัคคีธรรมกับเธออยู่หลายครั้งหลายหน ต่อหน้าฉัน เธอก็พูดสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม แต่ในการชุมนุม เธอก็ยังทำตัวเหมือนเดิม มัคนายกคนอื่นได้สามัคคีธรรมกับเธอและช่วยเธอ แต่เธอขาดความตระหนักรู้ในตนเอง และไม่ยอมเปลี่ยนแปลง
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้นำก็รู้เรื่องทั้งหมดนี้ เธอคงไม่กลับใจแม้ถูกสามัคคีธรรมซ้ำๆ เธอทำคริสตจักรวุ่นวาย และเกิดผลกระทบร้ายแรง โดยถ้าว่าตามหลักธรรมแล้ว เธอต้องถูกไล่ออก และถ้าเธอยังไม่กลับใจ ก็ต้องถูกเอาออกจากคริสตจักร พอฉันได้ยินแบบนี้ หัวใจก็หล่นไปที่ตาตุ่ม ฉันคิดถึง การที่เธอได้ยอมสละทุกอย่างและทนทุกข์อย่างมาก ถ้าเธอถูกไล่ออกไป จะไม่เป็นเรื่องน่าเสียดายเหรอ? เธอช่วยฉันเอาไว้มาก ตอนที่ฉันทำหน้าที่มัคนายกข่าวประเสริฐ และฉันเป็นคนที่เธอใกล้ชิดที่สุดในคริสตจักรนั้น ฉันรู้สึกเหมือนว่าถ้าฉันไม่ช่วยพูดให้เธอ ฉันก็คงไร้หัวใจอย่างที่สุด ถ้าเธอถูกไล่ออกไปจริงๆ ฉันจะสู้หน้าเธออีกได้ยังไง? ฉันแน่ใจว่าเธอคงเจ็บปวด และโกรธเคืองฉันมาก พอฉันคิดถึงเรื่องนี้ในทางนั้น จึงพูดว่า หลี่เจี๋ยมีปัญหาอยู่บ้างก็จริง แต่เธอก็รับใช้ในคริสตจักรมาตลอด และทำงานข่าวประเสริฐได้ดี การทำแบบนั้นอาจจะรุนแรงเกินไป ฉันเสนอว่าให้โอกาสเธออีกสักครั้ง ช่วยเหลือเธอให้มากขึ้น แล้วบางทีเธอก็อาจจะเปลี่ยนแปลง เพื่อนร่วมงานคนหนึ่ง ตอบกลับข้อเสนอของฉันอย่างขึงขังมาก โดยพูดว่า “น้องซิน คุณไม่ได้กำลังทำตามหลักธรรมแห่งความจริง แต่ปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำ หลี่เจี๋ยทำงานข่าวประเสริฐได้พอใช้มาก่อนและเธอก็ทำงานหนัก แต่เธอไม่ยอมรับความจริง เธอเกลียดความจริง และเล่นบทบาทในเชิงลบที่นี่ เธอทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงักขั้นร้ายแรง เราโอ๋เธอเพราะความเสน่หาไม่ได้ ฉันพูดได้เท่านี้ คุณเก็บเอาไปคิดดูนะ” พอเธอพูดแบบนี้ ฉันก็รู้ตัวว่ากับหลี่เจี๋ยนั้น ฉันไม่ได้กำลังทำตามหลักธรรมเลยจริงๆ ค่ะ แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้ และอยากให้ผู้นำให้โอกาสเธออีกสักครั้ง
ระหว่างทางกลับบ้านจากการชุมนุม ฉันรู้สึกเหมือนว่าโลกกำลังหมุนคว้าง ฉันไม่กล้าลืมตา แม้แต่เดินก็ทำไม่ได้ ฉันก็เลยทรุดนั่งลงไปตรงข้างถนนนั่นเอง และตระหนักว่า นั่นอาจเป็นการที่พระเจ้าทรงกำลังบ่มวินัยฉัน ฉันกล่าวคำอธิษฐานอย่างเงียบๆ ในใจ ทันใดนั้นเอง พระวจนะของพระเจ้าบางบทตอนก็ผุดขึ้นในใจฉันอย่างชัดเจน พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อผู้คนทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง นั่นอาจจะไม่ใช่เพราะเหตุการณ์หนึ่งหรือสิ่งหนึ่งที่พวกเขาพูดไป แต่เพราะท่าทีที่พวกเขามีและสภาวะที่พวกเขาเป็นอยู่มากกว่า นี่คือสิ่งที่น่าขวัญผวาอย่างยิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7) พระวจนะเหล่านี้ ทำให้ฉันก็กลัวขึ้นมาเล็กน้อย ฉันเห็นว่าฉันได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้ามาตลอด ฉันเริ่มทบทวนตัวเอง แล้วก็ตระหนักว่า ตั้งแต่ผู้นำบอกฉันว่าฉันควรปลดหลี่เจี๋ยออก และให้เธอทบทวนตัวเอง ฉันก็ไม่แสวงหาความจริง หรือห่วงผลประโยชน์ของพระนิเวศ เอาแต่สนับสนุนเธออย่างหัวชนฝา พระเจ้าทรงไม่มีที่ในหัวใจฉันเลย และฉันก็ได้ล่วงเกินพระองค์ไปแล้ว ฉันรีบกล่าวอธิษฐานต่อพระเจ้า ยอมรับว่าฉันผิดไป และหวังใจที่จะทบทวนตัวเอง หลังอธิษฐาน ฉันลากสังขารของตัวเองกลับบ้านอย่างทุลักทุเล พอฉันกลับถึงบ้าน ฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ผู้คนบางคนมีธรรมชาติซึ่งอารมณ์อ่อนไหวอย่างสุดขั้ว โดยที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่โดยภาวะอารมณ์ของตัวเองในทุกสิ่งที่พวกเขาพูดและทุกหนทางที่พวกเขาประพฤติต่อผู้อื่นในทุกๆ วัน พวกเขารู้สึกถึงการรักใคร่เอ็นดูต่อบุคคลนี้และบุคคลนั้น และทุกๆ วันพวกเขารู้สึกเป็นภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายคืนความโปรดปรานและตอบแทนความรู้สึกดีๆ โดยที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในอาณาจักรแห่งภาวะอารมณ์ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ…เจ้าอาจพูดได้ว่า ภาวะอารมณ์ทั้งหลายคือข้อตำหนิร้ายแรงถึงชีวิตของบุคคลนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นถูกปกครองโดยภาวะอารมณ์ของพวกเขา พวกเขาไร้ความสามารถในการปฏิบัติความจริง หรือปฏิบัติตนไปตามหลักธรรม และหมิ่นเหม่อยู่เป็นนิตย์ที่จะเป็นกบฏต่อพระเจ้า ภาวะอารมณ์ทั้งหลายคือจุดอ่อนอันใหญ่หลวงที่สุดของพวกเขา เป็นข้อตำหนิของพวกเขาที่รุนแรงถึงแก่ชีวิต และสามารถนำพาพวกเขาให้ล่มจมลงได้โดยหมดสิ้น ผู้คนซึ่งเจ้าอารมณ์มากเกินไปนั้นย่อมไร้ความสามารถในเชื่อฟังพระเจ้า หรือการนำความจริงมาสู่การปฏิบัติ พวกเขาหมกมุ่นอยู่กับเนื้อหนัง โง่เขลาและหัวทึบ มันเป็นธรรมชาติของพวกเขาที่มีความเชื่อมั่นต่อความรู้สึกทั้งหลาย พวกเขาดำรงชีวิตอยู่โดยภาวะอารมณ์ของพวกเขา” (“วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พอฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ ฉันก็รู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก จนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่เลยค่ะ ฉันถูกครอบงำโดยความรู้สึกที่มีต่อคนอื่นเกินไปจริงๆ ค่ะ เรื่องนี้เป็นข้อด้อย เป็นจุดอ่อนของฉัน หลี่เจี๋ยพร้อมและเต็มใจช่วยฉันมากจนฉันรู้สึกสนิทสนมกับเธอมากจริงๆ ค่ะ พอผ่านไป เธอก็กลายเป็นเหมือนคนที่ฉันนับเป็นญาติพี่น้อง พอเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอ ฉันก็พูดโดยใช้อารมณ์เป็นใหญ่ เป็นกังวลถึงความรู้สึกของเธอ และเลือกเข้าข้างเธออยู่เสมอ ฉันไม่สามารถนำหลักธรรมมาใช้ได้อย่างเป็นธรรมเลย ฉันรู้อยู่ว่าเธอทำหน้าที่ของเธอได้ไม่ดี ทำให้งานหยุดชะงัก การปล่อยให้เธอทำตามใจนั้นเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เธอควรถูกปลดออกทันที แต่เพราะสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นของเรา ฉันเป็นกังวลว่าเธอจะเสียหน้าที่ หรือถูกไล่ออกจากคริสตจักร ฉันก็เลยปล่อยไปตามอารมณ์ หาข้อแก้ตัวสารพัด เพื่อโน้มน้าวให้คนอื่นเก็บเธอไว้ ฉันถึงกับอยากช่วยเธอปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น จะได้รักษาตำแหน่งของเธอได้ ถ้าหากไม่ใช่เพราะสายสัมพันธ์ของเรา ฉันก็คงไม่ได้พูดให้เธอมากขนาดนั้น ฉันคงจะปฏิบัติต่อพี่น้องชายหรือหญิงคนอื่นๆ ตามหลักธรรม พอถึงจุดนั้นฉันก็เห็นว่า ฉันปล่อยให้ความเสน่หาเข้าครอบงำโดยสมบูรณ์ในการทำหน้าที่ เอื้อเฟื้อและโอ๋เธอ ตลอดทุกครั้ง โดยไม่สนใจหลักธรรมทั้งหลายสักนิด ฉันไม่คำนึงถึงงานหรือผลประโยชน์ของพระนิเวศสักนิดเดียว แต่พูดและกระทำไปตามความรู้สึกของตัวเองทั้งนั้น เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวมากเลยค่ะ!
จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะเพิ่มเล็กน้อย ซึ่งทำให้ฉันเห็นปัญหานี้ได้ชัดเจนมากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ประเด็นปัญหาอะไรหรือที่มีความสัมพันธ์กับภาวะอารมณ์? อันดับหนึ่งเลยก็คือวิธีที่เจ้าประเมินค่าครอบครัวของเจ้าเอง วิธีที่เจ้ามีปฏิกิริยาต่อสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ ‘สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำ’ หมายรวมถึงในยามที่พวกเขาก้าวก่ายและรุกล้ำ ในยามที่พวกเขาแสดงการตัดสินเกี่ยวกับผู้คนลับหลังผู้คนเหล่านั้น ในยามที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายของพวกผู้ปราศจากความเชื่อ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เจ้าสามารถมีใจเป็นธรรมต่อครอบครัวของเจ้าได้หรือไม่? หากเจ้าถูกเอ่ยขอให้ประเมินค่าพวกเขาเป็นลายลักษณ์อักษร เจ้าจะทำเช่นนั้นอย่างเป็นธรรมและตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงแวดล้อม โดยละวางภาวะอารมณ์ของตัวเจ้าเองลงไว้ก่อนหรือไม่? แล้วเจ้ามีอารมณ์อ่อนไหวต่อบรรดาผู้ที่เจ้าเป็นมิตรด้วยหรือผู้ที่เคยช่วยเหลือเจ้าก่อนหน้านี้หรือไม่? เจ้าจะเที่ยงตรง มีใจเป็นธรรม และตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงแวดล้อมเกี่ยวกับการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขาหรือไม่? เมื่อเจ้าได้ค้นพบว่าพวกเขาก้าวก่ายและรุกล้ำ เจ้าจะรายงานหรือเปิดโปงพวกเขาในทันทีหรือไม่? ที่มากไปกว่านั้นก็คือ เจ้ามีอารมณ์อ่อนไหวต่อบรรดาผู้ที่ใกล้ชิดกับเจ้า หรือผู้ที่มีสิ่งสนใจที่คล้ายกัน? การประเมินค่า คำนิยาม และการตอบโต้ของเจ้าที่มีต่อการกระทำและพฤติกรรมของพวกเขานั้น มีใจเป็นธรรมและตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงแวดล้อมหรือไม่? แล้วเจ้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ หากหลักธรรมได้สั่งการให้คริสตจักรใช้มาตรการกับใครบางคนซึ่งเชื่อมโยงกับเจ้า หรือผู้ที่เจ้ามีความเชื่อมโยงทางภาวะอารมณ์ด้วย และมาตรการเหล่านี้ไม่ลงรอยกันกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้าเอง? เจ้าจะเชื่อฟังหรือไม่? เจ้าจะยังแอบติดต่อประสานงานกับพวกเขาอยู่ต่อไปหรือไม่ หรือเจ้าจะยังคงถูกพวกเขาหลอกล่อหรือไม่ เจ้าจะถึงขั้นถูกพวกเขากระตุ้นเตือนให้สร้างข้อแก้ตัวสำหรับพวกเขา ให้ใช้เหตุผลตัดสินและปกป้องพวกเขาหรือไม่? เจ้าจะมาให้การช่วยเหลือและแอ่นอกรับดาบแทนบรรดาผู้ที่ได้ใจดีกับเจ้าเรื่อยมา โดยไม่รับรู้อันใดเลยต่อหลักธรรมทั้งหลายเกี่ยวกับความจริงและไม่ใส่ใจผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่? นี่ล้วนเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหานานาสารพันที่เกี่ยวกับภาวะอารมณ์ มิใช่หรือ? ผู้คนบางคนพูดว่า ‘ภาวะอารมณ์เหล่านี้ที่พระองค์ตรัสถึง—ภาวะอารมณ์เหล่านี้มิใช่เพียงแค่เกี่ยวข้องกับญาติพี่น้องและสมาชิกในครอบครัวเท่านั้นหรอกหรือ? นี่มิใช่กินความครอบคลุมบิดามารดา พี่น้องชายหญิง และสมาชิกคนอื่นๆ ในครอบครัวเพียงเท่านั้นหรอกหรือ?’ ไม่ใช่ นี่กินความครอบคลุมผู้คนที่แตกต่างกันจำนวนมาก ลืมสมาชิกในครอบครัวไปได้เลย มีบางคนที่ไม่แม้แต่จะสามารถมีใจเป็นธรรมได้เสียด้วยซ้ำเกี่ยวกับเพื่อนพ้องและสหายที่ดีของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างที่ออกมาจากปากของพวกเขานั้นลำเอียง ตัวอย่างเช่น เมื่อใครบางคนละเลย และเอนเอียงไปสู่ความเลว พวกเขาบรรยายถึงคนเหล่านั้นว่ารักสนุก ไม่อนาทรร้อนใจอันใด เป็นคนที่โตช้า แล้วมีภาวะอารมณ์อยู่ในคำพูดเหล่านี้หรือไม่? เมื่อบุคคลที่ละเลยไม่มีความเชื่อมโยงอันใดกับพวกเขา คำพูดของพวกเขานั้นเบาใจน้อยกว่า นั่นก็คือ ‘เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาเลว ชั่ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำนั้นก้าวก่ายและรุกล้ำ’ เมื่อถูกถามถึงข้อพิสูจน์ พวกเขาตอบว่า ‘จนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์—แต่คุณสามารถบอกได้ทันทีว่าพวกเขาเป็นคนไม่เอาไหน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่านี่คือธรรมชาติของพวกเขา’ พวกเขาให้นิยามผู้คนเหล่านั้นอย่างไม่อ้อมค้อม นี่คือการดำรงชีวิตอยู่โดยภาวะอารมณ์ของพวกเขามิใช่หรือ? แล้วพวกเหล่านั้นที่ดำรงชีวิตอยู่โดยภาวะอารมณ์ของพวกเขาคืออะไรหรือ? ผู้คนดังกล่าวมีใจเป็นธรรมหรือไม่? พวกเขาซื่อตรงหรือไม่? (ไม่) ผู้คนที่ใช้ชีวิตโดยความชื่นชอบและผลประโยชน์แห่งเนื้อหนังดำรงชีวิตอยู่โดยภาวะอารมณ์ของพวกเขา” (“การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (2)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) “เราไม่ให้โอกาสผู้คนปลดปล่อยอารมณ์ของพวกเขา เพราะเราปราศจากอารมณ์และรู้สึกรังเกียจอารมณ์ของผู้คนในระดับที่ถึงขีดสุด เป็นเพราะอารมณ์ระหว่างผู้คน เราจึงถูกโยนทิ้งไว้ข้างหนึ่ง และด้วยเหตุนี้เราจึงกลายเป็น ‘คนอื่น’ ในสายตาของพวกเขา เป็นเพราะอารมณ์ระหว่างผู้คน เราจึงถูกลืม เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงฉวยโอกาสหยิบ ‘มโนธรรม’ ของเขามาใช้ เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงเหนื่อยล้ากับการตีสอนของเราเสมอ เป็นเพราะอารมณ์ของมนุษย์ เขาจึงบอกว่าเราใจร้ายและไม่ยุติธรรม และพูดว่าเราไม่ใส่ใจความรู้สึกของมนุษย์เวลาเราจัดการสิ่งต่างๆ เรามีญาติพี่น้องบนแผ่นดินโลกด้วยหรือ? ผู้ใดเคยทำงานหามรุ่งหามค่ำเหมือนเรา โดยไม่คิดถึงอาหารหรือการหลับนอน เพื่อประโยชน์แห่งแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของเรา? มนุษย์จะสามารถเทียบเคียงกับพระเจ้าได้อย่างไร? มนุษย์จะเข้ากันกับพระเจ้าได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 28) ตอนนั้น พอฉันได้อ่านบทตอนเหล่านี้ ฉันก็เข้าใจชัดเจนขึ้นว่าการถูกความเสน่หาครอบงำหมายถึงอะไร พระเจ้าทรงเกลียดสิ่งนี้ในผู้คน มันนำให้เราล่วงละเมิดหลักธรรมแห่งความจริง ทำชั่ว และต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าทรงยกระดับให้ฉันเป็นผู้นำ แต่ในการจัดการคนอื่นๆ ฉันไม่ปฏิบัติตามความจริง หรือให้ความเป็นธรรมตามหลักธรรม ฉันปกป้องหลี่เจี๋ยเพราะความเข้ากันได้ดีของเรา ไม่ยอมปลดหรือไล่เธอออก เมื่อจำเป็นต้องทำอย่างนั้น ฉันกำลังใช้งานของพระนิเวศเพื่อช่วยเหลือ สละผลประโยชน์ของคริสตจักร สิ่งนี้ส่งผลเสียต่อการเข้าสู่ชีวิตของเหล่าพี่น้องชายหญิง และมีแต่จะทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงักเท่านั้น ฉันแว้งกัดมือที่ให้อาหาร ฉันเป็นคนทรยศค่ะ นั่นเป็นการหมิ่นพระเกียรติและต่อต้านพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? เมื่อเห็นทั้งหมดนั้น ฉันก็เปี่ยมด้วยความเสียใจในการกระทำของตัวเอง ฉันรีบมาอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้า ต่อมา ในการชุมนุม ฉันก็เปิดใจเกี่ยวกับการที่ฉันถูกอารมณ์ครอบงำเมื่อรับมือกับ สถานการณ์ทั้งหมดนั้น ดูตามพฤติกรรมของหลี่เจี๋ยแล้ว ฉันปลดเธอออกจากหน้าที่เพื่อให้เธอได้ทบทวน
จากนั้น เวลาก็ผ่านไปได้ประมาณหกเดือน ไม่ใช่แค่เธอไม่เข้าใจพฤติกรรมชั่วของตัวเองสักนิด แต่ยังยืนกรานว่า เธอถูกปฏิบัติ อย่างไม่เป็นธรรม เธอบอกคนอื่นว่าผู้นำดูแคลนเธอ และโกรธแค้นเธอ ผู้นำสามัคคีธรรมบนความจริงกับเธอ และชำแหละพฤติกรรมของเธอ แต่เธอไม่ฟังเลย และเต็มไปด้วยคำแก้ตัว หลี่เจี๋ยถึงกับโต้ตอบด้วยการเงียบใส่ หันหลังให้เธอตรงๆ เป็นการประท้วงเงียบ เธอเอาแต่พร่ำบ่น และเผยแพร่ความคิดลบในหมู่คนอื่น พูดถึงว่าเธอทนทุกข์มามากแค่ไหน โดยไม่ได้รับพระพรตอบแทนเลย ในขณะที่คนไม่คู่ควรกลับได้รับไป พี่น้องชายหญิงที่ใกล้ชิดกับเธอบางคนก็ลงท้ายด้วยการถือหางฝั่งเธอ และพูดแก้ต่างให้เธอ หลายต่อหลายคนพูดว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ที่แย่ ที่บ้านของเจ้าบ้านของเธอ เธอก็เรื่องมาก จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหารอย่างมาก และบ่นลับหลังเจ้าบ้านว่าไม่ยอมซื้ออาหารให้เธอเลย เธอเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวมาก และเอาแต่บ่นว่าเธอน่ะยากจน ซึ่งทำให้พี่น้องชายหญิงหลงกลช่วยเธอ ด้วยความรัก หยิบยื่นเงินหรือสิ่งอื่นๆ ให้เธอ แล้วเธอก็ขึ้นชื่อเรื่องรับสิ่งนั้นด้วย ราวกับพวกเขาติดค้างต้องให้ความช่วยเหลือเหล่านั้นกับเธอ เธอเป็นปรสิตในพระนิเวศค่ะ ทั้งหมดนี้ทำให้ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง ใน “คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง” พระเจ้าตรัสว่า “พวกที่พรั่งพรูการพูดคุยที่เป็นพิษและมุ่งร้ายของตนภายในคริสตจักร ผู้ซึ่งแพร่ข่าวลือ ยุแหย่ให้เกิดความไม่ลงรอยกัน และก่อการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พี่น้องชายหญิง—พวกเขาควรจะถูกขับไล่ออกจากคริสตจักร ถึงกระนั้นก็ดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคแห่งพระราชกิจของพระเจ้าที่ต่างกัน ผู้คนเหล่านี้จึงถูกหวงห้ามไว้ เพราะพวกเขาเผชิญกับการกำจัดที่แน่นอน ทุกคนที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม บางคนไม่มีสิ่งใดมากไปกว่าอุปนิสัยที่เสื่อมทราม ในขณะที่คนอื่นๆ แตกต่างออกไป นั่นคือ ไม่ใช่แค่พวกเขามีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ธรรมชาติของพวกเขายังมุ่งร้ายอย่างที่สุดอีกด้วย ไม่ใช่แค่คำพูดหรือการกระทำของพวกเขาเท่านั้นที่เปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามของพวกเขา แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนเหล่านี้เป็นซาตานมารร้ายที่แท้จริง พฤติกรรมของพวกเขาขัดจังหวะและรบกวนพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้การเข้าสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิงเสื่อมถอยลง และสร้างความเสียหายต่อชีวิตตามปกติของคริสตจักร ไม่ช้าก็เร็ว หมาป่าในคราบแกะเหล่านี้ต้องถูกลบล้างไป ท่าทีที่ไม่ผ่อนปรน ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ควรจะถูกนำมาใช้กับสมุนของซาตานเหล่านี้ นี่เท่านั้นคือการยืนในฝ่ายของพระเจ้า และพวกที่ล้มเหลวในการทำเช่นนั้นกำลังเกลือกกลิ้งในโคลนตมกับซาตาน” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะบทตอนนี้ ทำให้ฉันมีปัญญาแยกแยะเรื่องหลี่เจี๋ยมากขึ้น เธอปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง ก่อกวนและตัดสินโดยรับบทบาทในทางบวกเลย เป็นแอปเปิลเน่าผลหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคริสตจักรของเราวุ่นวาย เมื่อเธอถูกวิพากษ์วิจารณ์ และเสียหน้าที่ไป เธอไม่เคยกลับใจเลยค่ะ แต่กลับไม่พอใจ พร่ำบ่นเรื่องบรรดาผู้นำ และคอยทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก คนชั่วที่เกลียดความจริง พยาบาท และก้าวร้าวประเภทนั้น ไม่อาจได้รับการช่วยให้รอดได้ เธอแค่ทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก เหมือนจิ้งจอกวิ่งวุ่นในเล้าไก่ สวาปามพวกแม่ไก่เหล่านั้น คนชั่วต้องถูกถอดออกไป เพื่อให้งานของพระนิเวศดำเนินไป และเราใช้ชีวิตคริสตจักรอย่างเหมาะสมได้ พระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ทรงช่วยผู้มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ที่รักความจริงให้รอด ไม่ใช่พวกคนทำชั่ว คนชั่วเกลียดชังความจริงโดยธรรมชาติ และไม่ว่าจะได้รับโอกาสสักกี่ครั้ง ก็ไม่กลับใจอย่างแท้จริงเลย บรรดาผู้ที่รักความจริงสามารถเปิดเผยความเสื่อมทราม ก่อการหยุดชะงัก และพูดจาตัดสินคนอื่นได้ แต่หลังจากข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาก็ทบทวนตัวเอง และยอมรับการพิพากษาของพระวจนะ กลับใจและเปลี่ยนแปลงได้ ตอนนั้น คริสตจักรให้โอกาสหลี่เจี๋ยหลายครั้งหลายหน แต่เธอก็ไม่เคยกลับใจเลย เธอเพียงแค่เพิ่มการโจมตีต่างๆ และการทำให้หยุดชะงัก เธอเป็นคนชั่วโดยแก่นแท้ค่ะ เธอต้องถูกไล่ออกไป บนพื้นฐานของหลักธรรมทั้งหลายของคริสตจักร ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันรู้ว่าฉันจะต้องสามัคคีธรรมกับคนอื่นเพื่อเปิดโปงการทำชั่วของเธอ และเซ็นชื่อของฉันบนเอกสารตัดขาดเธอจากศาสนา ในช่วงเวลานั้น ฉันยังลังเลที่จะเซ็นชื่อ ฉันห่วงว่า ถ้าเธอถูกถอดถอนออกจากคริสตจักร ชีวิตของเธอก็คงจบสิ้น ทันทีที่ฉันเกิดความคิดนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า และขอให้พระองค์ทรงนำให้ฉันเอาชนะอารมณ์ของตัวเอง
จากนั้น ฉันก็อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า ใน “พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน” บทตอนที่สี่ค่ะ “ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใช่บรรดาผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า? พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอกหรือ? พวกเขามิใช่บรรดาผู้ที่อ้างว่ามีความเชื่อทว่ายังเป็นผู้ขาดพร่องความจริงหรอกหรือ? พวกเขาไม่ใช่บรรดาผู้ที่เพียงแค่พยายามให้ได้มาซึ่งพรในขณะที่ไร้ความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้หรอกหรือ? เจ้ายังคงอยู่ร่วมกันกับปีศาจเหล่านั้นวันนี้ และแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อพวกมัน แต่ในกรณีนี้ เจ้ามิได้กำลังหยิบยื่นเจตนาที่ดีต่อซาตานหรอกหรือ? เจ้ามิได้กำลังคบหาสมาคมกับพวกปีศาจอยู่หรอกหรือ? หากผู้คนทุกวันนี้ยังไร้ความสามารถที่จะแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ และยังคงหลับหูหลับตารักและเมตตาต่อไปโดยไม่มีเจตนาใดๆ ที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือไม่ว่าจะหนทางใดก็ไม่มีความสามารถที่จะรับเจตนารมณ์ของพระเจ้าไว้เสมือนเป็นของตนเองได้ เช่นนั้นแล้ว วาระสุดท้ายของพวกเขาจะล้วนน่าอนาถยิ่งขึ้นไปอีก ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าที่เป็นมนุษย์ก็คือศัตรูของพระเจ้า หากเจ้าสามารถแบกรับจิตสำนึกและความรักต่อศัตรูได้ เจ้ามิได้ขาดสำนึกรับรู้แห่งความชอบธรรมหรอกหรือ? หากเจ้าสามารถเข้ากันได้กับพวกเหล่านั้นที่เรารังเกียจและกับพวกที่เราไม่เห็นด้วย และยังคงแบกรับความรักหรือความรู้สึกส่วนตัวต่อพวกเขาอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้ไม่เชื่อฟังหรอกหรือ? เจ้ามิได้กำลังต้านทานพระเจ้าโดยเจตนาหรอกหรือ? บุคคลเช่นนั้นถือครองความจริงกระนั้นหรือ? หากผู้คนแบกรับจิตสำนึกต่อเหล่าศัตรู มีความรักให้ปีศาจ และปรานีต่อซาตาน เช่นนั้นแล้ว พวกเขามิได้กำลังทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักโดยเจตนาหรอกหรือ?” (พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอฉันอ่านพระวจนะบทตอนนี้ ฉันก็รู้สึกผิดมากค่ะ ฉันตระหนักดีว่าเธอก่อปัญหา เป็นตัวขัดขวางการทำงานที่ไม่ยอมกลับใจ และเป็นคนทำชั่วที่มีเกลียดชังความจริงโดยแก่นแท้ แต่ฉันก็ยังประคบประหงมเธอ อยากรักษาเธอไว้ภายในคริสตจักรอยู่เสมอ ฉันเปิดโอกาสให้คนทำชั่วทำงานของคริสตจักรเสียหาย ยืนอยู่ข้างซาตาน ต่อต้านพระเจ้า ปรัชญาของซาตาน “เลือดข้นกว่าน้ำ” “มนุษย์มิใช่ไร้ชีวิตจิตใจ เขาจะสามารถเป็นอิสระจากภาวะอารมณ์ได้อย่างไรกัน?” กำลังนำทางฉัน ฉันให้ค่าสายสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มาตลอด คิดว่ามันเป็นทางเดียวที่จะเป็นคนมีมนุษยธรรม เป็นคนดี ส่วนนอกนั้นคือไร้หัวใจ และฉันคงถูกคนอื่นปฏิเสธ ฉันช่างไร้สาระจนน่าหัวเราะอย่างที่สุดเลยค่ะ ปรัชญาทางโลกเหล่านั้นดูเหมือนถูกต้องและตรงกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ แต่มันขัดกับความจริงและหลักธรรม ถ้าเรามีอารมณ์อ่อนไหวและมีความรักต่อคนอื่น เช่นนั้นก็เป็นวิธีรักคนอื่นที่โง่เขลา และไม่มีหลักการใดๆ เลย พระเจ้าทรงขอให้เรามีหลักการกับคนอื่นๆ มีความรักกับพี่น้องชายหญิง และมีมโนธรรมกับพระเจ้า ปฏิเสธคนทำชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ มาร และซาตาน การมีอารมณ์อ่อนไหว กับบรรดา ผู้คนประเภทนั้น ไม่โง่เขลาและหัวทึบหรอกเหรอ? ความรักประเภทนั้นขาดปัญญาแยกแยะและหลักธรรม มาจากความโง่เขลา ไม่เพียงทำให้เราหลงทาง แต่การติดตามคนทำชั่วอาจทำให้งานของพระนิเวศเสียหายได้ ฉันเห็นว่าฉันใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตาน ซึ่งโง่มาก ไร้เกียรติจริงๆ ฉันรู้ว่าหลี่เจี๋ยคงไม่ยอมรับความจริง ว่าเธอเป็นคนทำชั่ว ที่ทำให้คริสตจักรหยุดชะงัก และเธอต้องถูกแยกออกไป แต่ฉันติดอยู่ในความรู้สึก ถูกเหนี่ยวรั้งโดยความเสน่หา ฉันประคบประหงมเธอซ้ำๆ มันทั้งเจ็บปวด เหน็ดเหนื่อย และจำกัดสำหรับฉัน แต่ที่สำคัญกว่า ฉันไม่ได้ปฏิบัติความจริงที่ฉันเข้าใจ ฉันกำลังต่อสู้กับพระเจ้า ฉันชื่นชมพระคุณและความรอดของพระเจ้า แต่พยายามต่อต้านพระองค์ ปกป้องซาตานและคนทำชั่ว ฉันขาดมโนธรรมและเหตุผลจริงๆ ค่ะ ในที่สุดฉันก็เห็นได้ชัดเจน ว่าการถูกอารมณ์ครอบงำเป็นการหันหลังให้กับพระเจ้าและความจริง แล้วฉันก็คิดว่าตลอดหลายปี พระเจ้าทรงงานในตัวฉันมามากแค่ไหน และทรงยอมลำบากใหญ่หลวง ฉันกลับไม่ได้ตอนแทนอะไรพระองค์เลย แถมยังยืนอยู่ข้างเดียวกับซาตานเพื่อต่อต้านพระองค์ เมื่อคิดถึงมันในทางนั้น ฉันก็เต็มไปด้วยความเสียใจและความรู้สึกผิด
หลังจากนั้นฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งในการเฝ้าเดี่ยว พระเจ้าตรัสว่า “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรได้รับการยึดติด พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและมีความสามารถที่จะติดตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่มีความสามารถที่จะติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังพระเจ้า และกบฏต่อพระเจ้า—ผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่น และพวกเราควรดูหมิ่นพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์…ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ‘ใครเป็นมารดาของเรา? ใครเป็นพี่น้องของเรา?…เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา’ คำกล่าวนี้มีอยู่แล้วย้อนหลังไปในยุคพระคุณ และบัดนี้ พระวจนะของพระเจ้าก็ยิ่งเหมาะเจาะมากขึ้นไปอีก กล่าวคือ ‘จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง’ พระวจนะเหล่านี้ตัดตรงเข้าจุด ทว่าบ่อยครั้งที่ผู้คนไร้ความสามารถที่จะซึ้งคุณค่าในความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น” (“เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) นั่นช่วยทำให้หลักธรรมแห่งการปฏิบัตินี้ชัดเจน “จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง” มีเพียงผู้เชื่อที่แท้จริง ไล่ตามความจริง และทุ่มเทให้หน้าที่ที่เป็นพี่น้องจริง และพวกเขาคือผู้ที่คู่ควรกับความรักของเรา บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับความจริง ทว่าก่อการหยุดชะงักในคริสตจักรเสมอ ผู้ที่เกลียดความจริง และเกลียดพระเจ้า ต่างเป็นคนชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ มาร และซาตาน พวกเขาสมควรถูกเรารังเกียจ และปฏิเสธ เป็นทางเดียวที่จะปฏิบัติกับผู้คนตามหลักธรรม และตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ในการชุมนุมหลังจากนั้น ฉันแบ่งปันสามัคคีธรรมว่าคนชั่วคืออะไรและจะแยกแยะพวกเขายังไง และฉันก็เปิดเผยพฤติกรรมชั่วของหลี่เจี๋ย ฉันยังสามัคคีธรรมถึงหลักธรรมสำหรับปลดคนออกจากคริสตจักรด้วย และพอพวกเขาได้มาเข้าใจความจริง พวกเขาก็เริ่มเปิดโปงการทำชั่วของหลี่เจี๋ย ในท้ายที่สุดเธอก็ถูกไล่ออกไปค่ะ
หลังจากเรื่องราวทั้งหมดนั้น ฉันก็เปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและการพิพากษาของพระวจนะ ฉันก็คงยังใช้ชีวิตตามปรัชญาเยี่ยงซาตานเหล่านั้น หลับหูหลับตาเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ไม่สามารถแยกแยะดีชั่ว แยกถูกจากผิด ยืนอยู่ข้างซาตานต่อต้านพระเจ้าโดยไม่รู้ตัว พระวจนะแสดงให้ฉันเห็นอันตรายและผลสืบเนื่องของการถูกความเสน่หาครอบงำ และช่วยให้ฉันหนีจากพันธะของซาตาน ปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรมแห่งความจริงได้ ฉันรู้สึกขอบคุณความรักและความรอดของพระเจ้ามากค่ะ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ