พวกคุณพูดว่าถ้าคนเราต้องการเป็นอิสระจากบาปและได้รับการชำระให้สะอาด พวกเขาต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย คือ แล้วพระเจ้าทรงพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาดในยุคสุดท้ายยังไงล่ะ ตลอดหลายปีมานี้ที่ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามา ผมคิดว่าคงจะดีมากถ้าเมื่อเวลาที่ผู้คนไม่ทำบาปอีกต่อไปมาถึง ในเวลานั้น ผมคิดว่าชีวิตจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป!

วันที่ 07 เดือน 11 ปี 2020

ตอบ: สำหรับเรื่องที่ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพิพากษาและชำระผู้คนให้สะอาดในยุคสุดท้ายยังไง เรามาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันครับ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการตีสอนและการพิพากษาเป็นหลัก โดยการก่อร่างขึ้นบนรากฐานนี้ พระองค์ทรงนำความจริงมาสู่มนุษย์มากขึ้นและชี้ให้เขาเห็นหนทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่มากขึ้น ส่งผลให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพระองค์ในการพิชิตมนุษย์และช่วยเขาให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ)

ในยุคสุดท้ายนั้น พระคริสต์ทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระวจนะซึ่งตีแผ่ให้เห็นว่ามนุษย์เหยียดหยันพระเจ้าอย่างไรนั้น ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ได้สูญเสียไปจนหมดสิ้น เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจให้ยอมหมอบราบต่อพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง)

ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้ เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดหรือได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการทำให้บริสุทธิ์ได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการทำให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4))

พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับความรู้เกี่ยวกับพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ หากปราศจากการพิพากษาของพระองค์ต่ออุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์แล้ว มนุษย์คงไม่อาจสามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ ซึ่งไม่ยินยอมให้มีการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ อีกทั้งมนุษย์คงจะไม่สามารถเปลี่ยนความรู้เก่าๆ ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าให้กลายเป็นความรู้ใหม่ได้ เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ของการบริหารจัดการของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้ความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์เป็นสิ่งที่รู้กันโดยทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้มนุษย์สามารถมาถึงจุดที่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของเขา และเป็นคำพยานที่ดังกึกก้องต่อพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงปรากฏต่อสาธารณะของพระองค์ได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการทำให้สัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางพระราชกิจหลากหลายประเภทที่แตกต่างกันของพระเจ้า หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาเช่นนั้นแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและติดตามพระทัยของพระเจ้าได้ การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยของมนุษย์เป็นเครื่องแสดงว่ามนุษย์ได้ทำให้ตัวเขาเองเป็นอิสระจากพันธนาการของซาตานและจากอิทธิพลของความมืด และได้กลายเป็นแบบอย่างและอุทาหรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้า พยานของพระเจ้า และผู้ที่ติดตามพระทัยของพระเจ้าอย่างแท้จริง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่รู้จักพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า)

จากพระวจนะของพระเจ้า เราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงใช้ความจริงที่พระองค์ได้ทรงแสดงในยุคสุดท้ายเพื่อพิพากษาและตีสอนความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม พระวจนะทุกคำของการพิพากษาของพระองค์แสดงถึงพระอุปนิสัยชอบธรรมของพระองค์ และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดสามารถเป็นชีวิตของมวลมนุษย์ได้ เพราะฉะนั้น พระวจนะทั้งหมดนี้เป็นความจริง พระวจนะแห่งความจริงเหล่านี้เป็นการพิพากษาความเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม พระวจนะเหล่านี้เป็นการตีสอน การกล่าวโทษ การสังเกต และการชำระให้บริสุทธิ์แก่พวกเขา พระเจ้าทรงใช้พระวจนะแห่งความจริงของพระองค์เพื่อชำระมนุษย์ที่เสื่อมทรามให้สะอาดจากอุปนิสัยแบบซาตานของพวกเขา และเพื่อแก้ไขปัญหาของธรรมชาติและเนื้อแท้ของพวกเขา ได้แก่ การต่อต้านพระเจ้า นั่นคือนัยสำคัญของพระเจ้าที่ทรงใช้พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์เพื่อทรงชำระมนุษยชาติให้บริสุทธิ์ ช่วยให้พวกเขารอด และทำให้พวกเขามีความเพียบพร้อม ระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ในยุคสุดท้าย พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงเปิดเผยความลึกลับทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์ พระวจนะเหล่านี้เปิดเผยอย่างชัดเจนถึงเป้าหมายของพระราชกิจแห่งความรอดสามระยะของพระเจ้าและเนื้อแท้ของพระราชกิจทุกระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิถีที่ผู้เชื่อสามารถเปลี่ยนอุปนิสัยของพวกเขาและได้รับการชำระให้สะอาดได้ ในขณะเดียวกัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ทรงตีแผ่ธรรมชาติและเนื้อแท้ของมนุษย์ซึ่งซาตานทำให้เสื่อมทราม ความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขา และรากเหง้าของบาปของพวกเขาอย่างทั่วถึง นี่ทำให้ผู้คนใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวเองและตระหนักรู้ว่าพวกเขามีธรรมชาติแบบซาตานอย่างมาก พวกเขาเห็นว่าพวกเขาใช้ชีวิตเหมือนมารซาตานอย่างสมบูรณ์ นี่เปิดโอกาสให้พวกเขากลับใจอย่างแท้จริงและทำให้พวกเขาเต็มใจยอมรับการตีสอนและการพิพากษา การทดสอบ และกระบวนการถลุงของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จากนั้นพวกเขาก็ไล่ตามความจริงและเปลี่ยนอุปนิสัยภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า อย่างช้าๆ พวกเขาสามารถปล่อยตัวเองเป็นอิสระจากการควบคุมและการจำกัดของอุปนิสัยแบบซาตานที่เสื่อมทรามของพวกเขา ในที่สุดพวกเขาก็สามารถกบฏต่อซาตาน ละทิ้งความชั่ว และกลับมาหาพระเจ้า นี่อนุญาตให้ผู้คนแก้ไขธรรมชาติบาปหนาของพวกเขาที่ต้นตอ

ยิ่งกว่านั้น ผ่านการรับประสบการณ์และปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเข้าใจความจริงมากมายอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ตัวอย่างเช่น การได้รับการช่วยให้รอดหมายความว่าอะไร ความรอดโดยสมบูรณ์คืออะไร การทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหมายถึงอะไร การทำไปตามความปรารถนาของตัวเองหมายถึงอะไร การติดตามพระเจ้าหมายถึงอะไร การติดตามมนุษย์หมายถึงอะไร พวกฟาริสีคืออะไร พระเจ้าทรงช่วยใครให้รอด พระเจ้าทรงละทิ้งใคร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ความชอบธรรมและ พระอุปนิสัยที่ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์จริงๆ ผ่านการรู้จักพระเจ้า คนเหล่านี้ค่อยๆ สามารถเคารพนับถือพระองค์และหลีกเลี่ยงความชั่ว พวกเขาใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า เมื่อพวกเขาเริ่มเข้าใจความจริง คนเหล่านี้ค่อยๆ ได้รับความรู้เรื่องพระเจ้าที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า และปฏิบัติความจริง มากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาปลดปล่อยตัวเองจากบาปและบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์โดยไม่รู้ตัว ผลในบั้นปลายนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าระหว่างยุคพระคุณ แต่ไม่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายไม่สามารถบรรลุได้ ดังนั้น ด้วยการที่ผู้คนยอมรับการพิพากษาและการตีสอนโดยพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้า และหลุดพ้นจากอิทธิพลแบบซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามได้อย่างสมบูรณ์ พวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตตามความจริงและพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือความหมายที่แท้จริงของความรอดโดยสมบูรณ์

ตัดตอนจากบทภาพยนตร์เรื่อง ความทรงจำอันเจ็บปวด

ก่อนหน้า: พวกคุณพูดว่าหากพวกเราไม่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเราจะไม่ได้รับการชำระให้สะอาด และด้วยเหตุนั้นจึงจะไม่เหมาะที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเราไม่เชื่อการนี้ แม้ว่าพวกเรายังคงสามารถทำบาปและถูกผูกติดอยู่กับเนื้อหนัง แต่ในพระคัมภีร์ก็แถลงอย่างชัดเจนว่า “ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่” (1 โครินธ์ 15.52) พวกเราเชื่อว่า พระเจ้านั้นทรงมหิทธิฤทธิ์ นั่นคือ ถ้อยดำรัสเดียวจากพระเจ้าได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และถ้อยดำรัสเดียวจากพระเจ้าสามารถทำให้ผู้คนเป็นขึ้นจากตายได้ เมื่อพระเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงสามารถเปลี่ยนแปลงรูปทรงของพวกเราและยกพวกเราขึ้นไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ในทันที เพราะฉะนั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องมีพระเจ้าที่จะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้าย และทรงแสดงความจริง และทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็คือ การพิพากษาแห่งมหาบัลลังก์สีขาวซึ่งได้รับการเผยวจนะไว้ในหนังสือวิวรณ์ใช่หรือไม่?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” (1 เปโตร 4:17)...

ติดต่อเราผ่าน Messenger