วิธีที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากพระราชกิจของพระองค์

วันที่ 04 เดือน 11 ปี 2020

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

นับตั้งแต่การบริหารจัดการของพระเจ้าดำรงอยู่มา พระองค์ได้ทรงทุ่มเทอุทิศอย่างเต็มที่ในการดำเนินการพระราชกิจของพระองค์เสมอ แม้จะทรงปิดคลุมสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระองค์ก็ได้ทรงอยู่เคียงข้างมนุษย์เสมอ ทรงทำพระราชกิจกับมนุษย์ ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ ทรงนำมนุษยชาติทั้งมวลด้วยแก่นแท้ของพระองค์ และทรงทำพระราชกิจของพระองค์กับผู้คนทุกๆ คนโดยผ่านทางพระอิทธิฤทธิ์ของพระองค์ พระปรีชาญาณของพระองค์ และสิทธิอำนาจของพระองค์ จึงนำมาสู่การเป็นยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักรของวันนี้ แม้ว่าพระเจ้าทรงปกปิดสภาวะบุคคลของพระองค์จากมนุษย์ แต่พระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองทั้งหลายของพระองค์ และน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์นั้นถูกเปิดเผยต่อมนุษย์อย่างไม่มีการสงวนเพื่อให้มนุษย์ได้เห็นและได้รับประสบการณ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นหรือแตะต้องพระเจ้าได้ พระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่มนุษยชาติได้เผชิญก็คือการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นไม่ใช่ความจริงหรอกหรือ? โดยไม่คำนึงถึงหนทางหรือมุมของวิธีเข้าหาที่พระเจ้าทรงเลือกสำหรับพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงปฏิบัติต่อผู้คนโดยผ่านทางพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระองค์ ทรงทำพระราชกิจซึ่งเป็นหน้าที่ของพระองค์ และตรัสพระวจนะที่พระองค์ต้องตรัสอย่างแน่นอนเสมอ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสจากตำแหน่งใด—พระองค์อาจกำลังประทับยืนอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือกำลังประทับยืนอยู่ในเนื้อหนัง หรือแม้แต่ในฐานะบุคคลธรรมดา—พระองค์ตรัสกับมนุษย์อย่างสุดหัวใจของพระองค์และสุดจิตใจของพระองค์เสมอ โดยปราศจากการหลอกลวงหรือการปกปิดอันใด เมื่อพระองค์ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระวจนะของพระองค์และพระอุปนิสัยของพระองค์ และทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น โดยปราศจากการหวงแหนอันใด พระองค์ทรงนำทางมวลมนุษย์ด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและสิ่งทรงครองของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นเปิดกว้างต่อทุกคนและไม่ถูกซ่อนเร้น เพราะพระเจ้าไม่เคยได้ทรงหลีกเลี่ยงบุคคลอันใดโดยจงใจเจตนา และไม่เคยได้ทรงพยายามปกปิดพระองค์เองอย่างจงใจเจตนาที่จะกีดกันไม่ให้ผู้คนรู้จักพระองค์หรือเข้าใจพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นได้ทรงหมายให้เปิดกว้างและเผชิญหน้ากับแต่ละบุคคลอย่างสุจริตใจเสมอ ในการบริหารจัดการของพระเจ้านั้น พระเจ้าทรงทำพระราชกิจของพระองค์ โดยเผชิญหน้ากับทุกคน และพระราชกิจของพระองค์ทรงทำกับทุกๆ บุคคล ในขณะที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจนี้ พระองค์ก็กำลังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างต่อเนื่อง และกำลังทรงใช้แก่นแท้ของพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงมีและสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทรงนำและทรงจัดเตรียมสำหรับทุกๆ บุคคล ในทุกยุคและ ณ ทุกช่วงระยะ โดยไม่คำนึงถึงว่ารูปการณ์แวดล้อมจะดีหรือแย่ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นก็เปิดกว้างต่อทุกปัจเจกบุคคลเสมอ และสิ่งทรงครองของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเปิดกว้างต่อแต่ละปัจเจกบุคคลเสมอ เช่นเดียวกันกับที่พระชนม์ชีพของพระองค์กำลังทรงจัดเตรียมและสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างสม่ำเสมอและอย่างไม่หยุดหย่อน

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะอยู่ที่ใจกลางของการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้า และในช่วงระยะเหล่านั้นมีการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น พวกที่ไม่รู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าไม่สามารถตระหนักถึงวิธีที่พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้จักพระปรีชาญาณแห่งพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขายังคงไม่รู้เท่าทันวิธีมากมายที่พระองค์ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่รู้เท่าทันน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ทั้งปวงอีกด้วย พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือการแสดงออกอย่างเต็มรูปแบบของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พวกที่ไม่รู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะจะไม่รู้เท่าทันวิธีการและหลักการต่างๆ ของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นในคำสอนที่หลงเหลือจากพระราชกิจช่วงระยะใดช่วงระยะหนึ่งเท่านั้นคือผู้คนที่จำกัดพระเจ้าไว้กับคำสอน และการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้านั้นคลุมเครือและไม่แน่นอน ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันได้รับความรอดของพระเจ้า มีเพียงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ถึงพระอุปนิสัยที่ครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และสามารถแสดงออกได้อย่างครบบริบูรณ์ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด และกระบวนการแห่งความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ได้ทรงทำให้ซาตานพ่ายแพ้และทรงได้รับมนุษย์มาแล้ว เป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะของพระเจ้า และเป็นการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า พวกที่เข้าใจเพียงหนึ่งช่วงระยะของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเท่านั้นรู้จักเพียงส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เป็นเรื่องง่ายที่ช่วงระยะเดียวนี้ของพระราชกิจจะกลายเป็นคำสอน และกลายเป็นน่าจะเป็นไปได้ว่ามนุษย์จะกำหนดกฎเกณฑ์ตายตัวเกี่ยวกับพระเจ้า และใช้ส่วนเดียวนี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า นอกจากนี้จินตนาการส่วนมากของมนุษย์สับสนปนเปอยู่ภายใน จนถึงระดับที่มนุษย์เหนี่ยวรั้งพระอุปนิสัย การทรงอยู่ และพระปรีชาญาณของพระเจ้า ตลอดจนหลักการแห่งพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเหนียวแน่นไว้ภายในข้อกำหนดต่างๆ ที่จำกัด โดยเชื่อว่าหากพระเจ้าได้ทรงเป็นเยี่ยงนี้หนึ่งครั้ง เช่นนั้นแล้วพระองค์จะยังคงทรงเหมือนเดิมตลอดเวลา และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เฉพาะพวกที่รู้จักและซึ้งคุณค่าในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเท่านั้นที่สามารถรู้จักพระเจ้าได้อย่างเต็มที่และแม่นยำ อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะไม่นิยามพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอล หรือพวกยิว และจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งจะทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนตลอดกาลเพื่อประโยชน์แห่งมนุษย์ หากคนเรามารู้จักพระเจ้าจากช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น เช่นนั้นแล้วความรู้ของพวกเขาก็เล็กเกินไปมาก และมีปริมาณไม่มากกว่าน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร หาไม่แล้ว เหตุใดผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางศาสนามากมายจึงตอกตรึงพระเจ้ากับกางเขนขณะยังทรงพระชนม์อยู่เล่า? ไม่ใช่เพราะมนุษย์จำกัดขอบเขตพระเจ้าไว้ภายในข้อกำหนดบางอย่างหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเป็นบันทึกของพระราชกิจอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเป็นบันทึกของการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะไม่ใช่จินตภาพ หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาความรู้เรื่องพระอุปนิสัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องรู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่พระเจ้าทรงดำเนินการ และนอกจากนั้นเจ้าต้องไม่ยกเว้นช่วงระยะใด นี่คือขั้นต่ำสุดที่พวกที่พยายามรู้จักพระเจ้าต้องสัมฤทธิ์ผล มนุษย์เองไม่สามารถเสกสรรความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์เองสามารถจินตนาการได้ และก็ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องของความโปรดปรานพิเศษของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานแก่บุคคลคนเดียว ตรงกันข้ามเป็นความรู้ที่มาหลังจากมนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว และเป็นความรู้เรื่องพระเจ้าที่มาหลังจากได้รับประสบการณ์กับข้อเท็จจริงของพระราชกิจของพระเจ้าแล้วเท่านั้น ความรู้เช่นนี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยความคิดชั่วแล่น และไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถสอนกันได้ ความรู้นั้นทั้งหมดเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ส่วนตัว การช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าอยู่ที่แกนกลางของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้ กระนั้นภายในพระราชกิจแห่งความรอดนั้นได้รวมวิธีการทำงานหลายวิธีและวิถีทางมากหลายที่ใช้เพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ที่จะระบุ และสิ่งนี้นี่เองที่ยากสำหรับมนุษย์ที่จะเข้าใจ การแยกยุคต่างๆ การเปลี่ยนแปลงในพระราชกิจของพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งแห่งหนของพระราชกิจ การเปลี่ยนแปลงในผู้รับของพระราชกิจนี้ และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดรวมอยู่ในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างในวิธีทรงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนในพระอุปนิสัย พระฉายา พระนาม พระอัตลักษณ์ หรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของพระเจ้า ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจสามารถเป็นตัวแทนส่วนหนึ่งเท่านั้น และถูกจำกัดอยู่ภายในขอบเขตหนึ่ง มันไม่เกี่ยวข้องกับการแยกยุคต่างๆ หรือการเปลี่ยนแปลงในพระราชกิจของพระเจ้า นับประสาอะไรกับแง่มุมอื่นๆ นี่คือข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดอย่างแจ่มแจ้ง พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด มนุษย์ต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้าในพระราชกิจแห่งความรอด หากปราศจากข้อเท็จจริงนี้ความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้าจะไม่ได้ประกอบด้วยอะไรเลยนอกจากคำพูดกลวงๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำหน้าที่พระสังฆราชจากเก้าอี้เท้าแขน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

ในบันทึกเรื่องราวของโนอาห์นี้ พวกเจ้าเห็นส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่? ความอดทนของพระเจ้าต่อความเสื่อมทราม ความโสโครก และความโหดร้ายของมนุษย์นั้นมีขีดจำกัด เมื่อพระองค์ทรงไปถึงขีดจำกัดนั้น พระองค์จะไม่ทรงอดทนอีกต่อไป และจะทรงเริ่มการบริหารจัดการใหม่และแผนการใหม่ของพระองค์ เริ่มทำสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำ เปิดเผยกิจการของพระองค์และอีกด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระองค์แทน การกระทำของพระองค์นี้ไม่ใช่เพื่อสาธิตให้เห็นว่าพระองค์ต้องไม่มีวันทรงถูกทำให้ขุ่นเคืองโดยมนุษย์ หรือว่าพระองค์ทรงเต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและพระพิโรธ และไม่ใช่เพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงสามารถทำลายมนุษยชาติได้ มันเป็นว่าพระอุปนิสัยของพระองค์และแก่นแท้อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไม่สามารถให้โอกาสหรือมีความอดทนให้มนุษยชาติประเภทนี้มีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ มีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของพระองค์ได้อีกต่อไป กล่าวคือเมื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงต่อต้านพระองค์ เมื่อไม่มีใครสักคนที่พระองค์ทรงสามารถช่วยให้รอดได้ทั้งแผ่นดินโลก พระองค์ก็จะไม่ทรงมีความอดทนต่อมนุษยชาติเช่นนี้อีกต่อไป และโดยปราศจากความหวาดหวั่นอันใด จะทรงดำเนินการแผนการของพระองค์—เพื่อทำลายมนุษยชาติประเภทนี้ การกระทำเช่นนี้โดยพระเจ้าถูกกำหนดโดยพระอุปนิสัยของพระองค์ นี่คือผลสืบเนื่องที่จำเป็น และผลสืบเนื่องที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกสิ่งภายใต้อำนาจปกครองของพระเจ้าต้องแบกรับ สิ่งนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นหรือว่าในยุคปัจจุบันนี้ พระเจ้าไม่ทรงสามารถรอที่จะทำให้แผนการของพระองค์ครบบริบูรณ์ และช่วยผู้คนที่พระองค์ทรงต้องการช่วยให้รอดให้รอดได้? ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ พระเจ้าใส่พระทัยอะไรมากที่สุด? ไม่ใช่วิธีที่พวกที่ไม่ติดตามพระองค์เลยหรือพวกที่ต่อต้านพระองค์อยู่แล้วปฏิบัติต่อพระองค์หรือต้านทานพระองค์ หรือวิธีที่มวลมนุษย์กำลังพูดให้ร้ายพระองค์ พระองค์เพียงใส่พระทัยเกี่ยวกับว่าพวกที่ติดตามพระองค์ ซึ่งเป็นเป้าหมายแห่งความรอดของพระองค์ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์ ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์แล้วหรือไม่ ว่าพวกเขาได้กลายเป็นคู่ควรกับความพึงพอพระทัยของพระองค์แล้วหรือไม่ สำหรับผู้คนนอกเหนือจากพวกที่ติดตามพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมการลงโทษเล็กน้อยเพื่อแสดงพระพิโรธของพระองค์เป็นบางครั้งเท่านั้น ตัวอย่างเช่น สึนามิ แผ่นดินไหว และภูเขาไฟระเบิด ในเวลาเดียวกัน พระองค์ก็ทรงคุ้มครองปกป้องและดูแลพวกที่ติดตามพระองค์และกำลังจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์อย่างแข็งขัน พระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นดังต่อไปนี้ ในด้านหนึ่งพระองค์ทรงสามารถมีความอดทนและความยอมผ่อนปรนสุดขีดต่อผู้คนที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้ครบบริบูรณ์ และพระองค์ทรงสามารถรอพวกเขานานเท่าที่พระองค์ทรงสามารถรอได้ ในอีกด้านหนึ่งพระเจ้าทรงรังเกียจและเกลียดผู้คนชนิดซาตานที่ไม่ติดตามพระองค์และต่อต้านพระองค์อย่างรุนแรง แม้ว่าพระองค์จะไม่ใส่พระทัยว่าผู้คนชนิดซาตานเหล่านี้ติดตามพระองค์หรือนมัสการพระองค์หรือไม่ แต่พระองค์ก็ยังคงรังเกียจพวกเขาในขณะที่มีความอดทนต่อพวกเขาในพระทัยของพระองค์ และในขณะที่พระองค์ทรงกำหนดบทอวสานของผู้คนชนิดซาตานเหล่านี้ พระองค์ก็กำลังทรงรอการมาถึงของขั้นตอนทั้งหลายของแผนการบริหารจัดการของพระองค์อีกด้วย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

แต่เดิมนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษยชาติซึ่งในสายพระเนตรของพระองค์นั้นดีและใกล้ชิดกับพระองค์มาก แต่พวกเขาได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมหลังจากได้ทำการกบฏต่อพระองค์ การที่มนุษยชาติเช่นนี้หายวับไปในทันทีอย่างนั้นได้ทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดหรือไม่? แน่นอนพระองค์ทรงเจ็บปวด! ดังนั้นอะไรคือการแสดงออกของพระองค์ถึงความเจ็บปวดนี้? มันถูกบันทึกในพระคัมภีร์อย่างไร? ได้มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยพระวจนะเหล่านี้ว่า “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป” ประโยคเรียบง่ายนี้เปิดเผยพระดำริของพระเจ้า การทำลายล้างโลกครั้งนี้ได้ทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างมาก ในคำพูดของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงโศกเศร้ามาก เราสามารถจินตนาการได้ว่า แผ่นดินโลกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดูเป็นอย่างไรหลังจากถูกน้ำท่วมทำลาย? แผ่นดินโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยมนุษย์ ดูเหมือนอะไร ณ เวลานั้น? ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย ไม่มีสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิต มีน้ำอยู่ทุกหนแห่ง และความย่อยยับถึงที่สุดบนผิวน้ำ ฉากเช่นนี้เป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างแผ่นดินโลกหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน! เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าคือการได้เห็นชีวิตทั่วทั้งแผ่นดินโลก การได้เห็นมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างนมัสการพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้โนอาห์เป็นผู้เดียวที่นมัสการพระองค์ หรือเป็นผู้เดียวที่สามารถตอบรับการทรงเรียกของพระองค์เพื่อทำให้สิ่งที่ได้วางพระทัยมอบหมายให้เขาครบบริบูรณ์ได้ เมื่อมนุษยชาติได้หายไป พระเจ้าก็ไม่ทรงได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเจตนาไว้แต่เดิม แต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พระทัยของพระองค์จะทรงสามารถไม่เจ็บปวดได้อย่างไร? ดังนั้นเมื่อพระองค์กำลังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงพระอารมณ์ของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงทำการตัดสินพระทัยแล้ว การตัดสินพระทัยแบบใดกันที่พระองค์ได้ทรงทำ? ทรงทำรุ้งในเมฆ (นั่นคือสายรุ้งที่พวกเราเห็นกัน) เป็นพันธสัญญากับมนุษย์ เป็นพระสัญญาว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำลายมวลมนุษย์ด้วยน้ำท่วมอีก ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกกับผู้คนอีกด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม เพื่อที่มวลมนุษย์จะได้จดจำตลอดไปว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทำการเช่นนั้น

…………

พวกเราควรเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนใดของพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากการนี้? พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่นมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นปรปักษ์กับพระองค์ แต่ในพระทัยของพระองค์นั้น ความใส่ใจ ความห่วงใย และความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษยชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ในเวลาที่พระองค์ได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ พระทัยของพระองค์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและการไม่เชื่อฟังพระเจ้าในระดับที่มีเจตนาร้าย พระเจ้าก็ต้องทรงทำลายมนุษยชาตินี้ เพราะพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ และโดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์ แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ยังคงทรงสงสารมวลมนุษย์ และทรงถึงกับต้องการใช้วิธีสารพัดเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถมีชีวิตต่อไปได้ อย่างไรก็ตามมนุษย์ได้ต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่อไป และปฏิเสธที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า นั่นคือ ปฏิเสธที่จะยอมรับเจตนารมณ์ดีของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกหาพวกเขา เตือนความจำพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา หรือยอมผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างไร มนุษย์ก็ไม่ได้เข้าใจหรือซาบซึ้ง และพวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจด้วย ในความเจ็บปวดของพระองค์ พระเจ้ายังคงไม่ทรงลืมที่จะประทานความยอมผ่อนปรนสูงสุดของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อรอให้มนุษย์เลี้ยวกลับ หลังจากพระองค์ได้ทรงไปถึงขีดจำกัดแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำโดยไม่มีความลังเลอันใด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีช่วงเวลาและกระบวนการเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ชั่วขณะที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนที่จะทำลายมวลมนุษย์จนถึงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์ในการทำลายมวลมนุษย์ กระบวนการนี้ได้ดำรงอยู่เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้มนุษย์สามารถเลี้ยวกลับได้ และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงทำอะไรในช่วงเวลานี้ก่อนที่จะทำลายมวลมนุษย์? พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจแห่งการเตือนความจำและเตือนสติในปริมาณมาก ไม่สำคัญว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดและความเศร้าโศกมากเพียงใด พระองค์ก็ยังทรงมอบความใส่พระทัย ความห่วงใย และความกรุณาอันอุดมของพระองค์ให้แก่มนุษยชาติต่อไป พวกเราเห็นอะไรจากการนี้? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเราเห็นว่าความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นจริงและไม่ใช่บางสิ่งที่พระองค์เพียงตรัสสนับสนุนอย่างไม่จริงใจ ความรักของพระเจ้าเป็นจริง จับต้องได้ และซาบซึ้งได้ ไม่ถูกปลอมแปลง ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่หลอกลวงหรือเสแสร้ง พระเจ้าไม่มีวันทรงใช้การหลอกลวงอันใด หรือสร้างภาพเท็จเพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ พระองค์ไม่มีวันทรงใช้คำพยานเท็จเพื่อให้ผู้คนเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ หรือเพื่ออวดความน่ารักน่าชื่นชมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แง่มุมเหล่านี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีค่าคู่ควรกับความรักของมนุษย์หรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการนมัสการหรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการทะนุถนอมหรอกหรือ? ณ จุดนี้เราต้องการถามพวกเจ้าว่า หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระบนกระดาษแผ่นหนึ่งหรือไม่? ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหรือไม่? ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างแน่นอน! พระอำนาจสูงสุด ความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ ความยอมผ่อนปรน ความรัก และอื่นๆ ของพระเจ้า—ทุกรายละเอียดของทุกๆ ด้านที่แตกต่างกันของพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในทางปฏิบัติทุกครั้งที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ ถูกรวบรวมอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และได้ถูกทำให้ลุล่วงและสะท้อนอยู่ในทุกๆ ผู้คนอีกด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าได้รู้สึกถึงมันมาก่อนหรือไม่ พระเจ้ากำลังใส่พระทัยในบุคคลทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยใช้พระทัยที่จริงใจ พระปรีชาญาณ และวิธีการทั้งหลาย ของพระองค์ เพื่อทำให้หัวใจของแต่ละบุคคลอบอุ่น และปลุกวิญญาณของแต่ละบุคคลให้ตื่น นี่คือข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟเพื่อทำลายเมืองโสโดมคือวิธีการที่รวดเร็วที่สุดของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษยชาติหรือสิ่งอื่นใดให้สิ้นซาก การเผาผู้คนเมืองโสโดมได้ทำลายมากกว่าร่างกายทางกายภาพของพวกเขา มันได้ทำลายทั้งหมดทั้งปวงของจิตวิญญาณของพวกเขา ดวงจิตของพวกเขา และร่างกายของพวกเขา ซึ่งทำให้แน่ใจว่าผู้คนภายในเมืองจะไม่มีอยู่อีกต่อไปทั้งในโลกวัตถุและโลกที่ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์ นี่คือหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเผยและแสดงถึงพระพิโรธของพระองค์ ลักษณะการเผยและการแสดงออกนี้คือแง่มุมหนึ่งในเนื้อแท้ของพระพิโรธของพระเจ้า เช่นเดียวกับที่ยังเป็นการเผยเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าตามธรรมชาติด้วย เมื่อพระเจ้าทรงส่งพระพิโรธของพระองค์ออกไป พระองค์ทรงหยุดเผยความปรานีหรือความเมตตาใดๆ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงแสดงการทนยอมรับหรือความอดทนใดๆ ของพระองค์อีก ไม่มีบุคคล สิ่งของ หรือเหตุผลใดที่สามารถโน้มน้าวพระองค์ให้ทรงอดทนต่อไป ให้ประทานความปรานีของพระองค์อีกครั้ง ให้ประทานการทนยอมรับของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง พระเจ้าทรงส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มาแทนที่สิ่งเหล่านี้โดยปราศจากความลังเลสักชั่วขณะหนึ่ง และทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา พระองค์จะทรงทำสิ่งเหล่านี้ในลักษณะที่รวดเร็วและหมดจดตามความปรารถนาของพระองค์เอง นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อส่งพระพิโรธและพระบารมีของพระองค์มา ซึ่งมนุษย์ต้องไม่ล่วงเกิน และยังเป็นการแสดงออกถึงแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ด้วยเช่นกัน เมื่อผู้คนเป็นประจักษ์พยานในการที่พระเจ้าทรงแสดงความกังวลและความรักต่อมนุษย์ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะสังเกตพบพระพิโรธของพระองค์ มองเห็นพระบารมีของพระองค์ หรือรู้สึกถึงความไม่ยอมผ่อนปรนที่พระองค์ทรงมีต่อการถูกล่วงเกิน สิ่งเหล่านี้ได้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าเป็นอุปนิสัยแห่งความปรานี การทนยอมรับ และความรักอย่างเดียวเท่านั้นมาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนเห็นพระเจ้าทรงทำลายเมืองหรือทรงรังเกียจมนุษยชาติ ความเดือดดาลของพระองค์ในการทำลายล้างมนุษย์และพระบารมีของพระองค์ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นอีกด้านของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ได้ชั่วขณะหนึ่ง นี่คือความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการถูกล่วงเกินของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกินใดๆ นั้นเกินกว่าจินตนาการของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ และท่ามกลางสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างนั้น ไม่มีสิ่งใดสามารถแทรกแซงสิ่งนี้หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งนี้ได้ นับประสาอะไรที่สิ่งนี้จะสามารถถูกปลอมแฝงหรือเอาอย่างได้ ด้วยเหตุนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมนี้คือแง่มุมที่มนุษยชาติควรรู้เป็นที่สุด มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีพระอุปนิสัยประเภทนี้ และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ครอบครองพระอุปนิสัยประเภทนี้ พระเจ้าทรงครอบครองพระอุปนิสัยอันชอบธรรมประเภทนี้เพราะพระองค์ทรงรังเกียจความชั่วร้าย ความมืด ความเป็นกบฏ และการกระทำชั่วของซาตาน—ซึ่งก็คือ การทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและการล้างผลาญมวลมนุษย์—เพราะพระองค์ทรงรังเกียจการกระทำบาปทั้งหมดที่เป็นการต่อต้านพระองค์ และเป็นเพราะเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์และไม่มัวหมองของพระองค์ เป็นเพราะการนี้นั่นเองพระองค์จึงจะไม่ทรงทนทุกข์กับการที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ต่อต้านหรือแข่งขันกับพระองค์อย่างเปิดเผย แม้แต่ผู้ที่พระองค์เคยทรงแสดงความปรานีให้หนึ่งครั้งหรือผู้ที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ หากแค่พวกเขายั่วยุพระอุปนิสัยของพระองค์และฝ่าฝืนหลักธรรมแห่งความอดทนและการทนยอมรับของพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงปลดปล่อยและเผยพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนยอมรับการล่วงเกิน โดยไม่มีความปรานีหรือการลังเลโดยแม้แต่น้อย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

มีหลักการในการกระทำของพระเจ้า และก่อนที่จะทรงทำการตัดสินพระทัยพระองค์จะทรงใช้เวลายาวนานในการเฝ้าสังเกตและพิจารณา พระองค์จะไม่ทรงทำการตัดสินพระทัยใดๆ หรือรีบด่วนกับบทสรุปใดๆ ก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมเป็นอันขาด การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า การตัดสินพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงทำลายเมืองโสโดมนั้นไม่มีการผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เพราะพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าในเมืองนี้ไม่ได้มีคนชอบธรรมสี่สิบคน หรือคนชอบธรรมสามสิบคน หรือยี่สิบคน ไม่มีแม้กระทั่งสิบคน บุคคลที่ชอบธรรมเพียงคนเดียวในเมืองนี้ก็คือโลท พระเจ้าได้ทรงเฝ้าสังเกตทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมืองโสโดมและรูปการณ์แวดล้อมของเมือง และมันเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพระเจ้าเช่นเดียวกับหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ การตัดสินพระทัยของพระองค์จึงไม่อาจผิดพลาดได้ ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกับมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าแล้วนั้น มนุษย์ช่างมึนงงยิ่งนัก ช่างโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก ช่างสายตาสั้นยิ่งนัก นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นในการโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ในทำนองเดียวกันนั้น ณ ที่นี้ก็มีพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราควรจะมองเห็นด้วยเช่นกัน จำนวนนั้นเป็นสิ่งธรรมดา—จำนวนไม่ได้แสดงถึงสิ่งใด—แต่ในที่นี้มีการแสดงออกที่สำคัญมากจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคน การนี้เป็นเพราะความกรุณาของพระเจ้าใช่หรือไม่? มันเป็นเพราะความรักและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ใช่หรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยด้านนี้ของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชอบธรรมเพียงสิบคนเท่านั้น พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ เนื่องจากผู้คนที่ชอบธรรมสิบคนเหล่านี้ นี่ใช่หรือไม่ใช่ความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้า? เพราะความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านั้น พระองค์คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ลง นี่คือความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า และในที่สุด พวกเรามองเห็นบทอวสานใด? เมื่ออับราฮัมได้กล่าวว่า “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย” หลังจากนั้น อับราฮัมก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก—เพราะภายในเมืองโสโดมไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนที่เขาอ้างถึง และเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก และในเวลานั้น เขาได้เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึง ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำลายเมืองโสโดม ในการนี้ เจ้าเห็นพระอุปนิสัยใดของพระเจ้า? พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานประเภทใด? พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า หากเมืองนี้ไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคน พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันมีอยู่ และจะทรงทำลายมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่พระพิโรธของพระเจ้าหรอกหรือ? พระพิโรธนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าใช่หรือไม่? พระอุปนิสัยนี้เป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่ มันเป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่ชอบธรรมของพระเจ้า ที่มนุษย์ต้องไม่ทำให้ขุ่นเคืองใช่หรือไม่? เมื่อได้มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนในเมืองโสโดม พระเจ้าจึงแน่พระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ และจะลงโทษผู้คนภายในเมืองนั้นอย่างรุนแรง เพราะพวกเขาได้ต่อต้านพระเจ้า และเพราะพวกเขาโสมมและเสื่อมทรามยิ่งนัก

…ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็กริ้วอย่างล้ำลึก พระองค์กริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด? พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่สำคัญว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร หากหัวใจของพวกเขากลายเป็นห่างไกลจากพระเจ้าและหันไปจากพระเจ้า โดยไม่มีวันย้อนกลับมา เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะปรารถนาที่จะนมัสการและติดตามและเชื่อฟังพระเจ้าในกายของพวกเขาหรือในการคิดของพวกเขาในทุกการปรากฏหรือในแง่ของความปรารถนาที่อยู่ในใจของพวกเขาอย่างไรก็ตาม พระพิโรธของพระเจ้าก็จะถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่มีหยุด มันจะเป็นจนถึงขั้นที่เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความกริ้วของพระองค์ออกมาอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้ให้โอกาสอย่างล้นเหลือกับมนุษย์แล้ว ทันทีที่มันถูกปลดปล่อยออกมาก็จะไม่มีหนทางใดที่จะเอามันกลับไปได้ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกรุณาและยอมผ่อนปรนให้กับมวลมนุษย์เช่นนั้นอีกครั้ง นี่คือด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ ณ ที่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนที่พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองหนึ่ง เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยบาปจะไม่สามารถดำรงอยู่และคงอยู่ต่อไปได้ และมันสมเหตุสมผลที่มันจะต้องถูกพระเจ้าทรงทำลาย แต่กระนั้นในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้าและหลังจากการทำลายล้างเมืองโสโดมของพระองค์ พวกเราก็มองเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์ เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

หลังการทรงสร้างมนุษยชาติแล้ว พระยาห์เวห์ก็มิได้ทรงแนะนำ หรือทรงนำพวกเขาเลยนับตั้งแต่อาดัมไปจนถึงโนอาห์ ทว่า จนกระทั่งภายหลังน้ำท่วมโลกได้ทำลายโลกแล้วนั่นเอง พระองค์ถึงได้ทรงเริ่มต้นนำผู้คนแห่งอิสราเอล ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมและโนอาห์อย่างเป็นทางการ พระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์ในประเทศอิสราเอลได้มอบการนำแก่ประชาชนทั้งผองของประเทศอิสราเอล ณ ขณะที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ทั่วแผ่นดินอิสราเอล เหตุนั้น จึงเป็นการแสดงให้มนุษยชาติเห็นว่าพระยาห์เวห์ไม่เพียงจะทรงสามารถเป่าลมปราณเข้าไปในมนุษย์เพื่อให้เขาได้ชีวิตจากพระองค์ และลุกขึ้นจากผงคลีดินไปเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสามารถเผาทำลายจนสิ้นซากและสาปแช่งมวลมนุษย์และใช้ไม้เรียวของพระองค์ปกครองมวลมนุษย์ได้เช่นกัน ดังนั้น พวกเขาจึงได้เห็นอีกด้วยเช่นกันว่าพระยาห์เวห์ทรงสามารถนำชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้ รวมถึงตรัสและทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ได้โดยสอดคล้องกับโมงยามของเวลากลางวันและกลางคืน พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นก็เพียงเพื่อที่บรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระองค์อาจจะได้รู้ว่ามนุษย์นั้นมาจากผงคลีดินที่พระองค์ทรงเก็บขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ ไม่เพียงเท่านี้ ทว่าพระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอลเพื่อที่ประชาชนและชาติอื่นๆ (ผู้ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้ถูกแยกออกจากอิสราเอล แต่ได้มีการแตกแขนงออกจากผู้คนแห่งอิสราเอลเสียมากกว่า กระนั้น ก็ยังคงเป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาอยู่ดี) จะได้รับพระกิตติคุณของพระยาห์เวห์จากอิสราเอล ทั้งนี้เพื่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลในจักรวาลจะสามารถเคารพพระยาห์เวห์และนับถือว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพระบัญญัติมากมายเพื่อให้โมเสสส่งต่อไปยังผู้คนแห่งอิสราเอลที่ติดตามเขาออกจากอียิปต์ พระบัญญัติเหล่านี้พระยาห์เวห์ประทานแก่ผู้คนแห่งอิสราเอล และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับชาวอียิปต์แม้แต่น้อย พระบัญญัติเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อควบคุมผู้คนแห่งอิสราเอล และทรงใช้พระบัญญัติเหล่านี้เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาปฏิบัติตาม ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติวันสะบาโตหรือไม่ เคารพบิดามารดาหรือไม่ นมัสการรูปเคารพหรือไม่ และอื่นๆ—เหล่านี้คือหลักธรรมที่พวกเขาจะถูกตัดสินว่าผิดบาปหรือชอบธรรม ท่ามกลางพวกเขา บางคนได้ถูกไฟของพระยาห์เวห์ลงทัณฑ์ บ้างก็ถูกหินขว้างให้ตาย และบ้างก็ได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์ และนี่ถูกกำหนดพิจารณาตามข้อที่ว่าพวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติเหล่านี้หรือไม่ คนที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกขว้างด้วยหินจนตาย บรรดาปุโรหิตที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกไฟลงทัณฑ์ของพระยาห์เวห์ พวกที่ไม่เคารพบิดามารดาก็จะถูกขว้างด้วยหินจนตายเช่นกัน ทั้งหมดนี้ถูกสั่งโดยพระยาห์เวห์ทั้งสิ้น พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระบัญญัติและธรรมบัญญัติเพื่อที่ขณะที่พระองค์ทรงนำทางชีวิตของพวกเขานั้น ประชาชนจะได้ฟังและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และไม่กบฏต่อพระองค์ พระองค์ทรงใช้ธรรมบัญญัติเหล่านี้เพื่อรักษาชาติพันธุ์มนุษย์แรกเกิดให้อยู่ในการควบคุม ซึ่งจะเป็นผลดียิ่งขึ้นต่อการวางรากฐานพระราชกิจในอนาคตของพระองค์ และดังนั้น บนพื้นฐานของพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำไว้ ยุคแรกจึงเรียกว่ายุคธรรมบัญญัติ แม้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงให้ถ้อยดำรัสและทำพระราชกิจมากมาย พระองค์ก็ทรงนำประชาชนในด้านบวกเท่านั้น ทรงสอนประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันเหล่านี้ให้รู้จักวิธีเป็นมนุษย์ วิธีดำเนินชีวิต วิธีที่จะเข้าใจหนทางของพระยาห์เวห์ สำหรับพระราชกิจส่วนใหญ่นั้น พระองค์ทรงพระราชกิจเพื่อทำให้ผู้คนเฝ้าสังเกตหนทางของพระองค์และติดตามธรรมบัญญัติของพระองค์ พระราชกิจดังกล่าวนี้กระทำกับคนที่เสื่อมทรามในระดับตื้น ไม่ได้ขยายไปไกลจนถึงการแปรสภาพอุปนิสัยหรือความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา พระองค์ทรงห่วงเฉพาะการใช้ธรรมบัญญัติเพื่อจำกัดและควบคุมผู้คนเท่านั้น สำหรับผู้คนแห่งอิสราเอลในเวลานั้น พระยาห์เวห์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าในพระวิหาร พระเจ้าในฟ้าสวรรค์เท่านั้น พระองค์ทรงเป็นเสาเมฆ เสาเพลิง ทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาทำนั้นมีเพียงเชื่อฟังในสิ่งที่ผู้คนปัจจุบันรู้จักกันในฐานะธรรมบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์—บางคนอาจถึงกับเรียกว่ากฎเกณฑ์—เนื่องจากสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงทำนั้นไม่ใด้มุ่งหมายเพื่อแปรสภาพพวกเขา แต่เพื่อมอบสิ่งที่มนุษย์ควรจะมีมากกว่านี้ให้กับพวกเขาและเพื่อแนะนำพวกเขาจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เพราะหลังจากถูกสร้างขึ้นมาแล้ว มนุษย์หาได้มีสิ่งที่พวกเขาควรจะมีไม่ และดังนั้น พระยาห์เวห์จึงได้ประทานแก่ผู้คนในสิ่งที่พวกเขาควรมีเพื่อชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก ทำให้ผู้คนที่พระองค์ทรงนำทางนั้นเหนือกว่าบรรพบุรุษของพวกเขา หรืออาดัมกับเอวา เพราะสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงมอบแก่พวกเขานั้นเหนือกว่าที่พระองค์ทรงมอบแก่อาดัมกับเอวาในปฐมกาล โดยไม่ต้องคำนึงว่า พระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำในประเทศอิสราเอลนั้นเพียงเพื่อทรงนำมนุษย์และทำให้มนุษย์ระลึกรู้พระผู้สร้างได้เท่านั้น พระองค์ไม่ได้ทรงพิชิตหรือแปรสภาพพวกเขา เพียงแต่ทรงนำพวกเขาเท่านั้น นี่คือผลสรุปของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ อันเป็นภูมิหลัง เป็นเรื่องจริง เป็นแก่นแท้แห่งพระราชกิจของพระองค์ในดินแดนทั้งสิ้นของประเทศอิสราเอล และเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชกิจระยะ 6,000 ปีของพระองค์—เพื่อรักษามนุษย์ไว้ในการควบคุมของพระหัตถ์แห่งพระยาห์เวห์ จากเรื่องนี้ก่อให้เกิดงานที่เพิ่มเข้ามาในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

พระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับความจำเป็นของมนุษย์ในยุคนั้น พระราชกิจของพระองค์คือเพื่อไถ่มนุษย์ เพื่ออภัยบาปของพวกเขา และด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของพระองค์จึงเต็มเปี่ยมด้วยความถ่อมใจ ความอดทน ความรัก ความศรัทธา ความอดกลั้น ความกรุณา และความเมตตา พระองค์ทรงนำมาซึ่งพระคุณและพระพรอันล้นเหลือแก่มนุษย์ รวมถึงทุกๆ สิ่งที่ผู้คนจะสามารถชื่นชมได้ พระองค์ทรงมอบสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขา อันได้แก่ สันติภาพ ความสุข ความอดกลั้นและความรัก ความกรุณาและความเมตตาของพระองค์ ณ เวลานั้น ความอุดมล้นเหลือของสิ่งบำเรอความสุขต่างๆ ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสุขสงบและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยภายในใจ ความรู้สึกมั่นใจภายในจิตวิญญาณ และความรู้สึกพึ่งพิงในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ล้วนเนื่องมาจากยุคที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง ในยุคพระคุณนี้ มนุษย์ถูกซาตานบ่อนทำลายจนเสื่อมทรามไปแล้ว และฉะนั้นแล้ว การจะสัมฤทธิ์งานแห่งการไถ่มนุษยชาติทั้งมวลจำต้องอาศัยพระคุณอันอุดมล้นเหลือ ความอดกลั้นและความอดทนอันไม่สิ้นสุด และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เพื่อให้เกิดผลแล้ว เครื่องบูชาต้องมีอย่างพอเพียงต่อการไถ่บาปของมนุษยชาติ สิ่งที่มนุษยชาติเห็นในยุคพระคุณนั้นมีเพียงเครื่องบูชาลบมลทินที่เรามอบไว้ให้สำหรับการไถ่บาปของมนุษยชาติเท่านั้น ซึ่งก็คือพระเยซูนั่นเอง ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือ พระเจ้าน่าจะทรงเปี่ยมเมตตาและความอดกลั้น และทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือความกรุณาและความเมตตาของพระเยซู ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาเกิดในยุคพระคุณนั่นเอง และดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะสามารถได้รับการไถ่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องชื่นชมพระคุณอันหลากหลายรูปแบบที่พระเยซูประทานแก่พวกเขาเสียก่อนเพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากมันได้ วิธีนี้นี่เอง ที่พวกเขาจะสามารถได้รับการอภัยบาปโดยผ่านทางความชื่นชมยินดีของพวกเขาที่มีต่อพระคุณ ทั้งยังจะสามารถได้รับโอกาสการไถ่โดยผ่านทางการชื่นชมความอดกลั้นและการอดทนของพระเยซูด้วยเช่นกัน มีเพียงโดยผ่านทางความอดกลั้นและความอดทนของพระเยซูเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัยและชื่นชมพระคุณอันอุดมล้นเหลือที่พระเยซูทรงมอบให้ ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้ว่า เราไม่ได้มาเพื่อช่วยคนชอบธรรมให้รอด แต่เรามาเพื่อช่วยคนบาปให้รอด เพื่อให้คนบาปได้รับการยกโทษบาปของพวกเขา หากครั้งเมื่อพระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ทรงมาพร้อมด้วยพระอุปนิสัยแห่งการพิพากษาตัดสิน การสาปแช่ง และความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับการไถ่ และคงจะดำรงอยู่ในสภาพผิดบาปไปตลอดกาล หากเป็นเช่นนั้นแล้ว แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีก็คงจะมาหยุดอยู่ตรงยุคธรรมบัญญัตินี่เอง และยุคธรรมบัญญัติก็คงจะยืดเยื้อต่อมาอีก 6,000 ปี บาปทั้งหลายของมนุษย์ก็คงมีแต่จะท่วมท้นมหาศาลและรุนแรงสาหัสมากยิ่งขึ้น และการทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมาก็คงจะเป็นการสูญเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่ามนุษย์ก็คงจะสามารถทำได้เพียงรับใช้พระยาห์เวห์ภายใต้พระธรรมบัญญัติ ทว่าบาปทั้งหลายของพวกเขาก็คงจะมากล้นเกินกว่าบาปของพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกเริ่มเสียอีก ยิ่งพระเยซูทรงรักมวลมนุษย์ ให้อภัยบาปพวกเขา และมอบพระกรุณาและพระเมตตาอย่างพอเพียงแก่พวกเขามากขึ้นเท่าไร มนุษย์ก็ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซูมากขึ้นเท่านั้น มีสิทธิ์ได้รับการเรียกขานว่าเจ้าแกะหลงฝูงที่พระเยซูได้ทรงซื้อคืนมาด้วยราคาที่แพง ซาตานไม่สามารถเข้าแทรกแซงพระราชกิจนี้ได้เลย เนื่องเพราะพระเยซูทรงปฏิบัติต่อสาวกของพระองค์ดุจเดียวกับที่มารดาผู้เปี่ยมรักปฏิบัติต่อทารกน้อยในอ้อมอก พระองค์ไม่ได้กริ้วหรือทรงดูถูกพวกเขามากขึ้น แต่กลับเปี่ยมด้วยการชูใจ พระองค์ไม่เคยทรงบันดาลโทสะระบายอารมณ์ใส่พวกเขา แต่กลับทรงอดกลั้นกับความบาปของพวกเขา และทรงมองข้ามความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขาเสีย จนถึงจุดที่ตรัสด้วยว่า “จงให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง” ด้วยเหตุนี้หัวใจของผู้อื่นจึงได้ถูกแปลงสภาพไปโดยหัวใจของพระองค์ และเพียงเพราะด้วยเหตุนี้เองผู้คนจึงได้รับการอภัยบาปของตนโดยผ่านทางความอดกลั้นของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

จุดประสงค์ของพระเยซูคือเพื่อที่ว่ามนุษย์อาจจะรอดชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อไป และเพื่อที่ว่าเขาอาจจะดำรงอยู่ในหนทางที่ดีขึ้น พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปเพื่อที่ว่าเขาอาจจะยุติการเคลื่อนลงไปในความชั่วช้าของเขา และไม่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนคนตายและนรกอีกต่อไป และโดยการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนคนตายและนรก พระเยซูได้ทรงอนุญาตให้เขาใช้ชีวิตต่อไป บัดนี้ ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว พระเจ้าจะทรงทำลายล้างมนุษย์และทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซาก นั่นก็คือ พระองค์จะทรงแปลงสภาพการกบฏของมวลมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้ มันจึงคงจะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงจบยุคนี้หรือนำพาแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ไปสู่การบังเกิดผลด้วยความสงสารเห็นใจและพระอุปนิสัยที่แสดงถึงความรักในอดีต ทุกยุคแสดงลักษณะความเป็นตัวแทนพิเศษอย่างหนึ่งของพระอุปนิสัยพระเจ้า และทุกยุคบรรจุด้วยพระราชกิจที่ควรต้องทรงกระทำโดยพระเจ้า ดังนั้น พระราชกิจที่กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองในแต่ละยุคจึงบรรจุด้วยการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ และทั้งพระนามของพระองค์และพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำจึงเปลี่ยนไปพร้อมกับยุคนั้น—ซึ่งล้วนเป็นสิ่งใหม่ ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจแห่งการทรงนำมวลมนุษย์กระทำไปภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชกิจช่วงระยะแรกได้ริเริ่มขึ้นบนแผ่นดินโลก ในช่วงระยะนี้ พระราชกิจประกอบไปด้วยการสร้างพระวิหารและแท่นบูชา และการใช้ธรรมบัญญัติเพื่อทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลและเพื่อทรงพระราชกิจในท่ามกลางพวกเขา โดยการทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลนี้ พระองค์ได้ทรงเปิดตัวพื้นฐานหนึ่งสำหรับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก จากพื้นฐานนี้ พระองค์ได้ทรงแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปไกลโพ้นจากอิสราเอล ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปโดยการเริ่มต้นจากอิสราเอล เพื่อที่คนรุ่นต่อไปในภายหลังจะได้ค่อยๆ มารู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้ที่ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้ที่ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงเผยแพร่พระราชกิจของพระองค์โดยผ่านทางประชากรแห่งอิสราเอลออกไปไกลโพ้นจากพวกเขา แผ่นดินแห่งอิสราเอลคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกของพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก และเป็นแผ่นดินแห่งอิสราเอลนี่เองที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก นั่นคือพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งได้ช่วยมนุษย์ให้รอด สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือพระคุณ ความรัก ความสงสารเห็นใจ ความอดกลั้น ความอดทน ความถ่อมพระองค์ ความใส่พระทัย และความยอมผ่อนปรน และพระราชกิจมากมายเหลือเกินที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไถ่มนุษย์ พระอุปนิสัยของพระองค์คืออุปนิสัยของความสงสารและความรัก และเพราะพระองค์ทรงมีความสงสารเห็นใจและมีความรัก พระองค์จึงได้ต้องทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ดังเช่นรักพระองค์เอง รักมากจนถึงขนาดที่พระองค์มอบถวายพระองค์เองในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเจ้าคือพระเยซู กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งได้ช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีความสงสารเห็นใจและมีความรัก พระเจ้าได้ทรงอยู่กับมนุษย์ ความรักของพระองค์ ความสงสารของพระองค์ และความรอดของพระองค์ได้ไปพร้อมกับแต่ละบุคคลและทุกคน มีเพียงโดยการยอมรับพระนามของพระเยซูและการสถิตของพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดี ได้รับพระพรของพระองค์ พระคุณอันกว้างใหญ่และมากมายของพระองค์ และความรอดของพระองค์ได้ บรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ล้วนได้รับความรอดและได้รับการอภัยบาปของพวกเขา โดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระเยซู ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูคือพระนามของพระเจ้า อีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจในยุคพระคุณนั้นได้ดำเนินการภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นหลัก ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซู พระองค์ทรงรับหน้าที่ในช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจใหม่ที่นอกเหนือไปจากพันธสัญญาเดิม และพระราชกิจของพระองค์ได้สิ้นสุดลงด้วยการตรึงกางเขน นี่คือความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้น ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์คือพระนามของพระเจ้า และในยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเยซูได้เป็นตัวแทนพระเจ้า ในระหว่างยุคสุดท้าย พระนามของพระองค์คือ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ซึ่งทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อนำมนุษย์ พิชิตมนุษย์ และได้รับมนุษย์ไว้ และนำยุคนี้ไปสู่การปิดตัวของมันในท้ายที่สุด ในทุกยุค ณ ทุกช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้านั้น พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ชัด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

ในพระราชกิจสุดท้ายแห่งการสรุปปิดตัวยุคนั้น พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือหนึ่งในการตีสอนและการพิพากษา ซึ่งพระองค์ทรงใช้เพื่อเปิดเผยทั้งหมดที่ไม่ชอบธรรม เพื่อพิพากษาผู้คนทั้งหมดอย่างเปิดเผย และเพื่อทำให้บรรดาผู้ที่รักพระองค์ด้วยหัวใจที่จริงใจได้รับความเพียบพร้อม มีเพียงพระอุปนิสัยเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถนำพายุคนั้นไปถึงบทอวสานได้ ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว ทุกสรรพสิ่งในการทรงสร้างจะถูกแยกไปตามประเภทของพวกมัน และถูกแบ่งออกเป็นจำพวกต่างๆ ตามธรรมชาติของพวกมัน นี่คือชั่วขณะที่พระเจ้าทรงเปิดเผยบทอวสานของมนุษยชาติและบั้นปลายของพวกเขา หากผู้คนมิได้ก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาแล้วไซร้ ก็จะไม่มีหนทางที่จะตีแผ่ความไม่เชื่อฟังและความไม่ชอบธรรมของพวกเขา มีเพียงโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาเท่านั้นที่จะสามารถเปิดเผยบทอวสานของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงได้ มนุษย์จะแสดงให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขาเฉพาะเมื่อเขาได้รับการตีสอนและการพิพากษาเท่านั้น คนชั่วจะถูกนำไปอยู่กับคนชั่ว คนดีอยู่กับคนดี และมนุษยชาติทั้งปวงจะถูกแยกออกไปตามประเภทของพวกเขา บทอวสานของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงจะได้รับการเปิดเผยโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่คนชั่วอาจจะได้รับการลงโทษและคนดีได้รับบำเหน็จรางวัล และผู้คนทั้งปวงกลับกลายมาอยู่ภายใต้แดนครอบครองของพระเจ้า พระราชกิจทั้งหมดนี้จะต้องสัมฤทธิ์ผลโดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษาที่ชอบธรรม เนื่องจากความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้มาถึงจุดสูงสุดของมัน และความไม่เชื่อฟังของพวกเขากลับกลายเป็นร้ายแรงอย่างเหลือเกิน จึงมีเพียงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระอุปนิสัยซึ่งประกอบด้วยการตีสอนและการพิพากษาเป็นหลัก และถูกเปิดเผยในระหว่างยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่สามารถแปลงสภาพและทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยมได้ มีเพียงพระอุปนิสัยนี้เท่านั้นที่สามารถเปิดโปงคนชั่ว และด้วยเหตุนี้จึงลงโทษพวกไม่ชอบธรรมทั้งหมดอย่างรุนแรง ดังนั้น พระอุปนิสัยเช่นนี้ซึมซับไปด้วยนัยสำคัญของยุคนั้น และการเปิดเผยและการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ถูกทำให้สำแดงชัดแจ้งเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจของยุคใหม่แต่ละยุค มิใช่ว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์โดยตามความชอบพระทัยเองและโดยไม่มีนัยสำคัญ หากแม้นว่าในการเปิดเผยบทอวสานของมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้ายนั้น พระเจ้ายังคงจะประทานความสงสารและความรักอันไม่สิ้นสุดให้แก่มนุษย์และยังคงมีความรักต่อเขาอยู่ต่อไป โดยไม่ทรงนำมนุษย์ไปสู่การพิพากษาที่ชอบธรรม แต่ตรงกันข้ามกลับทรงแสดงให้เขาเห็นการยอมผ่อนปรน ความอดทน และการให้อภัย และยกโทษให้มนุษย์ไม่ว่าบาปของเขาจะมหันต์เพียงใด โดยไม่มีการพิพากษาอันชอบธรรมแม้แต่นิดเดียว กล่าวคือ เช่นนั้นแล้ว เมื่อใดเล่าที่การบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าจะได้มาถึงการปิดตัวเสียที? เมื่อใดที่พระอุปนิสัยเช่นนี้จะสามารถนำทางผู้คนไปสู่บั้นปลายที่เหมาะสมของมวลมนุษย์? ดูตัวอย่างของผู้พิพากษาคนหนึ่งที่มีความรักอยู่เสมอ ผู้พิพากษาที่มีใบหน้าดูใจดีและมีหัวใจอ่อนโยน เขารักผู้คนโดยไม่คำนึงถึงอาชญากรรมที่พวกเขาอาจได้กระทำมา และเขามีความรักและความอดกลั้นกับพวกเขาไม่ว่าพวกเขาอาจจะเป็นใคร ในกรณีนั้น เมื่อใดเขาจึงจะสามารถไปถึงการตัดสินที่ยุติธรรมได้เสียที? ในระหว่างยุคสุดท้าย มีเพียงการพิพากษาอันชอบธรรมเท่านั้นที่สามารถแยกมนุษย์ไปตามประเภทของพวกเขาและนำพามนุษย์ไปสู่อาณาจักรใหม่ได้ ในหนทางนี้ ทั่วทั้งยุคนั้นถูกนำพาไปถึงบทอวสานโดยผ่านทางพระอุปนิสัยอันชอบธรรมในการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

วันนี้ พระเจ้าทรงพิพากษาพวกเจ้า ตีสอนพวกเจ้า และกล่าวโทษพวกเจ้า แต่เจ้าต้องรู้ว่าประเด็นของการกล่าวโทษพวกเจ้าคือ เพื่อให้เจ้ารู้จักตัวเอง พระองค์ทรงกล่าวโทษ สาปแช่ง พิพากษา และตีสอน ก็เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้จักตัวเจ้าเอง เพื่อที่อุปนิสัยของเจ้าอาจจะเปลี่ยนแปลง และที่ยิ่งไปมากกว่านั้นก็คือ เพื่อที่เจ้าอาจจะรู้คุณค่าของเจ้าเอง และมองเห็นว่าการกระทำทั้งหมดของพระเจ้านั้นชอบธรรมและเป็นไปโดยสอดคล้องกับพระอุปนิสัยของพระองค์และข้อพึงประสงค์ทั้งหลายแห่งพระราชกิจของพระองค์ มองเห็นว่าพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจโดยสอดคล้องกับแผนการของพระองค์เพื่อความรอดของมนุษย์ และมองเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ชอบธรรม ผู้ซึ่งทรงรัก ทรงช่วยให้รอด ทรงพิพากษา และทรงตีสอนมนุษย์ หากเจ้ารู้เพียงว่าเจ้ามีสถานะอันต่ำต้อย รู้เพียงว่าเจ้าเสื่อมทรามและไม่เชื่อฟัง แต่ไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะเผยชัดถึงความรอดของพระองค์โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนที่พระองค์ทรงกระทำในตัวเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีหนทางใดเลยที่จะได้รับประสบการณ์ นับประสาอะไรที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ พระเจ้าไม่ได้เสด็จมาเพื่อประหัตประหารหรือทำลายล้าง แต่เพื่อพิพากษา สาปแช่ง ตีสอน และช่วยให้รอด จนกว่าแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์จะมาถึงจุดปิดตัว—ก่อนที่พระองค์จะทรงเปิดเผยบทอวสานของมนุษย์แต่ละหมวดหมู่—พระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของความรอด จุดประสงค์โดยล้วนของพระราชกิจก็คือการทำให้ผู้ที่รักพระองค์มีความครบบริบูรณ์—อย่างถ้วนทั่วเช่นนั้น—และเพื่อนำพาพวกเขาเข้ามาอยู่ในความนบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงช่วยผู้คนให้รอดอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนั้นทรงกระทำโดยการทำให้พวกเขาหลุดรอดจากธรรมชาติเยี่ยงซาตานแบบเดิมของพวกเขา นั่นคือ พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดโดยการทำให้พวกเขาแสวงหาชีวิต หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีหนทางที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าเลย ความรอดคือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง และการแสวงหาชีวิตคือสิ่งที่มนุษย์ต้องลงมือกระทำเพื่อที่จะยอมรับความรอด ในสายตาของมนุษย์ ความรอดคือความรักของพระเจ้า และความรักของพระเจ้าไม่อาจเป็นการตีสอน การพิพากษา และการสาปแช่งไปได้ ความรอดต้องบรรจุไปด้วยความรัก ความเมตตาสงสาร และที่มากกว่านั้นก็คือ คำปลอบใจทั้งหลาย รวมทั้งพระพรอันไร้ขอบเขตที่พระเจ้าประทานให้ ผู้คนเชื่อว่าตอนที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดนั้น พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นโดยการขับเคลื่อนพวกเขาด้วยพระพรทั้งหลายและพระคุณของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาสามารถมอบหัวใจของพวกเขาให้กับพระเจ้าได้ ดังจะกล่าวได้ว่า การที่พระองค์ทรงสัมผัสมนุษย์คือการที่พระองค์ทรงช่วยพวกเขาให้รอด ความรอดชนิดนี้กระทำโดยการตั้งข้อตกลงประการหนึ่งขึ้นมา มนุษย์จะยอมนบนอบเฉพาะพระนามของพระเจ้าและเพียรพยายามที่จะทำให้ดีเพื่อพระองค์และนำพระสิริมาสู่พระองค์ ก็ต่อเมื่อพระเจ้าประทานให้พวกเขาเป็นร้อยเท่าเท่านั้นนี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ต่อมวลมนุษย์ พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกก็เพื่อช่วยมวลมนุษย์ซึ่งเสื่อมทรามให้รอด ไม่มีการโป้ปดมดเท็จอยู่ในการนี้เลย หากมี พระองค์ก็คงไม่ได้เสด็จมาทรงพระราชกิจด้วยพระองค์เองอย่างแน่นอน ในอดีตนั้น วิถีทางแห่งความรอดของพระองค์เกี่ยวข้องกับการแสดงความรักและความเมตตาสงสารอย่างถึงที่สุด จนถึงขั้นที่พระองค์ประทานทั้งหมดของพระองค์ให้แก่ซาตานเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับมวลมนุษย์ทั้งหมดทั้งมวล ปัจจุบันนี้ไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นเหมือนอดีต กล่าวคือ ความรอดที่ประทานให้แก่พวกเจ้าในวันนี้เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาแห่งยุคสุดท้าย ในช่วงระหว่างที่มีการจำแนกชั้นแต่ละบุคคลไปตามประเภท ทั้งนี้ วิถีทางแห่งความรอดของพวกเจ้าไม่ใช่ความรักหรือความเมตตาสงสาร แต่เป็นการตีสอนและการพิพากษา เพื่อที่มนุษย์อาจสามารถได้รับการช่วยให้รอดอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนั้น ทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับคือการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีอย่างไร้ปรานี แต่จงรู้สิ่งนี้ไว้ว่า ในการเฆี่ยนตีอันไร้หัวใจนี้ไม่มีการลงโทษเลยแม้แต่น้อย โดยไม่ต้องคำนึงว่าคำพูดของเราอาจจะกร้าวกระด้างเพียงใด สิ่งที่ตกมาถึงพวกเจ้าเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำที่อาจจะดูเหมือนไร้หัวใจอย่างถึงที่สุดสำหรับพวกเจ้า และไม่สำคัญว่าเราอาจจะมีความโมโหมากเพียงใด สิ่งที่พรั่งพรูลงมาบนพวกเจ้าก็ยังคงเป็นวจนะแห่งการสอน และเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำร้ายพวกเจ้าหรือทำให้พวกเจ้าถึงแก่ความตาย ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? จงรู้ไว้ว่าทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาอันชอบธรรม หรือกระบวนการถลุงและการตีสอนอันไร้หัวใจ ทุกอย่างเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด โดยไม่ต้องคำนึงว่า วันนี้ แต่ละคนได้รับการจำแนกชั้นไปตามประเภทหรือไม่ หรือหมวดหมู่ของมนุษย์ได้รับการตีแผ่หรือไม่ จุดประสงค์ของพระวจนะทั้งปวงและพระราชกิจของพระเจ้าคือเพื่อช่วยบรรดาผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงให้รอด การพิพากษาอันชอบธรรมถูกนำมาใช้ชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และกระบวนการถลุงอันไร้หัวใจกระทำขึ้นเพื่อชำระพวกเขาให้สะอาด ทั้งพระวจนะหรือการสั่งสอนอันกร้าวกระด้างต่างกระทำเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์และเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งความรอด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์

บัดนี้เป็นเวลาที่เรากำหนดพิจารณาบทอวสานสำหรับแต่ละบุคคล ไม่ใช่ช่วงระยะซึ่งเราเริ่มทำงานกับมนุษย์ เราจดบันทึกคำพูดและการกระทำทั้งหลายของแต่ละบุคคล เส้นทางซึ่งพวกเขาได้ติดตามเรามา คุณลักษณะเฉพาะโดยกำเนิดของพวกเขา และวิธีที่พวกเขาประพฤติตนในท้ายที่สุด ลงในสมุดบันทึกของเราทีละคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลประเภทใด ย่อมไม่มีใครจะหลบพ้นมือของเรา และทุกคนจะรวมอยู่กับบุคคลประเภทเดียวกันตามที่เราจัดให้ เราตัดสินใจเรื่องบั้นปลายของแต่ละบุคคลโดยไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอายุ ความอาวุโส ปริมาณความทุกข์ และที่น้อยที่สุดคือ ระดับความชวนสังเวชของพวกเขา แต่เป็นไปโดยสอดคล้องกับการที่ว่า พวกเขาครองความจริงหรือไม่ ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากนี้ พวกเจ้าจำต้องตระหนักว่า ทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าจะถูกลงโทษด้วยเช่นกัน นี่คือข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ถูกลงโทษได้ถูกทำการลงโทษไปเช่นนั้นก็เพื่อความชอบธรรมของพระเจ้า และเป็นการลงทัณฑ์อันสาสมแล้วกับการกระทำชั่วอันนับไม่ถ้วนของพวกเขา…

ความปรานีของเรานั้นแสดงออกต่อบรรดาผู้ที่รักเราและปฏิเสธตัวพวกเขาเอง ในขณะเดียวกัน การลงโทษที่ได้ไปเยือนคนเลว ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอุปนิสัยที่ชอบธรรมของเราอย่างชัดเจน และยิ่งไปกว่านั้นคือ พิสูจน์คำพยานแห่งความโกรธเคืองของเรา เมื่อความวิบัติมาเยือน ทุกคนที่ต่อต้านเราจะวิปโยคร่ำไห้ในขณะที่พวกเขาตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของการกันดารอาหารและภัยพิบัติ บรรดาผู้ที่ได้กระทำความเลวในทุกลักษณะ เว้นแต่ผู้ที่ได้ติดตามเรามาเป็นเวลาหลายปี จะไม่มีทางหลบพ้นการชำระชดใช้ให้กับบาปของตน พวกเขาอีกเช่นกัน ที่จะดิ่งพรวดลงสู่ความวิบัติ ในแบบที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นกันในตลอดระยะเวลาหลายล้านปี และพวกเขาจะดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งความอกสั่นขวัญผวาและหวาดกลัวตลอดเวลา และบรรดาผู้ติดตามของเราทั้งหลายที่ได้แสดงความจงรักภักดีต่อเราจะชื่นบานและปรบมือให้กับอิทธิฤทธิ์ของเรา พวกเขาจะผ่านประสบการณ์กับความพอใจอันเกินพรรณนา และดำรงชีวิตท่ามกลางความชื่นบานยินดีอย่างที่เราไม่เคยมอบให้มวลมนุษย์ เพราะเราถนอมความล้ำค่าของความประพฤติที่ดีงามของมนุษย์และชิงชังความประพฤติชั่วของพวกเขา ตั้งแต่เมื่อเราเริ่มต้นนำทางมวลมนุษย์ เรามุ่งหวังอย่างใจจดใจจ่อมาตลอดว่าจะได้รับผู้คนสักกลุ่มที่มีจิตใจเดียวกับเรา ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้ที่ไม่ได้มีจิตใจเดียวกับเรานั้น เราก็ไม่เคยลืม เราเกลียดพวกเขาในหัวใจของเราเสมอ รอคอยโอกาสที่จะนำพาการลงทัณฑ์อันสาสมมาสู่พวกเขา อันเป็นสิ่งซึ่งเราจะเพลิดเพลินที่ได้เห็น บัดนี้วันของเราได้มาถึงแล้วในที่สุด และเราไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไปแล้ว!

งานขั้นสุดท้ายของเราไม่ใช่แค่เพื่อประโยชน์แห่งการลงโทษมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อการจัดการเตรียมการในเรื่องบั้นปลายของมนุษย์อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นไปเพื่อที่ผู้คนทั้งหมดอาจรับรู้กิจการและการกระทำของเรา เราต้องการให้แต่ละบุคคลได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นถูกต้อง และได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้ทำมานั้นเป็นการแสดงออกของอุปนิสัยของเรา ที่ให้กำเนิดมวลมนุษย์นั้นไม่ใช่การกระทำของมนุษย์ นับประสาอะไรที่จะเป็นการกระทำของธรรมชาติ แต่เป็นเรา ผู้บำรุงเลี้ยงทุกสิ่งมีชีวิตซึ่งอยู่ในการสร้าง หากปราศจากการดำรงอยู่ของเรา มวลมนุษย์ย่อมมีแต่จะพินาศและทุกข์ทนจากการหวดเฆี่ยนแห่งหายนะเท่านั้น ไม่มีมนุษย์คนใดจะได้เห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันสวยงาม หรือโลกอันเขียวขจีอีกเลย มวลมนุษย์จะเผชิญเพียงค่ำคืนอันเยือกเย็นและหุบเขาแห่งเงามรณะซึ่งไร้ปรานี เราคือความรอดเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ เราคือความหวังเดียวเท่านั้นของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นคือ เราก็คือพระองค์ผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ทั้งปวง หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะหยุดนิ่งลงในทันที หากไม่มีเรา—มวลมนุษย์จะทุกข์ทนจากมหันตภัยและถูกบรรดาผีสางทุกลักษณะเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้า กระนั้นก็ยังไม่มีใครใส่ใจเรา เราได้ทำงานที่ไม่มีใครอื่นทำได้ และหวังเพียงแค่ว่ามนุษย์จะสามารถตอบแทนเราด้วยความประพฤติที่ดีงามบ้าง แม้จะมีเพียงไม่กี่คนที่สามารถตอบแทนเราได้ เราก็จะยังคงยุติการเดินทางไกลของเราในโลกมนุษย์ลง และเริ่มต้นขั้นตอนถัดไปของงานของเราที่กำลังคลี่คลายออกมา เนื่องจากการเร่งรุดไปมาของเราทั้งหมดท่ามกลางมนุษย์ในช่วงหลายปีมานี้ให้ดอกผลดี และเราก็ยินดีมาก สิ่งที่เราสนใจไม่ใช่จำนวนผู้คน แต่เป็นความประพฤติที่ดีงามของพวกเขาเสียมากกว่า ไม่ว่าจะในกรณีใดก็ตาม เราหวังว่าพวกเจ้าจะตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของตัวเจ้าเอง เมื่อนั้นเราจึงจะพึงพอใจ มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีใครเลยในบรรดาพวกเจ้าที่จะสามารถหนีรอดความวิบัติที่จะตกมาถึงเจ้าได้ ความวิบัตินั้นมีจุดกำเนิดอยู่กับเราและแน่นอนว่าถูกจัดวางเรียบเรียงโดยเรา หากพวกเจ้าไม่สามารถปรากฏว่าดีงามได้ในสายตาของเรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็จะไม่อาจหนีรอดความทุกข์จากความวิบัติไปได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงตระเตรียมความประพฤติที่ดีงามให้พอเพียงสำหรับบั้นปลายของเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

วิธีที่พระเจ้าทรงสำแดงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ต่อมวลมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง ในพระราชกิจสุดท้ายแห่งการสรุปปิดตัวยุคนั้น พระอุปนิสัยของพระเจ้าคือหนึ่งในการตีสอนและการพิพากษา...

หนทางทั้งหลายที่ความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยในเบื้องต้น

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องจากเมื่อครั้งที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นการทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger