ซาตานซึ่งกำลังหลอกลวงมวลมนุษย์และทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม คือรากเหง้าของความมืดมิดและความชั่วในโลกนี้

วันที่ 04 เดือน 11 ปี 2020

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

อาดัมกับเอวาที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นในปฐมกาลนั้น เป็นผู้คนบริสุทธิ์ ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในขณะที่อยู่ในสวนเอเดน พวกเขาบริสุทธิ์ ไม่ด่างพร้อยด้วยความโสมม พวกเขาสัตย์ซื่อต่อพระยาห์เวห์ด้วยเช่นกัน และไม่ได้รู้อะไรในเรื่องการทรยศพระยาห์เวห์เลย นี่เป็นเพราะพวกเขาปราศจากการรบกวนจากอิทธิพลของซาตาน ปราศจากพิษของซาตาน และบริสุทธิ์ที่สุดในหมู่มวลมนุษย์ พวกเขามีชีวิตอยู่ในสวนเอเดน ไม่มีความโสมมใดๆ มาทำให้มัวหมอง ไม่ได้ถูกเนื้อหนังเข้าครอง และมีความเคารพในพระยาห์เวห์ ต่อมา เมื่อพวกเขาได้ถูกซาตานทดลอง พวกเขาก็มีพิษของงู และมีความอยากที่จะทรยศพระยาห์เวห์ และพวกเขาได้มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน ในปฐมกาล พวกเขาบริสุทธิ์ และพวกเขาเคารพพระเจ้า เพียงในสภาวะนี้เท่านั้นที่พวกเขาเป็นมนุษย์ ต่อจากนั้นมา หลังจากที่พวกเขาได้ถูกซาตานทดลอง พวกเขาได้กินผลของต้นไม้แห่งความรู้ถึงความดีและความชั่ว และได้มีชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน พวกเขาค่อยๆ ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและได้สูญเสียภาพลักษณ์ดั้งเดิมของมนุษย์ไป ในปฐมกาล มนุษย์มีลมปราณของพระยาห์เวห์ ไม่มีความไม่เชื่อฟังแม้เพียงเสี้ยวน้อยนิด และไม่มีความชั่วในหัวใจของเขาเลย ณ เวลานั้น มนุษย์เป็นมนุษย์จริงๆ หลังจากที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ก็กลายเป็นสัตว์ร้าย ความคิดของเขาถูกเติมความชั่วและความโสมมเข้าไป ปราศจากความดีหรือความบริสุทธิ์ นี่ไม่ใช่ซาตานหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

เป็นเพราะการประดิษฐ์คิดค้นทางศาสตร์สังคมต่างๆ ของมวลมนุษย์ จิตใจของมนุษย์ได้กลับกลายเป็นถูกจับจองด้วยวิชาและความรู้ จากนั้นวิชาและความรู้ก็ได้กลายเป็นเครื่องมือสำหรับการปกครองมวลมนุษย์ และไม่มีพื้นที่พอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะนมัสการพระเจ้าอีกต่อไป และไม่มีสภาพเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยต่อการนมัสการพระเจ้าอีกแล้ว ฐานะของพระเจ้าได้จมต่ำลงทุกทีในหัวใจของมนุษย์ เมื่อปราศจากพระเจ้าในหัวใจเขา โลกภายในของมนุษย์ย่อมมืดมน สิ้นหวัง และว่างเปล่า ภายหลังต่อมาบรรดานักสังคมศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ และนักการเมืองมากมายได้ออกมาเปิดตัว แสดงทฤษฎีทางศาสตร์สังคมต่างๆ ทฤษฎีแห่งวิวัฒนาการมนุษย์ และทฤษฎีอื่นๆ สารพัดซึ่งขัดแย้งกับความจริงที่ว่า พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา ทรงเติมหัวใจและจิตใจให้แก่มวลมนุษย์ และเช่นนี้เอง ผู้คนซึ่งเชื่อว่า พระเจ้าทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างจึงกลับกลายน้อยลงตลอดเวลา และบรรดาผู้ที่เชื่อในทฤษฎีวิวัฒนาการกลับมีจำนวนมากขึ้นตลอดเวลา ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกต่างๆ เกี่ยวกับงานของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ในระหว่างยุคแห่งพันธสัญญาเดิมราวกับเป็นนิทานปรัมปราและตำนานมากขึ้นทุกที ในหัวใจของพวกเขา ผู้คนกลับกลายเป็นไม่แยแสต่อความทรงเกียรติและความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ต่อหลักความเชื่อที่ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่และทรงอำนาจครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งมวล ความอยู่รอดของมวลมนุษย์และชะตากรรมของประเทศต่างๆ และชนชาติต่างๆ ไม่มีความสำคัญกับพวกเขาอีกต่อไป และมนุษย์มีชีวิตอยู่ในโลกอันกลวงเป็นโพรงที่กังวลใส่ใจเพียงเรื่องการกิน การดื่ม และการวิ่งไล่ตามความหรรษายินดี…มีผู้คนน้อยนิดที่คิดได้เองในการที่จะเสาะแสวงว่า พระเจ้าทรงปฏิบัติงานของพระองค์อยู่ ณ ที่ใด หรือมองดูว่า พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและเป็นประธานเหนือบั้นปลายของมนุษย์อย่างไร และเช่นนี้เอง อารยธรรมของมนุษย์จึงกลายเป็นว่าสามารถสอดรับกับความปรารถนาของมนุษย์ได้น้อยลงทุกที โดยที่มนุษย์มิได้รู้ตัวเลย และมิหนำซ้ำยังมีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่า พวกเขามีความสุขในการใช้ชีวิตในโลกแบบนี้น้อยกว่าบรรดาผู้ที่ตายจากไปแล้วเสียอีก แม้แต่ประชาชนของประเทศต่างๆ ที่เคยมีอารยธรรมสูงส่งก็ยังออกมาแสดงความคับข้องใจดังกล่าว ด้วยความที่ปราศจากการทรงนำของพระเจ้า ไม่สำคัญว่าบรรดานักปกครองและนักสังคมศาสตร์ จะขบคิดกันจนสมองแทบแตกอย่างไร ในอันที่จะรักษาอารยธรรมของมนุษย์เอาไว้ ก็เป็นการไร้ประโยชน์ ไม่มีใครสามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจของมนุษย์ได้ เนื่องเพราะไม่มีใครสามารถเป็นชีวิตของมนุษย์ได้ และไม่มีทฤษฎีเชิงสังคมข้อไหนที่สามารถปลดปล่อยมนุษย์ออกจากความว่างเปล่าที่เขากำลังทนทรมาน ทั้งวิชา ความรู้ อิสรภาพ ประชาธิปไตย ความสบาย ความสะดวก เหล่านี้ล้วนนำการปลอบประโลมมาสู่มนุษย์ได้เพียงชั่วคราว ต่อให้มีสิ่งเหล่านี้ มนุษย์ก็จะยังคงมีบาปและจะยังคร่ำครวญถึงความไม่เป็นธรรมของสังคมอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถยับยั้งความอยากและความต้องการของมนุษย์ในการที่จะสำรวจค้นคว้าได้ นี่เป็นเพราะมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า และการสำรวจค้นคว้าและอุทิศทุ่มเทอย่างไร้สติของมนุษย์ ทำได้แค่เพียงนำไปสู่ความเศร้าหมองที่มากขึ้นเท่านั้น และทำได้เพียงเป็นต้นเหตุให้มนุษย์ดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความหวาดกลัวตลอดเวลาเท่านั้น โดยไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอนาคตของมวลมนุษย์อย่างไร หรือจะเผชิญหน้ากับเส้นทางที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้าอย่างไร มนุษย์จะถึงขั้นกลายเป็นหวาดกลัวต่อวิชาและความรู้ และยิ่งจะหวาดกลัวความรู้สึกว่างเปล่า ในโลกใบนี้ เจ้าไม่สามารถหลีกหนีชะตากรรมของมนุษยชาติได้โดยเด็ดขาด โดยไม่ต้องคำนึงว่า เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเสรีหรือในประเทศที่ปราศจากสิทธิมนุษยชน ไม่ว่าเจ้าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ถูกปกครอง เจ้าก็ไม่สามารถหลีกหนีความต้องการที่จะค้นคว้าเปิดเผยชะตากรรม ความล้ำลึก และบั้นปลายของมวลมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะสามารถหลีกหนีไปได้จากสำนึกอันว้าวุ่นสับสนแห่งความว่างเปล่า ปรากฏการณ์ดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติในหมู่มวลมนุษย์ทั้งปวง ได้ถูกนักสังคมศาสตร์เรียกว่าปรากฏการณ์ทางสังคม แต่กระนั้น ก็ยังไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่คนใดสามารถออกมาแสดงตนเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์ก็คือมนุษย์ และไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถมาแทนที่ตำแหน่งและชีวิตของพระเจ้าได้ มวลมนุษย์ไม่เพียงพึงต้องมีสังคมที่ยุติธรรมซึ่งทุกคนถูกบำรุงบำเรออย่างดี และมีอิสรภาพและความเสมอภาค สิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีคือ ความรอดของพระเจ้าและการจัดเตรียมชีวิตของพระองค์ที่มีให้แก่พวกเขา มีเพียงยามที่มนุษย์ได้รับการจัดเตรียมชีวิตของพระเจ้าและความรอดของพระองค์แล้วเท่านั้น ที่ความต้องการที่จำเป็นต่างๆ ความโหยหาที่จะค้นคว้าเปิดเผย และความว่างเปล่าทางจิตวิญญาณของมนุษย์จะสามารถได้รับการแก้ไข หากประชาชนของประเทศหนึ่งหรือชนชาติหนึ่ง ไม่สามารถได้รับความรอดและความเอาใจใส่ของพระเจ้าแล้วไซร้ ประเทศหรือชนชาติดังกล่าวก็จะต้องย่ำเท้าไปบนถนนสู่ความพินาศย่อยยับ ตรงสู่ความมืดมิด และจะถูกทำลายล้างโดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง

จากที่สูงสุดถึงต่ำสุดและตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงบทอวสาน ซาตานได้ทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงักและกระทำการในการต่อต้านพระองค์มาโดยตลอด การพูดคุยเรื่อง “มรดกทางวัฒนธรรมโบราณ” “ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณ” อันมีคุณค่า “คำสอนของลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อ” และ “คัมภีร์ของขงจื๊อและพิธีกรรมแบบศักดินา” ทั้งหมดนี้ได้นำมนุษย์ไปสู่นรก วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ล้ำยุค ตลอดจนอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และธุรกิจต่างๆ ที่พัฒนาขั้นอย่างสูงล้วนไม่อาจพบเห็นได้ที่ใด ในทางกลับกัน ทั้งหมดที่มันทำคือการตอกย้ำพิธีกรรมแบบศักดินาที่เผยแพร่โดย “บรรดาลิง” จากยุคโบราณเพื่อที่จะจงใจทำให้หยุดชะงัก ต่อต้าน และรื้อพระราชกิจของพระเจ้า มันไม่ได้เพียงทำให้มนุษย์ทุกข์ร้อนต่อเนื่องมาจนกระทั่งวันนี้เท่านั้น แต่มันถึงขั้นต้องการที่จะกลืน[1]มนุษย์ทั้งหมด การส่งผ่านคำสอนด้านจริยธรรมและด้านศีลธรรมจากระบบศักดินาและการส่งต่อความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมโบราณได้ทำให้มนุษยชาติติดเชื้อมานานแล้ว โดยเปลี่ยนพวกเขาไปเป็นพวกมารทั้งใหญ่และเล็ก มีน้อยคนที่เป็นบรรดาผู้ที่จะรับพระเจ้าอย่างยินดี น้อยคนที่จะต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์อย่างลิงโลด โฉมหน้าของมนุษยชาติทั้งปวงเต็มไปด้วยเจตนามุ่งสังหาร และในทุกสถานที่ ลมหายใจแห่งการเข่นฆ่าแผ่ซ่านไปในอากาศ พวกเขาพยายามขับไล่พระเจ้าออกไปจากแผ่นดินนี้ ด้วยมีดและดาบในมือ พวกเขาจัดการเตรียมการตัวพวกเขาเองในการก่อรูปแบบการสู้รบเพื่อ “ทำลายล้าง” พระเจ้า ทั่วทั้งแผ่นดินนี้ของมาร ที่ซึ่งมนุษย์ถูกสอนอยู่ตลอดเวลาว่าไม่มีพระเจ้า รูปเคารพต่างๆ นั้นแพร่หลายไปทั่ว และอากาศข้างบนก็แผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นชวนคลื่นเหียนจากกระดาษและธูปที่เผาไหม้ ที่หนาแน่นเสียจนหายใจไม่ออก มันเป็นเหมือนกลิ่นเหม็นของโคลนที่ล่องลอยด้วยการบิดตัวของงูพิษ มากเสียจนกระทั่งคนเราไม่สามารถกลั้นการอาเจียนได้ นอกเหนือจากนี้แล้ว ยังสามารถแว่วได้ยินเสียงของบรรดามารชั่วที่กำลังสวดคัมภีร์ เป็นเสียงซึ่งดูเหมือนว่าจะมาจากที่ห่างไกลในนรก มากเสียจนกระทั่งคนเราไม่สามารถกลั้นการสั่นเทาได้ ทุกที่ในแผ่นดินนี้เป็นที่ตั้งรูปเคารพทุกสีในสายรุ้ง โดยเปลี่ยนแผ่นดินไปเป็นโลกแห่งความปีติยินดีทางโลกีย์ ในขณะที่กษัตริย์ของพวกมารหัวเราะต่อเนื่องอย่างชั่วช้า ราวกับว่าอุบายอันขี้ขลาดของมันได้ประสบความสำเร็จแล้ว ในขณะเดียวกัน มนุษย์ยังคงไม่รับรู้อย่างสิ้นเชิง และเขาก็ไม่ได้ระแคะระคายเลยว่ามารนั้นได้ทำให้เขาเสื่อมทรามไปแล้วจนถึงจุดที่ว่าเขาได้กลายเป็นไร้สำนึกรับรู้และคอตกในความพ่ายแพ้ มันปรารถนาที่จะกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และทำให้พระองค์มีมลทินและลอบสังหารพระองค์อีกครั้งหนึ่งในคราวเดียว กล่าวคือ มันตั้งใจที่จะฉีกทำลายและทำให้พระราชกิจของพระองค์หยุดชะงัก มันสามารถยอมให้พระเจ้ามีพระสถานะเท่ากันได้อย่างไร? มันสามารถทนยอมรับพระเจ้า “ที่ทรงแทรกแซง” งานของมันท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้อย่างไร? มันสามารถยอมให้พระเจ้าทรงถอดหน้ากากโฉมหน้าอันน่าขยะแขยงของมันได้อย่างไร? มันสามารถยอมให้พระเจ้าทรงวางงานของมันไว้ในความสับสนวุ่นวายได้อย่างไร? มารตัวนี้ซึ่งฉุนเฉียวด้วยความเดือดดาลสามารถยอมให้พระเจ้าทรงมีการควบคุมเหนือศาลแห่งจักรวรรดิของมันบนแผ่นดินโลกได้อย่างไร? มันสามารถเต็มใจกราบไหว้มหิทธิฤทธิ์อันสูงกว่าของพระองค์ได้อย่างไร? โฉมหน้าอันน่าขยะแขยงของมันได้ถูกเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่มันเป็น เพื่อที่คนเราจะได้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี และมันยากจริงๆ ที่จะพูดถึง นี่ไม่ใช่แก่นแท้ของมันหรอกหรือ? ด้วยวิญญาณอันน่าเกลียด มันยังคงเชื่อว่ามันนั้นสวยงามเหลือเชื่อ บรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรมแก๊งนี้![2] พวกมันลงมาสู่อาณาจักรมนุษย์เพื่อปล่อยใจดื่มด่ำไปกับความยินดีต่างๆ และทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย โดยก่อกวนสิ่งต่างๆ มากจนกระทั่งโลกกลายเป็นสถานที่ที่แปรปรวนและไม่แน่นอน และหัวใจของมนุษย์ก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความไม่สบายใจ และพวกมันได้ล้อเล่นกับมนุษย์มากจนกระทั่งการปรากฏของเขาได้กลายเป็นการปรากฏของสัตว์ป่าที่โหดร้ายแห่งท้องทุ่ง น่าเกลียดที่สุด และร่องรอยสุดท้ายของมนุษย์ที่บริสุทธิ์แบบดั้งเดิมก็ได้สูญหายไปจากมัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันถึงขั้นปรารถนาที่จะเข้าครองอำนาจอธิปไตยบนแผ่นดินโลก พวกมันยับยั้งพระราชกิจของพระเจ้ามากจนกระทั่งพระราชกิจนั้นแทบจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้แม้สักหนึ่งนิ้ว และพวกมันก็ปิดมนุษย์อย่างแน่นหนาดังกำแพงทองแดงและเหล็กกล้า เมื่อได้กระทำบาปร้ายแรงมากมายยิ่งนักและทำให้เกิดความวิบัติมากมายยิ่งนักแล้ว พวกเขายังคงคาดหวังบางสิ่งนอกเหนือจากการตีสอนอยู่อีกหรือ? พวกมารและบรรดาวิญญาณชั่วกำลังวิ่งพล่านไปบนแผ่นดินโลกตลอดมาชั่วเวลาหนึ่ง และได้ปิดผนึกทั้งน้ำพระทัยและความพยายามอุตสาหะของพระเจ้าอย่างแน่นหนาแล้วจนกระทั่งสิ่งเหล่านั้นมิอาจผ่านเข้าไปได้ จริงๆ แล้ว นี่คือบาปมหันต์! พระเจ้าไม่ทรงสามารถรู้สึกกระวนกระวายได้อย่างไร? พระเจ้าไม่ทรงสามารถรู้สึกพิโรธได้อย่างไร? พวกเขาได้ขัดขวางและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าอย่างรุนแรง ช่างเป็นกบฏเสียจริง!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)

ในสิ่งที่เรียกว่าความรู้ของมนุษย์นั้น ซาตานได้ชุบย้อมปรัชญาสำหรับการดำรงชีวิตของมันและการคิดของมันเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว และขณะที่ซาตานทำการนี้ มันเปิดโอกาสให้มนุษย์นำการคิด ปรัชญา และทัศนคติของมันไปใช้เพื่อที่มนุษย์อาจปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า ปฏิเสธอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งและเหนือชะตากรรมของมนุษย์ ดังนั้นขณะที่การศึกษาของมนุษย์ก้าวหน้าไปและเขาได้รับความรู้มากขึ้น เขารู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระเจ้ากลายเป็นคลุมเครือ และอาจถึงขั้นไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่ ขณะที่ซาตานได้เพิ่มทัศนคติ มโนคติที่หลงผิด และความคิดทั้งหลายเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ มนุษย์ไม่ถูกทำให้เสื่อมทรามในช่วงระหว่างกระบวนการนี้หรอกหรือ? (ใช่) ตอนนี้มนุษย์วางชีวิตของเขาบนพื้นฐานของสิ่งใด? เขากำลังดำรงชีวิตอยู่บนพื้นฐานของความรู้นี้จริงๆ ใช่หรือไม่? ไม่ มนุษย์กำลังวางชีวิตของเขาบนพื้นฐานของความคิด ทรรศนะ และปรัชญาของซาตานที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในความรู้เหล่านี้ นี่คือที่ซึ่งส่วนที่เป็นแก่นสารของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามเกิดขึ้น นี่เป็นทั้งเป้าหมายของซาตานและวิธีการของมันในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามโดยผ่านทางการศึกษาและอิทธิพลของพวกรัฐบาลแห่งชาติกับของผู้มีชื่อเสียงและยิ่งใหญ่ คำพูดฝ่ายผีปีศาจของพวกเขาได้กลายเป็นธรรมชาติชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว “ทุกคนทำเพื่อตนเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” เป็นหนึ่งคติพจน์เยี่ยงซาตานอันเป็นที่รู้จักกันดีที่ได้ถูกปลูกฝังเข้าไปในทุกคนและที่ได้กลายเป็นชีวิตของมนุษย์ไปแล้ว ยังมีคำพูดอื่นๆ ของปรัชญาทั้งหลายสำหรับการดำรงชีวิตที่เป็นเหมือนคติพจน์นี้อยู่อีก ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีอันประณีตของแต่ละชนชาติในการให้การศึกษาผู้คน เป็นเหตุให้มวลมนุษย์ตกลงไปและถูกกลืนกินโดยนรกขุมลึกแห่งการทำลายล้างซึ่งไร้พรมแดน และในตอนสุดท้ายแล้ว ผู้คนก็ถูกพระเจ้าทรงทำลายเพราะพวกเขารับใช้ซาตานและต้านทานพระเจ้า ลองจินตนาการถึงการถามคำถามต่อไปนี้กับใครบางคนที่ได้มีบทบาทแข็งขันในสังคมมาหลายทศวรรษว่า “ด้วยความที่ท่านได้ดำรงชีวิตอยู่ในโลกเป็นเวลานานเหลือเกินและสัมฤทธิ์ผลไปมากมายยิ่งนัก อะไรหรือคือคติพจน์หลักซึ่งมีชื่อเสียงที่ท่านใช้ดำรงชีวิต?” เขาอาจกล่าวว่า “คติพจน์ที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘ข้าราชการไม่โขกสับพวกที่ให้ของกำนัล และพวกที่ไม่ประจบย่อมไม่สำเร็จลุล่วงอันใดเลย’” คำพูดเหล่านี้มิใช่เป็นตัวแทนของธรรมชาติของบุคคลนั้นหรอกหรือ? การใช้วิถีทางใดก็ตามอย่างขาดหลักศีลธรรมเพื่อได้มาซึ่งตำแหน่งได้กลายเป็นธรรมชาติของเขา และการเป็นข้าราชการคือสิ่งที่ให้ชีวิตแก่เขา ยังคงมีพิษซาตานอีกมากมายในชีวิตของผู้คน ในการประพฤติปฏิบัติและพฤติกรรมของพวกเขา พวกเขาแทบจะไม่ครองความจริงแต่อย่างใดเลย ตัวอย่างเช่น ปรัชญาทั้งหลายของพวกเขาสำหรับการดำรงชีวิต หนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย และคำคมสารพันล้วนเต็มไปด้วยสารพัดพิษของพญานาคใหญ่สีแดง และพวกมันทั้งหมดล้วนมาจากซาตาน ด้วยเหตุนั้น ทุกสรรพสิ่งซึ่งไหลเวียนผ่านกระดูกและเลือดของผู้คนเป็นสรรพสิ่งของซาตาน พวกข้าราชการทั้งหมด พวกที่กุมอำนาจ และพวกที่สำเร็จลุล่วงนั้น มีเส้นทางและความลับในการที่จะประสบความสำเร็จของตัวพวกเขาเอง ความลับทั้งหลายดังกล่าวไม่ใช่เป็นตัวแทนอันสมบูรณ์แบบของธรรมชาติของพวกเขาหรอกหรือ? พวกเขาได้ทำสิ่งใหญ่โตทั้งหลายเช่นนั้นในโลก และไม่มีใครเลยที่สามารถมองทะลุกลอุบายและเล่ห์กลทั้งหลายที่วางอยู่เบื้องหลังพวกเขาได้ นี่ก็แค่แสดงให้เห็นว่าธรรมชาติของพวกเขานั้นคิดร้ายและเคลือบแฝงเพียงใด มวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างลุ่มลึก น้ำพิษของซาตานไหลเวียนผ่านเลือดของทุกบุคคล และสามารถเห็นได้ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเสื่อมทราม ชั่ว และเป็นปฏิกิริยานิยม เต็มอิ่มและชุ่มแช่อยู่ในปรัชญาทั้งหลายของซาตาน—ในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันนั้น มันคือธรรมชาติหนึ่งซึ่งทรยศพระเจ้า นี่คือเหตุผลที่ผู้คนต้านทานพระเจ้าและยืนหยัดอยู่ในการต่อต้านพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ช่วงระหว่างกระบวนการของการศึกษาหาความรู้ของมนุษย์ ซาตานใช้วิธีการต่างๆ ทุกลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่อง การให้เพียงแค่บางส่วนของความรู้แก่พวกเขา หรือการเปิดโอกาสให้พวกเขาตอบสนองความอยากได้อยากมีหรือความทะเยอทะยานต่างๆ ของพวกเขา ซาตานต้องการนำทางเจ้าไปตามถนนใดกัน? ผู้คนคิดว่าไม่มีอะไรผิดกับการศึกษาหาความรู้ ว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ หากจะพูดในแบบที่ฟังดูแล้วน่าสนใจ การหล่อเลี้ยงอุดมคติอันสูงส่งหรือการมีความทะเยอทะยานก็คือการมีแรงผลักดัน และนี่ควรจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต สำหรับผู้คนที่จะดำรงชีวิตแล้ว มันไม่ใช่หนทางอันรุ่งโรจน์ยิ่งกว่าหรอกหรือ หากพวกเขาสามารถตระหนักถึงอุดมคติของพวกเขาเอง หรือตั้งหลักในอาชีพการงานได้อย่างประสบความสำเร็จ? โดยการทำสิ่งเหล่านี้ คนเราไม่เพียงแค่สามารถให้เกียรติแก่บรรพบุรุษของตนได้เท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะทิ้งร่องรอยของตนไว้ในประวัติศาสตร์ด้วยเช่นกัน—นี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือ? นี่เป็นสิ่งที่ดีในสายตาของผู้คนทางโลก และสำหรับพวกเขามันควรเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นด้านบวก อย่างไรก็ดี ซาตานนำผู้คนไปตามถนนแบบนี้ด้วยแรงจูงใจอันมุ่งร้ายของมัน และนั่นก็คือทั้งหมดที่มีสำหรับมันใช่หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่ ในข้อเท็จจริงนั้น ไม่สำคัญว่าอุดมคติของมนุษย์จะสูงส่งเพียงใด ไม่สำคัญว่าความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะเป็นจริงได้เพียงใด หรือสิ่งเหล่านั้นจะถูกต้องเหมาะสมเพียงใด ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องการจะสัมฤทธิ์ผล ทั้งหมดที่มนุษย์แสวงหา เชื่อมโยงกับถ้อยคำสองคำอย่างแยกกันไม่ออก ถ้อยคำสองคำนี้สำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของทุกคน และถ้อยคำสองคำนี้เป็นสิ่งที่ซาตานตั้งใจที่จะปลูกฝังในมนุษย์ ถ้อยคำสองคำนี้คืออะไร? ถ้อยคำสองคำนี้ก็คือ “ชื่อเสียง” และ “ทรัพย์สมบัติ” ซาตานใช้วิธีการแบบที่แยบยลมาก วิธีการซึ่งเข้ากันได้ดีมากกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน ซึ่งไม่แตกต่างกันทางความคิดเลยแม้แต่น้อย โดยผ่านวิธีการนี้มันทำให้ผู้คนยอมรับหนทางแห่งการดำรงชีวิตของมัน กฎเกณฑ์ที่ใช้ในการดำรงชีวิตของมันโดยที่ไม่รู้ตัว และทำให้ผู้คนตั้งเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในชีวิตของพวกเขา และในการทำเช่นนั้นพวกเขายังมามีความทะเยอทะยานในชีวิตโดยที่ไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน ไม่สำคัญว่าความทะเยอทะยานในชีวิตเหล่านี้อาจดูยิ่งใหญ่เพียงใด มันถูกเชื่อมโยงกับ “ชื่อเสียง” และ “ทรัพย์สมบัติ” อย่างแยกกันไม่ออก ทุกสิ่งที่บุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงคนใดก็ตาม—ในข้อเท็จจริงแล้วคือผู้คนทั้งหมด—ติดตามในชีวิตเกี่ยวข้องกับถ้อยคำสองคำนี้เท่านั้น: “ชื่อเสียง” และ “ทรัพย์สมบัติ” ผู้คนคิดว่าทันทีที่พวกเขามีชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็ย่อมสามารถใช้สิ่งเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์เพื่อชื่นชมกับสถานภาพอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง และเพื่อชื่นชมกับชีวิต พวกเขาคิดว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติคือต้นทุนอย่างหนึ่งที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งชีวิตแห่งการแสวงหาความยินดีและความชื่นชมยินดีที่ฟุ้งเฟ้อของเนื้อหนัง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติซึ่งมวลมนุษย์อยากได้มาก ผู้คนจึงมอบร่างกาย จิตใจของพวกเขา ทั้งหมดที่พวกเขามี อนาคตของพวกเขาและโชคชะตาของพวกเขาให้ซาตานอย่างเต็มใจ ถึงแม้ว่าไม่รู้ตัวก็ตาม พวกเขาทำเช่นนั้นโดยที่ไม่มีความลังเลแม้แต่ชั่วขณะ ไม่รู้เท่าทันในความจำเป็นที่จะต้องเอาทั้งหมดที่พวกเขาได้มอบไปแล้วกลับคืนมาอยู่เรื่อยไป ผู้คนสามารถรักษาการควบคุมตัวเองได้หรือไม่เมื่อพวกเขาได้หลบภัยในซาตานในลักษณะนี้และกลายเป็นจงรักภักดีต่อมันแล้ว? แน่นอนว่าไม่ พวกเขาถูกซาตานควบคุมอย่างสิ้นเชิงและอย่างที่สุด พวกเขาได้จมดิ่งสู่หล่มอย่างสิ้นเชิงและอย่างที่สุด และไร้ความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองเป็นอิสระได้ เมื่อใครสักคนติดหล่มในชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาจะไม่แสวงหาสิ่งที่สว่างไสว สิ่งที่ชอบธรรม หรือบรรดาสิ่งที่สวยงามและดีงามอีกต่อไป นี่เป็นเพราะพลังยั่วยวนที่ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติมีเหนือผู้คนนั้นมากเกินไป พวกมันกลายเป็นสิ่งของสำหรับให้ผู้คนไล่ตามเสาะหาชั่วชีวิตของพวกเขาและกระทั่งชั่วนิรันดร์โดยไม่มีที่สิ้นสุด นี่ไม่จริงหรอกหรือ? บางคนจะพูดว่าการศึกษาหาความรู้ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าการอ่านหนังสือหรือการเรียนรู้ไม่กี่สิ่งที่พวกเขายังไม่รู้ เพื่อที่จะได้ไม่ล้าสมัยหรือตามโลกไม่ทัน ความรู้นั้นเพียงเรียนรู้กันก็เพื่อที่พวกเขาจะสามารถหาอาหารมาวางบนโต๊ะได้ เพื่ออนาคตของพวกเขาเอง หรือเพื่อจัดเตรียมสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่างๆ มีบุคคลใดหรือไม่ที่จะสู้ทนกับการเรียนอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งทศวรรษเพียงเพื่อสิ่งจำเป็นพื้นฐานต่างๆ เพียงเพื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้อง? ไม่ ไม่มีใครเยี่ยงนี้เลย ดังนั้นแล้วทำไมบุคคลหนึ่งจึงทนทุกข์จากความยากลำบากเหล่านี้ตลอดเวลาหลายปีมานี้? มันเป็นไปเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ในที่ห่างไกล กวักมือเรียกพวกเขา และพวกเขาเชื่อว่าเพียงผ่านทางความขยัน ความยากลำบาก และการต่อสู้ดิ้นรนต่างๆ ของพวกเขาเองเท่านั้น พวกเขาจึงจะสามารถเดินไปตามถนนที่จะนำทางพวกเขาไปสู่การได้รับชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติได้ บุคคลดังกล่าวต้องทนทุกข์จากความยากลำบากเหล่านี้เพื่อเส้นทางในภายภาคหน้าของพวกเขาเอง เพื่อความชื่นชมยินดีในภายภาคหน้าของพวกเขา และเพื่อได้รับชีวิตที่ดีขึ้น ความรู้นี้คืออะไร—พวกเจ้าบอกเราได้หรือไม่? มันไม่ใช่กฎเกณฑ์ของการดำรงชีวิตที่ถูกปลูกฝังในผู้คน กฎเกณฑ์ที่ซาตานสอนพวกเขาในระหว่างการศึกษาหาความรู้ของพวกเขาหรอกหรือ? มันไม่ใช่ “อุดมคติอันสูงส่ง” ของชีวิตที่ซาตานปลูกฝังเข้าในตัวมนุษย์หรอกหรือ? ดูตัวอย่างจากแนวคิดต่างๆ ของผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ความซื่อสัตย์ของคนที่มีชื่อเสียงหรือวิญญาณอันอาจหาญของบรรดาบุคคลที่กล้าหาญ หรือดูความห้าวหาญและความเมตตาของบรรดาตัวละครเอกและนักดาบในนวนิยายศิลปะการต่อสู้—เหล่านี้ไม่ใช่หนทางทั้งหมดที่ซาตานใช้ในการปลูกฝังอุดมคติเหล่านี้หรอกหรือ? (ใช่ มันเป็นเช่นนั้น) แนวคิดเหล่านี้มีอิทธิพลต่อคนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และผู้คนของแต่ละรุ่นก็ถูกทำให้ยอมรับแนวคิดเหล่านี้ มีชีวิตเพื่อแนวคิดเหล่านี้ และไล่ตามเสาะหาแนวคิดเหล่านี้อย่างไม่สิ้นสุด นี่คือหนทาง ช่องทาง ซึ่งซาตานใช้โดยผ่านความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ดังนั้นแล้วภายหลังจากที่ซาตานได้นำทางผู้คนมาสู่ถนนสายนี้แล้ว ยังคงเป็นไปได้หรือไม่สำหรับพวกเขาที่จะนมัสการพระเจ้า? ความรู้และความคิดที่ซาตานปลูกฝังในมนุษย์มีการนมัสการพระเจ้าสักกระผีกหรือไม่? สิ่งเหล่านี้มีอะไรที่เป็นของความจริงหรือไม่? สิ่งเหล่านี้มีอะไรที่เป็นการยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่? (ไม่ ไม่ใช่เช่นนั้นเลย)

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

ซาตานใช้ชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้คือชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ทนทุกข์จากความยากลำบากต่างๆ เพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจใดๆ เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ ด้วยวิธีนี้ ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็น และพวกเขาก็ไม่มีทั้งกำลังและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัวและเดินไปข้างหน้าต่อไปด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง เพื่อประโยชน์ของชื่อเสียงและทรัพย์สมบัตินี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นชั่วร้ายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ในหนทางนี้ คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติของซาตาน ตอนนี้เมื่อดูการกระทำต่างๆ ของซาตาน แรงจูงใจอันมุ่งร้ายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างยิ่งหรอกหรือ? บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงแรงจูงใจอันมุ่งร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติ พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และมืดมัว แต่วันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้อย่างช้าๆ ว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อเจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาที่แท้จริงต่อพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำก็แค่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนมองเห็นวัตถุในโลกทางกายภาพ และเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่มันไม่สามารถทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง มนุษย์ดูเหมือนว่าจะหาคำตอบในวิทยาศาสตร์ แต่คำตอบเหล่านั้นน่าฉงนฉงายและนำมาเพียงความพึงพอใจชั่วคราวเท่านั้น ความพึงพอใจที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อจำกัดขอบเขตหัวใจของมนุษย์ไว้กับโลกทางวัตถุเท่านั้น มนุษย์รู้สึกว่าพวกเขาได้รับคำตอบจากวิทยาศาสตร์แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดประเด็นปัญหาใดขึ้นก็ตาม พวกเขาใช้ทรรศนะทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเป็นพื้นฐานเพื่อพิสูจน์และยอมรับประเด็นปัญหานั้น หัวใจมนุษย์กลายเป็นถูกครอบงำด้วยวิทยาศาสตร์และถูกมันล่อลวงจนถึงจุดที่มนุษย์ไม่มีจิตใจอีกต่อไปที่จะรู้จักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า และเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมาจากพระเจ้าและว่ามนุษย์ควรมองที่พระองค์เพื่อหาคำตอบ นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ? ยิ่งบุคคลหนึ่งเชื่อในวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งกลายเป็นไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทางออกเชิงวิทยาศาสตร์ ว่าการศึกษาวิจัยสามารถแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง พวกเขาไม่แสวงหาพระเจ้าและพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ แม้กระทั่งผู้คนบางคนที่ได้ติดตามพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็จะไปศึกษาวิจัยแบคทีเรียตามอำเภอใจ หรือมองหาข้อมูลบางอย่างเพื่อเป็นคำตอบแก่ประเด็นปัญหาหนึ่ง ผู้คนเช่นนั้นไม่มองประเด็นเหล่านั้นจากมุมมองของความจริง และในกรณีส่วนใหญ่พวกเขาต้องการที่จะพึ่งพาทรรศนะหรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือทางออกเชิงวิทยาศาสตร์เพื่อแก้ไขปัญหา พวกเขาไม่พึ่งพาพระเจ้าและพวกเขาไม่แสวงหาพระเจ้า ผู้คนเยี่ยงนี้มีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาหรือไม่? (ไม่มี) มีแม้กระทั่งผู้คนบางคนที่ต้องการศึกษาวิจัยพระเจ้าในบางหนทางในขณะที่พวกเขาศึกษาวิทยาศาสตร์ ยกตัวอย่างเช่น มีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาหลายคนที่ได้ไปยังภูเขาที่เรือใหญ่ได้มาหยุดพัก และด้วยเหตุนี้พวกเขาได้พิสูจน์การมีอยู่ของเรือใหญ่นั้น แต่ในการปรากฏของเรือใหญ่นั้นพวกเขามองไม่เห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า พวกเขาเพียงแต่เชื่อในเรื่องราวและประวัติศาสตร์เท่านั้น นี่คือผลลัพธ์ของการที่พวกเขาศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และศึกษาโลกทางวัตถุ หากเจ้าศึกษาวิจัยสิ่งทั้งหลายทางวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นจุลชีววิทยา ดาราศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์ เจ้าจะไม่มีวันพบผลลัพธ์ที่กำหนดพิจารณาว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดเพื่อมนุษย์เล่า? มันมิได้ทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าหรอกหรือ? มันมิได้เป็นเหตุให้ผู้คนนำพระเจ้ามาอยู่ภายใต้การศึกษาทั้งหลายหรอกหรือ? มันมิได้ทำให้ผู้คนกังขามากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรอกหรือ? (ใช่แล้ว) ดังนั้น ซาตานต้องการใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร? ซาตานมิได้ต้องการที่จะใช้บทสรุปทางวิทยาศาสตร์มาหลอกลวงผู้คนและทำให้พวกเขามึนชา และใช้คำตอบที่กำกวมกุมหัวใจของผู้คนเอาไว้เพื่อที่พวกเขาจะไม่เสาะหาหรือเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าหรอกหรือ? (ใช่แล้ว) ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่าวิทยาศาสตร์คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

ซาตานได้ประดิษฐ์และปั้นแต่งนิทานพื้นบ้านหรือเรื่องราวมากมายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือทางประวัติศาสตร์ ทิ้งให้ผู้คนมีความประทับใจลึกซึ้งกับบุคคลสำคัญทางวัฒนธรรมดั้งเดิมหรือทางเรื่องเหนือธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ในประเทศจีนมี “แปดเซียนข้ามทะเล” “การเดินทางสู่แดนตะวันตก” “จักรพรรดิหยก” “นาจาพิชิตราชามังกร” และ “สถาปนาเหล่าทวยเทพ” เหล่านี้ไม่ได้กลับกลายเป็นหยั่งรากลึกในจิตใจของมนุษย์หรอกหรือ? แม้ว่าเจ้าบางคนไม่รู้รายละเอียดทั้งหมด เจ้ายังคงรู้เรื่องราวทั่วไป และเป็นเนื้อหาทั่วไปนี้นี่เองที่เกาะติดในหัวใจของเจ้าและจิตใจของเจ้า เพื่อที่เจ้าจะไม่สามารถลืมพวกมันได้ เหล่านี้คือแนวทางและตำนานต่างๆ ที่ซาตานได้ตระเตรียมไว้สำหรับมนุษย์นานมาแล้ว และคือสิ่งซึ่งได้แพร่กระจาย ในช่วงเวลาที่ต่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นอันตรายและกัดกร่อนดวงจิตของผู้คนโดยตรงและทำให้ผู้คนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดทีละอย่างๆ นั่นจึงกล่าวได้ว่า ทันทีที่เจ้าได้ยอมรับวัฒนธรรมดั้งเดิม เรื่องราวต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ที่เชื่อเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ทันทีที่พวกมันถูกกำหนดขึ้นในจิตใจของเจ้า และทันทีที่พวกมันเกาะติดในหัวใจของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็เหมือนกับว่าเจ้าต้องมนตร์แล้ว—เจ้ากลายเป็นหลงติดและได้รับอิทธิพลจากเครื่องประกอบทางวัฒนธรรมเหล่านี้ แนวคิดและเรื่องราวดั้งเดิมเหล่านี้ พวกมันมีอิทธิพลต่อชีวิตของเจ้า ทัศนะของเจ้าที่มีต่อชีวิต และการตัดสินสิ่งต่างๆ ของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นก็คือพวกมันมีอิทธิพลต่อการไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่แท้จริงของชีวิตของเจ้า: นี่คือมนตร์ชั่วโดยแท้ ถึงเจ้าจะพยายามอย่างไร เจ้าก็ไม่สามารถสลัดพวกมันให้หลุดได้ เจ้าฟันพวกมันแต่เจ้าก็ไม่สามารถโค่นพวกมันลงได้ เจ้าทุบตีพวกมันแต่เจ้าก็ไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น ภายหลังจากที่ผู้คนถูกทำให้ตกอยู่ภายใต้มนต์สะกดประเภทนี้โดยไม่รู้ตัวแล้ว พวกเขาเริ่มนมัสการซาตานโดยไม่รู้ตัว หล่อเลี้ยงภาพลักษณ์ของซาตานในหัวใจของพวกเขา อีกนัยหนึ่ง พวกเขากำหนดซาตานเป็นรูปเคารพของพวกเขา เป็นวัตถุเพื่อให้พวกเขานมัสการและเคารพนับถือ กระทั่งไปไกลถึงขนาดที่ถือว่ามันเป็นพระเจ้า สิ่งเหล่านี้อยู่ในหัวใจของผู้คน ควบคุมคำพูดและความประพฤติของพวกเขาโดยไม่รู้ตัว ยิ่งไปกว่านั้น แรกเริ่มนั้นเจ้าถือว่าเรื่องราวและตำนานเหล่านี้เป็นเท็จ แต่แล้วเจ้าก็รับรู้การดำรงอยู่ของพวกมันโดยไม่รู้ตัว ทำให้พวกมันเป็นบุคคลจริงและเปลี่ยนพวกมันให้เป็นวัตถุจริงที่มีตัวตน ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า เจ้าได้รับแนวคิดเหล่านี้และการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ด้วยจิตใต้สำนึก เจ้ายังได้รับบรรดาปีศาจ ซาตาน และรูปเคารพต่างๆ ไว้ในบ้านของเจ้าเองและไว้ในหัวใจของเจ้าเองด้วยจิตใต้สำนึกอีกด้วย—นี่คือมนตร์สะกดโดยแท้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

กิจกรรมที่เป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ผู้คนมีส่วนร่วมคือสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดมากที่สุด แต่ผู้คนมากมายยังคงไร้ความสามารถที่จะปล่อยพวกมันไปได้ โดยคิดว่ากิจกรรมที่เป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติเหล่านี้ได้รับการประกาศกฤษฎีกาจากพระเจ้า และแม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้กำจัดกิจกรรมเหล่านั้นออกไปโดยสิ้นเชิง สิ่งทั้งหลายเช่น การจัดการเตรียมการที่คนอายุน้อยๆ ทำเพื่องานเลี้ยงฉลองสมรสและเครื่องแต่งกายของเจ้าสาว ของขวัญเงินสด งานเลี้ยง และวิธีทั้งหลายที่คล้ายกันที่ใช้เฉลิมฉลองในโอกาสอันชื่นบาน สูตรโบราณที่ได้ส่งต่อกันมา กิจกรรมอันเป็นความเชื่อเหนือธรรมชาติที่ไร้ความหมายทั้งหมดที่ดำเนินการเพื่อคนตายและพิธีฝังศพของพวกเขา สิ่งเหล่านี้น่าชิงชังมากยิ่งขึ้นไปอีกสำหรับพระเจ้า กระทั่งวันแห่งการนมัสการ (ซึ่งรวมถึงวันสะบาโตที่โลกศาสนาถือปฏิบัติ) ก็เป็นสิ่งที่น่าชิงชังสำหรับพระองค์ และสัมพันธภาพทางสังคมและการมีปฏิสัมพันธ์ทางโลกระหว่างมนุษย์และมนุษย์ทั้งหมดต่างเป็นที่น่ารังเกียจและถูกปฏิเสธจากพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก กระทั่งเทศกาลฤดูใบไม้ผลิและวันคริสต์มาสที่ทุกคนรู้จักก็ไม่ได้รับการประกาศกฤษฎีกาจากพระเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับของเล่นและการตกแต่งสำหรับวันหยุดเทศกาลรื่นเริงเหล่านี้ เช่น ป้ายคู่ ประทัดไฟ โคมไฟ ศีลมหาสนิท ของขวัญวันคริสต์มาส และเทศกาลคริสต์มาส—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รูปเคารพในจิตใจของพวกมนุษย์หรอกหรือ? การหักขนมปังในวันสะบาโต ไวน์ และป่านเนื้อดียิ่งเป็นรูปเคารพอย่างแน่ชัดเข้าไปใหญ่ วันเทศกาลตามธรรมเนียมประเพณีทั้งหมดที่เป็นที่นิยมในประเทศจีน เช่น วันเชิดหัวสิงโต เทศกาลแข่งเรือมังกร เทศกาลไหว้พระจันทร์ เทศกาลล่าปา และวันปีใหม่ และเทศกาลต่างๆ ในโลกศาสนา เช่น วันอีสเตอร์ วันพิธีบัพติศมา และวันคริสต์มาส เทศกาลที่ไม่สมควรทั้งหมดเหล่านี้ได้รับการจัดการเตรียมการและส่งต่อมาจากยุคเก่าๆ ถึงวันนี้โดยผู้คนมากมาย จินตนาการที่มากมายและมโนคติที่ช่างคิดของมนุษยชาตินั่นเองที่ทำให้สิ่งเหล่านั้นได้รับการส่งต่อมาจนถึงวันนี้ สิ่งเหล่านี้ปรากฏเหมือนว่าปราศจากข้อตำหนิ แต่อันที่จริงแล้วเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ซาตานใช้กับมนุษยชาติ ยิ่งสถานที่หนึ่งแน่นขนัดไปด้วยเหล่าซาตานมากเท่าใด และยิ่งสถานที่นั้นล้าสมัยและถอยหลังมากขึ้นเท่าใด ธรรมเนียมประเพณีแบบระบอบศักดินาก็ยิ่งตั้งมั่นอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้มัดผู้คนไว้แน่น ไม่ยอมให้มีที่ว่างเพื่อการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เทศกาลมากมายในโลกศาสนาดูเหมือนจะแสดงถึงความเป็นดั้งเดิมอันยิ่งใหญ่และดูเหมือนจะสร้างสะพานสู่งานของพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้วสิ่งเหล่านั้นเป็นเชือกผูกที่มองไม่เห็นซึ่งซาตานใช้มัดผู้คนและขัดขวางไม่ให้ผู้คนมารู้จักพระเจ้า—สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน อันที่จริงแล้ว เมื่องานช่วงระยะหนึ่งของพระเจ้าแล้วเสร็จ พระองค์ได้ทรงทำลายเครื่องมือและลักษณะแนวแบบของช่วงเวลานั้นโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม “ผู้เชื่อที่เคร่งครัด” ยังเคารพบูชาวัตถุทางกายที่จับต้องได้เหล่านั้นต่อไป ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ส่งสิ่งที่พระเจ้าทรงมีไปไว้ข้างหลัง ไม่ศึกษาสิ่งนั้นเพิ่มเติมแต่อย่างใด และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรักพระเจ้าทั้งที่จริงแล้วพวกเขาได้ผลักพระองค์ออกไปนอกบ้านมานานแล้ว และวางซาตานไว้บนหิ้งเพื่อเคารพบูชา ภาพวาดของพระเยซู กางเขน นางมารีย์ การบัพติศมาของพระเยซู และอาหารค่ำมื้อสุดท้าย—ผู้คนเคารพสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้า ในขณะเดียวกันก็กู่ร้องซ้ำๆ ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาแห่งสวรรค์” ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรือ? จนถึงวันนี้ คำกล่าวและการปฏิบัติที่คล้ายกันมากมายที่ได้รับการส่งต่อมาท่ามกลางมนุษยชาตินั้นเป็นที่น่าชังสำหรับพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นขัดขวางหนทางข้างหน้าสำหรับพระเจ้าอย่างร้ายแรง และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดการเสื่อมถอยอย่างมากต่อการเข้าสู่ของมนุษยชาติ เมื่อลองไม่มองขอบเขตที่ซาตานได้ทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามแล้ว ภายในของผู้คนก็เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ เช่นกฎของวิทเนส ลี ประสบการณ์ของลอว์เรนซ์ การสำรวจโดยวอทช์แมน นี และงานของเปาโลอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจต่อมนุษย์ได้เลย เพราะภายในพวกเขานั้น พวกเขามีปัจเจกนิยม กฎหมาย กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ระบบ และสิ่งในทำนองนั้นมากเกินไป นอกเหนือจากแนวโน้มการเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบระบอบศักดินาของผู้คนแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้จับกุมและล้างผลาญมนุษยชาติแล้ว เสมือนว่าความคิดของผู้คนเป็นภาพยนตร์น่าสนใจที่เล่าเทพนิยายแบบสี่สี ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตน่ามหัศจรรย์ขี่ก้อนเมฆ ช่างจินตนาการจนพวกมันทำให้ผู้คนประหลาดใจ ทิ้งไว้ให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงและพูดไม่ออก หากให้พูดความจริง พระราชกิจที่พระเจ้าเสด็จมาทำในวันนี้โดยหลักแล้วคือการจัดการและขับไล่คุณลักษณะที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของพวกมนุษย์ และแปลงรูปทัศนะทางจิตใจของพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์ งานของพระเจ้าไม่ได้คงอยู่มาถึงวันนี้เพราะการรับมรดกตกทอดที่มนุษยชาติได้ส่งต่อมาโดยผ่านทางรุ่นต่อรุ่น แต่เป็นเพราะงานที่พระองค์ทรงริเริ่มและทำให้เสร็จสิ้นด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องมีการรับช่วงต่อสิ่งสืบทอดจากมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่บางคน หรือรับมรดกตกทอดจากงานใดๆ ที่มีธรรมชาติเป็นสิ่งแทนซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติในยุคอื่นๆ บางยุค มนุษย์ไม่จำเป็นต้องสนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เหล่านี้ วันนี้พระเจ้าทรงมีลักษณะการตรัสและการทรงงานอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นแล้ว เหตุใดมนุษย์ถึงสร้างปัญหาให้ตัวเองเล่า? หากมนุษย์เดินบนเส้นทางของวันนี้ภายในกระแสทางเดินปัจจุบันในขณะเดียวกันก็ดำเนินตามสิ่งสืบทอดของ “บรรพบุรุษ” ของพวกเขาต่อไปแล้ว พวกเขาจะไม่ไปถึงบั้นปลายของพวกเขา พระเจ้าทรงรู้สึกแขยงพฤติกรรมรูปแบบเฉพาะนี้ของมนุษย์อย่างมาก เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงชังช่วงเวลาหลายปี หลายเดือน และหลายวันของโลกมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (3)

ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามโดยผ่านทางแนวโน้มต่างๆ ทางสังคม “แนวโน้มต่างๆ ทางสังคม” รวมถึงหลายสิ่ง ผู้คนบางคนพูดว่า: “มันหมายถึงแฟชั่นล่าสุด เครื่องสำอาง ทรงผม และอาหารรสเลิศใช่ไหม?” สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นแนวโน้มต่างๆ ทางสังคมหรือไม่? พวกมันเป็นส่วนหนึ่งของแนวโน้มต่างๆ ทางสังคม แต่เราจะไม่พูดถึงพวกมัน ณ ที่นี้ เราเพียงปรารถนาที่จะพูดถึงแนวคิดที่แนวโน้มต่างๆ ทางสังคมทำให้เกิดขึ้นในผู้คน หนทางที่สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้คนประพฤติตนในโลก และเป้าหมายและทัศนคติในชีวิตที่สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดขึ้นในผู้คน เหล่านี้สำคัญมาก สิ่งเหล่านี้สามารถควบคุมและมีอิทธิพลต่อสภาวะจิตใจของมนุษย์ แนวโน้มเหล่านี้เกิดขึ้นทีละอย่าง และพวกมันทั้งหมดล้วนแต่มีอิทธิพลชั่วที่ทำให้มวลมนุษย์ตกต่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนสูญเสียมโนธรรม สภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผล ทำให้ศีลธรรมของพวกเขาและคุณภาพของลักษณะนิสัยของพวกเขาย่อหย่อนยิ่งขึ้นไปอีก จนถึงระดับที่เราสามารถกล่าวได้กระทั่งว่าผู้คนส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่มีความซื่อตรง ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ และพวกเขาไม่มีมโนธรรมใดๆ นับประสาอะไรที่จะมีเหตุผลใดๆ ดังนั้นแล้วแนวโน้มเหล่านี้คืออะไร? พวกมันคือแนวโน้มที่เจ้าไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า เมื่อแนวโน้มใหม่อย่างหนึ่งแพร่ผ่านไปทั่วโลก บางทีอาจมีผู้คนเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นที่ล้ำหน้ากว่าผู้อื่น ปฏิบัติตัวดุจดังผู้ที่ก่อให้เกิดกระแสความนิยม พวกเขาเริ่มด้วยการทำสิ่งใหม่บางอย่าง จากนั้นจึงยอมรับแนวคิดบางชนิดหรือมุมมองบางอย่าง อย่างไรก็ดี ผู้คนส่วนใหญ่จะถูกทำให้ติดเชื้อ ถูกทำให้กลมกลืน และถูกดึงดูดใจโดยแนวโน้มประเภทนี้อย่างต่อเนื่องในสภาวะของการไม่ตระหนักรู้ จนกระทั่งพวกเขาทั้งหมดยอมรับมันโดยที่ไม่รู้ตัวและไม่ได้ตั้งใจและกลับกลายเป็นจมอยู่ในมันและถูกมันควบคุม แนวโน้มเช่นนี้ แนวโน้มแล้วแนวโน้มเล่า เป็นเหตุให้ผู้คน—ผู้ที่ไม่ได้มีร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร สั่งสอนให้พวกเขาสร้างสมความทะเยอทะยานและความมุ่งมาดปรารถนา เกี่ยวกับชีวิตและค่านิยมต่างๆ ที่มาจากซาตานอย่างเป็นสุข พวกเขายอมรับสิ่งที่ซาตานบอกกับพวกเขาเกี่ยวกับวิธีเข้าหาชีวิตและหนทางในการดำเนินชีวิตที่ซาตาน “ประทาน” ให้พวกเขา และพวกเขาไม่มีทั้งพละกำลังและความสามารถ นับประสาอะไรกับการตระหนักรู้ ที่จะต้านทาน…

…ซาตานใช้แนวโน้มต่างๆ ทางสังคมเหล่านี้เพื่อล่อลวงผู้คนเข้าสู่รังของบรรดาปีศาจทีละก้าว เพื่อที่ผู้คนที่หมกมุ่นอยู่กับแนวโน้มต่างๆ ทางสังคมสนับสนุนเงินทองและความอยากได้อยากมีทางวัตถุ ความชั่ว และความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่สิ่งเหล่านี้ได้เข้าสู่หัวใจของมนุษย์ แล้วมนุษย์กลายเป็นอะไร? มนุษย์กลายเป็นปีศาจ ซาตาน! ทำไม? เพราะมีความโน้มเอียงทางจิตใจใดอยู่ในหัวใจของมนุษย์หรือ? ทำไมมนุษย์จึงเคารพ? มนุษย์เริ่มที่จะหาความยินดีในความชั่วและความรุนแรง ไม่แสดงความชอบสำหรับความสวยงามหรือความดีงาม ยิ่งน้อยไปกว่านั้นคือสันติสุข ผู้คนไม่เต็มใจที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่กลับปรารถนาจะชื่นชมกับสถานภาพอันสูงส่งและความมั่งคั่งอันใหญ่หลวง เพื่อเพลิดเพลินในความยินดีในเนื้อหนัง ทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อสนองตอบเนื้อหนังของพวกเขาเอง โดยไม่มีข้อจำกัด ไม่มีพันธะที่จะรั้งพวกเขาไว้ อีกนัยหนึ่งคือ ทำอะไรก็ตามที่พวกเขาอยากทำ ดังนั้นแล้วเมื่อมนุษย์ได้กลายเป็นจมอยู่กับแนวโน้มประเภทเหล่านี้ ความรู้ที่เจ้าได้เรียนรู้จะสามารถช่วยให้เจ้าปลดปล่อยตัวเจ้าเองเป็นอิสระได้หรือไม่? ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับวัฒนธรรมดั้งเดิมและความเชื่อเหนือธรรมชาติสามารถช่วยให้เจ้าหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ร้ายแรงมากนี้ได้หรือไม่? ศีลธรรมและพิธีกรรมดั้งเดิมที่มนุษย์รู้จักนั้นสามารถช่วยให้ผู้คนใช้ความยับยั้งชั่งใจได้หรือไม่? จงดูตัวอย่างของสามตัวละครคลาสสิก มันสามารถช่วยผู้คนดึงเท้าของพวกเขาออกจากหล่มของแนวโน้มเหล่านี้ได้หรือไม่? (ไม่ มันไม่สามารถทำได้) ด้วยเหตุนี้ มนุษย์กลับกลายเป็นชั่วร้าย โอหัง วางตัวว่าสูงส่งกว่าผู้อื่น เห็นแก่ตัว และมุ่งร้ายมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความความรักระหว่างผู้คนอีกต่อไป ไม่มีความรักใดๆ ระหว่างสมาชิกในครอบครัวอีกต่อไป ไม่มีความเข้าใจใดๆ ท่ามกลางบรรดาญาติและเพื่อนๆ อีกต่อไป สัมพันธภาพของมนุษย์ได้กลับกลายเป็นแสดงลักษณะโดยความรุนแรง บุคคลทุกคนพยายามใช้วิธีการรุนแรงในการดำรงชีวิตท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ของพวกเขา พวกเขาฉวยเอาขนมปังในแต่ละวันของพวกเขาโดยใช้ความรุนแรง พวกเขาได้ตำแหน่งหน้าที่และได้รับผลกำไรของพวกเขาโดยใช้ความรุนแรง และพวกเขาใช้วิธีรุนแรงและชั่วร้ายในการทำอะไรก็ตามที่พวกเขาต้องการ มนุษย์คนนี้ไม่น่ากลัวหรอกหรือ? (น่ากลัว)

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

มีเล่ห์เพทุบายหลักหกอย่างที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

อย่างแรกคือการควบคุมและการบีบบังคับ นั่นคือ ซาตานจะทำทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อควบคุมหัวใจของเจ้า “การบีบบังคับ” หมายถึงอะไร? มันหมายถึงการใช้การข่มขู่และยุทธวิธีอันหนักแน่นเพื่อทำให้เจ้าเชื่อฟังมัน ทำให้เจ้าคิดถึงผลสืบเนื่องหากเจ้าไม่เชื่อฟัง เจ้ากลัวและไม่กล้าท้าทายมัน ดังนั้นเจ้าจึงนบนอบต่อมัน

อย่างที่สองคือการโกงและการใช้กลเม็ด “การโกงและการใช้กลเม็ด” นำมาซึ่งอะไร? ซาตานสร้างเรื่องราวและการโกหกบางอย่าง ใช้อุบายลวงเจ้าให้เชื่อในเรื่องเหล่านั้น มันไม่เคยบอกเจ้าว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ แต่มันก็ไม่กล่าวตรงๆ ว่าเจ้าไม่ได้ถูกทำขึ้นโดยพระเจ้า มันไม่ใช้คำว่า “พระเจ้า” เลย แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับใช้สิ่งอื่นๆ เป็นตัวแทน โดยใช้สิ่งนี้เพื่อหลอกลวงเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ไม่รู้ถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยพื้นฐาน แน่นอน “การใช้กลเม็ด” นี้รวมถึงแง่มุมต่างๆ มากมาย ไม่ใช่แค่ด้านนี้เท่านั้น

อย่างที่สามคือการสั่งสอนที่หนักแน่น ผู้คนถูกสั่งสอนอย่างหนักแน่นด้วยสิ่งใด? การสั่งสอนที่หนักแน่นทำโดยทางเลือกของมนุษย์เองหรือไม่? มันทำด้วยความยินยอมของมนุษย์หรือไม่? (ไม่) ต่อให้เจ้าไม่ยินยอม ก็ไม่มีอะไรที่เจ้าสามารถทำได้เกี่ยวกับมัน ในการไม่ตระหนักรู้ของเจ้า ซาตานสั่งสอนเจ้า ปลูกฝังเจ้าด้วยการคิดของมัน กฎเกณฑ์ชีวิตของมัน และแก่นแท้ของมัน

อย่างที่สี่คือการข่มขู่และการหลอกล่อ นั่นคือ ซาตานใช้เล่ห์เพทุบายหลากหลายเพื่อทำให้เจ้ายอมรับมัน ติดตามมัน และทำงานปรนนิบัติมัน มันจะทำอะไรก็ตามเพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของมัน บางครั้งมันให้ความช่วยเหลือเล็กน้อยแก่เจ้า โดยตลอดเวลานั้นก็ล่อลวงเจ้าให้กระทำความบาป หากเจ้าไม่ติดตามมัน มันจะทำให้เจ้าทนทุกข์และลงโทษเจ้า และใช้วิธีหลากหลายเพื่อโจมตีและทำให้เจ้าติดบ่วง

อย่างที่ห้าคือการหลอกลวงและความตายด้าน “การหลอกลวงและความตายด้าน” คือเมื่อซาตานเรียบเรียงถ้อยคำที่ฟังดูอ่อนหวานและแนวคิดที่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน เพื่อทำให้ดูราวกับว่ามันกำลังนึกถึงสถานการณ์ฝ่ายเนื้อหนังของผู้คน ถึงชีวิตและอนาคตของพวกเขา เมื่อที่จริงแล้วเป้าหมายเดียวของมันคือการหลอกเจ้า แล้วมันก็ทำให้เจ้าตายด้านเพื่อที่เจ้าจะไม่รู้ว่าอะไรถูกและอะไรผิด เพื่อที่เจ้าจะได้ถูกอุบายหลอกโดยที่ไม่รู้ตัวและดังนั้นจึงมาอยู่ใต้การควบคุมของมัน

อย่างที่หกคือการทำลายร่างกายและจิตใจ ส่วนใดของมนุษย์ที่ซาตานทำลาย? (จิตใจของมนุษย์และการดำรงอยู่ทั้งหมด) ซาตานทำลายจิตใจของเจ้า ทำให้เจ้าไร้พลังที่จะต้านทาน หมายความว่า หัวใจของเจ้าหันไปหาซาตานทีละน้อยๆ โดยไม่คำนึงถึงตัวเจ้าเอง มันปลูกฝังสิ่งเหล่านี้ในตัวเจ้าทุกวัน ใช้แนวคิดและวัฒนธรรมเหล่านี้ทุกวันเพื่อชักจูงและเตรียมเจ้าให้พร้อม บ่อนทำลายเจตจำนงของเจ้าทีละน้อยๆ เพื่อที่ในท้ายที่สุดเจ้าไม่อยากเป็นคนดีอีกต่อไป เพื่อที่เจ้าไม่ปรารถนาจะยืนหยัดเพื่อสิ่งที่เจ้าเรียกว่า “ความชอบธรรม” อีกต่อไป โดยที่ไม่รู้ตัว เจ้าไม่มีพลังใจที่จะว่ายทวนกระแสอีกต่อไป แต่กลับไหลไปตามมัน “ความวิบัติ” หมายความว่าซาตานทรมานผู้คนมากจนกระทั่งพวกเขากลายเป็นเงาของตัวเอง ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป นี่คือเวลาที่ซาตานจู่โจม เกาะกุมและกลืนกินพวกเขา

เล่ห์เพทุบายแต่ละอย่างเหล่านี้ที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ทำให้มนุษย์ไร้พละกำลังที่จะต้านทาน เล่ห์เพทุบายอย่างใดอย่างหนึ่งเหล่านี้สามารถเป็นอันตรายถึงชีวิตต่อมนุษย์ อีกนัยหนึ่ง อะไรก็ตามที่ซาตานทำและเล่ห์เพทุบายใดๆ ที่มันใช้สามารถทำให้เจ้าเสื่อมได้ สามารถนำเจ้าไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน และสามารถทำให้เจ้าติดหล่มแห่งความชั่วและความบาป เหล่านี้คือเล่ห์เพทุบายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

ซาตานสร้างชื่อเสียงของมันโดยผ่านทางการหลอกลวงผู้คน และมักจะสถาปนาตัวเองเป็นทัพหน้าและแบบอย่างที่มีความชอบธรรม ภายใต้การกล่าวอ้างเทียมเท็จเกี่ยวกับการพิทักษ์ความชอบธรรม มันทำร้ายผู้คน ล้างผลาญดวงจิตของพวกเขา และใช้วิถีทางทุกประเภทเพื่อทำให้มนุษย์ด้านชา หลอกลวง และยุยงมนุษย์ เป้าหมายของมันคือการทำให้มนุษย์เห็นชอบและเข้ากันได้ดีกับการประพฤติชั่วของมัน เพื่อทำให้มนุษย์เข้าร่วมกับมันในการต่อต้านสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเรามองทะลุกลอุบายและแผนร้ายของมัน และมองทะลุลักษณะเฉพาะที่เลวทรามของมัน และเมื่อคนเราไม่ปรารถนาที่จะถูกมันเหยียบย่ำและถูกมันหลอกลวง หรือที่จะทำงานเป็นทาสเพื่อมันต่อไป หรือที่จะถูกลงโทษและถูกทำลายเคียงข้างมัน เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะเปลี่ยนลักษณะเฉพาะราววิสุทธิชนก่อนหน้านี้ของมัน และฉีกหน้ากากปลอมๆ ของมันเพื่อเผยใบหน้าที่แท้จริงของมัน ซึ่งชั่วร้าย เลวทราม น่าเกลียด และป่าเถื่อน มันจะไม่รักสิ่งใดมากไปกว่าการทำลายทุกผู้คนที่ปฏิเสธที่จะติดตามมันและผู้ที่ต่อต้านกำลังบังคับแห่งความชั่วของมันให้สิ้น ณ จุดนี้ ซาตานไม่สามารถสวมรูปลักษณ์ที่น่าไว้วางใจและเป็นสุภาพบุรุษได้อีกต่อไป แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ลักษณะเฉพาะอันแท้จริงที่น่าเกลียดและชั่วร้ายของมันกลับถูกเผยออกมาภายใต้คราบคนดีแทน ทันทีที่กลอุบายของซาตานถูกตีแผ่ออกมาและลักษณะเฉพาะที่แท้จริงของมันถูกเปิดโปง มันจะระเบิดความเดือดดาลโดยฉับพลันและแสดงความป่าเถื่อนของมันออกมา หลังจากนี้ ความอยากทำร้ายและล้างผลาญผู้คนของมันมีแต่จะเพิ่มขึ้น นี่เป็นเพราะมันเดือดดาลเมื่อมนุษย์เริ่มสังเกตเห็นความจริง และมันเกิดความอาฆาตอันแรงกล้าต่อมนุษย์เพราะความมุ่งมาดปรารถนาของพวกเขาที่โหยหาเสรีภาพและความสว่าง และต้องการหลุดพ้นไปจากคุกของมัน ความเดือดดาลของมันมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกป้องและสนับสนุนความชั่วของมัน และยังเป็นการเผยถึงธรรมชาติที่ป่าเถื่อนของมันอย่างแท้จริง

ในทุกๆ เรื่อง พฤติกรรมของซาตานจะเปิดโปงธรรมชาติอันชั่วของมัน จากการกระทำชั่วทั้งหมดที่ซาตานได้ทำกับมนุษย์ไปแล้ว—ตั้งแต่ความพยายามในช่วงแรกๆ ของมันที่จะลวงมนุษย์ให้ติดตามมัน ไปจนถึงการใช้ประโยชน์จากมนุษย์ ซึ่งมันลากมนุษย์มาสู่ความประพฤติชั่วของมัน ไปจนถึงความอาฆาตต่อมนุษย์หลังจากที่ลักษณะเฉพาะที่แท้จริงของมันได้ถูกเปิดโปงและมนุษย์ได้รับรู้และละทิ้งมันไปแล้ว—ในการกระทำเหล่านี้ ไม่มีสักอย่างที่ไม่สามารถเปิดโปงเนื้อแท้ที่ชั่วของซาตาน หรือไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าซาตานไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับสิ่งที่เป็นบวกเลย และว่าซาตานคือแหล่งกำเนิดของสิ่งที่ชั่วทั้งหมด ทุกๆ การกระทำของมันพิทักษ์ความชั่วของมัน รักษาความต่อเนื่องของการกระทำชั่วของมัน ต่อต้านสิ่งที่ยุติธรรมและเป็นบวกทั้งหลาย และทำลายธรรมบัญญัติและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการดำรงอยู่ที่ปกติของมนุษยชาติ การกระทำเหล่านี้ของซาตานเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า และพวกมันจะถูกทำลายด้วยพระพิโรธของพระเจ้า ถึงแม้ว่าซาตานจะมีความเดือดดาลของมันเอง แต่ความเดือดดาลของมันก็เป็นเพียงวิถีทางหนึ่งในการระบายธรรมชาติที่ชั่วของมันออกมา เหตุผลที่ว่าทำไมซาตานจึงฉุนเฉียวและโกรธเกรี้ยวนั้นเป็นเพราะว่า กลอุบายที่ไม่สามารถบรรยายได้ของมันได้ถูกเปิดโปงแล้ว แผนร้ายของมันไม่ได้รอดพ้นไปง่ายๆ ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากอันบ้าคลั่งของมันที่จะแทนที่พระเจ้าและทำตัวเป็นพระเจ้าได้ถูกบดขยี้และสกัดกั้น และเป้าหมายของมันที่จะควบคุมมนุษยชาติทั้งหมดตอนนี้ไม่เป็นผลแล้วและไม่มีวันสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ สิ่งที่หยุดแผนร้ายของซาตานไม่ให้เกิดผลและตัดการแพร่กระจายและการอาละวาดของความชั่วของซาตานคือการที่พระเจ้าทรงเรียกใช้พระพิโรธของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยเหตุผลนี้ ซาตานจึงทั้งเกลียดชังและยำเกรงพระพิโรธของพระเจ้า ในแต่ละครั้งที่พระพิโรธของพระเจ้าเคลื่อนลงมา พระพิโรธของพระองค์ไม่เพียงแต่เปิดหน้ากากของรูปลักษณ์เลวทรามที่แท้จริงของซาตานเท่านั้น แต่ยังเปิดโปงความอยากอันชั่วที่ซาตานมีต่อความสว่างด้วย และในกระบวนการนั้น เหตุผลของความเดือดดาลของซาตานต่อมนุษยชาติก็ถูกตีแผ่ การระเบิดความเดือดดาลของซาตานคือการเผยที่แท้จริงถึงธรรมชาติที่ชั่วของมัน และคือการเปิดโปงกลอุบายของมัน แน่นอนว่าทุกครั้งที่ซาตานเดือดดาลเป็นการประกาศถึงการทำลายล้างสิ่งที่ชั่วและการปกป้องสิ่งที่เป็นบวกและทำให้สิ่งที่เป็นบวกดำเนินต่อไป เป็นการประกาศถึงความจริงที่ว่าพระพิโรธของพระเจ้าไม่สามารถถูกล่วงเกินได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

เชิงอรรถ:

1. “กลืน” หมายถึงพฤติกรรมชั่วช้าของกษัตริย์ของพวกมาร ซึ่งช่วงชิงผู้คนทั้งตัว

2. “บรรดาผู้สมรู้ร่วมคิดในอาชญากรรม” เป็นประเภทเดียวกับ “กลุ่มอันธพาล”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

วิธีที่พระเจ้าทรงนำบทอวสานมาสู่ยุคมืดของแดนครอบครองของซาตานในยุคสุดท้าย

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง เมื่อผู้คนทั้งหมดได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ และทุกชาติในโลกได้กลายมาเป็นราชอาณาจักรของพระคริสต์...

อันตรายและผลสืบเนื่องที่ตามมาซึ่งการเข้าควบคุมของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจะนำพามาสู่พวกเขา

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องเป็นเพราะการประดิษฐ์คิดค้นทางศาสตร์สังคมต่างๆ ของมวลมนุษย์...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger