ใครกันที่ขวางฉันบนเส้นทางสู่ราชอาณาจักรสวรรค์?

วันที่ 06 เดือน 12 ปี 2022

เดือนสิงหาคมปี 2020 พี่น้องหญิงคนหนึ่ง ชวนผมเข้าชุมนุมกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์ การอ่านพระวจนะ แสวงหา และสืบค้น ทำให้ผมมั่นใจว่าพระวจนะนี้ คือเสียงของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ผมรู้สึกตื้นตันใจ และตื่นเต้นมาก พวกพี่ชายของผม ต่างตั้งตารอการทรงกลับมาอยู่เช่นกัน ผมรู้ว่า ผมต้องรีบบอกข่าวดีนี้แก่พวกเขา พวกเขาจะได้ยอมรับงานในยุคสุดท้ายด้วย ผมเลย ประกาศข่าวประเสริฐกับพี่ชายคนที่สาม และเขาก็นำข่าวเรื่องการเสด็จมา ไปบอกพี่ชายคนโต ที่เป็นผู้นำคริสตจักร แต่กลับคาดไม่ถึง เมื่อพี่ชายคนโตรู้ เขาก็รีบรุดมาที่บ้านของผมในคืนนั้นเลย… “เฮงซิน แกบอกว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว และทรงงานระยะใหม่อยู่หรือ? จะเป็นไปได้ยังไง? องค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยบาปให้เราแล้ว เมื่อทรงกลับมา ก็จะทรงยกเราขึ้นสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์โดยตรง พระองค์จะทรงงานใหม่ได้ยังไง?” “พี่ครับ อย่าเพิ่งโกรธผมเลย แม้ว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงอภัยบาปให้เราแล้ว เราก็ยังทำบาปได้ และธรรมชาติเปี่ยมบาปของเราก็ยังอยู่ พระเจ้าตรัสว่า ‘เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์(เลวีนิติ11:45) พี่ ถ้าไม่บริสุทธิ์ เราก็จะไม่เห็นพระเจ้า และถ้าไม่ถูกชำระบาปให้สะอาด เราก็จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ไม่ได้ เรายังต้องการให้พระเจ้าทรงงานพิพากษา เพื่อกำจัดธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเรา และแก้ไขปัญหาเรื่องบาปที่รากเหง้า” “องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อแบกรับบาปทั้งหมดของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงไม่ถือว่าเราเป็นคนบาปอีก แกบอกว่าเรายังไม่ถูกชำระให้สะอาด แต่นั่นเป็นแนวคิดของแกเอง พระคัมภีร์ไม่ได้ว่าอย่างนั้น ไม่รู้หรือว่าพระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด’ (โรม10:10) การเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า คือเราถูกช่วยให้รอดแล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมยังต้องให้พระองค์ทรงงานใหม่อีก?” “พี่ครับ ที่พี่พูดเป็นคำพูดของเปาโล ไม่ใช่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า องค์พระเยซูเจ้าไม่เคยตรัสว่า คนที่ถูกช่วยให้รอดด้วยความเชื่อ จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ พระองค์ตรัสไว้ชัดเจนมาก ว่าใครเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า” จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้(มัทธิว 7:21) พี่ เราต้องทำตามน้ำพระทัย และทำตัวตามพระวจนะ เพื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราตรงตามมาตรฐานนี้ไหม? เรายังทำบาปบ่อยครั้ง และทำตามพระวจนะไม่ได้ องค์พระเยซูเจ้าทรงขอให้เรารักเพื่อนบ้านอย่างที่รักตัวเอง เราทำได้ไหม? ไม่ใช่แค่รักพวกเขาไม่ได้ เรายังอิจฉาพวกเขา เกลียดชัง และมักใช้ชีวิตอยู่ในบาป เราไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พระเจ้า จึงทรงกลับมาในยุคสุดท้าย เพื่อตรัสและทรงงานพิพากษา เพื่อกำจัดธรรมชาติเปี่ยมบาปของผู้คน แก้ไขปัญหาเรื่องบาปที่ราก ชำระผู้คนให้สะอาด และช่วยให้รอดโดยถ้วนทั่ว องค์พระเยซูเจ้าเอง ทรงเผยพระวจนะไว้ว่า ‘ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48)เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17)” “พอแล้ว! แกอ้างว่าเมื่อทรงกลับมา จะมีงานอีกช่วงระยะหนึ่ง นั่นไม่แปลว่างานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าไร้ความหมายหรือ? จะไม่เสียเปล่าหรือ?” พอฟังสิ่งที่พี่พูด ผมก็กังวลใจเล็กน้อย ผมจะสามัคคีธรรมให้เขาเข้าใจงานของพระเจ้า และกำจัดมโนคติอันหลงผิดของเขาได้ยังไง? แล้วผม ก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระวจนะ ทำให้ใจผมกระจ่างชัด ผมพูดกับพี่ชายไปว่า “การที่พระเจ้ากลับมาทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย ไม่ได้แปลว่า งานแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าไร้ความหมาย พระองค์ทรงอภัยบาปของผู้คน ทำให้พวกเขาไม่ถูกกล่าวโทษ และประหารชีวิตจากพระบัญญัติ แต่องค์พระเยซูเจ้าแค่ทรงงานแห่งการไถ่ ไม่ใช่งานแห่งการชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด เราทุกคนยังคงใช้ชีวิตอยู่ในบาป ถ้าไม่มีงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เราก็ไม่อาจรอดพ้นจากบาป และเข้าสู่ราชอาณาจักรได้” พอหักล้างผมไม่ได้ พี่ชายก็โกรธมาก และพูดว่า “แกเพิ่งเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่กลับรู้อะไรมากมาย ฉันพูดไป แกก็มีข้อมาหักล้าง ฉันหมดคำจะพูดแล้ว!” จากนั้น เขาก็ปึงปังกลับไป ผมคิดว่า “เขาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และโหยหาการเสด็จมาอยู่ทุกวัน ทำไมพอได้ยินเรื่องการทรงกลับมา นอกจากจะไม่ตรวจสอบ เขายังโกรธมากอีกด้วย? อาจเป็นเพราะเขามีมโนคติอันหลงผิดทางศาสนามากไป เลยยอมรับทันทีไม่ได้ ผมต้องหาโอกาส สามัคคีธรรมกับเขาอีกให้ได้”

ในไม่ช้า พี่สะใภ้สองคนก็พากันมาหาผมที่บ้าน เมื่อรู้ว่าผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์… “เฮงซิน เธอเชื่อและอธิษฐานในนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่ใช่พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นการทรยศพระองค์ และละทิ้งความเชื่อ” “พี่ครับ พี่พูดแบบนั้น เพราะพี่ยังไม่เข้าใจ พี่ยังไม่ได้อ่านพระวจนะของพระองค์ และไม่รู้ว่า พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และองค์พระเยซูเจ้า คือพระวิญญาณและพระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้าแค้ใช้พระนามที่ต่างกันในแต่ละสมัย ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงชื่อพระยาห์เวห์ แต่ในยุคพระคุณ พระเจ้าทรงชื่อพระเยซู ถึงพระนามเปลี่ยนไป แต่พูดได้ไหมว่าทั้งสองพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกัน? พูดได้ไหมว่า การเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า เป็นการทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้า? ทั้งสามพระองค์ล้วนเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน มาเถอะ ผมจะเปิดวิดีโอให้ดู พี่จะได้เข้าใจ” พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว) หลังอ่านพระวจนะ ผมก็สามัคคีธรรมกับพี่สะใภ้ว่า “พระนามของพระเจ้าเปลี่ยนไปพร้อมกับยุคสมัยและช่วงระยะของงาน พระเจ้าทรงใช้ชื่อที่ต่างกันในแต่ละยุค หนึ่งชื่อต่อหนึ่งยุค และแต่ละชื่อก็เป็นตัวแทนของงานในแต่ละยุค ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงประกาศธรรมบัญญัติในชื่อ ‘พระยาห์เวห์’ และทรงสอนมนุษยชาติในการใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลก ในยุคพระคุณ พระวิญญาณของพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในฐานะพระเยซูเจ้า และทรงงานแห่งการไถ่มนุษยชาติ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อแสดงความจริง และทรงงานพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ จากภายนอก พระนามและพระราชกิจได้เปลี่ยนไป แต่แก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่อาจเปลี่ยนได้ เป็นพระเจ้าองค์เดิมมาตลอด ที่ทรงงานเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด” ผมยังยกตัวอย่างให้พวกเธอฟังด้วย อาจมีบางคนทำงานในโรงพยาบาล และทุกคนเรียกเขาว่า “หมอ” แต่วันหนึ่งเขาตัดสินใจไปสอน ทุกคนเลยเรียกเขาว่า “อาจารย์” แต่ต่อมา เขาก็ไปประกาศที่คริสตจักร และถูกเรียกว่า “ศิษยาภิบาล” เห็นไหม งานของเขาเปลี่ยนไป ชื่อเรัยกของเขาก็เปลี่ยนไปด้วย แต่เขายังเป็นคนเดิม ยังคงเป็นเขา เช่นเดียวกัน พระเจ้าทรงใช้ชื่อต่างกันในแต่ละยุค แต่แก่นแท้และพระอัตลักษณ์ไม่เคยเปลี่ยน ยังทรงเป็นพระเจ้าองค์เดิม เวลาอธิษฐานในพระนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราไม่ได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าและละทิ้งความเชื่อ เรากำลังต้อนรับพระองค์ และติดตามย่างพระบาท ตอนที่ผมพูด จู่ๆ พี่ชายคนโตและคนที่สามก็โผล่มา พี่ชายคนโตขัดผมด้วยความโกรธว่า “เลิกคุยกับเขาเสียเถอะ พูดไปก็ไม่ชนะหรอก ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็มีคำตอบอยู่แล้ว อย่าไปยุ่งเลย!” “เฮงซิน เลิกเชื่อเสียเถอะ สิ่งนั้นไม่ถูกต้อง” “แกบอกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ไปประกาศกับศิษยาภิบาลสิ ถ้าเขาบอกว่านี่เป็นหนทางที่แท้จริง เราก็จะเชื่อไปด้วยกัน แต่ถ้าไม่ใช่ก็กลับไปที่คริสตจักร และเชื่อกับเรา พวกเธอเป็นพี่น้องกันแท้ๆ จะไปกันคนละทางไม่ได้” พอเห็นทุกคนเทิดทูนศิษยาภิบาล ผมก็บอกพวกเขาว่า “ผู้เชื่ออย่างเราควรเชื่อฟังและเทิดพระเกียรติพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด จะหลับหูหลับตาเชื่อฟังสิ่งที่คนพูดไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราจะปล่อยให้ศิษยาภิบาลตัดสินใจไม่ได้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า แกะของพระเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ เราควรมุ่งเน้นที่จะเงี่ยหูฟังพระสุรเสียง จะได้ต้อนรับพระองค์ได้” ผมยังบอกพวกเขาด้วยว่า “ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน ผู้เชื่อในศาสนายิว ไม่แสวงหาที่จะได้ยินเสียงของพระองค์ พวกเขากลับต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างมืดบอดตามพวกฟาริสี ผลคือพวกเขาเสียความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าไป นี่คือบทเรียนสำหรับเรา” แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง พี่ชายกับพี่สะใภ้ผมก็ไม่ยอมฟัง และยืนกรานว่า ศิษยาภิบาลไม่มีทางผิด พอเห็นท่าทีของพวกเขาแล้ว ผมก็คิดว่า “พวกเขาเทิดทูนศิษยาภิบาลมาก จนถ้าศิษยาภิบาลยอมรับ พวกเขาก็อาจยอมรับด้วย”

วันหนึ่งในเดือนมกราคมปี 2021 ศิษยาภิบาลและเหล่าผู้อาวุโสมาที่บ้านผม ผมเลยถือโอกาสนี้ ประกาศข่าวประเสริฐกับพวกเขา “มัทธิวบทที่ 24 ข้อ 37 กล่าวว่า ‘เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น’ และในบทที่ 24 ข้อ 44 กล่าวว่า ‘เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ ลูกาบทที่ 17 ข้อ 24 ถึง 25 กล่าวว่า ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ คำเผยพระวจนะกล่าวถึง ‘บุตรมนุษย์เสด็จมา’ และ ‘บุตรมนุษย์จะเสด็จมา’ แล้วบุตรมนุษย์คือใคร? บุตรมนุษย์หมายถึงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ องค์พระเยซูเจ้าคือบุตรมนุษย์ เพราะทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระวิญญาณไม่อาจถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์ได้ ดังนั้น คำเผยพระวจนะที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในฐานะบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย แปลว่าจะเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์ ถ้ากายพระวิญญาณหลังฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาบนเมฆ และปรากฏต่อทุกคนด้วยพระสิริยิ่งใหญ่ แล้วใครจะกล้าต่อต้านหรือกล่าวโทษพระองค์ล่ะ? แถมองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ แล้วคำเผยพระวจนะนี้จะลุล่วงได้ยังไง? มีเพียงพระเจ้าที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ในฐานะบุตรมนุษย์ปกติธรรมดา ในรูปกายที่ผู้คนจำไม่ได้เท่านั้น ที่จะถูกกล่าวโทษและปฏิเสธได้ ดังนั้น ตามที่องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาปรากฏในมนุษย์ในยุคสุดท้าย และนี่ถูกต้องแน่นอน” “ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้กล่าวถึง ‘บุตรมนุษย์’ และนั่นหมายถึงองค์พระเยซูเจ้า” “พี่หานครับ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนมาก สิ่งเหล่านี้คือคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่พระเยซู” “พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า ‘เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง(มัทธิว 24:30) องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาบนก้อนเมฆ แต่คุณบอกว่าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์ มันไม่ขัดแย้งกันหรือ? เรากำลังคอยองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จมาบนก้อนเมฆ ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว ความวิบัติทุกประเภทก็ปรากฏแล้ว และองค์พระผู้เป็นเจ้าก็กำลังจะเสด็จมาบนก้อนเมฆ เพื่อพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ จากที่คุณเชื่อมาหลายปี คุณใกล้ถึงจุดนั้นแล้ว แต่ คุณกลับล้มเลิกทุกอย่าง” “อาจารย์หวัง คำเผยพระวจนะที่คุณเพิ่งพูดถึงก็เป็นเรื่องจริง แต่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ไม่ได้ขัดกับการเสด็จมาบนก้อนเมฆเลย ทีแรกผมก็ไม่เข้าใจคำถามนี้ แต่พออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ตระหนักได้ว่า การทรงกลับมา เกิดขึ้นเป็นสองขั้น พระองค์จะเสด็จมาอย่างลับๆ ในฐานะบุตรมนุษย์ เพื่อแสดงความจริงและทรงงานพิพากษาก่อน จากนั้นพอกลุ่มผู้ชนะเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าก็จะส่งความวิบัติมาเพื่อปูนบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว หลังความวิบัติ พระเจ้าก็จะเสด็จลงมาบนก้อนเมฆ และปรากฏต่อทุกคนอย่างเปิดเผย พอถึงเวลานั้น ทุกคนที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็จะร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาบนก้อนเมฆโดยสมบูรณ์ ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์(วิวรณ์ 1:7)” ตอนนั้น ศิษยาภิบาลและคนอื่นๆ ต่างประหลาดใจและเงียบไป ผมอ่านพระวจนะให้พวกเขาฟังหนึ่งบทตอน “เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร? การทรงกลับมาของพระเยซูเป็นความรอดที่ยิ่งใหญ่สำหรับบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงได้ แต่สำหรับพวกที่ไร้ความสามารถที่จะยอมรับความจริงได้แล้ว นี่เองคือหมายสำคัญหนึ่งแห่งการกล่าวโทษ พวกเจ้าควรเลือกเส้นทางของพวกเจ้าเอง และไม่ควรหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์และปฏิเสธความจริง เจ้าไม่ควรเป็นคนที่ไม่รู้เท่าทันและโอหัง แต่เป็นคนที่เชื่อฟังการทรงนำจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และถวิลหาและแสวงหาความจริง พวกเจ้าจะได้รับประโยชน์ด้วยวิธีนี้เท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างทึ่ง เมื่อได้ฟังพระวจนะอันเปี่ยมฤทธานุภาพ ผ่านไปสักพัก ศิษยาภิบาลก็พูดว่า “คุณเพิ่งพูดว่า นี่คือพระวจนะใหม่ของพระเจ้าหรือ? นั่นไม่ถูกต้อง พระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ ไม่มีอยู่นอกพระคัมภีร์เลย ถ้ามีอยู่บ้าง ก็เป็นส่วนเสริมจากในนั้น วิวรณ์กล่าวไว้ชัดเจนว่า ‘ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าใครเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มเติมภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่คนนั้น และถ้าใครตัดถ้อยคำอะไรออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงตัดส่วนแบ่งของเขาที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิตและในนครบริสุทธิ์ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย(วิวรณ์ 22:18-19)” “อาจารย์หวัง ตอนที่บอกว่าไม่มีอะไรถูกเพิ่มหรือลบไปได้ นี่คือการเตือนผู้คนไม่ให้เพิ่มหรือลบคำเผยพระวจนะจากหนังสือวิวรณ์ตามอำเภอใจ ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าจะไม่ตรัสพระวจนะใหม่แล้ว องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้เองว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13) องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ชัดเจนมาก เมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะแสดงพระวจนะมากมายเพื่อนำเราเข้าสู่ความจริงทั้งปวง ตามที่คุณเข้าใจก็คือ เมื่อพระเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะไม่ตรัสและทรงงานอีก เช่นนั้นแล้ว พระวจนะเหล่านี้ขององค์พระเยซูเจ้า จะลุล่วงและสัมฤทธิ์ได้ยังไง? พระเจ้าคือความจริง ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต เป็นน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตที่ไหลรินเสมอ คุณจำกัดพระวจนะและงานของพระเจ้าไว้กับสิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ ราวกับพระเจ้าตรัสได้แค่พระวจนะที่อยู่ในนั้น นี่เป็นการจำกัดและดูแคลนพระเจ้าไม่ใช่หรือ?” พอฟังที่ผมพูด ศิษยาภิบาลหวังก็เลิกพูด ผมคิดว่า “ผมเคย นับถือศิษยาภิบาล คิดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับพระคัมภีร์และมีความรู้เรื่องพระเจ้า ผมตกใจมากที่พวกเขาไม่เข้าใจพระคัมภีร์ และถึงกับจำกัดงานของพระเจ้า” ผมผิดหวังมาก

หลังถกเถียงกันหลายครั้ง ศิษยาภิบาลก็เห็นว่าผมหนักแน่นในความเชื่อ เลยใช้ความเข้าใจผิดมากมายมาทำให้ผมสับสน ผมหักล้างเขาด้วยพระวจนะ และเป็นพยานยืนยันแก่งานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่รับฟังผมเลย เมื่อถกเถียงกันจบ พอศิษยาภิบาลหวังเห็นว่าหักล้างผมไม่ได้ เขาก็ไม่พูดอะไร ผู้นำหานที่มากับเขา พูดกับผมว่า “เฮงซิน เราอยากให้คุณเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพราะเรากำลังรับผิดชอบชีวิตคุณ ที่เราทำก็เพราะรัก เรากลัวคุณจะเลือกทางผิด คนที่เข้าใจพระคัมภีร์อย่างคุณควรเป็นผู้นำคริสตจักร และร่วมมือกับงานของเรา แบบนั้นคงดีนะ” พอผมได้ยินเขาพูดแบบนี้ ผมก็นึกถึงคำพูดในพระคัมภีร์ ที่มารทดลององค์พระเยซูเจ้าว่า “อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า ‘ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน’” (มัทธิว 4:8-9) การที่พวกเขาขอให้ผมไปเป็นผู้นำที่คริสตจักร คือการทดลองของมาร พวกเขาคิดว่า ถ้าเกลี้ยกล่อมผมด้วยเกียรติยศและสถานะ ผมคงไปกับพวกเขา พวกเขาให้ความสำคัญกับมันเกินไปมาก! พอได้ยินข่าวเรื่องการเสด็จมา แทนที่พวกเขาจะแสวงหาและสืบค้น ก็กลับพยายามล่อลวงผมจากหนทางที่แท้จริง ช่างร้ายกาจเหลือเกิน! ผมเลย ปฏิเสธพวกเขาไป “ผมจะไม่กลับไปที่คริสตจักร ตอนนี้ องค์พระเยซูเจ้ากลับมาทรงงานใหม่แล้ว พระองค์ไม่ทรงงานในคริสตจักรของยุคพระคุณแล้ว กลับไปคริสตจักรจะมีประโยชน์อะไร? เราควรยอมรับงานใหม่ของพระเจ้า และติดตามพระองค์ ไม่งั้นก็จะถูกพระองค์ทอดทิ้งและขับออก เหมือนกับตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน เหล่าสาวกได้ยินพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และจำได้ว่านี่คือเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้า ติดตาม และได้รับความรอด ส่วนพวกที่รักษาธรรมบัญญัติในธรรมศาลา ก็ถูกพระองค์ทอดทิ้ง และขับออก คุณควรตระหนักข้อเท็จจริงนี้ให้มากที่สุด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในยุคสุดท้าย ถ้าไม่ฟังพระสุรเสียง เราจะต้อนรับพระองค์ได้ยังไง? องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น 10:27) วิวรณ์ก็เผยพระวจนะไว้ว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ บทที่ 2, 3)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20) อาจารย์หวัง สิ่งสำคัญที่สุดในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า คือการฟังพระสุรเสียง ถ้ามีคนเป็นพยานยืนยันว่าทรงกลับมาแล้ว เราก็ต้องละวางมโนคติอันหลงผิด เพื่อแสวงหา และสืบค้น ไม่อย่างนั้นเราจะต้อนรับพระองค์ และเข้าสู่ราชอาณาจักรไม่ได้” “เราไม่จำเป็นต้องฟังพระสุรเสียง เราแค่ต้องคอยให้พระองค์เสด็จมาบนก้อนเมฆ เพื่อพาเราเข้าสู่ราชอาณาจักร ถ้าวันนั้นมาถึง ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆ และเราคือคนที่ร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เราก็จะรับผิดชอบ แต่ผมต้องบอกคุณให้ชัดเจน ถ้าคุณเชื่อผิดและเลือกทางผิด ก็อย่าโทษเราแล้วกัน ตอนนี้ถ้าคุณอยากกลับตัว ก็ยังกลับไปที่คริสตจักรได้นะ ผมจะให้เวลาคุณคิดเรื่องนี้อีกสักสองสามวัน เจ็ดวันนับจากนี้ ค่อยมาตอบผมที่คริสตจักร ผมขอเตือน คุณห้ามประกาศข่าวประเสริฐของคุณที่คริสตจักร ถ้าใครในคริสตจักรของเราเริ่มเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพราะคุณ คุณจะต้องชดใช้!” พอเขาพูดจบ เขาก็พูดกับครอบครัวผมว่า “เราพูดไปเยอะแล้ว แต่เขาไม่ฟัง คุณเป็นครอบครัวเดียวกัน ลองโน้มน้าวเขาดู” จากนั้นศิษยาภิบาลก็ฟึดฟัดออกไป

ครอบครัวผมโกรธมาก ที่เห็นว่าผมไม่ฟังศิษยาภิบาล ทุกคนเลยพากันมาด่าผม พี่ชายคนรองถึงกับขู่ใช้ความรุนแรง “เราเรียกศิษยาภิบาลมา แต่แกทำเราขายหน้า เขาพูดอะไรมากมาย แต่แกไม่ฟัง แถมยังยืนกรานจะเชื่อต่อไป ฉันจะตีแกให้ตาย!” “ขอล่ะ ทำไมพี่อยากตีผมล่ะ ผมทำอะไรผิด? องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาแล้ว ผมแค่ฟังพระสุรเสียงและต้อนรับพระองค์ ทำไมพี่ทำกับผมแบบนี้? พี่ยังเชื่อในพระเจ้าอยู่หรือเปล่า?” “แกไม่ฟังศิษยาภิบาลด้วยซ้ำ แกเป็นบ้าอะไรไป? ห๊า!” “พี่เชื่อในพระเจ้าหรือศิษยาภิบาลกันแน่? แค่ผมยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ศิษยาภิบาลก็มาขวางและก่อกวนผมแบบนี้ ผมคิดว่าศิษยาภิบาลกับเหล่าผู้นำ คือฟาริสีหน้าซื่อใจคด ตอนนี้พระเจ้าทรงกลับมาแล้ว กำลังทรงงานใหม่ และทรงแสดงความจริงมากมาย แต่พวกเขาไม่แสวงหาและสืบค้น แถมยังมาขัดคนอื่นจากการต้อนรับพระองค์ พวกเขาถึงกับใช้สถานะมาล่อลวงผมจากหนทางที่แท้จริง บอกว่านี่ก็เพื่อชีวิตของผมเอง นี่แค่คำโกหกไม่ใช่หรือ? พวกเขาอยากให้ผมหลงกลและทำลายผม! องค์พระเยซูเจ้าทรงเปิดโปงพวกฟาริสีว่า ‘วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม… เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า(มัทธิว 23:13, 15) ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ต่างจากพวกฟาริสียังไง? พี่เลือกยืนข้างพวกเขาได้ยังไง?” “ถ้าศิษยาภิบาลขับไล่แก เราก็ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป แกจะอยู่หรือตายยังไง ก็จะไม่สำคัญกับเราอีก คืนเงินที่แกติดเรามาซะ เราให้เวลาแกสองสัปดาห์”

การเห็นว่าพวกเขาช่างใจร้าย ทำให้ผมเศร้ามาก เวลาพวกเขามีปัญหา ผมก็พยายามช่วยเหลือเต็มที่ แต่ตอนนี้ พวกเขากลับทำกับผมแบบนี้ พี่ชายแสนดีที่ผมเคยรู้จัก กลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง? คนพวกนี้คือครอบครัวของผมได้ยังไง? คืนนั้น ผมนอนไม่หลับอยู่บนเตียง การคิดถึงเรื่องนั้นมันเจ็บปวดมาก จนผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ผมอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้ทรงมอบความเชื่อและทรงนำผมให้เข้าใจน้ำพระทัย เพื่อที่ผมจะได้รู้วิธีประสบกับสภาพแวดล้อมนี้ ผมนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพมาสู่โลก เราไม่ได้นำสันติภาพมาให้ แต่เรานำดาบมา เรามาเพื่อจะให้ ลูกชาย หมางใจกับบิดาของตน ลูกสาวหมางใจกับมารดา ลูกสะใภ้หมางใจกับแม่ผัว และ ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน(มัทธิว 10:34-36)ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน(ยอห์น 15:18) พระวจนะคือเรื่องจริง และคำเผยพระวจนะก็ลุล่วงแล้ว แค่เพราะผมยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ศิษยาภิบาลและพี่ชายของผม ก็พยายามขัดขวางและข่มเหงผม พวกเขาไม่ได้เกลียดชังผม แต่พวกเขาเกลียดชังพระเจ้า หลังจากคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น ผมก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้า พระวจนะช่วยให้ผมเอาชนะการก่อกวนและขัดขวางจากครอบครัวและศิษยาภิบาล และมีวิจารณญาณเรื่องพวกเขาขึ้นบ้าง

วันหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้ถึงสถานการณ์ของผม และส่งพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาหนึ่งบทตอน “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับการทดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา? เจ้าพวกเด็กโง่เอย! เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรของเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา พวกคนที่ร่วมแบ่งปันความขมขื่นของเราจะได้ร่วมแบ่งปันความหวานชื่นของเราอย่างแน่นอน นั่นคือคำสัญญาของเราและพรของเราแก่พวกเจ้า จงอย่าลังเลที่จะกินและดื่มและชื่นชมวจนะของเรา เมื่อความมืดมนผ่านพ้น ความสว่างจะรวมตัวกัน ก่อนรุ่งสางคือช่วงที่มืดมนที่สุด หลังจากเวลานี้ ท้องฟ้าจะค่อยๆ กระจ่าง และพระอาทิตย์ก็ขึ้นมา จงอย่ากลัวหรือขลาดไป(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) เธอสามัคคีธรรมกับผมว่า “เราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ซาตานไม่อยากให้เราถูกช่วยให้รอด หรือถูกรับโดยพระเจ้า มันเลยใช้หลากหลายวิธีการ เพื่อขัดขวางและก่อกวนเรา แต่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ทำไมน่ะหรือ? พระเจ้าทรงอยากเปิดเผยความเชื่อของผู้คนว่าจริงหรือเท็จ คนที่มีความเชื่อแท้จริง เป็นแกะของพระเจ้า ก็ยืนหยัดกับการทดสอบได้ ไม่ว่าจะถูกซาตานก่อกวนยังไง ก็ยืนกรานที่จะติดตามพระเจ้าได้ ส่วนพวกที่ไม่ใช่ของพระเจ้า คนที่เชื่อไม่จริง ก็จะถอนตัวไปเมื่อถูกซาตานก่อกวน นี่คือพระปัญญาของพระเจ้าที่ถูกใช้ตามอุบายของซาตาน ตอนนี้คุณถูกศิษยาภิบาลและครอบครัวก่อกวนและขัดขวาง นี่คือการทดสอบ พอประสบสิ่งนี้ คุณจะเข้าใจความจริงขึ้นบ้าง และเห็นบางสิ่งได้อย่างชัดเจน คุณจะรู้วิธีแยกแยะว่า ใครเป็นผู้เชื่อแท้จริงและเทียมเท็จ และเกิดความเชื่อในพระเจ้าด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่อาจได้รับจากสภาพแวดล้อมที่สุขสบาย นี่เป็นความทุกข์ที่คุ้มค่า” พอฟังเธอสามัคคีธรรม ผมก็เข้าใจว่า การขัดขวางและก่อกวนจากศิษยาภิบาลและครอบครัว ดูเหมือนเกิดจากมนุษย์ แต่ที่จริง ทั้งหมดคือการก่อกวนของซาตาน ที่พยายามทำให้ผมเสียความรอดของพระเจ้าไป ซาตานช่างน่าเกลียดจริงๆ จากเรื่องที่เกิดขึ้น ผมได้มีวิจารณญาณเรื่องศิษยาภิบาลขึ้นบ้าง และความปรารถนาที่จะติดตามพระเจ้าของผมก็หนักแน่นขึ้น สองสามวันต่อมา พอเห็นว่าผมยังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ลุงก็มาเพื่อห้ามปรามผมด้วย “เฮงซิน แกฟังลุงเถอะนะ กลับมาดีกว่า ถ้าศิษยาภิบาลขับไล่แก แกจะทำยังไง? ถ้าคราวหลังแกมีเรื่องยากลำบากหรือล้มป่วย ใครจะช่วยแก?” “ในที่สุดผมก็ได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ไม่ว่ายังไง ผมก็จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมจะไม่กลับไปที่คริสตจักร” “แกรู้ไม่เท่าศิษยาภิบาลหรอก เรื่องการเชื่อในพระเจ้า เราต้องฟังศิษยาภิบาล” “ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน ผู้เชื่อในศาสนายิวก็คิดว่าฟาริสีรู้ดีกว่าตัวเอง และติดตามพวกเขาในการต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระผู้เป็นเจ้า ผลคือพวกเขาถูกสาปแช่ง และลงโทษ ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า เราต้องฟังพระวจนะ ถ้าคำพูดและการกระทำของศิษยาภิบาลไม่สอดคล้องกับพระวจนะ เราก็ฟังพวกเขาไม่ได้ ผมบอกศิษยาภิบาลว่าพระเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้ายเพื่อแสดงความจริงมากมาย ซึ่งมีข้อพิสูจน์ในพระคัมภีร์ และคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า แถมพวกเขาก็หักล้างเรื่องนี้ไม่ได้ แต่พวกเขาไม่ต้องการที่จะแสวงหาเลย พยายามห้ามผมจากการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และไม่ยอมให้ผมแบ่งปันเรื่องนี้กับเหล่าพี่น้องเลย ลุงว่าสิ่งที่พวกเขาทำสอดคล้องกับพระวจนะหรือ? ลุง ลุงไม่แสวงหาและสืบค้นงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ลุงฟังสิ่งที่ศิษยาภิบาลพูดไปเสียหมด ลุงไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วจะรู้ได้ไงว่าจริงหรือเท็จ? ก็เหมือนกับการข้ามแม่น้ำ ถ้ามีคนหนึ่งบอกว่าน้ำลึก แต่คนอื่นบอกว่าตื้น ลุงจะเชื่อใครครับ? ถ้าไม่ลุยน้ำไปเอง จะรู้ความจริงหรือ? ถ้าลุงเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่ไม่ฟังพระองค์ แถมยังยืนกรานที่จะฟังศิษยาภิบาล สุดท้ายถ้าพวกเขาตกนรก ลุงจะไม่ตกนรกไปด้วยหรือ? นี่เป็นการหลับหูหลับตานำไปสู่บ่อบาดาลลึกไม่ใช่หรือ?” “แกไม่กลัวจะถูกศิษยาภิบาลรายงานกับทางการแล้วถูกจับหรือ?” “ไม่ว่าพวกเขาจะรายงานเรื่องผมหรือไม่ ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรกับผม ต่อให้จะถูกข่มเหง ผมก็ต้องติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” วันนั้น ลุงพยายามโน้มน้าวผมต่อ แต่ผมไม่ฟังท่าน หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เพื่อป้องกันไม่ให้ศิษยาภิบาลมารบกวนอีก ผมเลยไปหาศิษยาภิบาลและผู้นำ บอกพวกเขาว่าผมแน่วแน่ที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และจะไม่กลับไปที่คริสตจักร และขอให้พวกเขาไม่มาคุยกับผมอีก ผมไม่คิดเลยว่าศิษยาภิบาลจะไม่ยอมแพ้ และพูดว่า “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่คุณเชื่อนี้ ไม่ใช่การทรงกลับมา ถ้าคุณเชื่อต่อไป คุณก็กำลังทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า” ผมบอกไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาไว้ว่า ‘เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น(มัทธิว 24:27) การปรากฏของฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ทำให้คำเผยพระวจนะลุล่วงไม่ใช่หรือ?” พอศิษยาภิบาลหวังเห็นว่าหักล้างผมไม่ได้ เขาก็โกรธ และเริ่มตัดสินและกล่าวโทษงานของพระเจ้า ผมโกรธคำพูดเขามาก และนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น 10:27) แกะของพระเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ ศิษยาภิบาลและผู้นำไม่เข้าใจพระสุรเสียง และตัดสินพระเจ้า พวกเขาไม่ใช่แกะของพระเจ้า แต่เป็นของมาร ผมบอกพวกเขาไปว่า “สมัยก่อนฟาริสีตัดสินและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า ตอนนี้คุณได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว คุณก็ไม่แสวงหาหรือสืบค้น แม้จะเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสพระวจนะอย่างดี คุณก็ยังกล่าวโทษและต่อต้าน คุณก็เป็นแค่ฟาริสีสมัยใหม่ไม่ใช่หรือ?” ตอนที่ผมพูดแบบนี้ ศิษยาภิบาลและผู้นำโกรธมาก เลยพยายามอีกวิธีเพื่อบีบบังคับผม “ในเมื่อคุณมั่นใจว่าอยากเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ งั้นมาเขียนหนังสือแถลงกัน ให้คุณเซ็นว่า คุณไม่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า” “ทำไมผมต้องเซ็นหนังสือนั่น? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และผมเชื่อในพระองค์ ซึ่งคือการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า คุณจะบอกว่าผมไม่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้าได้ยังไง? นั่นเป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงไม่ใช่หรือ? ตามที่คุณพูด เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน สาวกขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเปโตรและยอห์น ต่างก็ทิ้งธรรมศาลาและติดตามองค์พระเยซูเจ้า จะบอกว่าพวกเขาทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ไหม? ไม่ได้แน่นอน พวกเขาตามงานใหม่ของพระเจ้าทันต่างหาก เช่นเดียวกัน ตอนนี้องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาทรงงานใหม่แล้ว และผมที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็กำลังติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดก นี่จะเป็นการทรยศองค์พระเยซูเจ้าได้ยังไง? ผมจะไม่เซ็นอะไรแบบนั้นทั้งนั้น!” “คุณต้องเซ็นจดหมายแถลงนี้ และพี่ชายคุณ กับพ่อแม่ของคุณก็จะต้องเซ็นด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าคุณทิ้งคริสตจักรไปเอง เราไม่ได้ขับไล่คุณออกไป” ตอนนั้น ผมเห็นถึงจุดประสงค์ของเขา ถ้าผมแถลงว่าไม่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า และไปเชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แทน ก็แปลว่าผมปฏิเสธว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับองค์พระเยซูเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าองค์เดียวกันไม่ใช่หรือ? ถ้าผมเซ็นไป มันคงกลายเป็นหลักฐาน ให้พวกเขาปฏิเสธและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาชั่วร้ายและเลวทรามมาก! ถ้าพวกเขาส่งหนังสือแถลงนี้ให้ทางรัฐบาลเวียดนาม ผมคงถูกข่มเหง นี่คือจุดประสงค์อันน่ารังเกียจของพวกเขา คืนนั้น เราโต้เถียงกันจนถึงสี่ทุ่มกว่า แต่ไม่ว่าผมจะพูดยังไง ก็เหมือนศิษยาภิบาลไม่เข้าใจ แถมยังหยาบคายและไร้เหตุผล ผมเลยไม่มีอะไรจะพูดกับพวกเขาอีก วันรุ่งขึ้น พอครอบครัวผมรู้ข่าว พวกเขาก็มาที่บ้านเพื่อแจ้งข้อกล่าวหากับผม “ฉันกับพ่อแกทำงานหนักเพื่อเลี้ยงแกมา และตอนนี้แกก็ทอดทิ้งเราหรือ? แกไม่มีมโนธรรมเลยหรือไง!” “แม่ ผมไม่ได้ทอดทิ้งแม่นะ ผมประกาศข่าวประเสริฐกับแม่หลายครั้ง แต่แม่ไม่เชื่อ แม่ไม่ฟังพระวจนะ เอาแต่ฟังศิษยาภิบาล นี่เป็นสิ่งที่แม่เลือกเอง” “จากนี้ แกไม่ใช่ลูกชายฉันอีกต่อไป!” “จากนี้ เราจะแยกไปคนละทาง เราไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป ไม่ว่าวันหน้าแกจะเจอเรื่องยากลำบากอะไร เราก็จะไม่ช่วยแก” “อย่างนั้นก็ได้ ผมแค่เชื่อในพระเจ้า และพี่ก็มาข่มเหงผมแบบนี้ มาให้ผมเลือกระหว่างพี่กับพระเจ้า ผมก็ต้องเลือกพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ผมไม่เคยพูดว่านี่ไม่ใช่พ่อแม่ และพี่ผม พี่พูดมันออกมาเอง”

หลังจากนั้นมา ผมก็เลิกไปคริสตจักร ผมคิดว่าศิษยาภิบาลและผู้นำคงไม่กวนผมอีก แต่แล้ววันหนึ่งในเดือนเมษายน เพื่อนร่วมงานที่คริสตจักร ที่ดูแลเรื่องบัญชีมาหาผม และยืนกรานให้ผมไปเซ็นหนังสือแถลงที่คริสตจักร เรื่องการไม่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ผมหัวเสียมาก คนพวกนี้ไม่ยอมเลิกยุ่งกับผมเลย ทำไมถึงน่าเกลียดนัก? หลังจากที่ผมไล่เขาไป ผมก็สงบใจและอธิษฐานถึงพระเจ้า และนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งขึ้นมา “เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ ดูแลบุคคลผู้หนึ่ง และทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และเมื่อพระองค์ทรงโปรดปรานและให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลผู้นี้ ซาตานย่อมตามไปอย่างใกล้ชิด พยายามจะหลอกและทำร้ายบุคคลดังกล่าว หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้บุคคลผู้นี้เอาไว้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจหยุดชะงักและลดทอนพระราชกิจ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไร? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการช่วงชิงผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้มาครอบครองเสียเอง มันต้องการที่จะควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ? พวกเจ้ามักจะกล่าวบ่อยครั้งว่าซาตานนั้นชั่วยิ่งนัก แย่ยิ่งนัก แต่พวกเจ้าเคยมองเห็นมันแล้วหรือ? พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้ว่ามวลมนุษย์แย่อย่างไร พวกเจ้ายังมองไม่เห็นว่าซาตานตัวจริงแย่อย่างไร กระนั้นในเรื่องของโยบ พวกเจ้าก็ได้สังเกตดูอย่างชัดแจ้งแล้วว่าซาตานชั่วเพียงใดกันแน่ เรื่องนี้ได้ทำให้โฉมหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของซาตานและแก่นแท้ของมันแจ่มชัดมาก ในการทำสงครามกับพระเจ้า และในการสะกดรอยตามมาข้างหลังพระองค์นั้น วัตถุประสงค์ของซาตานคือเพื่อรื้อทำลายพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ เพื่อยึดครองและควบคุมบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ เพื่อทำให้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับนั้นดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิง หากพวกเขาไม่ถูกทำให้ดับสิ้นไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาเป็นสิ่งครอบครองของซาตาน เพื่อให้มันใช้งาน—นี่คือวัตถุประสงค์ของมัน(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4) พอใคร่ครวญพระวจนะ ผมก็เห็นอุบายของซาตานชัดเจนขึ้น ผมเห็นว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพวกนี้เป็นของซาตาน เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของซาตาน พวกเขาพยายามทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางและก่อกวนการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของผม เพื่อดึงตัวผมไปจากพระเจ้า พวกเขาขอให้ผมเซ็นหนังสือปฏิเสธองค์พระเยซูเจ้า เพื่อให้เป็นข้ออ้างที่พวกเขาจะมากล่าวโทษผม หัวใจของพวกเขาช่างชั่วร้ายเลวทรามเหลือเกิน! ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขารับบทบาทของซาตาน ต่อมา ครอบครัวของผมก็เห็นเจตนาของศิษยาภิบาลอย่างทะลุปรุโปร่ง ตระหนักได้ว่า เขาอยากให้ผมเซ็นหนังสือเพื่อที่จะได้รายงานผมต่อรัฐบาล แม่เลย พูดกับผมว่า “เฮงซิน อย่าเซ็นหนังสือนั่นนะ ศิษยาภิบาลแย่มาก แกไม่ได้ทำอะไรผิดเลยกับการเชื่อในพระเจ้า แต่เขามาทำกับแกอย่างนี้ ถ้าแกทนทุกข์กับการข่มเหง แม่จะไม่ปล่อยเขาไว้แน่” ผมเคยยกย่องศิษยาภิบาล ผมคิดว่าพวกเขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า และการช่วยเหลือพวกเขาคือการรักพระองค์ ผมเลยมักจะให้เครื่องถวาย ทั้งข้าวของเงินทอง ตอนที่พวกเขารถเสีย ไม่ว่าใช้เงินกี่บาทผมก็คอยซ่อมให้ ประสบการณ์นี้ ทำให้ตอนนี้ผมได้เห็นโฉมหน้าจริงของศิษยาภิบาล พวกเขาขัดขวางผู้คนจากการสืบค้นหนทางที่แท้จริงด้วยการอ้างว่าปกป้องฝูงแกะ และห้ามคนอื่นๆ จากการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ พวกเขาแค่ต้องการควบคุมเราทุกคนเอาไว้ เราจะได้ให้เงินกับพวกเขามากขึ้น และสนับสนุนพวกเขา พวกเขาคือเครื่องสะดุดที่กีดกันผู้คนจากการเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์

เหมือนที่พระวจนะกล่าวว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) ผมขอบคุณการทรงคุ้มครองของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้นำและชี้นำผมทีละขั้น ให้ผมมองอุบายของซาตานออก ได้เห็นชัดว่า ศิษยาภิบาลเกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า ได้เป็นอิสระจากพันธนาการของผู้รับใช้ชั่วและศัตรูพระคริสต์โดยสมบูรณ์ และได้หวนคืนสู่พระนิเวศ หัวใจผมเปี่ยมด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อพระเจ้า! ตอนนี้ ผมเพลิดเพลินกับเสบียงอาหารของพระวจนะทุกวัน ผมประกาศข่าวประเสริฐและเป็นพยานยืนยันแก่พระเจ้ากับพี่น้องชายหญิง ผมรู้สึกอิ่มเอม และมีความสุข! ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เส้นทางสู่การถอดหน้ากากออก

โดย ถง ซิ่น, เกาหลีใต้ เมื่อช่วงต้นปี ฉันได้รับเลือกให้เป็นผู้นำทีมให้น้ำ รับผิดชอบงานให้น้ำของหลายทีม ตอนนั้น ฉันคิดว่า...

เส้นทางแห่งการเผยแพร่ศาสนา

จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่ผมเรียนรู้ที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมบังเอิญได้เจอกับพี่สวี สมาชิกของคริสตจักร ที่มณฑลหูเป่ย์...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger