วิธีที่คนเราสามารถระลึกได้ถึงความจริงและผู้ที่สามารถแสดงความจริงได้จริงๆ
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นชีวิต และความจริง และพระชนม์ชีพของพระองค์และความจริงก็ดำรงอยู่ร่วมกัน พวกที่ไม่สามารถได้รับความจริงจะไม่มีทางได้รับชีวิต หากปราศจากการทรงนำ การสนับสนุน และการจัดเตรียมความจริง เจ้าจะได้รับเพียงตัวอักษร คำสอน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด ความตายเท่านั้น พระชนม์ชีพของพระเจ้าเป็นปัจจุบันตลอดกาล และความจริงและพระชนม์ชีพของพระองค์นั้นดำรงอยู่ร่วมกัน หากเจ้าไม่สามารถค้นพบแหล่งกำเนิดความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ได้รับการบำรุงเลี้ยงของชีวิต หากเจ้าไม่สามารถได้รับการจัดเตรียมชีวิต เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีความจริงอย่างแน่นอน และดังนั้น นอกเหนือจากจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดต่างๆ แล้ว ร่างกายทั้งร่างของเจ้าจะไม่เป็นอะไรเลยนอกจากเนื้อหนังของเจ้า—เนื้อหนังที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าของเจ้า จงรู้ไว้ว่าคำพูดในหนังสือนั้นไม่นับว่าเป็นชีวิต บรรดาบันทึกประวัติศาสตร์ไม่สามารถได้รับเกียรติประหนึ่งเป็นความจริงได้ และกฎระเบียบต่างๆ ในอดีตไม่สามารถใช้เป็นการเล่าเรื่องราวของพระวจนะที่ตรัสโดยพระเจ้าในปัจจุบัน มีเพียงสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงแสดงให้เห็นเมื่อพระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกและดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางมนุษย์เท่านั้นที่คือความจริง ชีวิต น้ำพระทัยของพระเจ้า และวิธีปฏิบัติพระราชกิจในปัจจุบันของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้
ความจริงเป็นคำสุภาษิตของชีวิตที่เป็นจริงมากที่สุด และเป็นภาษิตซึ่งสูงส่งที่สุดในบรรดาภาษิตเช่นนั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง เพราะว่ามันเป็นข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงกำหนดต่อมนุษย์ และเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำด้วยพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ มันจึงถูกเรียกว่า “ภาษิตแห่งชีวิต” มันไม่ใช่ภาษิตที่ถูกสรุปย่อจากบางสิ่ง และมันไม่ใช่คำคมอันโด่งดังจากบุคคลสำคัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นถ้อยดำรัสถึงมวลมนุษย์จากองค์เจ้านายแห่งฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง มันไม่ใช่คำพูดบางคำที่มนุษย์สรุปขึ้นมา แต่เป็นพระชนม์ชีพประจำพระองค์ของพระเจ้า และดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่า “ที่สุดแห่งภาษิตชีวิตทั้งปวง”
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้
ความจริงนั้นมาจากโลกของมนุษย์ กระนั้นความจริงท่ามกลางมนุษย์ก็ถูกส่งต่อโดยพระคริสต์ นั่นมีจุดกำเนิดจากพระคริสต์ กล่าวคือ จากพระเจ้าพระองค์เอง และนี่ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้ กระนั้นพระคริสต์ก็ทรงจัดเตรียมความจริงเท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงมาเพื่อตัดสินพระทัยว่ามนุษย์จะประสบความสำเร็จในการไล่ตามเสาะหาความจริงของเขาหรือไม่ ด้วยเหตุนี้ที่ตามมาก็คือว่า ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในความจริงทั้งหมดล้วนเป็นผลจากการไล่ตามเสาะหาของมนุษย์ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวในความจริงของมนุษย์ไม่เคยมีความเกี่ยวข้องอันใดกับพระคริสต์ แต่กลับกำหนดพิจารณาโดยการไล่ตามเสาะหาของเขา บั้นปลายของมนุษย์และความสำเร็จหรือความล้มเหลวของเขาไม่สามารถกองสุมบนพระเศียรของพระเจ้าได้ เพื่อที่พระเจ้าพระองค์เองจะได้ทรงถูกทำให้แบกรับสิ่งนั้นไว้ เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องสำหรับพระเจ้าพระองค์เอง แต่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหน้าที่ซึ่งสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้าควรปฏิบัติ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน
ความจริงไม่มีสูตรตายตัว อีกทั้งไม่ได้เป็นกฎ ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย—ความจริงคือชีวิตด้วยตัวของมันเอง ความจริงคือสิ่งที่มีชีวิต และความจริงคือกฎที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างต้องปฏิบัติตามในชีวิต และกฎที่มนุษย์ต้องมีในชีวิต นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเข้าใจโดยผ่านทางประสบการณ์ให้ได้มากเท่าที่เป็นไปได้ เจ้าไม่อาจแยกจากพระวจนะของพระเจ้าหรือความจริงได้ไม่ว่าเจ้าได้มาถึงช่วงระยะใดในประสบการณ์ของเจ้าก็ตาม และสิ่งที่เจ้าเข้าใจเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่เจ้ารู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นทั้งหมดต่างได้รับการแสดงออกในพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับความจริงอย่างแยกจากกันไม่ได้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือความจริงโดยตัวมันเอง ความจริงคือการสำแดงที่เป็นของแท้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความจริงทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นเป็นรูปธรรม และความจริงกล่าวอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ความจริงบอกเจ้าอย่างตรงไปตรงมามากยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าทรงโปรดสิ่งใด พระองค์ไม่ทรงโปรดสิ่งใด พระองค์ทรงต้องประสงค์ให้เจ้าทำสิ่งใด และพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าทำสิ่งใด พระองค์ทรงรังเกียจชิงชังผู้คนใด และพระองค์ทรงปีติยินดีในผู้คนใด เบื้องหลังความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกนั้น ผู้คนสามารถมองเห็นความหรรษายินดี ความกริ้ว ความโทมนัส และความสุขของพระองค์ เช่นเดียวกับเนื้อแท้ของพระองค์—นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3
ความจริงคือความเป็นจริงของสรรพสิ่งที่เป็นบวกทั้งมวล อาจเป็นชีวิตของมนุษย์และทิศทางที่เขาเดินทางไป สามารถนำทางให้คนเราปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา มายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว กลายเป็นคนที่เชื่อฟังพระเจ้าและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอ คนที่พระเจ้าทรงรักและที่มาบรรจบกับความโปรดปรานของพระองค์ ด้วยเหตุแห่งความล้ำค่าของสิ่งนั้น คนเราควรมีท่าทีและมุมมองอย่างไรในการคำนึงถึงพระวจนะของพระเจ้าและความจริง? มันชัดเจนทีเดียว กล่าวคือ สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและมีหัวใจแห่งความเคารพต่อพระองค์อย่างแท้จริง พระวจนะของพระองค์คือโลหิตแห่งชีวิตของพวกเขา มนุษย์ควรถนอมความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้า และกินและดื่มพระวจนะเหล่านั้น และชื่นชมพระวจนะเหล่านั้น และยอมรับพระวจนะเหล่านั้นเป็นชีวิตของเขา เป็นทิศทางที่เขาเดินทางไป เป็นความช่วยเหลือและการจัดเตรียมที่พร้อมพรักของเขา มนุษย์ควรดำรงชีวิต ปฏิบัติ และผ่านประสบการณ์ โดยสอดคล้องกับถ้อยแถลงและข้อพึงประสงค์ของความจริง และนบนอบต่อข้อเรียกร้องที่ความจริงมีต่อเขา ต่อถ้อยแถลงและข้อพึงประสงค์แต่ละข้อที่ความจริงมอบให้กับเขา แทนที่จะให้ความจริงอยู่ภายใต้การศึกษา การวิเคราะห์ การคาดการณ์ และความสงสัย ในเมื่อความจริงคือความช่วยเหลือที่พร้อมพรักของมนุษย์ การจัดเตรียมที่พร้อมพรักของเขา และสามารถเป็นชีวิตของเขาได้ มนุษย์จึงควรปฏิบัติต่อความจริงในฐานะสิ่งล้ำค่าที่สุด เพราะเขาต้องพึ่งพาความจริงเพื่อดำรงชีวิต เพื่อมาสนองข้อเรียงร้องของพระเจ้า ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว และเพื่อพบเจอเส้นทางที่จะใช้เพื่อการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเขา โดยจับความเข้าใจหลักการแห่งการปฏิบัติและสัมฤทธิ์การนบนอบต่อพระเจ้า มนุษย์ยังต้องพึ่งพาความจริงเพื่อปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาอีกด้วย เพื่อกลายเป็นคนที่ได้รับการช่วยให้รอดและสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอ
ตัดตอนมาจาก “พวกเขารังเกียจความจริง ล่วงละเมิดหลักธรรมอย่างโจ่งแจ้ง และไม่คำนึงถึงการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (7)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์
พระเจ้าพระองค์เองทรงครองความจริง และพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของความจริง ทุกสิ่งด้านบวกและทุกความจริงมาจากพระเจ้า พระองค์ทรงสามารถตัดสินเกี่ยวกับความถูกและความผิดของทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์ พระองค์ทรงสามารถตัดสินสรรพสิ่งที่ได้เกิดขึ้น สรรพสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และสรรพสิ่งในอนาคตที่มนุษย์ยังไม่รู้ พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาเพียงองค์เดียวเท่านั้นที่สามารถตัดสินความถูกและความผิดของทุกสรรพสิ่ง และนี่หมายความว่าความถูกและความผิดของทุกสรรพสิ่งสามารถได้รับการพิพากษาโดยพระองค์เท่านั้น พระองค์ทรงทราบกฎเกณฑ์ของทุกสรรพสิ่ง นี่คือรูปจำแลงของความจริง ซึ่งหมายความว่าพระองค์เองทรงครองแก่นแท้ของความจริง หากมนุษย์ได้เข้าใจความจริงและได้สัมฤทธิ์ความเพียบพร้อมแล้วไซร้ เขาจะมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับรูปจำแลงของความจริงเล่า? เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เขาย่อมมีดุลยพินิจที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในขณะนี้และสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ และเขาย่อมมีหนทางที่ถูกต้องแม่นยำที่จะปฏิบัติ มนุษย์ย่อมเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและรู้ถูกรู้ผิดด้วย ถึงกระนั้นก็มีบางสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจเข้าถึงได้ สิ่งทั้งหลายที่เขาสามารถรู้เฉพาะหลังจากที่พระเจ้าตรัสบอกเขาเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น—มนุษย์สามารถรู้สิ่งที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก สิ่งที่พระเจ้ายังไม่ตรัสบอกเขาได้หรือ? (เขาไม่สามารถ) มนุษย์ไม่อาจให้คำทำนายได้ ที่มากกว่านั้นก็คือ ต่อให้มนุษย์ได้มาซึ่งความจริงจากพระเจ้า และมีความเป็นจริงความจริงและรู้แก่นแท้ของความจริงมากมาย และมีความสามารถที่จะแยกแยะถูกผิดได้แล้วไซร้ เขาจะมีความสามารถที่จะควบคุมและปกครองทุกสรรพสิ่งได้หรือไม่? (ไม่) นั่นคือความแตกต่าง สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสามารถเพียงได้มาซึ่งความจริงจากแหล่งกำเนิดของความจริงเรื่อยไปเท่านั้น พวกเขาสามารถได้มาซึ่งความจริงจากมนุษย์หรือ? มนุษย์สามารถจัดหาความจริงหรือ? มนุษย์สามารถจัดเตรียมเพื่อมนุษย์หรือ? มนุษย์ไม่สามารถ และนั่นคือความแตกต่าง เจ้าสามารถเพียงรับไว้ ไม่ใช่จัดเตรียม—เจ้าสามารถได้รับการเรียกว่ารูปจำแลงของความจริงหรือ? สิ่งใดคือแก่นแท้แห่งรูปจำแลงของความจริงกันแน่? มันคือแหล่งกำเนิดที่จัดเตรียมความจริง แหล่งกำเนิดของการกำกับดูแลและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง และเป็นมาตรฐานกับกฎเกณฑ์ที่ใช้พิพากษาทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อีกด้วย นี่คือรูปจำแลงของความจริง
ตัดตอนมาจาก “พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (3)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์
พระวจนะของพระเจ้าคือพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พระวจนะคือรากฐานและธรรมบัญญัติที่มวลมนุษย์ควรใช้ในการดำรงอยู่ และสิ่งเหล่านั้นที่เรียกว่าหลักความเชื่อซึ่งถือกำเนิดพร้อมกับมนุษย์ก็ถูกพระเจ้าตรัสกล่าวโทษ สิ่งเหล่านั้นไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ และนับประสาอะไรที่จะเป็นต้นกำเนิดหรือพื้นฐานแห่งถ้อยดำรัสของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกซึ่งพระอุปนิสัยของพระองค์และแก่นแท้ของพระองค์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์ พระวจนะทั้งหมดที่การแสดงออกของพระเจ้าได้ทำให้เกิดขึ้นคือความจริง เพราะพระองค์ทรงมีแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์คือความเป็นจริงของสิ่งที่เป็นบวกทั้งปวง ข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริงไม่เคยแปรเปลี่ยน ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้จัดวางพระวจนะหรือนิยามพระวจนะเช่นไร หรือมีทรรศนะต่อพระวจนะหรือเข้าใจพระวจนะเช่นไร ไม่สำคัญว่าพระวจนะของพระเจ้าได้ถูกกล่าวมากมายเพียงใด และไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามใจบาปนี้จะกล่าวโทษและบอกปัดพระวจนะเหล่านั้นมากมายเพียงใด ก็ยังคงมีข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ กล่าวคือ แม้ในรูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ สิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรมและธรรมเนียมประเพณีที่มวลมนุษย์ให้คุณค่า ก็ไม่อาจกลายเป็นสิ่งที่เป็นบวก และไม่อาจกลายเป็นความจริง การนี้ไม่อาจแปรเปลี่ยนได้ วัฒนธรรมทางด้านธรรมเนียมประเพณีและหนทางแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์นั้นจะไม่กลายเป็นความจริงเนื่องแต่การเปลี่ยนแปลงหรือเส้นทางของกาลเวลา และพระวจนะของพระเจ้าก็จะไม่กลายเป็นคำพูดของมนุษย์เนื่องแต่การกล่าวโทษหรือความหลงลืมของมวลมนุษย์เช่นกัน แก่นแท้นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ มีข้อเท็จจริงอันใดในเรื่องนี้? ภาษิตเหล่านั้นทั้งหมดซึ่งถูกสรุปความโดยมวลมนุษย์ล้วนถือกำเนิดในซาตาน—เป็นจินตนาการและมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ ถึงขั้นเกิดขึ้นจากความเลือดร้อนของมนุษย์ และไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เป็นบวกเลย ในอีกด้านหนึ่ง พระวจนะของพระเจ้าเป็นการแสดงออกของแก่นแท้และสถานภาพของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงออกซึ่งพระวจนะเหล่านี้เพื่อเหตุผลอันใดหรือ? เหตุใดเราจึงกล่าวว่าพระวจนะคือความจริง? เหตุผลก็คือว่าพระเจ้าทรงปกครองเหนือธรรมบัญญัติ หลักธรรม รากเหง้า แก่นแท้ ความเป็นจริง และความล้ำลึกทั้งปวงของทุกสรรพสิ่ง และสิ่งเหล่านี้ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวทรงทราบถึงต้นกำเนิดของสิ่งเหล่านี้และสิ่งที่เป็นรากเหง้าจริงๆ ของสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้น เฉพาะนิยามของทุกสรรพสิ่งที่ได้รับการกล่าวถึงในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายสำหรับมวลมนุษย์ภายในพระวจนะของพระเจ้า คือมาตรฐานเดียวเท่านั้นสำหรับมวลมนุษย์—เกณฑ์กำหนดเดียวเท่านั้นที่มวลมนุษย์ควรใช้ในการดำรงอยู่ แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ในแง่หนึ่ง กฎทั้งหลายที่มวลมนุษย์ใช้ในการดำรงอยู่นั้นได้มาจากการฝ่าฝืนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง และในอีกแง่หนึ่งก็มาจากการฝ่าฝืนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระเจ้าเหนือกฎทั้งหลายของทุกสรรพสิ่ง กฎเหล่านั้นมาจากจินตนาการและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของมนุษย์ และยังมาจากซาตานด้วยเช่นกัน บทบาทจำพวกใดหรือที่ซาตานแสดง? อันดับแรก ซาตานปลอมเป็นความจริง อันดับที่สอง มันทำลาย รบกวน และเหยียบย่ำหลักการและกฎทั้งมวลแห่งการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า ด้วยเหตุนั้น สิ่งทั้งหลายที่มาจากซาตานจึงจับคู่เข้ากับแก่นแท้ของมันอย่างแม่นยำ และเต็มไปด้วยเจตนาเลว การทดลอง และการอำพรางตนทั้งหลายของซาตาน รวมไปถึงความทะเยอทะยานที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของซาตาน สิ่งที่มาจากซาตานเหล่านี้จะไม่มีวันกลายเป็นความจริง โดยไม่ต้องคำนึงว่ามวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามนั้นสามารถหยั่งรู้สิ่งเหล่านี้หรือไม่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงระดับที่มวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามยอมรับสิ่งเหล่านี้ และไม่ต้องคำนึงถึงความยืนยาวของยุคสมัยในช่วงระหว่างที่มวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามเลื่อมใสพวกมัน เคารพบูชาพวกมัน และประกาศพวกมัน และโดยไม่คำนึงด้วยเช่นกันว่า ผู้คนมากเท่าใดที่เลื่อมใส เคารพบูชา และประกาศสิ่งเหล่านี้ สิ่งทั้งหลายที่มาจากซาตานเหล่านี้จะไม่มีวันกลายเป็นความจริง และจะยังคงเป็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบเสมอ เพราะแก่นแท้ ต้นกำเนิดและรากเหง้าของพวกมันคือซาตาน ซาตานที่เป็นศัตรูของพระเจ้าและเป็นปฏิปักษ์ต่อความจริง เมื่อไม่มีความจริงที่มาเทียบให้เห็นความแตกต่างสุดขั้วกับสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้ก็อาจเสแสร้งว่าพวกมันดีและว่าพวกมันเป็นบวก แต่เมื่อความจริงถูกใช้ในการชำแหละและเปิดโปงพวกมัน พวกมันก็มิใช่ว่าปราศจากความเปราะบาง พวกมันไม่สามารถตั้งมั่นได้ และพวกมันก็เป็นสิ่งทั้งหลายที่ถูกกล่าวโทษ เปิดโปง และตัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว ความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงนั้นอยู่ในแนวเดียวกันพอดีกับความต้องการที่จำเป็นของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของมวลมนุษย์ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น ในขณะที่สิ่งที่ซาตานมอบให้มนุษย์นั้นอยู่ในการฝ่าฝืนที่แน่ชัดต่อความต้องการที่จำเป็นเหล่านั้น มันทำให้บุคคลที่ปกติผิดปกติ เกินเลย ใจแคบ โอหัง โง่เขลา ชั่ว รุนแรง ร้ายกาจเลวทราม และเหนือสิ่งใดทั้งหมด โอหังอย่างเกินจะทนได้ ณ จุดเฉพาะหนึ่ง บุคคลผู้นั้นกลายเป็นฟั่นเฟือนทางจิตใจ ไม่รู้กระทั่งว่าพวกเขาเป็นใครอีกต่อไป พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเป็นผู้คนปกติ แต่ต้องปฏิบัติตนเป็นมนุษย์ที่ไม่ปกติ พวกเขาปฏิเสธไม่ยอมเป็นผู้คนธรรมดาสามัญ แต่ยืนกรานที่จะกลายเป็นมนุษย์ที่เหนือคนอื่น—และด้วยเหตุนี้สภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนจึงถูกทำให้บิดเบี้ยว และด้วยเหตุนี้ สัญชาตญาณทั้งหลายของพวกเขาจึงบิดเบี้ยว ความจริงทำให้ผู้คนมีความสามารถมากขึ้นที่จะดำรงชีวิตอยู่ตามสัญชาตญาณโดยสอดคล้องกับหลักการและกฎทั้งหลายเกี่ยวกับสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติและหลักธรรมทั้งปวงที่พระเจ้าได้ทรงสั่งการไว้ ในขณะที่สิ่งที่เรียกว่าภาษิตและกฎของซาตานเหล่านี้แน่ชัดว่าเป็นเหตุให้ผู้คนฝ่าฝืนสัญชาตญาณของพวกเขาและพยายามที่จะหนีพ้นธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ทรงประกาศกฤษฎีกาและสั่งการไว้ และถึงขั้นทอดทิ้งเส้นทางของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ โดยทำสิ่งทั้งหลายซึ่งเกินเลยที่ผู้คนซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ควรทำและเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ควรคิดถึง
ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใคร...(1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์
ความจริงก็คือชีวิตของพระเจ้าพระองค์เอง ความจริงเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ แก่นแท้ของพระองค์ และทุกสิ่งทุกอย่างในพระองค์ หากเจ้ากล่าวว่า การมีประสบการณ์เพียงเล็กน้อยหมายถึงการครองความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ย่อมสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าอาจมีประสบการณ์หรือความสว่างที่เกี่ยวข้องกับด้านหรือแง่มุมเฉพาะบางอย่างของความจริงหนึ่งอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่สามารถใช้ประสบการณ์หรือความสว่างนั้นจัดหาให้กับผู้อื่นได้ตลอดกาล ดังนั้นความสว่างที่เจ้าได้รับจึงไม่ใช่ความจริง มันเป็นแค่จุดเฉพาะหนึ่งที่ผู้คนสามารถไปถึงได้เท่านั้นเอง มันก็แค่เป็นประสบการณ์อันถูกต้องเหมาะสมและความเข้าใจที่ถูกต้องเหมาะสมซึ่งบุคคลหนึ่งควรครอง นั่นคือ ประสบการณ์และความรู้ตามจริงบางอย่างเกี่ยวกับความจริง ความสว่างนี้ ความรู้แจ้ง และความเข้าใจเชิงประสบการณ์ไม่มีวันสามารถใช้แทนความจริงได้ ต่อให้ผู้คนทั้งหมดได้รับประสบการณ์กับความจริงนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ และนำความเข้าใจเชิงประสบการณ์ทั้งปวงของพวกเขามาลงขันกัน นั่นก็ยังคงจะไม่มีความสามารถที่จะมาแทนที่ความจริงหนึ่งเดียวนั้นได้อยู่ดี ดังที่ได้ถูกกล่าวไว้ในอดีตว่า “เราจึงสรุปการนี้ทั้งหมดด้วยคติพจน์สำหรับพิภพมนุษย์ว่า ท่ามกลางพวกมนุษย์ ไม่มีผู้ใดที่รักเรา” นี่คือถ้อยแถลงหนึ่งของความจริง มันคือแก่นแท้ที่แท้จริงของชีวิต นี่คือสิ่งทั้งหลายซึ่งลุ่มลึกที่สุด นี่คือการแสดงออกของพระเจ้าพระองค์เอง เจ้าสามารถได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ได้เรื่อยไป และหากเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสามปี เจ้าก็จะมีความเข้าใจผิวเผินเกี่ยวกับสิ่งนี้ หากเจ้าได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาเจ็ดหรือแปดปี เจ้าก็จะยิ่งได้รับความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนี้—แต่ความเข้าใจอันใดก็ตามที่เจ้าได้รับจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะใช้แทนถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนั้นของความจริงได้ อีกบุคคลหนึ่งอาจจะได้รับความเข้าใจน้อยนิดภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสองปี แล้วจากนั้นก็ได้รับความเข้าใจที่ลุ่มลึกขึ้นสักเล็กน้อยหลังจากได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้เป็นเวลาสิบปี และแล้วก็ได้รับความเข้าใจคืบหน้าไปบ้างภายหลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งนี้ชั่วชีวิต—แต่หากเจ้ากับอีกบุคคลหนึ่งผสานความเข้าใจอันใดที่เจ้าทั้งคู่ได้รับมาเข้าด้วยกัน ต่อให้ถึงตอนนั้นแล้ว—ไม่สำคัญว่าเจ้าทั้งคู่ครองความเข้าใจมากเพียงใด ประสบการณ์มากเพียงใด ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกมากมายเพียงใด ความสว่างมากเพียงใด หรือตัวอย่างมากมายเพียงใด—ทั้งหมดนั้นยังคงไม่สามารถใช้แทนถ้อยแถลงหนึ่งเดียวนั้นของความจริงได้อยู่ดี เราตั้งใจให้สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรคือ? เราหมายความว่า ชีวิตของมนุษย์จะเป็นชีวิตของมนุษย์เสมอ และไม่สำคัญว่าความเข้าใจของเจ้ามากเท่าไรที่อาจจะสอดคล้องกับความจริง สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า และกับข้อพึงประสงค์ของพระองค์ มันก็จะไม่มีวันที่จะมีความสามารถในการเป็นสิ่งที่ใช้แทนความจริงได้ การกล่าวว่า ผู้คนได้รับความจริงแล้วหมายความว่า พวกเขาครองความเป็นจริงอยู่บ้าง ว่าพวกเขาได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับความจริง ว่าพวกเขาได้บรรลุการเข้าสู่ซึ่งเป็นจริงบางอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า ว่าพวกเขาได้มีประสบการณ์ที่เป็นจริงบางอย่างกับพระวจนะของพระเจ้า และว่าพวกเขาอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้องในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา แค่ถ้อยแถลงหนึ่งเดียวจากพระเจ้าก็มากพอแล้วสำหรับบุคคลหนึ่งที่จะได้รับประสบการณ์ไปชั่วทั้งชีวิตหนึ่ง ต่อให้ผู้คนต้องได้รับประสบการณ์กับถ้อยแถลงนี้เป็นเวลาหลายชั่วชีวิตหรือแม้กระทั่งหลายพันปี พวกเขาก็ยังคงจะไม่มีความสามารถที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียวอย่างทั่วถึงและครบบริบูรณ์ได้ หากผู้คนเพียงได้เข้าใจพระวจนะอันผิวเผินไม่กี่คำ กระนั้นพวกเขาก็ยังกล่าวอ้างว่าได้รับความจริงแล้ว นั่นจะไม่ใช่ความเหลวไหลแบบถึงที่สุดและครบบริบูรณ์หรอกหรือ?
ตัดตอนมาจาก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าตามความเป็นจริงแล้วความจริงคือสิ่งใด?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
วจนะของเราคือความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอดกาล เราคือการจัดหาของชีวิตสำหรับมนุษย์และเป็นผู้นำทางเพียงคนเดียวเท่านั้นสำหรับมวลมนุษย์ ค่าและความหมายของวจนะของเราไม่ได้กำหนดพิจารณาจากการที่ว่า วจนะเหล่านั้นเป็นที่ระลึกรู้หรือยอมรับโดยมวลมนุษย์หรือไม่ แต่พิจารณาจากสาระสำคัญของวจนะเหล่านั้นเอง ต่อให้ไม่มีบุคคลสักคนเดียวบนแผ่นดินโลกนี้ที่สามารถรับวจนะของเราได้ คุณค่าของวจนะของเราและความช่วยเหลือของวจนะเหล่านั้นต่อมวลมนุษย์ก็ไม่อาจประเมินค่าได้ไม่ว่ากับมนุษย์คนใด ดังนั้น เมื่อเผชิญกับผู้คนจำนวนมากที่ปฏิเสธ เหยียดหยาม หรือเป็นกบฏต่อวจนะของเราอย่างถึงที่สุด จุดยืนของเราเป็นเพียงเช่นนี้เท่านั้นคือ ปล่อยให้เวลาและข้อเท็จจริงทั้งหลายเป็นพยานของเราและแสดงให้เห็นว่าวจนะของเราเป็นความจริง เป็นหนทาง และเป็นชีวิต ปล่อยให้เวลาและข้อเท็จจริงทั้งหลายแสดงให้เห็นว่าทั้งหมดที่เราได้พูดนั้นถูก แสดงให้เห็นว่ามันคือสิ่งซึ่งมนุษย์ควรได้รับการจัดให้มี และยิ่งไปกว่านั้นคือ สิ่งซึ่งมนุษย์ควรยอมรับ เราจะยอมให้ทุกคนที่ติดตามเรารู้ข้อเท็จจริงนี้ว่า พวกที่ไม่สามารถยอมรับวจนะของเราได้อย่างครบถ้วน พวกที่ไม่สามารถนำวจนะของเราไปฝึกฝนปฏิบัติได้ พวกที่ไม่สามารถค้นหาจุดประสงค์ในวจนะของเราได้ และพวกที่ไม่สามารถได้รับความรอดเพราะวจนะของเรา คือพวกที่ได้ถูกกล่าวโทษโดยวจนะของเราและยิ่งไปกว่านั้นคือ ได้สูญเสียความรอดของเรา และไม้เรียวของเราจะไม่มีวันห่างจากพวกเขาเลย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าควรจะพิจารณาความประพฤติทั้งหลายของพวกเจ้า
ในคราวนี้ พระเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจไม่ใช่ในกายจิตวิญญาณ แต่ในกายที่ธรรมดาสามัญมาก ยิ่งไปกว่านั้น กายนี้ไม่เพียงแต่เป็นพระวรกายในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพระวรกายที่พระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังด้วยเช่นกัน เป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งธรรมดาสามัญมาก เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดที่ทำให้พระองค์โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น แต่เจ้าสามารถได้รับความจริงซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนจากพระองค์ได้ เนื้อหนังซึ่งไร้นัยสำคัญนี้คือสิ่งที่พระวจนะแห่งความจริงทั้งหมดจากพระเจ้าจำแลงร่างขึ้นมาดำเนินพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าให้มนุษย์เข้าใจ เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะเข้าใจพระเจ้าในสวรรค์หรอกหรือ? เจ้าไม่อยากอย่างใหญ่หลวงที่จะมองเห็นบั้นปลายของมวลมนุษย์หรอกหรือ? พระองค์จะทรงบอกความลับเหล่านี้ทั้งหมดแก่เจ้า—ความลับที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถบอกเจ้าได้ และพระองค์จะทรงบอกกับเจ้าเช่นกันถึงความจริงที่เจ้านั้นไม่เข้าใจ พระองค์ทรงเป็นประตูของเจ้าที่จะเข้าไปสู่ราชอาณาจักร และเป็นผู้นำเจ้าเข้าไปสู่ยุคใหม่ มนุษย์ที่ธรรมดาสามัญเช่นนั้นถือครองความล้ำลึกอันมิอาจหยั่งลึกได้อยู่มากมาย กิจการของพระองค์อาจมิอาจพิเคราะห์ได้สำหรับเจ้า แต่เป้าหมายโดยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเพียงพอที่จะเปิดโอกาสให้เจ้ามองเห็นว่าพระองค์มิใช่มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง อย่างที่ผู้คนเชื่อ เพราะพระองค์เป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าและความใส่ใจที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย แม้เจ้าจะไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ที่ดูเหมือนจะสั่นสะเทือนฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก แม้ว่าเจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเนตรของพระองค์ดังเช่นเปลวเพลิงแห่งไฟ และแม้เจ้าไม่สามารถรับความมีวินัยแห่งคทาเหล็กของพระองค์ แต่ถึงกระนั้น เจ้าก็สามารถได้ยินจากพระวจนะของพระองค์ว่าพระเจ้าทรงพิโรธ และรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงความเมตตาสงสารต่อมวลมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น ตระหนักถึงความกังวลห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายคือ การเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นพระเจ้าในสวรรค์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และทำให้มนุษย์สามารถรู้จัก เชื่อฟัง เคารพ และรักพระเจ้า นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเป็นครั้งที่สอง แม้ว่าสิ่งที่มนุษย์เห็นในวันนี้คือพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเหมือนกับมนุษย์ พระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งทรงมีหนึ่งพระนาสิกและสองพระเนตร และพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งไม่มีอะไรโดดเด่น ในตอนท้าย พระเจ้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงมหาศาล หากมนุษย์คนนี้มิได้ดำรงอยู่ ฟ้าสวรรค์จะสลัวลง แผ่นดินโลกจะดิ่งพรวดลงสู่ความอลหม่าน และมวลมนุษย์ทั้งปวงจะดำรงชีวิตท่ามกลางการกันดารอาหารและภัยพิบัติทั้งหลาย พระองค์จะทรงแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่า หากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อช่วยพวกเจ้าให้รอดในยุคสุดท้าย พระเจ้าก็คงจะได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ทั้งปวงในนรกไปเสียนานแล้ว หากไม่มีมนุษย์ผู้นี้อยู่ พวกเจ้าก็จะเป็นพวกคนบาปตัวฉกาจไปตลอดกาล และเจ้าจะกลายเป็นซากศพชั่วนิรันดร พวกเจ้าควรรู้ว่า หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ เช่นนั้นแล้ว มวลมนุษย์ทั้งปวงคงจะเผชิญหน้ากับหายนะที่มิอาจหลบหลีกได้เลย และคงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกหนีการลงโทษอันรุนแรงเสียยิ่งกว่าซึ่งพระเจ้าทรงตวงแบ่งให้กับมวลมนุษย์ในยุคสุดท้าย หากเนื้อหนังธรรมดาสามัญนี้ไม่ถือกำเนิดขึ้น เจ้าทั้งหมดก็คงจะอยู่ในสภาวะที่พวกเจ้าร้องขอต่อชีวิตโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตได้ และอธิษฐานขอความตายโดยที่ไม่สามารถตายได้ หากเนื้อหนังนี้มิได้ดำรงอยู่ พวกเจ้าจะไม่สามารถได้รับความจริงและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าในวันนี้ได้ แต่เจ้ากลับจะถูกพระเจ้าลงโทษเพราะบาปอันหนักหนาสาหัสของเจ้าแทน พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า หากมิใช่เพราะพระเจ้าทรงกลับคืนสู่เนื้อหนัง ก็คงจะไม่มีผู้ใดเลยที่มีโอกาสได้รับความรอด และหากมิใช่เพราะการมาของเนื้อหนังนี้ พระเจ้าก็คงจะวางบทอวสานให้กับยุคเก่าไปเสียนานแล้ว? ด้วยความที่เป็นเช่นนี้ พวกเจ้ายังสามารถปฏิเสธการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าได้อยู่อีกหรือ? เพราะพวกเจ้าสามารถได้รับประโยชน์มากมายเหลือเกินจากมนุษย์ธรรมดาสามัญผู้นี้ เหตุใดพวกเจ้าจึงจะไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์เล่า?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้หรือไม่ว่า พระเจ้าได้ทรงกระทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ท่ามกลางมวลมนุษย์?
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ