พวกคุณพูดว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต นี่เป็นคำพยานของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พระคัมภีร์ก็ได้บันทึกถ้อยคำของผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจิตวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ และสาวกบางคนขององค์พระเยซูเจ้าไว้ด้วย การแสดงออกของพวกเขานับเป็นพระวจนะของพระเจ้าด้วยไหมล่ะ ถ้าสิ่งที่พวกเขาพูดก็นับเป็นพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ งั้นพวกเขาไม่ใช่ความจริง หนทาง และชีวิตด้วยเหรอ เท่าที่ผมบอกได้ ไม่มีความแตกต่างระหว่างถ้อยคำของพวกเขาและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเลย ทั้งหมดนับเป็นพระวจนะของพระเจ้า ทำไมถ้อยคำเหล่านั้นไม่นับเป็นความ หนทาง และชีวิตล่ะ
ตอบ: ถ้าบรรดาผู้เชื่อสามารถระลึกได้อย่างแท้จริงพระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต ก็เป็นเรื่องยอดเยี่ยมจริงๆ และแสดงว่าผู้เชื่อเหล่านี้มีความจริงแท้จริงของเนื้อแท้แห่งพระคริสต์ คนแบบนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่ารู้จักพระเจ้าจริงๆ พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ บรรดาผู้ที่ยอมรับพระคริสต์และเชื่อฟังพระองค์เท่านั้นที่รู้จักพระเจ้าจริงๆ เพราะว่าความจริง หนทาง และชีวิตทั้งหมดเป็นผลมาจากพระเจ้า ทั้งหมดมาจากการทรงแสดงออกของพระคริสต์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่มีใครสามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นความจริง หนทาง และชีวิตนอกเหนือจากพระคริสต์ มีคนน้อยมากที่เข้าใจเรื่องนี้ พระเจ้าทรงใช้ความสามารถของมนุษย์ในการจำพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้ เป็นมาตรฐานที่พระองค์ทรงใช้ทดสอบมนุษย์ บรรดาผู้ที่ทำตามมาตรฐานนี้ในความเชื่อของพวกเขาได้เท่านั้นที่จะได้รับการยกย่องจากพระเจ้า บรรดาคนทั้งหมดที่ยอมรับและเชื่อฟังพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เป็นผู้ชนะที่ถูกรับขึ้นไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมเป็นพวกแรก พวกคนที่ไม่สามารถยอมรับและเชื่อฟังพระคริสต์จะถูกส่งไปตรากตรำความทุกข์ของภัยพิบัติต่างๆ เพราะพวกเขาไม่ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และถูกพิจารณาว่าเป็นหญิงพรหมจารีโง่ เหมือนตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์นำบรรดาผู้รักความจริงทั้งหมด และบรรดาผู้ที่ยอมรับพระวจนะของพระองค์ และติดตามพระองค์ไปบนภูเขาอย่างแท้จริง ทรงนำและทรงสั่งสอนพวกเขาด้วยพระองค์เอง ในขณะที่ไม่ให้ความสนใจพวกคนในโลกศาสนาและพวกที่เชื่อในพระเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของพวกเขาเองเท่านั้นแม้แต่นิดเดียว เพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือแห่งสวรรค์เบื้องบนเท่านั้น และไม่ได้ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พวกเขามืดบอดในความไม่สามารถจะจำพระเจ้าได้ ดังนั้นบรรดาผู้ที่ยอมรับและเชื่อฟังพระคริสต์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้น ที่จะได้รับการยกย่องจากพระเจ้าและได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระองค์ ทำไมพระคริสต์เท่านั้นจึงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต มาอ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กัน “หนทางแห่งชีวิตไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถมีได้ อีกทั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถบรรลุอย่างง่ายๆ ได้ นี่เป็นเพราะว่าชีวิตสามารถมาจากพระเจ้าได้เพียงเท่านั้น กล่าวคือ พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงครอบครองเนื้อแท้แห่งชีวิต และพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงมีหนทางแห่งชีวิต และดังนั้นพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิต และน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตที่ไหลอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่พระองค์ได้ทรงสร้างโลก พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจมากมายเกี่ยวกับพลังแห่งชีวิต ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจมากมายซึ่งนำชีวิตมาสู่มนุษย์ และได้ทรงจ่ายราคาแพงเพื่อที่มนุษย์อาจได้รับชีวิต นี่เป็นเพราะว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิตนิรันดร์ และพระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นหนทางซึ่งมนุษย์ได้รับการฟื้นคืนชีพ…พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครอบครองหนทางแห่งชีวิต เนื่องจากชีวิตของพระองค์นั้นไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นชีวิตของพระองค์จึงเป็นนิรันดร์ เนื่องจากพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเป็นหนทางแห่งชีวิต ด้วยเหตุนี้พระเจ้าพระองค์เองจึงทรงเป็นหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราเห็นว่า ความจริง หนทาง และชีวิตทั้งหมดมาจากพระเจ้า พระเจ้าพระองค์เองเพียงเท่านั้นที่มีหนทางแห่งชีวิต พระคัมภีร์กล่าวว่า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1) พระวจนะทรงเป็นพระเจ้า พระวจนะะทรงเป็นพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อ้างถึงพระวิญญาณพระเจ้าทรงปรากฏเป็นรูปร่างในเนื้อหนัง นั่นคือ ความจริง หนทาง และชีวิตทั้งหมดได้มาในเนื้อหนัง อย่างที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระวจนะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และพระวิญญาณแห่งความจริงได้เป็นที่ประจักษ์ในเนื้อหนัง—ค้นพบว่าความจริง หนทาง และชีวิตทั้งหมดนั้นได้มาในเนื้อหนัง พระวิญญาณของพระเจ้าได้เสด็จมาถึงแผ่นดินโลกแล้วจริงๆ และพระวิญญาณได้เสด็จมาในเนื้อหนังแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)) การทรงจุติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งของพระเจ้าเป็นคำพยานต่อความจริงที่ว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต ในให้การเปิดเผยที่ลึกซึ้งแก่มนุษย์ มันแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต พระวจนะและพระราชกิจของพระคริสต์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น คือความจริง หนทาง และชีวิต นี่คือเนื้อแท้ของพระคริสต์ เมื่อพระคริสต์ทรงแสดงพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ทรงทำแบบนั้นในฐานะพระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจของพระเจ้า สรุปจบยุคก่อนหน้าและเริ่มต้นยุคใหม่ ทรงพระราชกิจของทั้งยุคเพื่อมวลมนุษย์ทั้งปวง พระวาทะของพระเจ้าที่พระคริสต์ทรงแสดงเป็นทั้งหมดของพระวาทะของพระองค์ในพระราชกิจหนึ่งระยะ พระวจนะนั้นเป็นการทรงแสดงของพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และพระบัญชาและเจตจำนงของพระเจ้าสำหรับมวลมนุษย์ พระวจนะทั้งหมดของพระองค์เป็นความจริง พระวจนะนี้ไม่เพียงสามารถสร้างชีวิตของมนุษย์ขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถให้ชีวิตแก่มนุษย์ได้ด้วย เหมือนตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมา พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการในยุคพระคุณ เปิดโอกาสให้มนุษย์สารภาพบาปของเขา กลับใจและกลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ทำให้เขามีคุณสมบัติที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้า และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อชื่นชมพระคุณของพระองค์ และเห็นความเห็นอกเห็นใจและความรักของพระองค์ นี่คือผลสำเร็จโดยพระราชกิจแห่งการไถ่ พระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเปิดโอกาสให้บาปของมนุษย์ได้รับการอภัย ไถ่มนุษย์จากบาป องค์พระเยซูเจ้าดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์หนึ่งระยะ เริ่มต้นยุคพระคุณและสรุปจบยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แห่งยุคสุดท้ายได้เสด็จมาแล้ว ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด และดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า เปิดโอกาสให้มนุษย์เห็นพระอุปนิสัยชอบธรรมและพระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระเจ้า ชำระให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนอุปนิสัยแห่งชีวิตของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์จะยำเกรงพระเจ้าและหลีกเลี่ยงความชั่ว และฉุดตัวเองออกจากอิทธิพลของซาตานอย่างหมดจด เพื่อกลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และถูกพระเจ้าทรงรับไว้ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรและสรุปจบยุคพระคุณ นี่แสดงให้เราเห็น ว่าทั้งหมดที่พระคริสต์ตรัส ทรงทำ ทรงแสดงและทรงสำแดงทั้งหมดเป็นความจริง พระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทรงชี้มนุษย์สู่หนทางที่ถูกต้อง และจัดเตรียมเสบียงชีวิตและความรอดให้มนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองหรือสามารถแสดงสิ่งเหล่านี้ได้ พระคริสต์ทรงเป็นน้ำพุของชีวิตมนุษย์ พระองค์เป็นการทรงปรากฏของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต การไถ่และความรอดเพียงหนึ่งเดียวของมนุษย์ นอกจากพระคริสต์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองความจริง หนทาง และชีวิต ข้อเท็จจริงนี้เห็นได้ง่ายๆ!
พระคริสต์ทรงเป็นการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พระองค์จึงมีเนื้อแท้ที่เป็นของพระเจ้า ในขณะที่บรรดาผู้เผยพระวจนะและสาวก เพราะพวกเขาไม่ใช่การทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า แต่เพียงแค่ครอบครองเนื้อแท้ของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นเราจึงไม่สามารถวางบรรดาผู้เผยพระวจนะและสาวกในระดับเดียวกับพระคริสต์ได้ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงเป็นการทรงประกฏเป็นรูปจำแลงของความจริง และน้ำพุแห่งพระวจนะของพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงสามารถทรงแสดงความจริงโดยตรงเพื่อจัดหาชีวิตให้แก่มนุษย์ ในขณะที่บรรดาผู้เผยพระวจนะและสาวกสามารถถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าได้เท่านั้น หรือด้วยการให้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็พูดถ้อยคำที่สอดคล้องกับความจริง แต่เนื้อแท้ของพวกเขาคือมนุษย์ พวกเขาไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และไม่สามารถแสดงความจริงได้ พวกเขาเป็นแค่บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อรดน้ำ จัดหาให้ และนำประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเท่านั้น พวกเขากำลังทำหน้าที่มนุษย์ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรงอย่างแน่นอน มาอ่านบทตอนอื่นๆ ของพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันครับ
“กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าไม่สามารถทำให้มองเห็นเป็นคำพูดของมนุษย์ได้และยิ่งไม่สามารถที่จะทำให้คำพูดของมนุษย์กลายเป็นพระวจนะของพระเจ้าได้ มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์และพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้ ในที่นี้มีความแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญอยู่อย่างหนึ่ง…พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เปิดฉากยุคใหม่ นำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง เปิดเผยข้อล้ำลึกทั้งหลาย และแสดงให้มนุษย์เห็นทิศทางที่เขาต้องไปในยุคใหม่ ความรู้แจ้งที่มนุษย์ได้รับนั้นเป็นเพียงคำแนะนำเรียบง่ายเพื่อการปฏิบัติหรือเพื่อความรู้เท่านั้น มันไม่สามารถนำมวลมนุษย์ทั้งปวงเข้าสู่ยุคใหม่หรือเปิดเผยข้อล้ำลึกของพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อพิจารณาจากทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์ก็คือมนุษย์ พระเจ้าทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้าและมนุษย์มีแก่นแท้ของมนุษย์ หากมนุษย์มีทรรศนะว่าพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการให้ความรู้แจ้งที่เรียบง่ายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับเอาคำพูดของบรรดาอัครทูตและผู้เผยพระวจนะมาเป็นพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองแล้วไซร้ นั่นย่อมจะเป็นความผิดพลาดของมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)
“นี่จึงกล่าวได้ว่าการสามัคคีธรรมของมนุษย์นั้นแตกต่างจากพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่ผู้คนสามัคคีธรรมสื่อถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาแต่ละคน โดยแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาบนพื้นฐานของพระราชกิจของพระเจ้า ความรับผิดชอบของพวกเขาคือการค้นหาหลังจากที่พระเจ้าทรงพระราชกิจหรือตรัส ว่าสิ่งใดในนั้นที่พวกเขาควรปฏิบัติหรือเข้าสู่ และจากนั้นจึงส่งต่อสิ่งนั้นให้แก่ผู้ติดตาม…ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็น และสิ่งนี้มนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้—นั่นคือ สิ่งนี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระราชกิจของพระองค์ในการนำมวลมนุษย์ทั้งปวง และสิ่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของประสบการณ์ของมนุษย์ แต่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์เองแทน สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือประสบการณ์ของเขา ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ซึ่งคือพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์ซึ่งอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์ ประสบการณ์ของมนุษย์คือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้ของเขา ซึ่งได้มาโดยมีพื้นฐานจากการแสดงออกของพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้เช่นนั้นเรียกกันว่าสิ่งที่มนุษย์เป็น และพื้นฐานของการแสดงออกของพวกเขาคืออุปนิสัยโดยธรรมชาติและขีดความสามารถของมนุษย์—นี่เป็นเหตุผลที่สิ่งเหล่านั้นเรียกกันว่าสิ่งที่มนุษย์เป็นเช่นเดียวกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์)
“ดูเปาโลและเปโตรเป็นตัวอย่าง พวกเขาไม่ได้มีประสบการณ์ส่วนตัวของตัวเอง ก่อนที่พระเยซูทรงนำเส้นทาง เป็นเพียงหลังจากพระเยซูทรงนำเส้นทางเท่านั้นพวกเขาจึงได้มีประสบการณ์กับพระวจนะที่พระเยซูตรัส และเส้นทางที่พระองค์ทรงนำ จากการนี้พวกเขาได้รับประสบการณ์มากมาย และพวกเขาก็เขียนสารต่างๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์)
พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไขความอย่างชัดเจนถึงความต่างระหว่าง คำพูดและเนื้อแท้ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงใช้และพระดำรัสและเนื้อแท้ของพระคริสต์พระองค์เอง พระคริสต์ทรงเป็นการทรงแสดงออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยตรง ดังนั้นทั้งหมดที่พระคริสต์ทรงแสดงคือพระวจนะของพระเจ้าและเป็นความจริง ส่วนบรรดาสาวกและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิญญาณ ไม้ว่าจะเป็นจดหมาย คำพูด หรืองานเขียนของพวกเขา พวกมันก็สะท้อนถึงประสบการณ์ส่วนตัวและความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น ถึงจะมีข้อเท็จจริงว่าสิ่งที่พวกเขาพูดส่วนใหญ่นั้นสอดคล้องกับความจริง มันก็เรียกว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ ยังมีช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างงานเขียนพวกนี้กับความจริงที่พระคริสต์ทรงแสดง ผู้คนเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นสอดคล้องกับความจริง เพราะพวกเขาได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับประสบการณ์และเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า แต่หากไม่มีการทรงแสดงความจริงของพระคริสต์ บรรดาสาวกและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิญญาณก็จะไม่มีประสบการณ์หรือความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกล่าวได้ว่าพระวาทะและพระราชกิจของพระคริสตร์ทำหน้าที่เป็นรากฐานให้ก่องานของพวกเขาขึ้นมา เพียงครั้งหนึ่งที่พระคริสต์ได้ทรงแสดงความจริงเท่านั้น บรรดาสาวกจึงสามารถมีประสบการณ์และความเข้าใจเรื่องนี้ได้ ดังนั้น ในบริบทของพระราชกิจของพระเจ้า พระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทรงแสดงพระวจนะของพระเจ้าได้ ถ้อยคำของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงใช้เป็นเพียงแค่เงาสะท้อนของความเข้าใจและประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขาเท่านั้น เหล่านั้นเป็นคำพยานและการเผยแพร่พระวจนะซึ่งพระคริสต์ได้ทรงแสดงไว้ ไม่มีความรู้ไหนที่พวกเขาอภิปรายที่สามารถเกินกว่าขอบเขตของพระวจนะของพระคริสต์ได้ และสิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีอะไรสามารถบรรลุถึงความลึกล้ำในระดับของพระวจนะของพระคริสต์พระองค์เองได้ ดังนั้นไม่ว่าถ้อยคำของพวกเขาจะบังเอิญตรงกับความจริงสักแค่ไหน มันก็ไม่มีทางสามารถบรรลุถึงเนื้อแท้ของความจริงของพระวจนะของพระเจ้าได้ นั่นคือข้อเท็จจริง
ความจริงที่พระคริสต์ทรงแสดงนั้นไม่มีที่สิ้นสุด ความจริงเหล่านี้เป็นอ่างน้ำมนต์แห่งความนิรันดร์ของน้ำแห่งชีวิตที่ไหลอยู่ตลอดเวลาสำหรับมนุษย์ ถึงจะมีข้อเท็จจริงว่าบรรดาผู้เผยพระวจนะได้รับพระบัญชาของพระเจ้าและถ่ายทอดพระวาทะของพระองค์ แต่พระวจนะของพระเจ้าซึ่งพวกเขาถ่ายทอดนั้นค่อนข้างแตกต่างจากพระวจนะที่พระเจ้าทรงแสดงในพระราชกิจของพระองค์ บรรดาผู้เผยพระวจนะไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาสามารถถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าในสภาวะแวดล้อมที่พิเศษเท่านั้น พวกเขาแสดงการเตือนต่างๆ แก่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในบริบทของสภาวะแวดล้อมหรือเหตุการณ์ที่พิเศษ พวกเขายังสื่อสารคำแนะนำ คำปลอบโยน และคำเผยพระวจนะต่างๆ เพื่อชี้นำประชากรของอิสราเอลด้วย บรรดาผู้เผยพระวจนะเป็นแค่เหล่าคนที่พระเจ้าทรงใช้ในยุคธรรมบัญญัติ ขณะที่พระองค์ได้ยกขึ้นในสมัยต่างๆ กัน พวกเขาสามารถถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้าผ่านพระบัญชาของพระยาห์เวห์พระเจ้า พวกเขาแค่ช่วยพระเจ้าเพื่อทำงานรองๆ ให้เสร็จสิ้น ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็เพื่อให้หน้าที่ในฐานะมนุษย์ของพวกเขาลุล่วง หากไม่มีพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาก็จะสูญเสียภารกิจเพื่อถ่ายทอดพระวจนะของพระเจ้า นี่พิสูจน์ว่าบรรดาผู้เผยพระวจนะไม่มีความจริง หนทางแห่งชีวิต สิ่งนี้ไม่สามารถปฏิเสธได้ เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการเริ่มต้นยุค พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงพระราชกิจทั้งหมดโดยตรง และพระองค์ทรงแสดงน้ำพระทัยทั้งหมดของพระเจ้าเพื่อให้มวลมนุษย์และพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น ซึ่งกล่าวได้ว่าพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทรงแสดงพระวจนะของพระเจ้าโดยตรงได้ พระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระราชกิจของ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” เสร็จสิ้นได้ การส่งบรรดาผู้เผยพระวจนะแยกกันไปไม่ได้แสดงถึงพระราชกิจแห่งการเริ่มต้นยุคของพระเจ้า เรื่องนี้ไม่ต้องสงสัยเลย ไม่ว่าบรรดาสาวกและผู้เชี่ยวชาญฝ่ายจิตวิญญาณได้เขียนพวกสารหรือหนังสือไว้มากมายแค่ไหน สุดท้าย สิ่งที่พวกเขาได้แสดงไว้นั้นเปรียบเสมือนประสบการณ์และความเข้าใจส่วนตัวของพวกเขา คำพยานเฉพาะตัวของพวกเขาเท่านั้น มันไม่สามารถเทียบกับการทรงแสดงพระวจนะของพระเจ้าของพระคริสต์ได้เลย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ บรรดาสาวก หรือบรรดาผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิญญาณ ก็ไม่มีคนไหนถูกนับเป็นความจริง หนทาง และชีวิตเลย พวกเขาเองจะไม่กล้าพูดว่าพวกเขาเป็นความจริง หนทาง และชีวิตด้วยซ้ำ และพวกเขาจะไม่กล้าพูดว่าถ้อยคำที่พวกเขาพูดเป็นพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงอย่างแน่นอน เราทั้งหมดสามารถเห็นได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นบรรดาสาวกหรือผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิญญาณ ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมานานกี่ปี สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ก็มีจำกัด พวกเขาไม่สามารถช่วยให้รอดหรือทำให้มวลมนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถทรงช่วยให้รอดและทรงทำให้มวลมนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ นี่เป็นข้อเท็จจริงครับ ดังนั้นพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต ไม่มีบรรดาสาวกหรือผู้เชี่ยวชาญฝ่ายวิญญาณคนไหนที่เป็นความจริง หนทาง และชีวิต
ตัดตอนจากบทภาพยนตร์เรื่อง ความล้ำลึกของความเลื่อมใสในศาสนา
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ