การเห็นว่าฉันหน่ายความจริง

วันที่ 29 เดือน 07 ปี 2022

โดย หลีเสี่ยง, เกาะไซปัน

วันหนึ่งเมื่อต้นปีนี้ ผมพบว่าผู้มาใหม่คนหนึ่งที่เพิ่งเข้าร่วมกับคริสตจักร ไม่มาชุมนุมสองครั้งแล้ว ผมถามหัวหน้ากลุ่มว่าทำไม แต่หัวหน้ากลุ่มคนนี้ไม่ได้ตอบอะไร ต่อมา ผู้มาใหม่คนนี้ก็กลับเข้านัดพบอีกครั้ง ผมจึงไม่ได้ถามเหตุผลกับหัวหน้ากลุ่มคนนั้น คิดว่า “ตราบใดที่ผู้มาใหม่เข้าร่วมกันนัดพบตามปกติ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้หน้าที่ผมยุ่งมาก และการติดตามโดยละเอียด ใช้ทั้งเวลาและความพยายามมาก ไว้มีเวลาผมค่อยถามใหม่” แต่ต่อมาผมก็ลืมเรื่องนั้นไป ในการนัดพบอีกหนหนึ่ง ผมสังเกตว่าผู้มาใหม่คนนี้ลุกออกไปกลางคัน ผมถามหัวหน้ากลุ่มว่าทำไม แต่เธอก็ยังคงไม่ตอบผม และผมก็ไม่เคยรู้ต้นสายปลายเหตุของเรื่อง ผมไม่ไปถามผู้มาใหม่คนนั้นด้วยว่า เธอมีสภาวะหรือความยากลำบากอะไรหรือเปล่า พอผ่านไปสักระยะ จู่ๆ ผมก็สังเกตเห็นว่า ผู้มาใหม่คนนี้ไม่เข้านัดพบหลายครั้งติด ตอนนี้เองผมถึงเริ่มกังวล และรีบติดต่อผู้มาใหม่ไป แต่เธอไม่ตอบอะไร ผมกังวลว่าผู้มาใหม่คนนี้จะไปจากคริสตจักร จึงติดต่อไปหาหัวหน้ากลุ่ม เพื่อดูว่าเธอติดต่อผู้มาใหม่คนนี้ได้ไหม แต่หัวหน้ากลุ่มบอกผมว่า “ผู้มาใหม่คนนี้ไม่รับฉันเป็นเพื่อน ฉันเลยติดต่อเธอไม่ได้” ผมรู้สึกเสียใจนิดหน่อย ถ้าผมตรวจสอบเรื่องนี้ให้เร็วกว่านี้ ผมคงหาทางแก้ไขมันได้ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว ผมผิดเองที่ไม่ติดตาม จากนั้นไม่นาน ผมก็ได้อ่านบทสนทนากับผู้มาใหม่ที่ถูกบันทึกไว้ หวังว่าจะรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเธอมากขึ้น กลายเป็นว่าหลังจากพูดทักทายผู้มาใหม่คนนี้ไม่กี่คำ ผมก็ไม่เคยคุยอะไรกับเธอเลย ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอทั้งนั้น ผมตระหนักว่าความหวังที่จะพาผู้มาใหม่คนนี้กลับมานั้นริบหรี่ ที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เป็นเพราะผมทำไปมั่วๆ แต่ตอนนั้น ผมไม่ได้ทบทวนตัวเองในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผมแค่คิดถึงมันพอสังเขป ยอมรับว่าผมสะเพร่าอยู่บ้างเท่านั้น

ผ่านไปไม่นาน หัวหน้างานก็มาถามผมเรื่องผู้มาใหม่คนนี้ และถามว่าทำไมเธอจึงผละจากคริสตจักร สิ่งนั้น ทำผมเครียดมาก คิดว่า “แย่ละ ฉันกำลังจะถูกเปิดโปง” หัวหน้างานจะต้องบอกว่า ผมทำหน้าที่แบบมั่วๆ และวางใจไม่ได้แน่นอน ถ้าเกิดถูกปลดขึ้นมา ผมจะทำยังไงดี? แน่นอน หลังจากดูบทสนทนานั้น หัวหน้างานก็ชี้ให้ผมเห็นปัญหา บอกว่าผมสุกเอาเผากิน และไม่ได้ใส่ใจ หรือพยายามเรียนรู้สภาวะของผู้มาใหม่คนนี้เลย เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ผมก็รีบสร้างความชอบธรรมให้ตนเองว่า “ผู้มาใหม่คนนี้ไม่ตอบที่ผมทักไป ผมเลยคุยกับเธอต่อไม่ได้” หัวหน้างานจึงจัดการกับผมว่า “ไม่ใช่ว่าคุยไม่ได้ คุณไม่สนใจเธอเลยต่างหาก” ผมกังวลว่า ถ้ายอมรับว่าทำไปมั่วๆ ผมก็จะต้องรับผิดชอบ ก็เลยรีบอธิบายไปว่า “หลักๆ แล้วหัวหน้ากลุ่มเป็นคนรับผิดชอบผู้มาใหม่คนนั้น ผมคิดว่าเธอติดต่อกับผู้มาใหม่คนนั้นอยู่ เลยไม่ได้ถามเรื่องสถานการณ์ของผู้มาใหม่คนนี้ให้ทันท่วงที ผมถามหัวหน้ากลุ่มไปแล้ว แต่เธอก็ตอบผมไม่ทัน” ผมเอาข้อความที่ส่งหาหัวหน้ากลุ่มให้หัวหน้างานดู เพื่อพิสูจน์ว่าจริงๆ แล้วผมใส่ใจผู้มาใหม่คนนี้ ผมยังให้เธอดูข้อความที่ผมส่งหาผู้มาใหม่ทีหลังด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าผมเป็นคนเจอว่าเธอไม่มานัดพบ และผมพยายามติดต่อเธอให้ทันท่วงทีแล้ว แต่เธอเป็นฝ่ายที่ไม่ตอบผม ผมถึงกับหาเหตุผลมาบอกว่า ผมโทรหาผู้มาใหม่คนนี้ไม่ได้ และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ก็ไม่ได้ให้เบอร์เธอไว้กับผม ตอนนั้น สิ่งเดียวที่ผมคิดคือวิธีจะไม่ต้องรับผิดชอบ ผมบอกเหตุผลที่เป็นจริงมากมาย หวังว่าหัวหน้างานจะคิดว่าปัญหานี้มีเหตุผล ว่าผมไม่ใช่คนผิด อย่างน้อยก็ให้คนมารับผิดด้วย ไม่ใช่ผมคนเดียว หัวหน้างานเห็นว่าผมไม่ยอมรับปัญหา และปัดความรับผิดชอบ จึงจัดการกับผมว่า “ผู้มาใหม่คนนี้เข้าร่วมนัดพบอยู่หลายครั้ง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเธอโหยหาความจริง แต่คุณไม่ถามถึงสถานการณ์และความยากลำบากของเธอให้ทันการณ์ และตอนนี้ คุณก็ปัดความรับผิดชอบโดยบอกว่าไม่มีเบอร์เธอ นี่ค่อนข้างจะไร้เหตุผลอยู่นะ!” ผมตระหนักว่า หัวหน้างานเห็นปัญหาของผมอย่างชัดเจน และผมไม่อาจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบได้ ผมเฝ้าคิดกังวลว่า “หัวหน้างานจะคิดยังไงกับผม? เธอจะบอกว่าผมไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเลยไหม? ผมจะถูกปลดหรือเปล่า?” ผมรู้สึกร้อนใจมาก และไม่อาจสงบใจลงได้เลย ต่อมา ผมพิจารณาทุกสิ่งที่พามาถึงจุดนี้อยู่ในใจ และตระหนักได้ว่า กับเรื่องนี้ ผมไม่ได้เป็นคนซื่อสัตย์ หรือยอมรับการตัดแต่งและจัดการ เห็นได้ชัดว่าผมไม่ได้ทำหน้าที่ แค่ทำให้มันผ่านไปแบบมั่วๆ แต่ผมยังคงเล่นแง่ และหาข้ออ้างให้ตัวเองชอบธรรม ถึงกับพยายามโทษผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่ไม่เอาเบอร์มาให้ ผมไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าผมทำหน้าที่ไปมั่วๆ และไม่ทบทวนตัวเอง เมื่อมองดูพฤติกรรมของตัวเอง ผมก็ไม่สบายใจมาก ถึงผมจะอ่านพระวจนะทุกวัน แต่พอเจอสภาพแวดล้อมจริง พอผมถูกจัดการ ผมก็ยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยอุปนิสัยเสื่อมทราม และไม่ยอมรับความจริง ผมรู้สึกว่าความเสื่อมทรามของผมลึกซึ้งเกินไป และตัดสินว่าคงยากที่ผมจะเปลี่ยนแปลง ผมเลยค่อนข้างคิดลบ

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่ง “การไล่ตามเสาะหาความจริงเป็นไปโดยสมัครใจ หากเจ้ารักความจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะทรงพระราชกิจ เมื่อเจ้ารักความจริงอยู่ในหัวใจของเจ้า—ไม่ว่าจะมีการข่มเหงหรือความทุกข์ลำบากอันใดบังเกิดแก่เจ้า เมื่อเจ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า และคิดทบทวนตนเอง และพยายามรู้จักตัวเจ้าเอง—หากเจ้าพบปัญหา เมื่อเจ้าแสวงหาความจริงอย่างแข็งขันเพื่อหาทางแก้ไข—เมื่อนั้นเจ้าก็จะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า การสำแดงเหล่านี้เป็นผลผลิตโดยธรรมชาติของผู้คนที่รักความจริง และล้วนเกิดขึ้นโดยสมัครใจ ด้วยความยินดี และปราศจากการบีบบังคับ และไม่มีเงื่อนไขโดยสิ้นเชิงอีกด้วย หากเจ้าสามารถติดตามพระเจ้าในหนทางนี้ สิ่งที่เจ้าได้รับในที่สุดย่อมเป็นความจริง และสิ่งที่เจ้าเข้าสู่ก็คือความเป็นจริงของความจริง…ไม่ว่าเหตุผลของเจ้าคืออะไร หรือเหตุผลเหล่านั้นเพียงพอหรือไม่ หรือเหตุผลเหล่านั้นใช้การได้ในที่แจ้งหรือไม่ นั่นก็ไม่สำคัญ—โดยรวมแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดเหตุผลใดขึ้นมาหรือมีข้ออ้างอันใด และไม่ว่าเจ้าจะปฏิบัติหน้าที่หรือติดตามพระเจ้าในความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าหรือไม่ก็ตาม ในท้ายที่สุดแล้ว ปลายทางของเจ้าก็จะยังคงถูกกำหนดตามการที่ว่าเจ้ามีความจริงหรือไม่ หากเจ้ายังไม่มีความจริง เช่นนั้นแล้วเหตุผลหรือข้ออ้างที่เจ้าคิดขึ้นมาย่อมฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น พระเจ้าไม่ใส่พระทัยเหตุผลของเจ้า จงพยายามให้เหตุผลไปตามแต่ใจของเจ้า วิตกกังวลไปตามแต่เจ้าจะพอใจ—พระเจ้าใส่พระทัยกระนั้นหรือ? พระเจ้าจะตรัสสนทนากับเจ้ากระนั้นหรือ? พระองค์จะทรงเสวนาและหารือกับเจ้ากระนั้นหรือ? พระองค์จะทรงปรึกษาเจ้ากระนั้นหรือ? คำตอบคืออะไร? ไม่ พระองค์จะไม่ทรงทำอย่างแน่นอน เหตุผลของเจ้าใช้การไม่ได้ ไม่ว่าจะฟังเข้าท่าเพียงใดก็ตาม ผู้คนต้องไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าผิด คิดไปว่าพวกเขาสามารถนำเสนอเหตุผลและข้ออ้างทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง พระเจ้าจะทรงให้เจ้าแสวงหาความจริงในทุกสภาพแวดล้อมและในทุกเรื่องราวที่เข้ามาหาเจ้า และจะทรงให้เจ้าสัมฤทธิ์การเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงและได้รับความจริงในท้ายที่สุด รูปการณ์แวดล้อมเฉพาะที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า ผู้คนและเหตุการณ์ที่เจ้าพบพาน และสภาพแวดล้อมที่เจ้าเผชิญนั้นคือบทเรียนที่เจ้าควรเรียนรู้ในการไล่ตามเสาะหาความจริงโดยแท้ เจ้าควรอธิษฐานถึงพระเจ้าและแสวงหาความจริงเพื่อหาหนทางแก้ปัญหา หากเจ้าพยายามหาข้ออ้าง เลี่ยงหนี ไม่ยอมรับ และต้านทานอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะทรงทิ้งเจ้า การที่เจ้าดื้อดึง หรือไม่เป็นมิตร หรือใช้เหตุผลของเจ้านั้นย่อมจะเปล่าประโยชน์ พระเจ้าจะไม่กังวลสนพระทัยในตัวเจ้า(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมเห็นจากพระวจนะ ว่าการจะแก้ไขความเสื่อมทราม และเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงนั้นไม่ยากเลย กุญแจสำคัญคือ ผู้คนเลือกอย่างไร และพวกเขาแสวงหาและปฏิบัติความจริงหรือไม่ ไม่ว่าสถานการณ์ใด ไม่ว่าพวกเขาจะถูกตัดแต่งและจัดการ หรือล้มเหลวพ่ายแพ้หรือไม่ ผู้คนก็ต้องทบทวนตนเองและแสวงหาความจริงอย่างแข็งขัน พอคุณเข้าใจขึ้นบ้าง นำไปปฏิบัติ และทำตัวตามหลักธรรมแห่งความจริง คุณก็จะเห็นการเติบโต และเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เมื่อถูกตัดแต่งและจัดการ หากคุณหลบเลี่ยง ปฏิเสธ และมีข้ออ้างเสมอ นอกจากจะไม่ได้รับความจริงแล้ว คุณจะถูกพระเจ้าปฏิเสธด้วย เมื่อมองดูตนเองอีกครั้ง ตอนที่ผมถูกตัดแต่งและจัดการ ผมไม่ได้ยอมรับ เชื่อฟัง รับผิดอย่างจริงใจ ทบทวนปัญหา และแสวงหาความจริงอย่างแข็งขันเพื่อแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามเลย ผมกลับกลายเป็นคนคิดลบ ต่อต้าน และตัดสินว่ามันเกินกว่าที่ผมจะเปลี่ยน ผมเป็นคนไร้เหตุผล และปฏิเสธสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงจัดขึ้น! นี่ไม่ใช่ท่าทีของการยอมรับความจริง พอได้รับรู้ ผมก็ไม่อยากใช้ชีวิตในสภาวะที่เป็นลบ และจำกัดตัวเอง ผมอยากแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาครับ

ผมเริ่มทบทวน และสงสัยว่าทำไมผมมักจะพูดจาดี แต่พอถูกจัดการผมกลับไม่ยอมรับ กลายเป็นคนคิดลบและต่อต้าน สิ่งนี้เปิดเผยอุปนิสัยอะไร? ในการแสวงหา ผมได้อ่านพระวจนะสองบทตอนที่ว่า “มีผู้คนที่อาจจะสามารถยอมรับว่าตนคือพวกมาร เป็นซาตาน เลือดเนื้อเชื้อไขของพญานาคใหญ่สีแดง ที่พูดจาถึงความรู้ที่พวกเขามีเกี่ยวกับตนเองได้อย่างน่าฟังทีเดียว แต่เมื่อพวกเขาเผยให้เห็นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน แล้วมีใครบางคนเปิดโปงพวกเขา จัดการพวกเขา และตัดแต่งพวกเขา พวกเขาก็พยายามอย่างเต็มกำลังที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเองและไม่ยอมรับความจริงแม้แต่น้อย ประเด็นปัญหาตรงนี้คืออะไร? ในการนี้มีบุคคลที่ถูกเปิดโปงอย่างหมดสิ้น พวกเขาพูดจาชวนฟังเหลือเกินเมื่อพวกเขาพูดคุยถึงการรู้จักตัวพวกเขาเอง ดังนั้นเหตุใดเมื่อเผชิญการตัดแต่งและจัดการ พวกเขาจึงไม่สามารถยอมรับความจริง? ปัญหาเกิดขึ้นตรงนี้ สิ่งเช่นนี้ทำกันเป็นปกติมากมิใช่หรือ? สิ่งเช่นนี้ง่ายที่จะระบุชี้หรือไม่? ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น มีผู้คนไม่น้อยที่ยอมรับว่าตนคือพวกมารและซาตานเมื่อพวกเขาพูดถึงการรู้จักตนเอง แต่พวกเขาไม่กลับใจหรือเปลี่ยนแปลงในภายหลัง ดังนั้นการพูดคุยถึงการรู้จักตนเองเช่นนี้แท้จริงหรือเทียมเท็จ? ความรู้ของพวกเขาเป็นความรู้ที่แท้จริงหรือเป็นกลโกงที่หมายจะลวงหลอกผู้อื่น? คำตอบนั้นชัดเจนในตัวเองอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น การที่จะบอกว่าบุคคลผู้หนึ่งรู้จักตนเองอย่างแท้จริงหรือไม่ เจ้าจึงไม่ควรเอาแต่รับฟังการที่พวกเขาพูดคุยถึงความรู้นั้น—เจ้าควรดูที่ท่าทีของพวกเขาและดูว่าพวกเขาสามารถยอมรับความจริงหรือไม่เวลาที่พวกเขาเผชิญหน้าการตัดแต่งและการจัดการ นั่นคือสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวด ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับการถูกจัดการและตัดแต่งย่อมมีแก่นแท้ของการไม่ยอมรับความจริง ของการปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง อุปนิสัยของพวกเขาคืออุปนิสัยที่เอือมระอาความจริง การนี้ไม่ต้องสงสัยเลย ผู้คนบางคนไม่ยอมเปิดโอกาสให้ผู้อื่นจัดการพวกเขาไม่ว่าพวกเขาจะเผยให้เห็นความเสื่อมทรามมาแล้วมากมายเพียงใด ไม่มีใครอาจตัดแต่งหรือจัดการพวกเขา พวกเขาพูดถึงการรู้จักตัวเองได้ดีและจะพูดไปเสียทุกอย่าง แต่หากผู้อื่นเปิดโปงพวกเขาหรือวิจารณ์พวกเขาหรือจัดการพวกเขา ไม่ว่าจะทำอย่างเป็นกลางหรือตามข้อเท็จจริงเพียงใด พวกเขาก็ไม่ยอมรับ ไม่ว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเผยให้เห็นจะถูกเปิดโปงในแง่มุมใดก็ตาม พวกเขาย่อมเป็นปรปักษ์อย่างถึงที่สุดและยืนกรานที่จะสร้างความชอบธรรมให้ตนเองด้วยคำอธิบายที่ลวงโลก หาได้นบนอบอย่างแท้จริงแม้แต่น้อยไม่(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)หนทางหลักที่สำแดงให้เห็นการเอือมระอาความจริงไม่ใช่เพียงความรู้สึกรังเกียจเดียดฉันท์ความจริงเมื่อได้ฟังความจริงเท่านั้น หนทางเหล่านี้ยังรวมถึงความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงอีกด้วย เมื่อถึงเวลานำความจริงไปปฏิบัติ บุคคลเช่นนี้ก็ถอนตัว และความจริงก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขา เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมในระหว่างการชุมนุม พวกเขาดูเหมือนมีชีวิตชีวามาก พวกเขาชอบพูดทวนซ้ำคำสอน และกล่าวถ้อยแถลงที่สูงส่งเพื่อชนะใจผู้อื่น นี่ทำให้พวกเขาดูดีและรู้สึกดี และพวกเขาก็ทำต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้จบ แล้วยังมีผู้ที่ยุ่งอยู่กับเรื่องของความเชื่อทั้งวัน ได้แก่ การอ่านพระวจนะของพระเจ้า การอธิษฐาน การฟังเพลงนมัสการ การจดบันทึก ราวกับว่าพวกเขาไม่สามารถแยกจากพระเจ้าได้แม้ชั่วขณะหนึ่ง ตั้งแต่รุ่งสางจนมืดค่ำ พวกเขายุ่งอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้วผู้คนเหล่านี้รักความจริงอย่างแท้จริงหรือไม่? พวกเขาไม่มีอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ? เมื่อใดกันที่คนเราจะสามารถมองเห็นสภาวะที่แท้จริงของตน? (เมื่อถึงเวลาปฏิบัติความจริง พวกเขาย่อมถอยหนีจากความจริง และเมื่อถูกจัดการและตัดแต่ง พวกเขาก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับ) เป็นไปได้หรือไม่ว่านี่เป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ได้ยิน หรือเป็นเพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงไม่เต็มใจที่จะยอมรับความจริง? ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง—พวกเขาถูกธรรมชาติของตนคอยกำกับ และนี่เป็นปัญหาทางอุปนิสัย ในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้ดีทีเดียวว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงและสิ่งที่เป็นบวก ว่าการปฏิบัติความจริงสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของคนเราและพาให้บุคคลสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า แต่พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือปฏิบัติตามพระวจนะเสียเฉยๆ นั่นคือสิ่งที่เป็นการเอือมระอาความจริง(“ต้องทำความเข้าใจหกแง่มุมของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเพื่อการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)

ผมได้เห็นจากพระวจนะ ว่าผู้คนมีอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริง มันสำแดงออกมาเป็นการไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับการตัดแต่งและจัดการ และไม่ปฏิบัติความจริง ผมอ่านพระวจนะและทำหน้าที่ทุกวัน และระหว่างการนัดพบ ผมก็ยอมรับได้ตามพระวจนะ ว่าผมมีอุปนิสัยเสื่อมทราม ผมเป็นของซาตาน เป็นลูกของพญานาคใหญ่สีแดง และอื่นๆ ดูภายนอกผมเหมือนยอมรับความจริงได้ แต่พอผมถูกตัดแต่งและจัดการเพราะเหลวไหลในการทำหน้าที่ ผมจึงตระหนักว่าผมไม่ใช่คนที่ยอมรับหรือปฏิบัติความจริงเลย ว่าผมเปิดโปงอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริงในทุกสิ่ง ผมรู้ว่าในฐานะคนทำงานให้น้ำ ความประสงค์พื้นฐาน คือการมีความรับผิดชอบและอดทน เหล่าผู้มาใหม่เป็นเหมือนเด็กทารกแรกเกิด พวกเขายังไม่ได้หยั่งรากลงบนหนทางที่แท้จริง และอ่อนแอในชีวิตมาก ถ้าพวกเขาไม่มานัดพบ เราก็ต้องหาทางให้น้ำและสนับสนุนพวกเขาโดยเร็ว ผมเข้าใจหลักธรรมเหล่านี้ แต่พอถึงเวลาปฏิบัติ ทนทุกข์ และยอมลำบาก ผมก็ไม่อยากทำ เห็นได้ชัดว่าผมรู้ความจริงแต่ไม่ปฏิบัติ ผมนึกขึ้นได้ ว่านอกจากสองสามครั้งที่ผมทักผู้มาใหม่คนนี้ ผมก็ไม่ได้ให้น้ำหรือให้การสนับสนุนเขาเลย เมื่อผมพบว่าเธอไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมอย่างสม่ำเสมอ ผมก็ไม่ได้ร้อนใจ คิดว่าผมจะติดต่อกับเธอโดยเร็วได้ยังไง หรือพยายามรู้ปัญหาและความยากลำบากของเธอ ผมละเลยและไร้ความรับผิดชอบ ในระยะแรกอันแสนสำคัญของการให้น้ำผู้มาใหม่ จนเธอถอนตัวออกไป แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่ได้ทบทวนตัวเอง ตอนที่หัวหน้างานชี้ให้เห็นปัญหา ผมก็พยายามทำทุกทางเพื่อหาข้ออ้างสำหรับการทำไปแบบมั่วๆ หวังว่าจะปัดความรับผิดชอบไปทึ่หัวหน้ากลุ่มและผู้ประกาศข่าวประเสริฐ นี่จะเป็นท่าทีของการยอมรับและเชื่อฟังความจริงได้ยังไง? สิ่งเดียวที่ผมเปิดโปง คืออุปนิสัยที่หน่ายความจริง

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะอีกบทตอน “โดยไม่คำนึงถึงรูปการณ์แวดล้อมที่ทำให้ใครบางคนถูกจัดการหรือตัดแต่ง ท่าทีที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่ควรต้องมีต่อการถูกจัดการหรือตัดแต่งคืออะไร? ก่อนอื่นเจ้าต้องยอมรับการนั้น ไม่ว่าผู้ใดกำลังจัดการเจ้าด้วยเหตุผลอะไร ไม่ว่าจะดูรุนแรงหรือไม่ หรือด้วยน้ำเสียงและการใช้คำพูดเช่นไรก็ตาม เจ้าควรยอมรับ จากนั้นเจ้าควรตระหนักรู้ว่าเจ้าทำอะไรผิดไป เจ้าได้แสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอันใดออกมา และเจ้าปฏิบัติตนตามหลักธรรมของความจริงหรือไม่ เมื่อเจ้าถูกตัดแต่งและจัดการ นี่คือท่าทีที่เจ้าควรมีในเบื้องต้น แล้วพวกศัตรูของพระคริสต์มีท่าทีเช่นนี้หรือไม่? พวกเขาไม่มี ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทีที่พวกเขาแสดงออกมาคือท่าทีของการต้านทานและความเกลียดชัง ด้วยท่าทีเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทำให้ตนเองนิ่งเงียบ และตั้งใจฟัง และน้อมรับอย่างถ่อมตัวได้หรือ? นั่นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาย่อมจะทำอะไรหลังจากนั้น? แรกสุดเลย พวกเขาจะโต้เถียงกันอย่างดุเดือดและอ้างเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง แก้ต่างและโต้แย้งให้กับความผิดที่พวกเขาทำลงไปและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยให้เห็น โดยหวังว่าจะได้รับความเข้าใจและการให้อภัยจากผู้คน เพื่อให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบหรือยอมรับคำพูดที่จัดการพวกเขาและตัดแต่งพวกเขา พวกเขาแสดงท่าทีใดออกมาอย่างชัดแจ้งเมื่อเผชิญหน้าการถูกจัดการและตัดแต่ง? ‘ฉันไม่ได้ทำบาป ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าฉันทำผิด ก็ย่อมมีเหตุผลที่ฉันทำเช่นนั้น ถ้าฉันทำผิด ฉันก็ไม่ได้ตั้งใจทำผิด ถ้าฉันทำผิด ฉันก็ไม่ควรต้องรับผิดชอบ มีใครไม่ทำผิดพลาดบ้าง?’ พวกเขารีบฉกฉวยเอาถ้อยแถลงและวลีเหล่านี้มาใช้ ยึดไว้แน่นและไม่ยอมปล่อยมือ แต่พวกเขาไม่แสวงหาความจริง อีกทั้งไม่ยอมรับรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเขาเปิดเผยให้เห็นขณะทำการฝ่าฝืนของตน—และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ยอมรับรู้ว่าพวกเขามีแก่นแท้เช่นนั้น…ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับรู้ แต่ยังคงท้าทายและต้านทานต่อไป ไม่ว่าผู้อื่นจะพูดว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่ยอมรับหรือรับรู้ แต่กลับคิดว่า ‘มาดูกันว่าใครจะพูดจาชนะใคร มาดูกันว่าปากใครจะโต้แย้งเก่งกว่ากัน’ นี่คือท่าทีอย่างหนึ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีต่อการถูกจัดการและตัดแต่ง(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่แปด)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) จากพระวจนะผมได้เห็นว่า เมื่อคนปกติถูกตัดแต่งและจัดการ พวกเขารับไปจากพระเจ้า ยอมรับและเชื่อฟัง ทบทวนตนเอง และกลับใจได้อย่างแท้จริงฃ ต่อให้ตอนนั้นจะรับไม่ได้ แต่ต่อมาผ่านการแสวงหาและทบทวนอย่างต่อเนื่อง พวกเขาก็เรียนรู้บทเรียนจากการตัดแต่งและจัดการได้ แต่ธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์นั้นเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง เมื่อถูกตัดแต่งและจัดการ พวกเขาก็ไม่เคยทบทวนตัวเอง มีแต่แสดงท่าทีของการต่อต้าน การปฏิเสธ และการเกลียดชัง แล้วผมก็นึกถึงพฤติกรรมของตัวเอง ผมทำแบบมั่วๆ และไม่ติดตามผู้มาใหม่ให้ทันท่วงที จนทำให้เธอถอนตัว นี่ย่อมเป็นการฝ่าฝืนแล้ว คนที่พอมีมโนธรรมและเหตุผลอยู่บ้าง คงรู้สึกผิดและทุกข์ใจ คงจะทบทวนปัญหาของตัวเองตามที่ควร แต่นอกจากจะไม่รู้สึกผิดแล้ว ผมยังไม่ยอมรับปัญหาของตัวเองด้วย ผมถูกเอาข้อเท็จจริงนั้นมาประจันหน้า และยังพยายามหลบเลี่ยงความรับผิดชอบโดยที่รู้ทั้งรู้ บอกว่าตอนแรกผู้มาใหม่ไม่ตอบผม แล้วก็บอกว่าหัวหน้ากลุ่มขาดความรับผิดชอบ และสุดท้าย ผมก็โทษผู้ประกาศข่าวประเสริฐ หวังที่จะกำจัดความรับผิดชอบไปให้พ้นตัว และได้รับความเข้าใจจากหัวหน้างาน เมื่อเผชิญสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและการถูกตัดแต่งและจัดการ ผมก็ไม่ได้ทบทวนตัวเองเลย ผมกลับต่อตาน ต้านทานและหาข้ออ้างต่างๆ มาปกป้องและทำให้ตัวเองชอบธรรม เพราะผมไม่อยากรับผิดชอบ ผมไม่มีความเป็นมนุษย์หรือเหตุผลเลย! ผมได้เห็นว่า ผมเปิดโปงอุปนิสัยที่และเบื่อหน่ายความจริง ผมไม่มีความยำเกรงพระเจ้า ผมมองเห็นว่าหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาหลายปีเหลือเกิน อุปนิสัยของผมกลับไม่เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด และผมรู้สึกทุกข์ใจ

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง ที่ทำให้รู้เรื่องปัญหาของการไม่ยอมรับ การตัดแต่ง และจัดการได้มากขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ท่าทีอันเป็นแบบฉบับของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อการจัดการและการตัดแต่งคือปฏิเสธอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะยอมรับหรือสารภาพผิด ไม่ว่าพวกเขาจะทำความชั่วไปเท่าใด สร้างความเสียหายให้แก่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและการเข้าสู่ชีวิตของประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปมากเพียงใด พวกเขาไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อยหรือรู้สึกว่าพวกเขาติดค้างอะไร จากมุมมองนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? แน่นอนที่สุดว่าไม่มี พวกเขาก่อให้เกิดความเสียหายสารพัดชนิดแก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร นำผลเสียมาสู่คริสตจักร—ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง และพวกเขาก็มองเห็นความประพฤติชั่วของพวกศัตรูของพระคริสต์ครั้งแล้วครั้งเล่า กระนั้นพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับหรือยอมรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาไม่ยอมรับว่าพวกเขาผิดพลาด หรือว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบ นี่ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าพวกเขาเบื่อหน่ายความจริงหรอกหรือ? นั่นคือขอบข่ายที่พวกศัตรูของพระคริสต์เบื่อหน่ายความจริง และไม่ว่าพวกเขาจะกระทำความเลวมากเพียงใด พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะยอมรับ และพวกเขายังคงไม่ยอมจำนนจนถึงท้ายที่สุด นี่พิสูจน์ว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ไม่เคยจริงจังกับงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือยอมรับความจริง พวกเขาไม่ได้มาเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้า—พวกเขาคือลูกสมุนของซาตาน มาเพื่อก่อกวนและทำให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าหยุดชะงัก ในหัวใจของพวกศัตรูของพระคริสต์มีเพียงชื่อและสถานะเท่านั้น พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขายอมรับรู้ความผิดพลาดของตน เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะต้องยอมรับผิดชอบ และจากนั้นสถานะและเกียรติยศของพวกเขาย่อมจะเสียหายอย่างรุนแรง ผลลัพธ์ก็คือ พวกเขาต้านทานด้วยท่าทีที่ ‘ปฏิเสธจนตัวตาย’ และไม่ว่าผู้คนจะเปิดเผยหรือชำแหละสิ่งใด พวกเขาก็ทำอย่างสุดความสามารถของตนที่จะปฏิเสธสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าการไม่ยอมรับของพวกเขาเป็นการจงใจหรือไม่ สรุปสั้นๆ ก็คือ ในด้านหนึ่งนั้น นี่เปิดโปงธรรมชาติและแก่นแท้แห่งศัตรูของพระคริสต์ที่เบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง ในอีกด้านหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ชื่นชมสถานะ เกียรติยศ และผลประโยชน์ของตนเองว่าล้ำค่ามากเพียงใด ในขณะเดียวกัน ท่าทีที่พวกเขามีต่องานและผลประโยชน์ของคริสตจักรเป็นเช่นไร? เป็นท่าทีของการเหยียดหยามและปฏิเสธความรับผิดชอบ พวกเขาขาดพร่องมโนธรรมและเหตุผลทั้งปวง การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของพวกศัตรูของพระคริสต์แสดงถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่? ในด้านหนึ่งนั้น การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบพิสูจน์ให้เห็นแก่นแท้และธรรมชาติที่เบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง นี่แสดงให้เห็นถึงการขาดพร่องมโนธรรม เหตุผล และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่ว่าการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงจะเสียหายเพราะการแทรกแซงและการทำชั่วของพวกเขามากเพียงใด พวกเขาไม่รู้สึกถึงการโทษตัวเองเลยและจะไม่มีวันสามารถรู้สึกเดือดร้อนเพราะการนี้ นี่คือสิ่งทรงสร้างแบบไหนกัน? แม้ว่าการยอมรับความผิดพลาดบางส่วนของตนจะนับได้ว่าพวกเขายังพอมีมโนธรรมและสำนึกอยู่บ้าง—แต่พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ถึงขนาดนั้นเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าคิดว่าพวกเขาคืออะไร? แก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์คือมาร ไม่ว่าพวกเขาจะทำความเสียหายให้แก่ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาก็มองไม่เห็น ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาไม่เดือดร้อนแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่ตำหนิตัวเอง นับประสาอะไรที่จะรู้สึกเป็นหนี้ แน่นอนที่สุดว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรพบเห็นในผู้คนปกติ นี่คือมาร และมารย่อมไร้ซึ่งมโนธรรมหรือสำนึกใดๆ(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) จากพระวจนะผมเห็นว่า พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับการตัดแต่งและจัดการ เพราะธรรมชาติของพวกเขาเบื่อหน่ายและเกลียดชังความจริง และเพราะพวกเขารักผลประโยชน์ส่วนตนเป็นพิเศษด้วย เมื่อมีเรื่องมากระทบ หรือความมีหน้ามีตาของพวกเขาได้รับความเสียหาย พวกเขาก็ทำทุกทางเพื่อหาความชอบธรรมให้ตัวเอง และหาเหตุผลมาปัดรับผิดชอบ ขนาดการกระทำของพวกเขาที่ทำให้ผลประโยชน์ของพระนิเวศเสียหาย พวกเขาก็ไม่รู้สึกผิด หรือเสียใจเลย ถ้าถูกจับได้ พวกเขาก็จะดึงดันปฏิเสธที่จะยอมรับ เพราะกลัวว่าการยอมรับความรับผิดชอบนั้น จะสร้างความเสียหายต่อรวมมีหน้ามีตาของพวกเขาเสียหาย ผมเห็นได้ว่า ศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ไร้ความเป็นมนุษย์ และเป็นมารร้ายโดยแท้ ตอนเห็นคำว่า “มารร้าย” ผมก็รู้สึกใจสลายมาก เพราะพฤติกรรมและอุปนิสัยที่ผมเปิดโปงนั้น เหมือนศัตรูของพระคริสต์เลย ผมทำผิดและทำให้งานของคริสตจักรเสียหายอย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่ยอมรับอยู่ดี ตอนที่ถูกตัดแต่งและจัดการ ผมก็สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองและโยนความรับผิดชอบ ผมคิดถึงเรื่องที่ การยอมรับข่าวประเสริฐเป็นเรื่องยากสำหรับผู้มาใหม่ การยอมรับของพวกเขาคือผลจากการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ประทานความรู้แจ้ง และทรงนำพวกเขา รวมทั้งจากการที่พี่น้องชายหญิงสละเวลาและความอุตสาหะ พระเจ้าทรงรับผิดชอบทุกคนโดยเฉพาะ หากแกะหนึ่งในร้อยหายไป พระองค์ก็จะให้อีก 99 คนไปตามหาแกะที่สาบสูญ และพระองค์ก็หวงแหนชีวิตทุกคนอย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อผมรับผิดชอบการให้น้ำแก่ผู้มาใหม่ ผมก็ปฏิบัติต่อมันอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่เข้าร่วมนัดพบ ผมก็ไม่ห่วงหรือใส่ใจ บางครั้ง ผมก็แค่ถามไปพอผ่านๆ และในการตามงานของหัวหน้ากลุ่ม ผมก็ทำไปแบบมั่วๆ และไม่รับผิดชอบ ตอนเห็นว่าเธอไม่ตอบผมหลายครั้ง ผมก็ไม่รีบถามทันทีว่าทำไม แถมผมยังไม่ตรวจสอบ ว่าเธอมีปัญหาและความยากลำบากไหม ผมปฏิบัติต่อผู้มาใหม่ด้วยท่าทีที่ไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบ และผมก็ไม่ใส่ใจชีวิตของเธอแม้แต่น้อย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังไม่รู้สึกผิดหรือเสียใจ และไม่ได้พยายามแก้ไขเลย เมื่อหัวหน้างานชี้ให้เห็นว่าผมทำไปแบบมั่วๆ และไร้ความรับผิดชอบ ผมก็พยายามโต้แย้งและหาความชอบธรรมให้ตัวเองอย่างเต็มที่ และหาเหตุผลมาปัดความรับผิดชอบ เพราะกลัวว่าถ้ายอมรับปัญหา ผมจะต้องรับผิดชอบ กลัวว่าจะทำให้หัวหน้างานมองผมไม่ดี และปลดผมออก ตั้งแต่ต้นจนจบผมไม่เคยคำนึงถึงงานของคริสตจักร และไม่เคยคำนึงเลยว่า ผมสร้างความเสียหายต่อชีวิตของผู้มาใหม่หรือไม่ ผมเอาแต่คิดว่าผลประโยชน์ส่วนตัวจะได้รับความเสียหายหรือไม่ ผมจะรักษาภาพลักษณ์ และสถานะของตัวเองไว้ได้หรือไม่ ผมเห็นว่าผมเห็นแก่ตัวเป็นพิเศษ และสิ่งเดียวที่ผมปกป้อง คือผลประโยชน์ส่วนตน ผมไม่มีความเป็นมนุษย์เลยจริงๆ และพระเจ้าก็ทรงรังเกียจผม ดังนั้น ผมจึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ บอกว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เหลวไหลในหน้าที่ ก่อให้เกิดผลสืบเนื่องที่เลวร้าย แล้วก็ไม่ยอมรับ สิ่งที่ข้าพระองค์คำนึงถึง ไม่ใช่ชีวิตของผู้มาใหม่ แต่เป็นความมีหน้ามีตาและสถานะของตนเอง ข้าพระองค์ไร้ความเป็นมนุษย์จริงๆ! พระเจ้า ข้าพระองค์อยากกลับใจ”

ต่อมา ผมได้อ่านพระวจนะมากขึ้น และเจอเส้นทางปฏิบัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การได้รับความจริงนั้นไม่ยาก และการเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงก็ไม่ยากเช่นกัน แต่หากผู้คนเอือมระอาความจริงอยู่เสมอ พวกเขาจะสามารถได้รับความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่สามารถ ดังนั้นเจ้าต้องมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ ตรวจสอบสถานะภายในของตนที่เอือมระอาความจริง ดูว่าเจ้ามีการแสดงออกถึงการเอือมระอาความจริงอย่างไรบ้าง และหนทางใดในการทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นการเอือมระอาความจริง และในสิ่งใดบ้างที่เจ้ามีท่าทีที่เอือมระอาความจริง—เจ้าต้องคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้บ่อยๆ(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)หากเจ้าต้องการติดตามพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ก่อนอื่นเจ้าต้องไม่วู่วามเมื่อสิ่งทั้งหลายไม่เป็นไปตามที่เจ้าต้องการ จงสงบสติอารมณ์เสียก่อนและนิ่งเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในหัวใจของเจ้า จงอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาจากพระองค์ จงอย่าหัวแข็ง จงนบนอบเสียก่อน ด้วยวิธีคิดเช่นนี้เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถพบหนทางแก้ไขปัญหาที่ดีขึ้นได้ หากเจ้าสามารถพากเพียรที่จะดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และไม่ว่าสิ่งใดจะบังเกิดแก่เจ้าก็ตาม เจ้าก็สามารถอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาจากพระองค์ และเผชิญหน้าสิ่งนั้นด้วยทัศนคติที่นบนอบ เช่นนั้นแล้วย่อมไม่สำคัญว่ามีการแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าออกมามากมายเพียงใด และการฝ่าฝืนที่ผ่านมาของเจ้าก็ไม่สำคัญ—เจ้าจะสามารถแก้ไขสิ่งนั้นได้ด้วยการแสวงหาความจริง ไม่ว่าบททดสอบใดจะบังเกิดแก่เจ้า เจ้าจะสามารถตั้งมั่น ตราบใดที่เจ้ามีวิธีคิดที่ถูกต้อง สามารถยอมรับความจริง และเชื่อฟังพระเจ้าตามข้อพึงประสงค์ของพระองค์ ตราบนั้นเจ้าก็สามารถอย่างเต็มที่ที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ แม้ว่าเจ้าอาจเป็นกบฏและต้านทานบ้างในบางครั้ง และบางคราวก็อ้างเหตุผลเพื่อแก้ตัวและไม่สามารถนบนอบ แต่หากเจ้าสามารถอธิษฐานถึงพระเจ้าและพลิกสภาวะที่เป็นกบฏของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถยอมรับความจริง เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว จงคิดทบทวนว่าเหตุใดจึงมีความเป็นกบฏและการต้านทานเกิดขึ้นในตัวเจ้า จงหาเหตุผล จากนั้นก็แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไข แล้วอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าในแง่มุมนั้นก็จะสามารถได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ หลังจากฟื้นฟูจากการสะดุดล้มเช่นนั้นหลายครั้งเข้า จนกระทั่งเจ้าสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็จะถูกปลดเปลื้องไปทีละน้อย และแล้วความจริงก็จะเป็นใหญ่ในตัวเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า และเจ้าจะไม่มีอุปสรรคในการปฏิบัติความจริงอีกต่อไป เจ้าจะสามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และเจ้าจะใช้ชีวิตตามความเป็นจริงของความจริง(บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) จากพระวจนะ ผมได้เข้าใจว่า การจะแก้ไขอุปนิสัยที่เบื่อหน่ายความจริงนั้น ผมต้องทบทวนตัวเองเสมอ และตรวจสอบว่าคำพูด การปฏิบัติ เจตนา ท่าที และความเห็นของตัวเองนั้น แสดงถึงการเบื่อหน่ายความจริงหรือไม่ เมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้น ไม่ว่ามันจะสอดคล้องกับความต้องการของผมหรือไม่ ก่อนอื่นผมต้องสงบใจ และไม่ต่อต้าน ถ้าผมไม่อาจยอมรับสิ่งที่คนอื่นพูด และอยากจะมองหาเหตุผลมาสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง ผมก็ต้องมาเฉพาะพระพักตร์ อธิษฐาน และแสวงหาให้มากขึ้น ดูว่าพระวจนะกล่าวไว้อย่างไร และนำมาทบทวนตัวเอง หรือแสวงหาการสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงที่เข้าใจความจริง แล้วผมก็จะค่อยๆ ยอมรับความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงได้ด้วยวิธีนี้ จากนั้น ผมก็จะค่อยๆ ละทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามของตัวเองได้ เมื่อเข้าใจเส้นทางปฏิบัติแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนแปลง

เมื่อรู้ว่าการไม่ตรวจสอบสถานการณ์ของผู้มาใหม่คนนี้อย่างทันท่วงทีก็คือการฝ่าฝืนแล้ว ผมก็รีบเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ดูว่าผมไม่อาจเรียนรู้ หรือติดตามผู้มาใหม่ที่ผมดูแลไหม ขณะที่ผมคุยอยู่กับผู้มาใหม่คนหนึ่ง ผมก็พบว่า เธอไม่ค่อยเข้าใจความจริงเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า รวมถึงงานทั้งสามระยะของพระเจ้า ผมถามผู้นำว่า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐควรสามัคคีธรรมกับเธอหรือไม่ แต่ผู้นำบอกให้ผมเป็นคนไปสามัคคีธรรม ถึงแม้ผมจะรู้ว่า การแก้ไขปัญหาของผู้มาใหม่โดยเร็ว เป็นความรับผิดชอบของผม ผมก็ยังต่อต้าน ผมอยากโต้แย้ง และไม่อยากเชื่อฟัง ผมรู้สึกว่า มันเกิดเรื่องแบบนี้เพราะผู้ประกาศข่าวประเสริฐไม่สามัคคีธรรมให้ชัดเจน ทำไมผมถึงต้องรับผิดชอบเรื่องการติดตามด้วย? และตอนนี้ก็มีผู้มาใหม่มากมาย ผมมีเวลาไม่พอ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐจึงควรเป็นคนจัดการเรื่องนี้ แต่แล้ว ผมก็ตระหนักได้ว่าสภาวะของผมไม่ถูกต้อง ผู้นำของผมพูดได้เหมาะสม ข้อเสนอแนะนั้นถูกต้อง ทำไมผมถึงรับไม่ได้? ทำไมผมยังอยากโต้แย้งนักหนา? ทำไมถึงเชื่อฟังไม่ได้? ดังนั้นผมจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำผมให้นบนอบ ไม่ใช่คำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตัวเอง และรับผิดชอบเหล่าผู้มาใหม่ ผมจำได้ว่า ความสามารถในการรับของทุกคนต่างกัน บางคนได้ฟังสามัคคีธรรมจากผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และเข้าใจได้ทันที แต่ต่อมาก็ไม่ได้ชัดเจนนัก สิ่งนี้พึงต้องให้คนทำงานให้น้ำติดตามและเติมเต็มช่องว่างนั้น นี่คือการทำงานร่วมกันอย่างปรองดอง ในฐานะคนทำงานให้น้ำ งานของผมคือการพบและแก้ไขปัญหา ผมไม่ควรจู้จี้ เลือกทำเรื่องง่ายๆ และปล่อยให้คนอื่นจัดการปัญหายากๆ และมุ่งมั่นที่จะเลี่ยงปัญหา และอยู่อย่างสบายใจ ผมไม่ควรดึงดันตามสภาพ หรือหาข้ออ้างในหน้าที่ หากได้รับการมอบหมายเรื่องผู้มาใหม่ ความรับผิดชอบของผม คือการให้น้ำพวกเขาให้ดี ดูให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจความจริง และมีรากฐากบนทางที่แท้จริง นี่คือพระบัญชาของพระเจ้า คือหน้าที่ของผม นี่คือการปฏิบัติ คือการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง ตอนนั้นเอง หัวใจของผมก็สว่างขึ้น หลังการนัดพบ ผมไปหาผู้มาใหม่คนนี้ และสามัคคีธรรมกับเธอถึงปัญหา พอปฏิบัติแบบนี้ นอกจากจะไม่รู้สึกต่อต้านแล้ว ผมยังค่อนข้างมีความสุขด้วย ผมเข้าใจแล้วว่า การปฏิบัติความจริง ไม่ใช่การกระทำที่ภายนอก กลับกัน มันหมายถึงการยอมรับพระวจนะจากใจ และทำตัวตามหลักธรรมแห่งความจริง ใช้พระวจนะมาเป็นเกณฑ์ในการมองดูผู้คน ปัญหา การกระทำ และพฤติกรรม ทางนี้ มุมมองและเจตนาผิดๆ รวมถึงอุปนิสัยเสื่อมทรามของเรา ก็จะแทนที่ด้วยพระวจนะและความจริงโดยไม่รู้ตัว

จากนั้นยิ่งผมคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกว่าการถูกเปิดโปง ตัดแต่งและจัดการนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง พระเจ้าตรัสบอกพวกเราว่าเหตุผลสำคัญที่พวกเราไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เป็นเพราะพวกเรามีอุปนิสัยที่ดื้อดึงและเบื่อหน่ายความจริง อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยรู้เรื่องอุปนิสัยพวกนี้ในตัวผมมาก่อน ถ้าพระเจ้าไม่ทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเพื่อเปิดเผยผม หรือพิพากษาและเปิดเผยผมในพระวจนะ ผมคงไม่มีวันรู้ถึงอุปนิสัยที่หน่ายความจริงของตัวเอง และคงไม่มีวันกลับใจและเปลี่ยนแปลง การทำตัวเช่นนี้ต่อไปย่อมจะขัดขวาง การไล่ตามเสาะหาความจริงและการเติบโตในชีวิตของผมอย่างมาก การเปิดเผยและพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้าช่างดีงามสำหรับผมเหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การเรียนรู้ที่จะเป็นพยานที่ดีขึ้น

โดย หม้อหราน, ประเทศจีน เมื่อมิถุนายนปีก่อน ฉันถูกเลือกเป็นมัคนายกให้น้ำ ได้ดูแลการให้น้ำผู้ที่เพิ่งยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้าย ฉันคิดว่า...

ติดต่อเราผ่าน Messenger