พระเจ้าทรงมีเพศซึ่งเฉพาะเจาะจงหรือไม่? ข้าพเจ้าค้นพบการตีความใหม่ประการหนึ่ง (ภาคที่ 1)

วันที่ 14 เดือน 10 ปี 2020

โดย เป่าเอิน บราซิล

บันทึกของบรรณาธิการ: เมื่อมาถึงคำถามที่ว่า “พระเจ้าทรงมีเพศที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่?” ข้าพเจ้าเชื่อว่า คริสตชนจำนวนมากจะพูดว่า “ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า เมื่อตอนที่องค์พระเยซูเจ้ากำลังได้รับบัพติสมา พระสุรเสียงหนึ่งจากสวรรค์ได้ตรัสว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก(มัทธิว 3:17) เช่นกัน เมื่อตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอธิษฐาน พระองค์ทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ว่าพระบิดาของพระองค์ และแน่นอนว่า คำว่า ‘พระบิดา’ และ ‘พระบุตร’ เหล่านี้พิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงเป็นเพศชาย เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเราได้ยินใครบางคนกำลังให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และว่าพระองค์ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์เข้าสู่รูปสัณฐานที่เป็นเพศหญิง พี่น้องชายหญิงจำนวนมากไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้เลย พวกเขาเชื่อว่า องค์พระเยซูเจ้านั้นเป็นเพศชายอย่างชัดเจน ดังนั้นการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะสามารถเป็นเพศหญิงคนหนึ่งได้อย่างไร? พี่ชายชื่อเป่าเอินในบราซิลได้เคยเกาะติดกับทรรศนะนี้เช่นกัน จนเมื่อเขาได้ยินคำเทศนาหนึ่งแล้วเท่านั้น เขาจึงได้มาถึงการตีความใหม่ในเรื่องนี้

ความมืดมิดแผ่ซ่านไปทั่วจิตวิญญาณของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าพบความสว่างใหม่ในการชุมนุมออนไลน์

ในฤดูใบไม้ผลิ ค.ศ.2014 ข้าพเจ้าได้มาที่บราซิลเพื่อทำธุรกิจ ข้าพเจ้าไม่รู้จักใครทั้งสิ้นในบราซิล และในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังรู้สึกหลงทางและอับจนหนทางนั่นเอง ความรอดขององค์พระเยซูเจ้าได้มาถึงข้าพเจ้า ในค.ศ. 2017 ข้าพเจ้าพบคริสตจักรชาวจีนแห่งหนึ่งและได้เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมที่นั่นทุกสัปดาห์ แต่หลังจากที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมเหล่านี้ไปสักพักหนึ่ง ข้าพเจ้าก็ได้ค้นพบว่า นอกจากการประกาศหนทางแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และการรักกันแล้ว ท่านศิษยาภิบาลก็แค่เคี่ยวเข็ญให้ผู้คนทำการบริจาค ไม่ได้มีการจัดเตรียมให้กับจิตวิญญาณของข้าพเจ้าแต่อย่างใดเลย และความเชื่อของข้าพเจ้าก็ได้เย็นชาไปอย่างมีนัยสำคัญ เพราะฉะนั้น ทั้งที่เป็นคริสตจักรขนาดใหญ่ แต่กลับมีพี่น้องชายหญิงราวสิบกว่าคนเท่านั้นที่จะมาเข้าร่วมในการชุมนุมแต่ละครั้ง

อยู่มาวันหนึ่ง พี่น้องหญิงชื่อเฉิน เพื่อนสนิทคนหนึ่งของข้าพเจ้าบนเฟซบุ๊กได้จัดการเตรียมการที่จะไปฟังคำเทศนาด้วยกันกับข้าพเจ้า และโดยผ่านทางการเข้าร่วมการเทศนาครั้งนี้ ข้าพเจ้าได้พบกับพี่น้องชายชื่อเซียวจากญี่ปุ่น พี่เซียวแตกฉานในพระคัมภีร์อย่างมาก และเขามีความเข้าใจดีเลิศเกี่ยวกับพระคัมภีร์ เขาประกาศให้พวกเรารู้สาเหตุของการที่คริสตจักรถูกทิ้งร้าง และได้สามัคคีธรรมกับพวกเราเกี่ยวกับหนทางที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาเคาะที่ประตูของพวกเรา เขาพูดคุยเกี่ยวกับคำเผยวจนะดังเช่น “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7) และ “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20) และได้สามัคคีธรรมว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะดำรัสพระวจนะของพระองค์และจะทรงใช้พระวจนะของพระองค์เคาะที่ประตูหัวใจของพวกเราเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พี่เซียวยังได้อ่านอุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีทั้งสิบให้พวกเราฟังอีกด้วย (ดู มัทธิว 25:1-13) และได้พูดว่า เมื่อพวกเราได้ยินข่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว จากนั้นพวกเราก็จะต้องไปแสวงหาอย่างขันแข็ง เพราะมีเพียงบรรดาผู้ที่สามารถระลึกรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา นอกจากนี้แล้ว พี่เซียวยังได้พูดอีกด้วยว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจหนึ่ง ซึ่งโดยการนั้น พระองค์จะทรงพิพากษาและชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ด้วยพระวจนะ ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการสำเร็จลุล่วงโดยตรงของคำเผยวจนะที่ว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า(1 เปโตร 4:17) และ “ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย(ยอห์น 12:48) การเทศนาที่พี่เซียวให้นั้นสดชื่นและให้ความกระจ่าง และข้าพเจ้าได้ความชื่นชมยินดีมาจากมันอย่างมากมาย และดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ฟังเขาประกาศไปรวดเดียวห้าวันติดต่อกัน

ข้าพเจ้าได้ยินว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว แต่ข้าพเจ้ามีอุปสรรคจากมโนคติทั้งหลาย และจิตวิญญาณของข้าพเจ้านั้นมืดมน

ในวันที่หกของการชุมนุมออนไลน์ของพวกเรา พี่เซียวได้พูดกับพวกเราว่า “พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ซึ่งพวกเราได้ถวิลหากันมานานเหลือเกินแล้วนั้นได้ทรงกลับมาในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์ซ้ำ การจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกนั้นทรงเป็นผู้ชาย และบัดนี้ พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้หญิง แต่ไม่ว่าพระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้ชายหรือผู้หญิง แก่นแท้ของพระองค์ก็เป็นของพระเจ้าพระองค์เองเสมอ และพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติก็เป็นพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองเสมอ…” ชั่วขณะที่ข้าพเจ้าได้ยินว่า บัดนี้ พระเจ้าได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ผู้หญิงนั้น ข้าพเจ้าได้คิดไปว่า “นั่นจะเป็นไปได้อย่างไร? ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงรับบัพติสมาในแม่น้ำจอร์แดน ฟ้าสวรรค์ได้เปิดออกและพระสุรเสียงหนึ่งซึ่งตรัสจากสวรรค์กำลังกล่าวว่า ‘ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก(มัทธิว 3:17) ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เมื่อตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงอธิษฐาน พระองค์ได้ทรงเรียกพระเจ้าในสวรรค์ว่าพระบิดาของพระองค์ แน่นอนว่า คำว่า ‘พระบิดา’ และ ‘พระบุตร’ เหล่านี้ อ้างอิงถึงพระเจ้าว่าเป็นเพศชาย ดังนั้น พี่เซียวสามารถพูดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาในการจุติเป็นมนุษย์เพศหญิงได้อย่างไร? ที่มากกว่านั้นคือ ไม่มีคำเผยวจนะเช่นนั้นอยู่ในพระคัมภีร์เลย หัวใจของข้าพเจ้าเต็มไปด้วยความขัดแย้งในขณะที่ข้าพเจ้าคิดเรื่องนี้ และข้าพเจ้าจึงไม่ต้องการได้ยินอีกต่อไป ในเย็นวันต่อมา พี่สาวเฉินได้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์ แต่ข้าพเจ้าก็ได้หาข้ออ้างปลีกตัวจนทำให้เธอผิดหวังไป แล้วข้าพเจ้าก็ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์อีกต่อไปเลย

เมื่อเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์อีกต่อไปแล้ว เหล่าพี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้าได้กลายเป็นห่วงใยมาก และพวกเขาทั้งหมดส่งข้อความมาถามข้าพเจ้าว่า มีอะไรผิดปกติ หรือข้าพเจ้ากำลังเผชิญกับความลำบากยากเย็นอะไรหรือเปล่า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้โต้ตอบพวกเขาคนใดเลย นานกว่าหนึ่งเดือนหลังจากที่ข้าพเจ้าได้หยุดติดต่อสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รู้สึกได้รับการดลใจในการอธิษฐานของข้าพเจ้าเลย และข้าพเจ้าได้รู้สึกถึงความมืดมิดและความเจ็บปวดในจิตวิญญาณ ในสภาวะที่อับจนหนทางของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้อธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไปว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า! พระองค์ได้ทรงกลับมาแล้วจริงหรือ? หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงนำและทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ และดลใจให้พี่น้องชายหญิงทั้งหลายมาให้สามัคคีธรรมแก่ข้าพระองค์อีก หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่พระองค์ผู้ทรงกลับมาแล้วไซร้ ข้าพระองค์ก็ขอให้พระองค์ทรงให้การทรงนำแก่ข้าพระองค์ที…”

ข้าพเจ้าได้รับการนำโดยความรักของพระเจ้าและตัดสินใจที่จะเจาะลึก

หลังจากนั้น พี่น้องชายหญิงทั้งหลายก็ยังคงส่งข้อความมาหาข้าพเจ้ามากมายต่อไป โดยขอให้ข้าพเจ้าพึ่งพาพระเจ้าและแสวงหาพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และถามว่าข้าพเจ้ามีความลำบากยากเย็นอันใดในการที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างจริงจังตั้งใจหรือไม่ ข้าพเจ้ารู้สึกได้รับการดลใจจากความรักที่มาจากพระเจ้า และข้าพเจ้าจึงคิดไปว่า “พี่น้องชายหญิงเหล่านี้กับข้าพเจ้ารู้จักกันก็เพียงเพราะพวกเราล้วนเชื่อในพระเจ้าเท่านั้นเอง แม้ว่าข้าพเจ้าได้จงใจเพิกเฉยต่อพวกเขา พวกเขาก็ยังคงเปี่ยมด้วยความรักยิ่งนัก และใครเล่าที่จะเป็นเช่นนี้ได้หากปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์? สิ่งที่มากกว่านั้นก็คือ หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาอย่างแท้จริง ข้าพเจ้าจะไม่ถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งหรอกหรือ หากข้าพเจ้ายังคงปฏิเสธพระองค์ต่อไป และไม่แสวงหาพระองค์? ข้าพเจ้าคิดถึงวันเวลาที่ข้าพเจ้าได้ติดต่อสัมพันธ์กับเหล่าพี่น้องชายหญิง การเทศนาทั้งหลายที่พวกเขาได้ให้มาล้วนพ้องต้องกันกันกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งหมดล้วนให้ความกระจ่างและมีประโยชน์มากต่อชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารู้สึกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างชัดเจนเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมการชุมนุมกับพวกเขา องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนพวกเราว่า “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย(มัทธิว 5:3) และ “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน(มัทธิว 7:7) องค์พระเยซูเจ้าทรงขอให้พวกเราแสวงหาด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เพราะมีเพียงผู้คนที่ทำเช่นนั้นเท่านั้น ที่สามารถได้มาซึ่งความรู้แจ้งและการทรงนำของพระเจ้า และได้รับการอวยพรโดยพระเจ้า และกระนั้น ข้าพเจ้าก็ได้หลีกเลี่ยงพี่น้องชายหญิงของข้าพเจ้าไปเสียเฉยๆ เพียงเพราะข้าพเจ้าไม่สามารถแกะประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเพศของพระเจ้าได้—ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าแข็งกระด้างเกินไปหรอกหรือ? ในขณะที่ข้าพเจ้าได้ไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้รู้สึกสำนึกผิดและตำหนิตัวเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจที่จะแสวงหาและเจาะลึกพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป

พระเจ้าคืออธิปไตยแห่งทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นสามารถเป็นไปได้หรือว่าพระราชกิจของพระองค์ต้องขึ้นอยู่กับคำเผยวจนะ?

และดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ฟังการเทศนาออนไลน์ต่อไป และข้าพเจ้าก็ได้พูดเกี่ยวกับสิ่งซึ่งกำลังทำให้ข้าพเจ้างุนงงสับสน “พี่ชายครับ พี่ให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมา และว่าพระองค์ได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง มีพื้นฐานในทางพระคัมภีร์สำหรับเรื่องนี้หรือไม่ครับ?” พี่เซียวพูดว่า “น้องชาย พระราชกิจของพระเจ้าจำเป็นต้องมีพื้นฐานในทางพระคัมภีร์ด้วยหรือ? พระเจ้าไม่ทรงสามารถทรงพระราชกิจได้โดยปราศจากพื้นฐานทางพระคัมภีร์อย่างนั้นหรือ? พระเจ้าได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงทำลายล้างโลกด้วยน้ำท่วม และทำลายเมืองโสดมด้วยไฟ เป็นต้น ว่าแต่พระราชกิจเหล่านี้ทั้งหมดมีพื้นฐานอยู่บนคำเผยวจนะหรือ? พวกเราทั้งหมดล้วนรู้ดีอย่างครบถ้วนว่า ไม่ใช่เป็นแบบนั้น พระเจ้าคือพระผู้สร้างและพระองค์ทรงพระราชกิจไปตามแผนการของพระองค์ที่จะบริหารจัดการความรอดของมวลมนุษย์ และเป็นไปตามความต้องการที่จำเป็นของพวกเราในฐานะมวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทราม พระองค์มิได้ทรงถูกกักกันโดยบุคคล เหตุการณ์ และสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย นับประสาอะไรที่พระองค์จะทรงถูกจำกัดห้ามโดยคำเผยวจนะของพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ไม่ว่าจะมีคำเผยวจนะเกี่ยวกับพระราชกิจนั้นอยู่ในพระคัมภีร์หรือไม่ ตัวอย่างเช่น ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ทรงบันดาลใจให้โมเสสนำทางพวกคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ และพระองค์ได้ทรงใช้โมเสสให้ออกธรรมบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์ เป็นต้น และพระเจ้ามิได้ทรงเผยวจนะถึงพระราชกิจเหล่านี้ล่วงหน้า ในยุคพระคุณนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงหนทางที่ว่า ‘จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว(มัทธิว 4:17) พระองค์ได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์และพระองค์ได้ทรงรักษาคนป่วยและไล่ปีศาจ และก็ไม่ได้มีคำเผยวจนะเกี่ยวกับพระราชกิจเหล่านี้ในพระคัมภีร์เช่นกัน เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นเช่นกันสำหรับพระเจ้าผู้ทรงกำลังจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง ที่จะต้องได้รับการเผยวจนะไว้ล่วงหน้า พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงเป็นอธิปไตยแห่งทุกสรรพสิ่ง และพระองค์ทรงมีสิทธิทุกประการที่จะเลยพ้นไปจากพระคัมภีร์เพื่อที่จะปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ เมื่อคำนึงถึงประเด็นปัญหานี้ พวกเราจงมาอ่านพระวจนะของพระเจ้า และจากนั้นพวกเราก็จะเข้าใจมันดีขึ้น พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘จำเป็นต้องนำคำสอนมาใช้กับพระราชกิจของพระเจ้าหรือ? และพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะหรือ? ในที่สุดแล้ว สิ่งใดที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าทรงไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงรักษาวันสะบาโตต่อไปและปฏิบัติตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไปหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่น? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับคำสอนเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าอันใดที่มาก่อน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์! พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต แล้วพระองค์จะไม่ทรงสามารถเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระคัมภีร์ด้วยหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))

“พวกเราสามารถเข้าใจได้จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า พระเจ้าไม่ทรงทำตามกฎเกณฑ์อันใดและข้อจำกัดอันใดในพระราชกิจของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งวันสะบาโต องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระคัมภีร์ และองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างทั้งปวง และเข้าใจว่า พวกเราซึ่งเป็นมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนั้น ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเรียกร้องให้พระเจ้าทรงให้คำเผยวจนะทั้งหลายแก่พวกเราล่วงหน้าเกี่ยวกับพระราชกิจอันใดที่พระองค์อาจจะทรงปฏิบัติ ในข้อเท็จจริงนั้น แม้แต่ตอนที่พระราชกิจของพระเจ้าได้ถูกดำเนินหน้าโดยคำเผยวจนะ หากพวกเราดึงดันที่จะเกาะติดอยู่กับมโนคติของพวกเราเอง หากพวกเราไม่มีหัวใจที่กระหายและแสวงหาความจริง และพวกเราไม่เจาะลึกพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็จะไม่มีวันรู้จักพระเจ้า จงดูพวกฟาริสีในกาลสมัยของพระเยซูเป็นตัวอย่าง พวกนั้นรู้ดียิ่งนักว่ามีคำเผยวจนะหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘มีบุตรชายคนหนึ่งประทานมาให้เรา(อิสยาห์ 9:6) ดังนั้น ทำไมพวกนั้นจึงยังคงตอกตรึงองค์พระเยซูเจ้าไปบนกางเขนเล่า? เหตุผลก็คือ เพราะพวกฟาริสีนั้นโอหังมากเกินไปและมองเห็นตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ ธรรมชาติของพวกเขาเป็นธรรมชาติที่เกลียดชังความจริงและเอือมระอาความจริง และพวกเขาไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าแต่อย่างใดเลย พวกฟาริสีได้ทำไปตามความเข้าใจของพวกตนที่มีต่อความหมายตามตัวอักษรของคำเผยวจนะ และเกาะติดอย่างเหนียวแน่นกับมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาเอง พวกนั้นเชื่อว่า องค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่พระเมสสิยาห์ และพระองค์ไม่สามารถเป็นพระเจ้าพระองค์เองได้ เพราะพระองค์ไม่ได้ทรงถือกำเนิดไปยังตระกูลอันสูงศักดิ์ในพระราชวัง และเพราะพระองค์มิได้ทรงปรากฏในลักษณะที่สูงใหญ่และแข็งแรง และเพราะฉะนั้น พวกเขาจึงต้านทานและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างลนลาน ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ได้ตอกตรึงองค์พระเยซูเจ้าไปบนกางเขน อันเป็นการทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองและก่อให้เกิดการลงโทษและการสาปส่งของพระเจ้า ดังนั้น พวกฟาริสีไม่ได้ถูกนำพาไปสู่ความย่อยยับด้วยมโนคติที่หลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาหรอกหรือ? อย่างไรก็ตาม บรรดาสาวกผู้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าก็ไม่ได้เปรียบเทียบคำพูดที่ถูกเผยวจนะไว้ในพันธสัญญาเดิมกับพระวจนะใหม่และพระราชกิจของพระเยซู แต่กลับได้มุ่งเน้นไปที่การได้ยินพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแทน และในพระราชกิจและพระวจนะของพระเยซูนั้น พวกเขาระลึกได้ว่า พระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ทรงได้รับการพยากรณ์ไว้จริงๆ และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะฉะนั้นหากพวกเราต้องการรู้จักพระเจ้า และยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเราต้องไม่เก็บมาคิดเลยว่า พระราชกิจของพระเจ้ามีพื้นฐานใดทางพระคัมภีร์หรือไม่ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เป็นกุญแจก็คือ พวกเราสามารถแสวงหาความจริงด้วยหัวใจที่เปิดรับและมุ่งเน้นที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เพราะหากพวกเราสามารถแสวงหาและเจาะลึกด้วยหัวใจดังกล่าวเช่นนี้ พระเจ้าก็ย่อมจะทรงให้ความรู้แจ้งและการทรงนำแก่พวกเราเพื่อที่จะรับเสด็จการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า”

หลังจากที่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และสามัคคีธรรมของพี่ชายผู้นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกหัวใจปั่นป่วน และข้าพเจ้าคิดว่า “ใช่เลย! พระราชกิจของพระเจ้าจะถูกจำกัดโดยคำเผยวจนะได้อย่างไร? พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงใช้โมเสสให้กล่าวประกาศพระบัญญัติและธรรมบัญญัติ และองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ รักษาคนป่วยและไล่ปีศาจ และไม่มีสิ่งใดในนี้เลยที่ได้ถูกเผยวจนะไว้ ต่อให้มีคำเผยวจนะที่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้อยู่ในพระคัมภีร์ ก็คงจะไม่เป็นการดีที่พวกเราจะไม่แสวงหาความจริง ตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมนั้นได้เผยวจนะไว้แล้วว่า พระเมสสิยาห์จะเสด็จมา และกระนั้นพวกฟาริสีก็ยังยึดติดอยู่กับตัวอักษรของคำเผยวจนะเท่านั้น พวกเขาเกาะติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเอง และไม่ได้ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า ในท้ายที่สุด พวกเขาก็ตอกตรึงองค์พระผู้เป็นเจ้าไปบนกางเขน และด้วยเหตุนั้น พวกเขาจึงสูญเสียความรอดของพระเจ้าไปแล้วโดยสิ้นเชิง ดูเหมือนความสามารถของพวกเราในการที่จะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่ว่ามีพื้นฐานทางพระคัมภีร์เรื่องการเสด็จมาของพระองค์หรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับการที่พวกเราครองหัวใจซึ่งแสวงหาความจริงหรือไม่ต่างหาก”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อเราผ่าน Messenger