พึ่งพาพระเจ้าเพื่อให้รอดชีวิตจากการถูกตัวต่อโจมตีอย่างทารุณ

วันที่ 08 เดือน 09 ปี 2020

คำจารึก

พระคัมภีร์กล่าวว่า “ใครที่เชื่อในพระองค์ก็จะไม่ผิดหวัง(1 เปโตร 2:6) โดยผ่านประสบการส่วนตัวของฉันเอง ฉันได้ตระหนักว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นจริงยิ่งนัก

เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ. 2017 ตอนต้นฤดูหนาว—เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะเก็บสมุนไพรสำหรับทำยาและขายได้เงินบ้างเล็กน้อย วันหนึ่งหลังอาหารเช้าฉันออกไปที่เนินเขากับอุปกรณ์ต่างๆ ของฉันเพื่อมองหาชางจู๋ สมุนไพรชนิดหนึ่งที่ใช้ในยาจีน ฉันเดินไปตามทาง สายตาก็คอยมองหาต้นชางจู๋ และแล้วก็ไปถึงบนยอดเขาตอนราวๆ เที่ยงวัน ฉันมองเห็นต้นอ่อนชางจู๋มากมายห่างจากฉันไปไม่กี่ก้าว แล้วก็รีบเร่งเดินไปเพื่อเก็บเกี่ยวพวกมัน แต่แล้วตอนนั้นเองขณะที่ฉันพร้อมจะขุดพวกมันออกมา เท่าที่ฉันจำได้ก็คือได้ยินเสียงหึ่งๆ พุ่งตรงมาที่ฉัน และแล้วฉันก็เกิดความรู้สึกแปลกอย่างแท้จริง เมื่อฉันหันหัวไป ฉันก็ได้เห็นตัวต่อกลุ่มใหญ่ล้อมฉันไว้ ฉันกระวนกระวายและคิดว่า “ตัวต่อเหล่านี้มีพิษร้ายแรง ฉันเคยได้ยินมาว่าบางคนถึงกับเสียชีวิตจากการต่อยของพวกมัน กับตัวต่อจำนวนมากมายที่เล่นงานฉัน ฉันคงไม่มีทางรอดชีวิตได้!” ด้วยความหวาดกลัว ฉันตื่นตกใจและวิ่งลงจากเขา อธิษฐานถึงพระเจ้าตลอดเวลาว่า “โอ้ ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์กลัวถูกตัวต่อเหล่านั้นต่อยจริงๆ ขอทรงโปรดนำและช่วยเหลือข้าพระองค์ด้วยเถิด” ฉันหักกิ่งไม้ ตีพวกตัวต่อขณะที่ฉันวิ่งไปด้วย แต่มีใบไม้ร่วงมีมากเหลือเกินในช่วงเวลานั้นของปี ทำให้กิ่งไม้โกร๋นหมด ฉันไม่สามารถตีพวกตัวต่อได้—พวกมันไล่ตามมาต่อยฉันไม่หยุด นอกจากหัวของฉันที่มีหมวกคลุมไว้ และส่วนอื่นๆ ของร่างกายของฉันที่มีเสื้อผ้าปกปิด คอและไหล่ของฉันปกคลุมไปด้วยตัวต่อ ฉันกระวนกระวายอย่างเหลือเชื่อและไม่เคยหยุดตีพวกมันเลย แต่พวกมันก็ยังไต่ขึ้นมาบนมือของฉันและต่อยตรงมือของฉันเยอะมากด้วย ฉันกลัวมาก คิดว่า “ทำไมต่อพวกนี้ไม่หยุดไล่ตามฉันเสียทีนะ? ฉันจะออกไปจากตรงนี้อย่างมีชีวิตรอดหรือไม่?” ขณะที่ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านจิตใจของฉัน ฉันก็วิ่งเต็มฝีเท้าลงจากเขา ยังคงถูกตัวต่อไล่ล่าอย่างประชิดตัว ประมาณครึ่งทางที่วิ่งลงเขา ฉันก็วิ่งหนีจากพวกมันส่วนใหญ่ได้ในที่สุด แต่ฉันถูกต่อยนับครั้งไม่ถ้วนบนคอและด้านหลังศีรษะของฉัน มันเจ็บ มันปวดและรู้สึกร้อนระบมอย่างไม่น่าเชื่อ—ฉันเจ็บปวดรวดร้าว ตัวต่อพวกนี้มีพิษร้ายอย่างแท้จริงและพิษของพวกมันก็แพร่เข้าไปในระบบร่างกายของฉันอย่างรวดเร็ว หัวของฉันรู้สึกหนักอึ้ง เท้าของฉันรู้สึกเบาโหวง และทั่วทั้งร่างกายของฉันก็สูญเสียพละกำลังทีละน้อย ฉันสูญเสียการควบคุมของเหลวในร่างกายของฉันจากทั้งสองด้าน ฉันแทบจะหายใจไม่ได้ และรู้สึกเหมือนว่าฉันกำลังจะสำลักอากาศจนหายใจไม่ออก ภาพที่ฉันเห็นกำลังกลายเป็นพร่ามัวด้วยและฉันสูญเสียการทรงตัว ฉันค่อยๆ สูญเสียความรู้สึกไปทั่วร่างกายของฉัน หลังจากเวลาผ่านไปสองสามนาทีฉันก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ ชั่วขณะนั้นฉันรู้สึกกลัวอย่างสุดที่จะพรรณนา รู้สึกหมดหนทางและเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ฉันคิดว่า “ไม่มีใครอยู่ในแถบเนินเขาเหล่านี้เลยสักคน จะไม่มีใครรู้เลยถ้าฉันตายอยู่บนนี้ ฉันจะทำอะไรได้?” ชั่วขณะที่ฉันกำลังจะหมดสตินั้นเอง ฉันก็ร้องเรียกไปยังพระเจ้าอย่างเร่งด่วน “โอ ข้าแต่พระเจ้า โปรดช่วยฉันให้รอดด้วย! โปรดช่วยฉันให้รอดด้วย!” แล้วฉันก็ทรุดฮวบลงบนพื้นและสูญเสียการตระหนักรู้ทั้งหมด

หลังจากเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่านานแค่ไหน ฉันก็ค่อยๆ รู้สึกตัวอย่างช้าๆ และฉันก็ต้องประหลาดใจเมื่อมองเห็นแสงไฟสลัว ฉันยังมีความรู้สึกนิดหน่อยในแขนและขาของฉันด้วย ฉันตระหนักอย่างไม่มีความสงสัยเลยว่านี่คือฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และว่ามันคือการที่พระเจ้าทรงเฝ้าระวังฉันและคุ้มครองปกป้องฉัน ฉันอธิษฐานต่อพระองค์ว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและพละกำลังแก่ข้าพระองค์ด้วย เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถรอดชีวิตออกจากเนินเขาเหล่านี้ได้” ฉันรู้สึกถึงพละกำลังที่โถมประดังขึ้นมาในตัวฉันหลังจากการอธิษฐานของฉัน ดังนั้นฉันจึงพยายามผลักตัวเองไปข้างหน้าประมาณหนึ่งเมตร เมื่อฉันพยายามที่จะไปไกลกว่านั้น ฉันก็รู้สึกเวียนศีรษะอีกครั้งขึ้นมาทันทีและขาดพละกำลังอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ความรู้สึกว่าพิษตัวต่อกำลังทำงานอยู่ในตัวฉันนั้นเจ็บปวดอย่างเหลือเชื่อ และฉันก็ต่อสู้ดิ้นรนที่จะหายใจแต่ละครั้ง ฉันพยายามที่จะพูดอะไรออกมาด้วยความหวังว่าอาจจะมีใครได้ยินฉันและมาให้การช่วยเหลือฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้เลย ความรู้สึกหวาดกลัวและหมดหนทางท่วมท้นขึ้นมาในตัวฉันอีกครั้ง และทั้งหมดที่ฉันสามารถทำได้ก็คือร้องเรียกไปยังพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์กำลังทนทุกข์อย่างแท้จริงในตอนนี้และข้าพระองค์รู้สึกเหมือนว่าข้าพระองค์กำลังหยุดหายใจ ข้าพระองค์กลัวที่จะตายอยู่บนเนินเขานี้มาก ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด....” ตอนนั้นเองที่ฉันนึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าขึ้นมาได้ ว่า “พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกนี้ขึ้นมา พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์นี้ขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเป็นสถาปนิกแห่งวัฒนธรรมกรีกโบราณและอารยธรรมมนุษย์ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงปลอบประโลมมวลมนุษย์นี้ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงดูแลเอาใจใส่มวลมนุษย์นี้ทั้งคืนและวัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง) ความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระวจนะของพระเจ้ามาถึงในเวลาที่เหมาะเจาะ ให้ฉันได้บางสิ่งบางอย่างสำหรับหัวใจของฉันได้พึ่งพา พระวจนะจริงเหลือเกิน—ทุกสรรพสิ่งในสวรรค์และแผ่นดินโลกได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้าและปกครองโดยพระองค์ พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตทั้งหมด ดังนั้นชีวิตและความตายของพวกเราจะไม่สามารถอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ได้อย่างไร? พระเจ้าทรงปล่อยให้ตัวต่อเหล่านั้นต่อยฉันในวันนั้น และเมื่อเผชิญหน้ากับสภาพการณ์ของความเป็นความตาย เท่าที่ฉันสามารถทำได้ก็คือพึ่งพาพระเจ้า หมายพึ่งพระองค์ แสวงหาการทรงนำของพระองค์ และนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ หลังจากที่นึกถึงการนั้นขึ้นมาได้ฉันก็สงบลงและไม่รู้สึกกลัวมากนักอีกต่อไป

หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานฉันก็รู้สึกว่าฉันสามารถขยับมือและเท้าของฉันได้ ดังนั้นฉันจึงเริ่มคลานไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ขณะที่อธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่คลานไปได้ประมาณ 30 เมตร พิษตัวต่อก็เล่นงานฉันอีกครั้ง ฉันอาเจียรไม่หยุดและหัวใจของฉันก็รู้สึกเหมือนว่ามันกำลังจะระเบิด ฉันนอนลงบนพื้น ไร้ความสามารถที่จะขยับตัวได้ ศีรษะของฉันห้อยลง—ฉันกำลังอยู่ที่ประตูแห่งความตาย ณ จุดนี้ ฉันรู้สึกถึงความอ่อนแอภายในบางอย่างอย่างช่วยไม่ได้เลย ฉันคิดว่า “ดังนั้นเอง นี่ดูเหมือนว่าฉันกำลังจะตายอยู่บนเนินเขาล้างลูกนี้ในวันนี้จริงๆ” แล้วทันใดนั้นเองฉันก็ตระหนักว่าความอ่อนแอและความคิดที่เป็นลบของฉันเป็นอุปนิสัยของซาตานทั้งสิ้น ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดกลัวและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า ซาตานกำลังพยายามทุกหนทางที่เป็นไปได้เพื่อส่งความคิดของมันให้กับพวกเรา พวกเราควรอธิษฐานทุกชั่วขณะเพื่อให้พระเจ้าทรงมอบความกระจ่างแก่พวกเราด้วยความสว่างของพระองค์ ควรพึ่งพาพระเจ้าทุกชั่วขณะให้ทรงลบล้างพิษของซาตานจากภายในตัวพวกเรา ควรปฏิบัติภายในจิตวิญญาณของพวกเราทุกชั่วขณะ ถึงวิธีที่จะเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้า และปล่อยให้พระเจ้าทรงมีอำนาจครอบครองการเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งปวงของพวกเรา(“บทที่ 6” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล) ซาตานกำลังให้ความคิดเหล่านั้นกับฉันเพื่อว่าฉันจะได้จมปลักอยู่ในความคิดที่เป็นลบและสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า แล้วก็รอคอยความตายอย่างนิ่งเฉย ฉันไม่สามารถหลงกลเพทุบายของซาตานได้ ฉันต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพิงพระองค์ ฉันไม่สามารถให้ตัวฉันเองมีระยะห่างจากพระองค์ได้ แต่ต้องปล่อยให้พระองค์ทำการควบคุมภายในหัวใจของฉัน ฉันร้องเรียกไปยังพระเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า “ข้าแต่พระเจ้า! มันรู้สึกเหมือนว่าลูกธนูนับพันดอกกำลังทิ่มแทงหัวใจของข้าพระองค์และข้าพระองค์รู้สึกเหมือนว่าข้าพระองค์ไม่สามารถทนต่อไปได้อีกนานนัก โอ ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอร้องให้พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์จะมีชีวิตหรือตาย ข้าพระองค์เต็มใจนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์” หลังจากการอธิษฐานฉันก็นึกถึงพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าขึ้นมาได้คือ “ตราบเท่าที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตาย(“บทที่ 6” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล) พระวจนะของพระเจ้าเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพมากนัก พระวจนะเหล่านี้ค้ำจุนฉันด้วยความเชื่อและพละกำลังอย่างแท้จริง ให้ความหวังแก่ฉันที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นพระเจ้านั่นเองที่ทรงปกครองเหนือชีวิตและความตายของมนุษย์ และพระองค์ทรงกำหนดเวลาการเกิดของเราและเวลาการตายของเราแล้ว บางคนแข็งแกร่งและมีกำลังมากอย่างแท้จริง แต่ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามเมื่อบางสิ่งบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นและพวกเขาก็ถูกกระชากออกจากดินแดนของคนเป็น บางคนอ่อนแอและอ่อนกำลังแต่กลับยังมีชีวิตยืนยาวอย่างแท้จริง ไม่มีความสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย! ฉันนึกถึงการที่โยบถูกซาตานทดลองในพระคัมภีร์ขึ้นมาอีก เขาเป็นแผลเจ็บปวดจากหัวจรดเท้าอย่างน่าหวาดกลัวและเขาก็ยังเจ็บปวดไปทั้งร่างกายอย่างที่สุด แต่เมื่อไม่ได้รับการทรงอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่กล้าที่จะทำอันตรายชีวิตของโยบ แล้วฉันก็ตระหนักด้วยความกระจ่างแจ้งมากยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำว่าชีวิตของผู้คนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่มีบุคคลใด เหตุการณ์ใดหรือสิ่งใดที่สามารถอยู่เหนือสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ ฉันนึกถึงตอนหลังจากที่ฉันถูกตัวต่อต่อย ถึงแม้ว่าฉันได้หมดสติไปเพราะพิษของตัวต่อ ฉันก็ยังคงฟื้นขึ้นมาอีกอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะที่พิษกระจายลึกลงไปในระบบร่างกายของฉัน ฉันก็อาเจียรไม่หยุดและฉันก็ขาดพละกำลังอย่างสิ้นเชิง แต่ฉันก็สามารถดึงตัวเองให้ไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ได้ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าหรอกหรือ? เมื่อฉันรู้สึกเป็นลบและอ่อนแอและไม่มีความเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงมอบความรู้แจ้งแก่ฉันและทรงนำฉันด้วยพระวจนะของพระองค์ ทรงมอบความเชื่อและพละกำลังรวมทั้งความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป ฉันไม่ได้รับประสบการณ์สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดด้วยตัวเองหรอกหรือ? ฉันต้องมีความเชื่อในพระเจ้า ฉันควรพึ่งพาและหมายพึ่งพระองค์มากกว่านี้ และนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ ดังนั้น ฉันจึงกล่าวคำอธิษฐานด้วยความนบนอบต่อพระเจ้าว่า “โอ ข้าแต่พระเจ้า! ร่างกายของข้าพระองค์อ่อนแอและความเจ็บปวดสุดที่จะทนไหว แต่ข้าพระองค์รู้ว่าชีวิตและความตายขึ้นอยู่กับพระองค์ ข้าพระองค์ขอปล่อยชีวิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อว่าหากไม่ได้รับการทรงอนุญาตของพระองค์ ไม่ว่าข้าพระองค์อาจถูกตัวต่อต่อยรุนแรงเพียงใดก็ตาม ข้าพระองค์จะไม่ตาย และหากว่าหากว่าข้าพระองค์ตายไปจริงๆ ขอให้ความชอบธรรมของพระองค์และน้ำพระทัยที่แสนวิเศษของพระองค์สถิตอยู่ภายในการตายของข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์ ขอพระองค์ทรงนำทางข้าพระองค์ ขอทรงนำข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจจะได้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์” หลังจากการอธิษฐานนี้ ฉันค่อยๆ กลายเป็นสามารถยกศีรษะของฉันขึ้นได้และฉันสามารถกระเถิบตัวฉันเองไปข้างหน้าได้ ฉันพยายามคลานไปข้างหน้าและก็ต้องประหลาดใจ ฉันสามารถลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆ ได้ ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! ฉันขอบคุณพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ข้าแต่พระเจ้า นี่คือการทรงกระทำที่น่าอัศจรรย์ของพระองค์อย่างแท้จริง!” ฉันเดินโซเซไปข้างหน้ามากกว่าสิบเมตรนิดหน่อย และเมื่อฉันไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ ฉันก็หยุดและอธิษฐานอย่างเงียบๆ ต่อพระเจ้า แล้วก็ฉันก็รู้สึกว่าฉันมีพละกำลังเล็กน้อยและก็สะดุดอีกครั้งระหว่างทาง ฉันไปต่อแบบนี้อธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า และด้วยการทรงนำของพระองค์ ฉันก็ออกจากเนินเขาได้ในที่สุดและมาถึงบ้านหลังหนึ่งตรงริมถนน เมื่อผู้หญิงที่นั่นมองเห็นท่าทางที่เจ็บปวดซูบซีดของฉัน เธอก็รีบไปเอาน้ำมาให้ฉัน แต่ฉันไม่สามารถดื่มลงได้แม้แต่หยดเดียว ตอนนั้นเองที่เพื่อนบ้านคนหนึ่งของเธอผ่านมาพอดี ขณะกำลังกลับบ้านของเขาจากการทำงานในไร่และได้เห็นสภาพที่ฉันเป็นอยู่ เขาก็รีบเร่งเอาฉันขึ้นรถลากและพาฉันไปโรงพยาบาลในหมู่บ้าน

เมื่อฉันไปถึงโรงพยาบาล คุณหมอเห็นว่าอาการของฉันรุนแรงมากเพียงใดและไม่แม้แต่ต้องการที่จะให้ฉันนอนโรงพยาบาล เมื่อเห็นการนี้ ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งได้โทรหาโรงพยาบาลจังหวัด ส่วนอีกคนหนึ่งก็ช่วยหารถให้ฉัน และอีกคนหนึ่งก็ยังได้ติดต่อครอบครัวของฉัน คนแล้วคนเล่า ทุกคนให้การช่วยเหลือฉันไปจนถึงโรงพยาบาลจังหวัดเพื่อเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน ตลอดเวลานี้ ฉันไม่เคยหยุดอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ ฉันรู้ว่าคนแปลกหน้าจริงๆ ทั้งหมดเหล่านั้นก้าวเข้ามาช่วยเหลือฉันก็เพราะพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ ว่าเป็นการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมทางออกให้กับฉัน ฉันขอบคุณพระเจ้าในหัวใจของฉัน! เพราะคนในพื้นที่คนหนึ่งได้โทรไปยังโรงพยาบาลล่วงหน้า เมื่อฉันมาถึงคุณหมอท่านหนึ่งก็พร้อมฉีดยาต้านพิษเข้าเส้นให้ฉัน แล้วก็ดำเนินการตรวจสารพัดอย่างและถามฉันว่าเกิดอะไรขึ้นและเมื่อไรจริงๆ ขณะที่กำลังเอาน้ำมันทาไปทั่วบริเวณที่ฉันถูกต่อย คุณหมอได้บอกฉันว่าอาการของฉันรุนแรงอย่างแท้จริงและว่าถ้าฉันมาสายกว่านี้แค่สิบนาที นี่ก็คงจะเป็นความพยายามที่สูญเปล่า จากนั้นฉันก็ถูกย้ายไปที่หอผู้ป่วยขั้นวิกฤต

คุณหมอบอกลูกสาวของฉันว่า “เราเคยมีชายหนุ่มคนหนึ่งมาที่นี่ผู้ซึ่งถูกตัวต่อต่อย 38 ครั้ง แต่เราก็ไม่สามารถช่วยเขาได้ เขาเสียชีวิต มีชายวัยชราอีกคนหนึ่งที่ถูกต่อยมากกว่า 30 ครั้ง และเขาก็เสียชีวิตด้วยแม้ว่าเขาได้มาถึงโรงพยาบาลและได้รับการรักษาในเวลาไม่นานหลังจากนั้นจริงๆ ผลตรวจที่ทำกับแม่ของคุณแสดงให้เห็นว่าพิษไม่ได้เข้าไปในตับและไตของเธอ แต่บาดแผลก็ร้ายแรงกว่าคนไข้คนอื่นเหล่านั้นมากนัก เธอถูกต่อย 46 ครั้งและอยู่ในอาการวิกฤตอย่างแท้จริง หมอหวังว่าคุณจะสามารถเตรียมใจคุณเองเผื่อเอาไว้”

คุณหมอทำการตรวจฉันต่อเย็นนั้นเพื่อดูว่าฉันยังคงมีสัญญาณที่เป็นไปได้ว่าจะรอดชีวิต ฉันตื่นตัวและสามารถรู้สึกได้ว่าทุกบริเวณที่ฉันถูกต่อยบวมเป่งไปหมด แต่ฉันก็เจ็บปวดไปทั่วทั้งตัวเป็นอย่างมากจนฉันไม่สามารถขยับตัวได้ ฉันรู้สึกสงบมากว่าไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตายฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ว่ามันเป็นกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระองค์ ยังอธิษฐานถึงพระเจ้าอย่างเงียบๆ ต่อไปและได้มอบชีวิตของฉันให้กับพระองค์

เช้าวันต่อมา คุณหมอย้ายฉันจากหอผู้ป่วยขั้นวิกฤตไปยังห้องสังเกตอาการ เมื่อเห็นฉันนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาล ลูกสาวของฉันก็อดไม่ได้เลยที่จะร้องออกมา ร่ำไห้อย่างขมขื่น คุณหมอปลอบใจเธอ พูดว่า “แม่ของคุณกำลังฟื้นตัวได้ดีมาก เธอจะดีขึ้นหลังจากนี้ไม่นาน นี่คือการอัศจรรย์ครั้งแรกที่หมอได้เผชิญในเวลากว่า 20 ปีของการรักษาผู้ป่วย!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉันก็ตื้นตันใจเป็นอย่างมากและรู้ว่ามันเป็นการทรงกระทำที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ หากไม่ใช่เพราะความรอดของพระเจ้า ฉันก็คงจะตายอยู่ในป่าไปแล้ว—ไม่มีทางที่ฉันจะรอดมาได้ถึงขนาดนี้ ไม่นานหลังจากนั้น น้องสาวของฉันและสามีของเธอก็ได้มาเยี่ยมฉันด้วย และเมื่อเธอได้เห็นว่าฉันไร้ความสามารถที่จะขยับตัวและไม่กินอะไร เธอได้ถามฉันว่า “พี่ถูกต่อยรุนแรงขนาดนี้ พี่ออกมาจากเนินเขาเหล่านั้นได้อย่างไรกัน?” ฉันพูดว่า “ทั้งหมดเป็นความรักและการดูแลเอาใจใส่ของพระเจ้า” เมื่อได้ยินที่ฉันพูดโดยบังเอิญ คนอื่นๆ ในหอผู้ป่วยเดียวกันต่างพากันร้องออกมาว่าฉันโชคดีอย่างที่สุด แต่ฉันรู้ในหัวใจของฉันว่ามันไม่ใช่เช่นนั้น แต่มันเป็นการดูแลเอาใจใส่และการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า เป็นพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันให้รอดขณะที่ฉันอยู่ตรงหน้าผาแห่งความตาย ฉันนึกถึงผู้ชายคนหนึ่งจากพื้นที่ของฉันที่ถูกตัวต่อต่อย—บาดแผลของเขาไม่แย่เท่าของฉัน และเขาก็ได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่เขาก็ยังคงเสียชีวิตในท้ายที่สุด ถึงแม้ว่าฉันถูกต่อย 46 ครั้ง ฉันก็ยังโชคดีมากที่ยังมีชีวิตต่อไปได้—เป็นการทรงกระทำที่น่าอัศจรรย์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อใคร่ครวญถึงความรักและความรอดของพระเจ้าสำหรับฉัน หัวใจของฉันก็พองโตด้วยความรู้สึกขอบคุณต่อพระองค์

ฉันได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้หลังจากหกวัน ยี่สิบวันต่อมาคุณหมอได้ตรวจอาการของฉันอีกครั้งและพูดว่าฉันฟื้นตัวดีมาก และว่าฉันเป็นคนไข้รายพิเศษรายหนึ่ง เป็นอัศจรรย์ครั้งแรกที่เขาเคยได้เป็นพยาน เมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ฉันได้มอบถวายคำขอบคุณและคำสรรเสริญของฉันต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ฉันรู้อย่างชัดเจนว่าสิ่งเดียวเท่านั้นที่พิเศษเกี่ยวกับฉันก็คือฉันพึ่งพิงพระเจ้า และพระเจ้าได้ทรงช่วยให้ฉันรอดตรงชุมทางระหว่างชีวิตกับความตาย สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำคือทรงสร้างอัศจรรย์แห่งชีวิตนี้ โดยผ่านประสบการณ์เหลือเชื่อนี้ ฉันได้เรียนบทเรียนลึกซึ้งเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า ฉันได้รู้สึกถึงสิทธิอำนาจและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ ถึงแม้ว่าฉันได้มัวสาละวนกับเงิน และเงินได้เข้าครอบงำหัวใจของฉันจนถึงจุดที่ว่าฉันเกือบจะสูญเสียชีวิตของฉันให้กับการถูกตัวต่อต่อยเลยทีเดียว ขณะที่กำลังพยายามขุดสมุนไพรป่าขึ้นมา พระเจ้าทรงดูแลเอาใจใส่และคุ้มครองปกป้องฉันมาตลอด เมื่อฉันอธิษฐานอย่างแท้จริงต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์ให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉัน ทรงมอบความกล้าและความเชื่อให้มีชีวิตต่อไป พระองค์ให้ผู้คนอื่นๆ มากมายช่วยเหลือฉัน ให้ฉันได้ออกมาจากอันตรายนั้น ทีละก้าว โดยผ่านวิถีทางของเหตุการณ์นี้ ฉันไม่เพียงแต่ได้มาจับความเข้าใจสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพอันเป็นหนึ่งเดียวของพระเจ้าเท่านั้น แต่ฉันยังได้เห็นแก่นแท้อันเปี่ยมความกรุณามากมายของพระองค์ด้วย เมื่อมองดูความตายที่มาอยู่ตรงหน้า ฉันก็ได้รับประสบการณ์อย่างแท้จริงว่าเงิน ชื่อเสียง และสถานภาพไม่สามารถช่วยผู้คนให้รอดและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกมันไม่สามารถนำชีวิตมาให้พวกเราได้ ในช่วงวิกฤต พระเจ้าทรงเป็นเสาหลักเสาเดียวเท่านั้นของมนุษย์ ทรงเป็นความรอดเดียวเท่านั้นของพวกเรา ตราบเท่าที่พวกเราพึ่งพิงพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเราจะสามารถมองเห็นพระองค์ทรงพระราชกิจ ดังที่พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “จงสงบนิ่งอยู่ภายในเรา เพราะเราคือพระเจ้าของเจ้า พระผู้ไถ่เพียงหนึ่งเดียวของพวกเจ้า พวกเจ้าต้องทำหัวใจของพวกเจ้าให้สงบนิ่งอยู่ตลอดเวลาและ มีชีวิตอยู่ภายในตัวเรา เราคือก้อนหินของเจ้า เครื่องค้ำจุนของพวกเจ้า อย่าได้มีจิตใจเป็นอื่น เพียงเชื่อใจเราด้วยทั้งหัวใจของพวกเจ้า แล้วเราจะปรากฎต่อหน้าพวกเจ้าอย่างแน่นอน—เราคือพระเจ้าของพวกเจ้า!(“บทที่ 26 ” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล) ฉันให้การขอบคุณสำหรับความรอดของพระเจ้าสำหรับฉัน และนับจากนั้นมาฉันก็เต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้าและหมายพึ่งพระเจ้าในประสบการณ์ของฉันมากขึ้น ฉันจะแสวงหาความจริงและตอบแทนความรักของพระเจ้า!

ก่อนหน้า: หลังการโกหก

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ความเห็นแก่ตัวนั้นเลวทราม

โดย หยางซว่อ ประเทศจีน เมื่อต้นปี ค.ศ. 2021 ฉันกับพี่น้องหญิงจางอี้เฉินร่วมกันสนับสนุนคริสตจักรที่เพิ่งก่อตั้งใหม่...

บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการแบ่งคริสตจักร

ต้นปีที่แล้ว ด้วยความที่คริสตจักรของผู้มาใหม่ของเราเติบโตอย่างมาก ผู้นำเลยตัดสินใจ แบ่งความรับผิดชอบของฉัน กับเพื่อนร่วมงานใหม่ ทีแรก...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger