รัฐธรรมนูญจีนระบุเงื่อนไขอย่างชัดเจนในเรื่องอิสรภาพแห่งการเชื่อทางศาสนา การเชื่อในพระเจ้านั้นเป็นหลักธรรมอันมิอาจปรับเปลี่ยนได้ ความเชื่อนี้เป็นไปตามเหตุผลและสอดคล้องกับกฎหมาย ดังนั้นแล้ว ทำไมเล่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงโจมตี ปราบปราม และพยายามที่จะกำจัดการเชื่อทางศาสนาให้หมดสิ้น อันเป็นการตัดขาดประชาชนจีนจากสิทธิของพวกเขาที่มีต่ออิสรภาพแห่งการเชื่อ? ทำไมมันจึงปฏิบัติต่อเหล่าคริสตชนเหมือนเป็นอาชญากรตัวยง โดยใช้วิถีทางแบบปฏิวัติทำการปราบปราม ข่มเหง และกระทั่งทรมานพวกเขาจนถึงแก่ความตาย?
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“แต่โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย” (1 ยอห์น 5:19)
“คนในยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย” (ลูกา 11:29)
“พญานาคใหญ่ตัวนั้นคืองูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตานผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก” (วิวรณ์ 12:9)
“ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกท่าน ก็จงรู้ว่าโลกเกลียดชังเราก่อน” (ยอห์น 15:18)
“หลักการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างเข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์รักความมืดมากกว่าความสว่าง เพราะกิจการของพวกเขาเลวทราม เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาหาความสว่าง เนื่องจากกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ” (ยอห์น 3:19-20)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
การสำแดงของพญานาคใหญ่สีแดงนั้นคือการต้านทานเรา การขาดพร่องความเข้าใจและการจับใจความในความหมายของวจนะของเรา การข่มเหงเราอยู่บ่อยครั้ง และการพยายามใช้กลอุบายเพื่อขัดจังหวะการบริหารจัดการของเรา ซาตานถูกสำแดงดังต่อไปนี้ ได้แก่ การต่อสู้กับเราเพื่อพลังอำนาจ ความต้องการครอบครองประชากรที่เราเลือกสรร และการปลดปล่อยวาจาที่เป็นลบเพื่อหลอกลวงประชากรของเรา การสำแดงของมาร (พวกที่ไม่ยอมรับนามของเรา ผู้ที่ไม่เชื่อ ล้วนเป็นมารทั้งสิ้น) เป็นดังต่อไปนี้ ได้แก่ การโลภในความยินดีในเนื้อหนัง การปล่อยตัวปล่อยใจไปกับตัณหาชั่ว การมีชีวิตอยู่ในความเป็นทาสของซาตาน บางส่วนต้านทานเราและบางส่วนสนับสนุนเรา (แต่ไม่พิสูจน์ว่าพวกเขาคือบรรดาบุตรอันเป็นที่รักของเรา) การสำแดงของหัวหน้าทูตสวรรค์เป็นดังต่อไปนี้ ได้แก่ การพูดทะลึ่งอวดดี การเป็นคนอธรรม การนำกระแสเสียงของเราไปใช้สั่งสอนผู้คนอยู่บ่อยครั้ง การมุ่งเพียงเอาอย่างเราในสิ่งภายนอก การกินสิ่งที่เรากินและใช้สิ่งที่เราใช้ กล่าวโดยย่อคือ การต้องการที่จะอยู่เท่าเทียมกันกับเรา การมีความทะเยอทะยานแต่ขาดพร่องขีดความสามารถของเราและไม่มีชีวิตของเราอยู่ และการเป็นสิ่งไร้ประโยชน์สิ่งหนึ่ง ซาตาน มาร และหัวหน้าทูตสวรรค์ล้วนเป็นสิ่งแสดงให้เห็นโดยทั่วไปของพญานาคใหญ่สีแดง ดังนั้นพวกที่ไม่ได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าและไม่ได้รับการเลือกสรรโดยเรา ล้วนเป็นเชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงทั้งสิ้น กล่าวคือ เป็นอย่างนี้นี่เองอย่างแน่นอน! เหล่านี้ล้วนเป็นศัตรูของเราทั้งสิ้น (อย่างไรก็ตาม การทำให้หยุดชะงักของซาตานนั้นไม่รวมอยู่ด้วย หากธรรมชาติของเจ้าคือคุณสมบัติของเรา ก็ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงการนั้นได้ เพราะบัดนี้เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง เจ้าจะเผชิญหน้ากับการทดลองของซาตานอยู่เป็นครั้งคราว—สิ่งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้—แต่เจ้าต้องระมัดระวังอยู่เสมอ) ด้วยเหตุนี้ เราจะทอดทิ้งเชื้อสายทั้งปวงของพญานาคใหญ่สีแดงที่อยู่นอกเหนือจากบรรดาบุตรหัวปีของเรา ธรรมชาติของพวกมันไม่มีวันที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้—นั่นเป็นคุณสมบัติของซาตาน สิ่งที่พวกมันสำแดงคือมารนั่นเอง และสิ่งที่พวกมันใช้ชีวิตตามคือหัวหน้าทูตสวรรค์นั่นเอง การนี้จริงแท้แน่นอน พญานาคใหญ่สีแดงที่เรากล่าวถึงนั้นมิใช่พญานาคสีแดงขนาดใหญ่ แต่คือวิญญาณชั่วที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเราต่างหาก ซึ่งเป็นคำพ้องของ "พญานาคใหญ่สีแดง" ดังนั้น วิญญาณทั้งปวงที่นอกเหนือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์คือวิญญาณชั่ว และยังสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเชื้อสายของพญานาคใหญ่สีแดงอีกด้วย ทั้งหมดนี้ควรกระจ่างแจ่มแจ้งต่อทุกคน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 96
ที่นี่ได้เป็นแผ่นดินแห่งความโสโครกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล[1] เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา[2] ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้? มารมัดร่างของมนุษย์ทั้งหมดอย่างแน่นหนา มันคลุมดวงตาสองข้างของเขา และปิดผนึกริมฝีปากของเขาแน่น ราชาแห่งพวกมารได้อาละวาดมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้วจนกระทั่งถึงทุกวันนี้เมื่อมันยังคงเฝ้าดูเมืองผีนี้อย่างใกล้ชิด ราวกับเป็นวังของพวกปีศาจที่ไม่อาจผ่านเข้าไปได้ ในขณะเดียวกัน สุนัขยามฝูงนี้ก็ถลึงตาจ้องเขม็ง เกรงกลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงจับพวกมันโดยไม่ทันรู้ตัวและกวาดล้างพวกมันไปทั้งหมด ทิ้งให้พวกมันไม่มีสถานที่แห่งสันติสุขและความสุข ผู้คนแห่งเมืองผีเช่นเมืองนี้จะเคยสามารถมองเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาเคยได้ชื่นชมความทรงค่าและความดีงามของพระเจ้าหรือไม่? พวกเขามีความซึ้งคุณค่าใดในเรื่องราวของโลกมนุษย์? พวกเขาคนใดสามารถเข้าใจน้ำพระทัยที่กระตือรือร้นของพระเจ้าได้? เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ข้ารับใช้พวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป! ผู้ใดได้น้อมรับพระราชกิจของพระเจ้า? ผู้ใดได้สละชีวิตของพวกเขาหรือได้หลั่งเลือดเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า? รุ่นแล้วรุ่นเล่า จากบิดามารดาสู่ลูกหลาน มนุษย์ที่ตกเป็นทาสได้ทำให้พระเจ้าตกเป็นทาสอย่างกะทันหัน—การนี้จะไม่ยั่วยุโทสะได้อย่างไร? หลายพันปีแห่งความเกลียดชังถูกทำให้เข้มข้นอยู่ภายในหัวใจ หลายสหัสวรรษแห่งความเปี่ยมบาปถูกจารึกอยู่บนหัวใจ—การนี้จะไม่บันดาลความเกลียดได้อย่างไร? จงล้างแค้นให้พระเจ้า ดับศัตรูของพระองค์ให้สิ้น จงอย่ายอมให้มันวิ่งอาละวาดอีกต่อไป และจงอย่าอนุญาตให้มันก่อปัญหามากมายอย่างที่มันปรารถนาอีกต่อไป! บัดนี้ถึงเวลาแล้ว กล่าวคือ มนุษย์ได้รวบรวมพละกำลังทั้งหมดของเขามานานแล้ว เขาได้อุทิศความพยายามทั้งหมดของเขาและได้จ่ายทุกราคาเพื่อการนี้ เพื่อฉีกโฉมหน้าที่น่าขยะแยงของปีศาจตนนี้ออก และเปิดโอกาสให้ผู้คน ผู้ซึ่งถูกทำให้มืดบอด และผู้ซึ่งได้สู้ทนความทุกข์และความยากลำบากมาแล้วทุกรูปแบบ ได้ลุกขึ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขาและหันหลังของพวกเขาให้แก่มารชั่วที่แก่ชราตนนี้ เหตุใดจึงสร้างอุปสรรคที่ไม่อาจเจาะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า? ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย? ไหนเล่าความเป็นธรรม? ไหนเล่าความชูใจ? ไหนเล่าความอบอุ่น? เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้กำลังบังคับเพื่อปราบปรามการเสด็จมาของพระเจ้า? เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงท่องไปอย่างอิสระบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น? เหตุใดจึงไล่ล่าพระเจ้าจนกระทั่งพระองค์ไม่มีที่ใดให้พักพระเศียร? ไหนเล่าความอบอุ่นท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย? ไหนเล่าการต้อนรับท่ามกลางผู้คน? เหตุใดจึงก่อให้เกิดการโหยหาที่ท้อแท้สิ้นหวังในพระเจ้าเช่นนั้น? เหตุใดจึงทำให้พระเจ้าทรงร้องเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า? เหตุใดจึงบังคับให้พระเจ้าทรงกังวลถึงพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์? ในสังคมมืดนี้ เหตุใดพวกสุนัขเฝ้าบ้านที่อยู่ในสภาพน่าสงสารของมันจึงไม่ยอมให้พระเจ้าเสด็จไปมาอย่างอิสระท่ามกลางโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)
ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณได้แอบขโมยมนุษย์ไปจากการสถิตของพระเจ้า และได้ส่งเขาไปยังกษัตริย์ของพวกมารและลูกหลานของมัน สี่ตำราและห้าคัมภีร์[ก]ได้นำความคิดและมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ไปสู่อีกยุคแห่งการกบฏ ทำให้เขาให้การยกย่องสรรเสริญแก่พวกที่ได้รวบรวมตำรา/คัมภีร์ที่เป็นเอกสารหลักฐานทั้งหลายมากยิ่งขึ้นไปอีก และผลก็คือทำให้มโนคติที่หลงผิดของเขาเกี่ยวกับพระเจ้ายิ่งแย่ลงไปอีก โดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว กษัตริย์ของพวกมารได้ขับไล่พระเจ้าจากหัวใจของเขาอย่างเลือดเย็นและจากนั้นจึงจับจองมันด้วยตัวมันเองด้วยความรื่นเริงยินดีแห่งการฉลองชัย นับตั้งแต่เวลานั้น มนุษย์ได้กลายเป็นมีวิญญาณอันน่าเกลียดและชั่วร้ายและมีโฉมหน้าของกษัตริย์ของพวกมาร ความเกลียดชังพระเจ้าได้เติมอกของเขาจนเต็ม และความมุ่งร้ายอันอาฆาตแค้นของกษัตริย์ของพวกมารก็ได้แผ่ไปภายในตัวมนุษย์วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งเขาได้ถูกกลืนกินอย่างเต็มที่ มนุษย์ไม่ได้มีอิสรภาพอีกต่อไปแม้แต่น้อยและไม่ได้มีหนทางที่จะหลุดพ้นเป็นอิสระจากบางสิ่งที่มนุษย์ยึดมั่นของกษัตริย์ของพวกมาร เขาไม่ได้มีทางเลือกนอกจากจะถูกจองจำคาที่ ยอมจำนนและล้มลงในความนบนอบต่อหน้ามัน นานมาแล้ว เมื่อหัวใจและวิญญาณของมนุษย์ยังคงอยู่ในวัยทารก กษัตริย์ของพวกมารได้ปลูกเมล็ดพันธุ์ของเนื้อร้ายแห่งการเชื่อว่าพระเจ้าไม่มีจริงไว้ในนั้น โดยสอนวิธีคิดที่ผิดให้แก่เขา เช่น “จงศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จงตระหนักถึงนโยบายสี่ทันสมัย และไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นพระเจ้าอยู่ในโลก” ไม่เพียงแค่นั้น มันยังตะโกนร้องในทุกๆ โอกาสว่า “ขอให้พวกเราจงพึ่งพาแรงอันอุตสาหะของพวกเราเพื่อสร้างถิ่นฐานอันสวยงาม” โดยขอให้แต่ละบุคคลตระเตรียมตั้งแต่วัยเด็กเพื่อทำการปรนนิบัติอันสัตย์ซื่อต่อประเทศของพวกเขา มนุษย์ซึ่งไม่รู้ตัวได้ถูกนำไปอยู่ต่อหน้ามัน โดยที่มันแอบอ้างสิทธิ์ความเชื่อถือทั้งหมด (หมายถึงความเชื่อถือที่เป็นของพระเจ้าสำหรับการถือครองมวลมนุษย์ทั้งปวงไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์) ไว้กับตัวมันเองอย่างไม่ลังเลใจ มันไม่เคยมีสำนึกรับรู้ความละอายใจใดเลย ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ฉวยเอาประชากรของพระเจ้าไปอย่างไร้ยางอายและได้ลากพวกเขากลับไปอยู่ในบ้านของมัน ที่ซึ่งมันได้กระโดดเหมือนกับหนูตัวหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะและได้ให้มนุษย์บูชามันในฐานะพระเจ้า ช่างเป็นวายร้ายยิ่งนัก! มันร้องตะโกนสิ่งทั้งหลายที่น่าอัปยศและทำให้สะดุ้งตกใจ อาทิ “ไม่มีสิ่งเช่นนั้นที่เป็นพระเจ้าอยู่ในโลก ลมนั้นมาจากการเปลี่ยนสภาพต่างๆ ตามกฎธรรมชาติ ฝนนั้นมาเมื่อไอน้ำที่พบกับอุณหภูมิเย็นกลั่นตัวกลายเป็นหยดน้ำที่ตกลงสู่แผ่นดินโลก แผ่นดินไหวคือการสั่นสะเทือนของผิวของแผ่นดินโลกอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ภัยแล้งก็เป็นเพราะความแห้งในอากาศที่เกิดขึ้นจากการหยุดชะงักของนิวเคลียสบนผิวของดวงอาทิตย์ เหล่านี้คือปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ในทั้งหมดนี้การกระทำของพระเจ้าอยู่ที่ใดกัน”? มีแม้กระทั่งพวกที่ตะโกนร้องคำแถลงดังเช่นต่อไปนี้ คำแถลงที่ไม่ควรได้รับการประกาศออกมา นั่นคือ “มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากพวกลิงในสมัยโบราณ และโลกทุกวันนี้ก็มาจากความต่อเนื่องของสังคมดึกดำบรรพ์ที่เริ่มตั้งแต่ประมาณกัปกัลป์มาแล้ว การที่ประเทศหนึ่งจะเจริญรุ่งเรืองหรือตกต่ำหรือไม่นั้นอยู่ในมือของผู้คนของประเทศนั้นอย่างสิ้นเชิง” หลังฉากนั้น มันทำให้มนุษย์แขวนมันบนผนังหรือวางมันบนโต๊ะเพื่อกราบไหว้และให้เครื่องบูชาแก่มัน ในเวลาเดียวกันกับที่มันร้องตะโกนออกมาว่า “ไม่มีพระเจ้า” มันก็ตั้งตัวมันเองเป็นพระเจ้า โดยผลักพระเจ้าออกจากเขตแดนของแผ่นดินโลกด้วยความหยาบคายที่รวบรัด ในขณะที่ยืนในที่ของพระเจ้าและเข้ารับบทบาทของกษัตริย์ของพวกมาร ช่างไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง! มันทำให้คนเราเกลียดมันเข้ากระดูกดำ ดูเหมือนว่าพระเจ้ากับมันเป็นศัตรูคู่สาบานกัน และทั้งสองก็ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ มันออกอุบายเพื่อไล่พระเจ้าออกไปในขณะที่มันเตร่ไปโดยอิสระ อยู่นอกเงื้อมมือของกฎหมาย[3] มันช่างเป็นกษัตริย์ของพวกมารอะไรเช่นนี้! เราสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของมันได้อย่างไร? มันจะไม่หยุดพักจนกว่ามันจะได้ทำให้พระราชกิจของพระเจ้ายุ่งเหยิงและทิ้งพระราชกิจนั้นทั้งหมดไว้ในความโกลาหลสิ้นเชิง[4] ราวกับว่ามันต้องการที่จะต่อต้านพระเจ้าไปจนถึงที่สุด จนกว่าปลาจะตายหรือไม่ก็ตาข่ายขาด โดยจงใจตั้งตัวมันเองต่อต้านพระเจ้าและกดดันใกล้เข้ามายิ่งขึ้นทุกที ใบหน้าอันน่าขยะแขยงของมันที่ได้ถูกถอดหน้ากากออกอย่างสิ้นเชิงมานานแล้ว บัดนี้มันบอบช้ำและสะบักสะบอม[5]และอยู่ในสภาพเงื่อนไขที่น่าสงสาร ทว่ามันก็ยังคงจะไม่ลดละความเกลียดชังของมันที่มีต่อพระเจ้า ราวกับว่าโดยการกลืนกินพระเจ้าอย่างเต็มปากเต็มคำเท่านั้นมันจึงจะมีความสามารถที่จะบรรเทาความเกลียดชังที่ถูกกักขังไว้ในหัวใจของมันได้ พวกเราสามารถทนยอมรับมันได้อย่างไร ศัตรูตัวนี้ของพระเจ้า! การถอนรากถอนโคนและการกำจัดมันให้สิ้นซากเท่านั้นที่จะนำความปรารถนาของชีวิตของพวกเราไปสู่การเกิดผลได้ มันสามารถได้รับการยอมให้อาละวาดแผลงฤทธิ์ต่อไปได้อย่างไร? มันได้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจนถึงระดับที่ว่ามนุษย์ไม่รู้จักอาทิตย์สวรรค์ และได้กลายเป็นไม่ตอบสนองและไร้ความรู้สึก มนุษย์ได้สูญเสียเหตุผลของมนุษย์ปกติไปแล้ว เหตุใดจึงไม่มอบถวายการเป็นอยู่ทั้งหมดของพวกเราเพื่อทำลายมันและเผามันไหม้จนหมดเพื่อขจัดความกังวลทั้งหมดเกี่ยวกับอนาคต และเปิดโอกาสให้พระราชกิจของพระเจ้าได้ไปถึงความงดงามอันไม่เคยมีมาก่อนได้เร็วขึ้น? บรรดาวายร้ายแก๊งนี้ได้มาสู่โลกของพวกมนุษย์และได้ลดทอนโลกมนุษย์ไปสู่ความสับสนอลหม่าน พวกมันได้นำมนุษยชาติทั้งปวงไปสู่ขอบหน้าผา โดยวางแผนอย่างลับๆ ที่จะผลักพวกเขาลงไปให้กระแทกแหลกเป็นชิ้นๆ เพื่อที่ในเวลาต่อมาพวกมันอาจจะกลืนกินซากศพของพวกเขา พวกมันหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะทำลายแผนของพระเจ้าและเข้าสู่การแข่งขันกับพระองค์ โดยเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างในการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว[6] นั่นไม่ง่ายแต่ประการใดเลย! ในที่สุดแล้วกางเขนได้ถูกตระเตรียมไว้ให้แก่กษัตริย์ของพวกมารแล้ว ผู้ที่มีความผิดฐานก่ออาชญากรรมอันชั่วร้ายที่สุด พระเจ้าไม่ทรงเป็นของกางเขน พระองค์ได้ทรงโยนมันไปข้างๆ ให้แก่มารแล้ว บัดนี้พระเจ้าได้ทรงผงาดขึ้นเป็นผู้มีชัยชนะมานานแล้วและไม่ทรงรู้สึกเศร้าโศกในเรื่องความบาปทั้งหลายของมวลมนุษย์อีกต่อไป แต่จะทรงนำความรอดมาสู่มวลมนุษย์ทั้งปวง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)
จากที่สูงสุดถึงต่ำสุดและตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงบทอวสาน ซาตานได้ทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักและกระทำการในการต่อต้านพระองค์มาโดยตลอด การพูดคุยเรื่อง “มรดกทางวัฒนธรรมโบราณ” “ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณ” อันมีคุณค่า “คำสอนของลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ” และ “คัมภีร์ของขงจื๊อและพิธีกรรมแบบศักดินา” ทั้งหมดนี้ได้นำมนุษย์ไปสู่นรก วิทยาศาสตร์และวิทยาการสมัยใหม่ขั้นสูง ตลอดจนอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และธุรกิจต่างๆ ที่พัฒนาไปอย่างมากล้วนไม่อาจพบเห็นได้ที่ใด ในทางกลับกัน ทั้งหมดที่มันทำคือการตอกย้ำพิธีกรรมแบบศักดินาที่เผยแพร่โดย “บรรดาลิง” จากยุคโบราณเพื่อที่จะจงใจทำให้หยุดชะงัก ต่อต้าน และรื้อพระราชกิจของพระเจ้า มันไม่ได้เพียงทำให้มนุษย์ทุกข์ร้อนต่อเนื่องมาจนกระทั่งวันนี้เท่านั้น แต่มันถึงขั้นต้องการที่จะกลืน[7]มนุษย์ทั้งหมด การส่งผ่านคำสอนด้านจริยธรรมและด้านศีลธรรมจากระบบศักดินาและการส่งต่อความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณได้ทำให้มนุษยชาติติดเชื้อมานานแล้ว โดยเปลี่ยนพวกเขาไปเป็นพวกมารทั้งใหญ่และเล็ก มีน้อยคนที่เป็นบรรดาผู้ที่จะรับพระเจ้าอย่างยินดี น้อยคนที่จะต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์อย่างลิงโลด โฉมหน้าของมนุษยชาติทั้งปวงเต็มไปด้วยเจตนามุ่งสังหาร และในทุกสถานที่ ลมหายใจแห่งการเข่นฆ่าแผ่ซ่านไปในอากาศ พวกเขาพยายามขับไล่พระเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้ ด้วยมีดและดาบในมือ พวกเขาจัดการเตรียมการตัวพวกเขาเองในการก่อรูปแบบการสู้รบเพื่อ “ทำลายล้าง” พระเจ้า ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ของมาร ที่ซึ่งมนุษย์ถูกสอนอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีพระเจ้า รูปเคารพต่างๆ นั้นแพร่หลายไปทั่ว และอากาศข้างบนก็แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นชวนคลื่นเหียนจากกระดาษและธูปที่เผาไหม้ ที่หนาแน่นเสียจนหายใจไม่ออก มันเป็นเหมือนกลิ่นเหม็นของโคลนที่ล่องลอยด้วยการบิดตัวของงูพิษ มากเสียจนกระทั่งคนเราไม่สามารถกลั้นการอาเจียนได้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังสามารถแว่วได้ยินเสียงของบรรดามารชั่วที่กำลังสวดคัมภีร์ เป็นเสียงซึ่งดูเหมือนว่าจะมาจากที่ห่างไกลในนรก มากเสียจนกระทั่งคนเราไม่สามารถกลั้นการสั่นเทาได้ ทุกที่ในแผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งรูปเคารพทุกสีในสายรุ้ง โดยเปลี่ยนแผ่นดินไปเป็นโลกแห่งความปีติยินดีทางโลกีย์ ในขณะที่กษัตริย์ของพวกมารหัวเราะต่อเนื่องอย่างชั่วช้า ราวกับว่าอุบายอันขี้ขลาดของมันได้ประสบความสำเร็จแล้ว ในขณะเดียวกัน มนุษย์ยังคงไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิง และเขาก็ไม่ได้ระแคะระคายเลยว่ามารนั้นได้ทำให้เขาเสื่อมทรามไปแล้วจนถึงจุดที่ว่าเขาได้กลายเป็นไร้สำนึกรับรู้และคอตกในความพ่ายแพ้ มันปรารถนาที่จะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และทำให้พระองค์มีมลทินและลอบสังหารพระองค์อีกครั้งหนึ่งในคราวเดียว กล่าวคือ มันตั้งใจที่จะฉีกทำลายและทำให้พระราชกิจของพระองค์หยุดชะงัก มันสามารถยอมให้พระเจ้ามีพระสถานะเท่ากันได้อย่างไร? มันสามารถทนยอมรับพระเจ้า “ที่ทรงแทรกแซง” งานของมันท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้อย่างไร? มันสามารถยอมให้พระเจ้าทรงถอดหน้ากากโฉมหน้าอันน่าขยะแขยงของมันได้อย่างไร? มันสามารถยอมให้พระเจ้าทรงวางงานของมันไว้ในความสับสนวุ่นวายได้อย่างไร? มารตัวนี้ซึ่งฉุนเฉียวด้วยความเดือดดาลสามารถยอมให้พระเจ้าทรงมีการควบคุมเหนือศาลแห่งจักรวรรดิของมันบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร? มันสามารถเต็มใจกราบไหว้มหิทธิฤทธิ์อันสูงกว่าของพระองค์ได้อย่างไร? โฉมหน้าอันน่าขยะแขยงของมันได้ถูกเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่มันเป็น เพื่อที่คนเราจะได้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และมันยากจริงๆ ที่จะพูดถึง นี่ไม่ใช่แก่นแท้ของมันหรอกหรือ? ด้วยวิญญาณอันน่าเกลียด มันยังคงเชื่อว่ามันนั้นสวยงามเหลือเชื่อ บรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรมแก๊งนี้![8] พวกมันลงมาสู่อาณาจักรมนุษย์เพื่อปล่อยใจดื่มด่ำไปกับความยินดีต่างๆ และทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย โดยก่อกวนสิ่งต่างๆ มากจนกระทั่งโลกกลายเป็นสถานที่ที่แปรปรวนและไม่แน่นอน และหัวใจของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความไม่สบายใจ และพวกมันได้ล้อเล่นกับมนุษย์มากจนกระทั่งการปรากฏของเขาได้กลายเป็นการปรากฏของสัตว์ป่าที่โหดร้ายแห่งท้องทุ่ง น่าเกลียดที่สุด และร่องรอยสุดท้ายของมนุษย์ที่บริสุทธิ์แบบดั้งเดิมก็ได้สูญหายไปจากมัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันถึงขั้นปรารถนาที่จะเข้าครองอำนาจอธิปไตยบนแผ่นดินโลก พวกมันยับยั้งพระราชกิจของพระเจ้ามากจนกระทั่งพระราชกิจนั้นแทบจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้สักหนึ่งนิ้ว และพวกมันก็ปิดมนุษย์อย่างแน่นหนาดังกำแพงทองแดงและเหล็กกล้า เมื่อได้กระทำบาปร้ายแรงมากมายยิ่งนักและทำให้เกิดความวิบัติมากมายยิ่งนักแล้ว พวกเขายังคงคาดหวังบางสิ่งนอกเหนือจากการตีสอนอยู่อีกหรือ? พวกมารและบรรดาวิญญาณชั่วกำลังวิ่งพล่านไปบนแผ่นดินโลกตลอดมาชั่วเวลาหนึ่ง และได้ปิดผนึกทั้งน้ำพระทัยและความพยายามอุตสาหะของพระเจ้าอย่างแน่นหนาแล้วจนกระทั่งสิ่งเหล่านั้นมิอาจผ่านเข้าไปได้ จริงๆ แล้ว นี่คือบาปมหันต์! พระเจ้าไม่สามารถรู้สึกกระวนกระวายได้อย่างไร? พระเจ้าไม่สามารถรู้สึกพิโรธได้อย่างไร? พวกเขาได้ขัดขวางและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าอย่างรุนแรง ช่างเป็นกบฏเสียจริง!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)
เชิงอรรถ:
1. “ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” อ้างอิงถึงวิธีการที่มารใช้เพื่อทำอันตรายผู้คน
2. “พิทักษ์อย่างแน่นหนา” บ่งบอกว่าวิธีการที่มารใช้ก่อความทุกข์ร้อนให้ผู้คนนั้นชั่วช้าเป็นพิเศษ และควบคุมผู้คนมากเสียจนพวกเขาไม่มีที่ให้ขยับ
3. “เตร่ไปโดยอิสระ อยู่นอกเงื้อมมือของกฎหมาย” บ่งบอกว่ามารนั้นคลุ้มคลั่งและวิ่งพล่าน
4. “ความโกลาหลสิ้นเชิง” อ้างอิงถึงวิธีที่พฤติกรรมรุนแรงของมารนั้นมิอาจที่จะทนเห็นได้
5. “บอบช้ำและสะบักสะบอม” อ้างอิงถึงใบหน้าอันน่าเกลียดของกษัตริย์ของพวกมาร
6. “เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างในการโยนลูกเต๋าครั้งเดียว” หมายความถึงการวางเงินทั้งหมดของใครคนหนึ่งในการเดิมพันครั้งเดียวด้วยความหวังว่าจะชนะในท้ายที่สุด นี่คือคำอุปมาสำหรับกลอุบายอันมุ่งร้ายและสามานย์ของมาร สำนวนนี้ใช้กันในทางเย้ยหยัน
7. “กลืน” หมายถึงพฤติกรรมชั่วช้าของกษัตริย์ของพวกมาร ซึ่งช่วงชิงผู้คนทั้งตัว
8. “บรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรม” เป็นประเภทเดียวกับ “กลุ่มอันธพาล”
ก. สี่ตำราและห้าคัมภีร์เป็นตำราที่เชื่อถือได้ของลัทธิขงจื๊อในประเทศจีน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ