วิธีที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอด
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด ถ้าใครไม่ยอมรับเราและไม่รับคำของเรา จะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คำที่เรากล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 12:47-48)
“เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13)
“ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น ข้าพระองค์แยกตัวให้บริสุทธิ์เพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย เพื่อให้เขารับการแยกให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง” (ยอห์น 17:17-19)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันคือการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ผ่านการตีสอนและการพิพากษาเป็นหลัก โดยการก่อร่างขึ้นบนรากฐานนี้ พระองค์ทรงนำความจริงมาสู่มนุษย์มากขึ้นและชี้ให้เขาเห็นหนทางแห่งการฝึกฝนปฏิบัติที่มากขึ้น ส่งผลให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพระองค์ในการพิชิตมนุษย์และช่วยเขาให้รอดจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาเอง นี่คือสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ
พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงใช้ความจริงหลากหลายเพื่อสั่งสอนมนุษย์ เพื่อตีแผ่แก่นแท้ของมนุษย์ และเพื่อชำแหละคำพูดและความประพฤติของมนุษย์ พระวจนะเหล่านี้ประกอบด้วยความจริงนานัปการ อาทิ หน้าที่ของมนุษย์ มนุษย์ควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างไร มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตเยี่ยงมนุษย์ธรรมดาอย่างไร รวมไปถึงพระปรีชาญาณและพระอุปนิสัยของพระเจ้า และอื่นๆ พระวจนะเหล่านี้ล้วนชี้นำไปที่แก่นแท้ของมนุษย์และอุปนิสัยเสื่อมทรามของเขา โดยเฉพาะ พระวจนะซึ่งตีแผ่ว่ามนุษย์เมินหมิ่นพระเจ้าอย่างไร ได้ถูกตรัสโดยพาดพิงถึงวิธีที่มนุษย์เป็นร่างทรงของซาตานและกองกำลังฝ่ายศัตรูผู้ต่อต้านพระเจ้า ในการทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ พระเจ้าไม่เพียงทรงทำให้ธรรมชาติของมนุษย์ชัดเจนขึ้นอย่างเรียบง่ายด้วยพระวจนะไม่กี่คำ พระองค์ยังทรงทำการตีแผ่ จัดการ และตัดแต่งเป็นช่วงเวลายาวนาน วิธีการตีแผ่ การจัดการ และการตัดแต่งอันแตกต่างกันทั้งหมดเหล่านี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยถ้อยคำธรรมดาสามัญ แต่ด้วยความจริงที่มนุษย์ไม่มีโดยสิ้นเชิง เพียงวิธีการเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกว่าการพิพากษา โดยผ่านการพิพากษาแบบนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถถูกสยบและโน้มน้าวจนหมดใจเกี่ยวกับพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ยังได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า สิ่งที่พระราชกิจแห่งการพิพากษาทำให้เกิดขึ้นคือความเข้าใจของมนุษย์ต่อพระพักตร์ที่แท้จริงของพระเจ้า และความจริงเกี่ยวกับความเป็นกบฏของเขาเอง พระราชกิจแห่งการพิพากษาช่วยให้มนุษย์ได้รับความเข้าใจอย่างมากในน้ำพระทัยของพระเจ้า ในจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า และในบรรดาความล้ำลึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับเขา มันยังช่วยให้มนุษย์ตระหนักรู้ถึงธาตุแท้อันเสื่อมทรามและรากเหง้าของความเสื่อมทรามของเขา รวมทั้งค้นพบความน่าเกลียดของมนุษย์ ผลกระทบเหล่านี้ล้วนเป็นผลจากพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพราะสาระสำคัญของพระราชกิจนี้อันที่จริงแล้วคือพระราชกิจที่เปิดแผ่ความจริง หนทาง และชีวิตของพระเจ้าออกมาต่อผู้คนทั้งหมดที่มีความเชื่อในพระองค์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจแห่งการพิพากษาที่พระเจ้าทรงทำ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาด้วยความจริง
ในวันนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยประการสำคัญแล้วก็เพื่อทรงพระราชกิจแห่ง “พระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อทรงใช้พระวจนะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และทรงทำให้มนุษย์ยอมรับการจัดการกับพระวจนะและกระบวนการถลุงพระวจนะ ในพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้เจ้าได้รับการจัดเตรียมและได้รับชีวิต ในพระวจนะของพระองค์ เจ้าเห็นพระราชกิจและกิจการของพระองค์ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อตีสอนและถลุงเจ้า และด้วยเหตุนี้ หากเจ้าทนทุกข์จากความยากลำบาก มันก็เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ในวันนี้ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจด้วยข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่ด้วยพระวจนะ เพียงภายหลังจากที่พระวจนะของพระองค์ได้มาถึงเจ้าแล้วเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงสามารถทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้าได้และทำให้เจ้าทนทุกข์จากความเจ็บปวดหรือรู้สึกถึงความหวานชื่น มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำพาเจ้าไปสู่ความเป็นจริงได้ และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้ และดังนั้น อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะต้องเข้าใจการนี้ นั่นคือ พระราชกิจซึ่งปฏิบัติสำเร็จโดยพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายโดยประการสำคัญแล้วคือ การใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงทำให้บุคคลทุกคนมีความเพียบพร้อมและเพื่อทรงนำมนุษย์ พระราชกิจทั้งหมดซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัตินั้นทำโดยผ่านทางพระวจนะ พระองค์ไม่ทรงใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อตีสอนเจ้า มีบางเวลาที่ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงทำให้เจ้าได้รับความไม่สบายใหญ่หลวง เนื้อหนังของเจ้าไม่ได้ถูกตีสอน อีกทั้งเจ้าไม่ได้ทนทุกข์จากความยากลำบาก—แต่ทันทีที่พระวจนะของพระองค์มาถึงเจ้า และถลุงเจ้า มันก็ทนไม่ไหวแล้วสำหรับเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? ในช่วงระหว่างเวลาของพวกคนปรนนิบัติ พระเจ้าได้ตรัสว่าจะโยนมนุษย์เข้าไปในบาดาลลึก มนุษย์ได้มาถึงยังบาดาลลึกจริงๆ หรือไม่? แค่โดยผ่านทางการใช้พระวจนะเพื่อถลุงมนุษย์ มนุษย์ก็ได้เข้าสู่บาดาลลึกไปแล้ว และดังนั้น ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงใช้พระวจนะเป็นหลักเพื่อสำเร็จลุล่วงในทุกสิ่งและทำให้ทุกสิ่งชัดเจน ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง เมื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจอื่นใดเว้นเสียแต่การตรัสถึงพระวจนะ—ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับข้อเท็จจริงทั้งหลาย พระวจนะทั้งหลายนั้นเพียงพอแล้ว นั่นเป็นเพราะพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจนี้เป็นหลัก เพื่อยอมให้มนุษย์ได้เห็นฤทธานุภาพของพระองค์และมไหศวรรย์ในพระวจนะของพระองค์ เพื่อยอมให้มนุษย์ได้เห็นในพระวจนะของพระองค์ว่าพระองค์ทรงซ่อนเร้นพระองค์เองโดยถ่อมพระทัยอย่างไร และเพื่อยอมให้มนุษย์ได้รู้จักความครบถ้วนบริบูรณ์ในพระวจนะของพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทั้งหมดที่พระองค์ทรงเป็นนั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์ พระปรีชาญาณและความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์ ในการนี้เจ้าถูกทำให้เห็นวิธีการมากมายซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสพระวจนะของพระองค์ ส่วนใหญ่ของพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระหว่างเวลาที่ผ่านมานี้เป็นการจัดเตรียม วิวรณ์ และการจัดการกับมนุษย์มาตลอด พระองค์ไม่ทรงสาปแช่งบุคคลคนหนึ่งสักน้อย และแม้คราที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงสาปแช่งพวกเขาโดยผ่านทางพระวจนะ และดังนั้น ในยุคพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นี้ จงอย่าพยายามที่จะมองให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักษาคนป่วยและขับไล่บรรดาปีศาจอีก และจงหยุดมองหาหมายสำคัญทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา—ไม่มีประโยชน์ใดเลย! หมายสำคัญทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้! หากจะพูดอย่างตรงๆ แล้ว: ในวันนี้ พระเจ้าพระองค์เององค์จริงซึ่งอยู่ในเนื้อหนังมนุษย์ไม่ทรงกระทำการ พระองค์เพียงตรัสเท่านั้น นี่คือความจริง! พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และทรงใช้พระวจนะเพื่อป้อนอาหารและน้ำให้เจ้า พระองค์ยังทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงพระราชกิจเช่นกัน และพระองค์ทรงใช้พระวจนะแทนข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อทำให้เจ้ารู้จักความเป็นจริงของพระองค์ หากเจ้าสามารถล่วงรู้ลักษณะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมเป็นการยากที่จะมีความคิดในเชิงลบ แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ เจ้าควรมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น—กล่าวคือ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วงหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่ามีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลายหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์ได้รับชีวิตจากพระวจนะของพระองค์ และนี่คือหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาหมายสำคัญทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันคือข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ประการหนึ่ง นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุดที่ใช้ในการทำความรู้จักพระเจ้า และเป็นหมายสำคัญหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าบรรดาหมายสำคัญทั้งหลาย มีเพียงพระวจนะเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า
ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมเป็นหลัก พระองค์ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อบีบคั้นมนุษย์ หรือโน้มน้าวมนุษย์ การนี้ไม่สามารถทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น หากพระเจ้าเพียงได้แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ความเป็นจริงของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระเจ้าไม่ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่ทรงใช้พระวจนะเพื่อให้น้ำและเลี้ยงดูมนุษย์ ซึ่งภายหลังจากนั้น ความเชื่อฟังอันครบบริบูรณ์ของมนุษย์และความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าจึงสัมฤทธิ์ผล นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัติและพระวจนะซึ่งพระองค์ตรัส พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม—พระองค์ทรงใช้พระวจนะ และทรงใช้วิธีการอันแตกต่างหลากหลายของพระราชกิจในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการถลุง การจัดการ การตัดแต่ง หรือการจัดเตรียมพระวจนะ พระเจ้าตรัสจากมุมมองอันแตกต่างหลากหลายเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และเพื่อให้มนุษย์มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจ พระปรีชาญาณ และความมหัศจรรย์ของพระเจ้า…เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้ชนะกลุ่มหนึ่งถูกรับไว้จากทิศตะวันออก ซึ่งเป็นบรรดาผู้ชนะผู้ที่มาจากท่ามกลางความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง พระวจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร? พระวจนะเหล่านี้หมายความว่า ผู้คนเหล่านี้ที่ได้ถูกรับไว้แล้วนั้นเพียงได้เชื่อฟังอย่างแท้จริงภายหลังจากที่ก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอน และการจัดการและการตัดแต่ง และกระบวนการถลุงทุกประเภทแล้วเท่านั้น การเชื่อของผู้คนเหล่านี้ไม่คลุมเครือและเป็นนามธรรม แต่เป็นความจริงแท้ พวกเขายังไม่ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดๆ หรือปาฏิหาริย์ใดๆ พวกเขาไม่พูดเรื่องความหมายตามตัวอักษรและหลักคำสอนอันลึกซึ้งหรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอันล้ำลึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับมีความเป็นจริงและพระวจนะของพระเจ้าและความรู้แท้จริงเกี่ยวกับความเป็นจริงของพระเจ้า กลุ่มเช่นนั้นไม่ได้มีความสามารถมากกว่าในการที่จะทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเข้าใจได้ง่ายหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า
ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อที่จะตรัสพระวจนะของพระองค์เป็นหลัก พระองค์ตรัสจากมุมมองของพระวิญญาณ จากมุมมองของมนุษย์ และจากมุมมองบุคคลที่สาม พระองค์ตรัสด้วยวิธีที่แตกต่างกันโดยทรงใช้วิธีหนึ่งสำหรับช่วงเวลาหนึ่ง และพระองค์ทรงใช้วิธีการตรัสเพื่อเปลี่ยนมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และขจัดฉายาของพระเจ้าที่คลุมเครือออกจากหัวใจของมนุษย์ นี่คือพระราชกิจหลักที่พระเจ้าทรงทำ เนื่องจากมนุษย์เชื่อว่าพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อรักษาคนป่วย เพื่อไล่ผี เพื่อทำปาฏิหาริย์ต่างๆ และเพื่อประทานพระพรด้านวัตถุแก่มนุษย์ พระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนี้—พระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา—เพื่อที่จะขจัดสิ่งต่างๆ เช่นนั้นออกไปจากมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์อาจจะได้รู้จักความเป็นจริงและความเป็นปกติของพระเจ้า และเพื่อที่พระฉายาของพระเยซูอาจจะถูกขจัดออกจากหัวใจของเขาและถูกแทนที่ด้วยพระฉายาใหม่ของพระเจ้า ทันทีที่พระฉายาของพระเจ้าภายในมนุษย์กลายเป็นเก่า เช่นนั้นแล้วพระฉายานั้นก็กลายเป็นรูปเคารพรูปหนึ่ง เมื่อพระเยซูได้เสด็จมาและได้ทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนของความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่าง ได้ตรัสพระวจนะบางคำ และได้ทรงถูกตรึงกางเขนในท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงเป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของพระเจ้า พระองค์ไม่ทรงสามารถเป็นตัวแทนของทั้งหมดที่เป็นพระเจ้าได้ แต่พระองค์กลับได้ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการทรงทำพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระเจ้าแทน นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกินและทรงมหัศจรรย์เหลือเกิน และพระองค์ไม่สามารถหยั่งลึกได้ และเพราะพระเจ้าทรงทำเพียงส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ในทุกยุค พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในระหว่างยุคนี้โดยหลักแล้วเป็นการจัดเตรียมพระวจนะสำหรับชีวิตของมนุษย์ การเปิดโปงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ และธาตุแท้แห่งธรรมชาติของมนุษย์ และการกำจัดสิ้นมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา ความนึกคิดเชิงศักดินา ความนึกคิดที่ล้าสมัย และความรู้และวัฒนธรรมของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดต้องได้รับการชำระให้สะอาดโดยผ่านทางการถูกเปิดโปงด้วยพระวจนะของพระเจ้า ในยุคสุดท้ายพระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อเปิดโปงมนุษย์ พิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม เพื่อว่าในพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จะได้มาเห็นพระปรีชาญาณและความดีงามของพระเจ้า และมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเพื่อว่ามนุษย์จะมองเห็นกิจการของพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้
แม้วจนะของเราอาจเข้มงวด แต่ทั้งหมดนั้นพูดไปเพื่อความรอดของมนุษย์ เพราะเราเพียงกำลังกล่าววจนะเท่านั้น และไม่ได้กำลังลงโทษเนื้อหนังของมนุษย์ วจนะเหล่านี้เป็นเหตุให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง รู้ว่าความสว่างนั้นมีอยู่ รู้ว่าความสว่างนั้นล้ำค่า และยิ่งไปกว่านั้น รู้ว่าวจนะเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับพวกเขาอย่างไร ตลอดจนรู้ว่าพระเจ้าคือความรอด แม้เราได้เปล่งวจนะไปแล้วมากมายเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา แต่สิ่งที่วจนะเหล่านั้นเป็นตัวแทนก็ยังไม่ได้ถูกปฏิบัติต่อพวกเจ้าเป็นการกระทำ เราได้มาเพื่อทำงานของเราและเพื่อกล่าววจนะของเรา และแม้ว่าวจนะของเราอาจเคร่งครัด แต่ก็พูดเพื่อการพิพากษาความเสื่อมทรามของพวกเจ้าและความกบฏของพวกเจ้า จุดประสงค์ของการที่เรากระทำการนี้ก็ยังคงเป็นไปเพื่อการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตาน เรากำลังใช้วจนะของเราช่วยมนุษย์ให้รอด จุดประสงค์ของเราไม่ใช่เพื่อทำอันตรายมนุษย์ด้วยวจนะของเรา วจนะของเราเข้มงวดก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ทั้งหลายในงานของเรา มนุษย์สามารถมารู้จักตัวเองและหลุดรอดจากอุปนิสัยอันกบฏของพวกเขาได้ก็โดยผ่านทางงานดังกล่าวเท่านั้น นัยสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระราชกิจแห่งพระวจนะก็คือการเปิดโอกาสให้ผู้คนนำความจริงมาปฏิบัติหลังจากที่ได้เข้าใจแล้ว สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา และได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า การสื่อสารระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์สามารถทำให้เป็นไปได้ก็โดยการปฏิบัติพระราชกิจในหนทางของการกล่าวพระวจนะเท่านั้นและมีเพียงพระวจนะเท่านั้นที่สามารถอธิบายความจริงได้ การปฏิบัติพระราชกิจในหนทางนี้คือวิถีทางที่ดีที่สุดในการพิชิตมนุษย์ นอกเหนือจากถ้อยดำรัสของพระวจนะแล้ว ไม่มีวิธีการอื่นเลยที่สามารถให้ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงและเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าแก่ผู้คนได้ชัดเจนไปกว่านี้ ด้วยเหตุนั้น ในพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายของพระองค์ พระเจ้าจึงตรัสต่อมนุษย์เพื่อไขความจริงและความล้ำลึกทั้งหมดที่พวกเขายังไม่เข้าใจให้แก่พวกเขา อันเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขาสามารถได้รับหนทางที่แท้จริงและชีวิตจากพระเจ้า และด้วยการนั้นจึงเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์ จุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าต่อมนุษย์คือเพื่อให้พวกเขาสามารถเป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และพระราชกิจนั้นกระทำลงไปเพื่อนำความรอดมาให้พวกเขา เพราะฉะนั้น ในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจในการลงโทษพวกเขา ขณะที่กำลังทรงนำพาความรอดมาสู่มนุษย์ พระเจ้าไม่ทรงลงโทษความชั่วหรือปูนบำเหน็จความดี และพระองค์ไม่ทรงเปิดเผยบั้นปลายของผู้คนสารพัดประเภท แต่พระองค์กลับจะทรงพระราชกิจเพื่อการลงโทษความชั่วหรือปูนบำเหน็จความดีเฉพาะหลังจากที่พระราชกิจระยะสุดท้ายของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ และพระองค์จึงจะทรงเปิดเผยบทอวสานของผู้คนต่างชนิดทั้งหมดเฉพาะเมื่อถึงเวลานั้นเท่านั้น พวกที่ถูกลงโทษจะเป็นพวกที่ไม่สามารถช่วยให้รอดได้จริงๆ ในขณะที่บรรดาผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะเป็นผู้ที่ได้มาซึ่งความรอดของพระเจ้าในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระองค์ ในขณะที่กำลังมีการปฏิบัติพระราชกิจเพื่อความรอดของพระเจ้า บุคคลทุกคนซึ่งสามารถช่วยให้รอดได้จะได้รับการช่วยให้รอดมากเท่าที่จะมากได้และจะไม่มีใครถูกทิ้งขว้าง เพราะจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าก็คือการช่วยมนุษย์ให้รอด ผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองในระหว่างช่วงเวลาแห่งความรอดของมนุษย์ของพระเจ้า—รวมทั้งผู้คนทั้งหมดที่ไม่สามารถนบนอบต่อพระเจ้าได้อย่างครบบริบูรณ์—จะกลายเป็นวัตถุสำหรับการลงโทษ พระราชกิจในระยะนี้—พระราชกิจแห่งพระวจนะ—จะไขหนทางและความล้ำลึกทั้งปวงที่ผู้คนไม่เข้าใจให้กับพวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายที่พระเจ้ามีต่อพวกเขา และเพื่อให้พวกเขาสามารถมีความพร้อมพื้นฐานในการที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา พระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะในการทรงพระราชกิจของพระองค์ และมิทรงลงโทษผู้คนที่เป็นกบฏเล็กน้อย นี่เป็นเพราะว่าตอนนี้คือเวลาของพระราชกิจแห่งความรอด หากผู้ใดก็ตามซึ่งปฏิบัติอย่างเป็นกบฏได้ถูกลงโทษ เช่นนั้นก็จะไม่มีผู้ใดมีโอกาสเหมาะที่จะได้รับการช่วยให้รอดเลย ทุกคนคงจะถูกลงโทษและตกลงไปสู่แดนคนตาย จุดประสงค์ของพระวจนะที่ทรงพิพากษามนุษย์คือเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักตัวเองและนบนอบต่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อลงโทษพวกเขาด้วยการพิพากษาดังกล่าว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละวางพรเกี่ยวกับสถานะลงและทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในการนำพาความรอดมาสู่มนุษย์
การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าถูกทำให้สำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางใด? มันสำเร็จลุล่วงได้โดยวิถีทางของพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระเจ้าส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วยความชอบธรรม พระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการสาปแช่ง และส่วนใหญ่แล้วพระองค์ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยวิถีทางของการพิพากษาของพระองค์ ผู้คนบางคนไม่เข้าใจ และถามว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีความสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้โดยผ่านทางการพิพากษาและการสาปแช่งเท่านั้น พวกเขากล่าวว่า “หากพระเจ้าทรงประสงค์จะสาปแช่งมนุษย์ มนุษย์จะไม่ตายหรอกหรือ? หากพระเจ้าทรงประสงค์จะพิพากษามนุษย์ มนุษย์จะไม่ถูกกล่าวโทษหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขายังคงสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้อีกเล่า?” เช่นนี้คือคำพูดของผู้คนที่ไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งคือความไม่เชื่อฟังของมนุษย์ และสิ่งที่พระองค์ทรงพิพากษาคือบาปทั้งหลายของมนุษย์ ถึงแม้ว่าพระองค์ตรัสอย่างเกรี้ยวกราดและอย่างไม่ปรานี พระองค์ก็ทรงเปิดเผยทั้งหมดที่อยู่ภายในมนุษย์ โดยการเปิดเผยโดยผ่านทางพระวจนะที่เข้มขรึมเหล่านี้ซึ่งเป็นแก่นแท้ภายในมนุษย์ ทว่าโดยผ่านทางการพิพากษาดังกล่าวนั้น พระองค์ก็ทรงมอบความรู้อันลึกซึ้งเกี่ยวกับแก่นแท้ของเนื้อหนังให้แก่มนุษย์ และเช่นนั้นเองมนุษย์จึงนบนอบเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า เนื้อหนังของมนุษย์เป็นเนื้อหนังที่มีบาปและมีซาตาน เนื้อหนังนั้นไม่เชื่อฟัง และมันเป็นวัตถุแห่งการตีสอนของพระเจ้า ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์รู้จักตัวเขาเอง พระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าจึงต้องเกิดขึ้นกับเขา และต้องใช้กระบวนการถลุงทุกประเภท เมื่อนั้นเท่านั้นพระราชกิจของพระเจ้าจึงสามารถมีประสิทธิผลได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น
พระเจ้าทรงมีหลายวิถีทางในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงนำสภาพแวดล้อมทุกลักษณะมาใช้ในการจัดการกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ และทรงใช้สิ่งต่างๆ นานาในการตีแผ่มนุษย์ ในแง่หนึ่ง พระองค์ทรงจัดการกับมนุษย์ ในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงตีแผ่มนุษย์ และในอีกแง่หนึ่ง พระองค์ทรงเปิดเผยมนุษย์ โดยทรงขุดคุ้ยและเปิดเผย “ความล้ำลึก” ในส่วนลึกของหัวใจของมนุษย์ และทรงแสดงให้มนุษย์เห็นธรรมชาติของเขาโดยการเปิดเผยสภาวะมากมายของเขาออกมา พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางวิธีการมากมาย—โดยผ่านทางการเปิดเผย โดยผ่านทางการจัดการกับมนุษย์ โดยผ่านทางกระบวนการการถลุงมนุษย์ และการตีสอน—เพื่อที่มนุษย์อาจรู้ว่าพระเจ้านั้นทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะบรรดาผู้มุ่งเน้นการปฏิบัติเท่านั้นที่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้
พระราชกิจที่กำลังทรงทำอยู่ตอนนี้คือการทำให้ผู้คนละทิ้งซาตาน บรรพบุรุษเก่าแก่ของพวกเขา การพิพากษาทั้งมวลโดยพระวจนะมุ่งที่จะเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษยชาติ และทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจแก่นแท้ของชีวิตได้ การพิพากษาซ้ำๆ เหล่านี้เสียดแทงหัวใจของผู้คน การพิพากษาแต่ละครั้งเกี่ยวข้องโดยตรงกับชะตากรรมของพวกเขา และหมายให้สร้างบาดแผลแก่หัวใจของพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปล่อยมือจากสิ่งต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุให้พวกเขามารู้จักชีวิต รู้จักโลกที่โสมมนี้ รู้จักพระปรีชาญาณและความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า และรู้จักมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอีกด้วย ยิ่งมนุษย์ได้รับการตีสอนและการพิพากษาประเภทนี้มากขึ้นเท่าใด หัวใจของมนุษย์ก็ยิ่งสามารถได้รับบาดเจ็บมากขึ้นและวิญญาณของเขาก็ยิ่งสามารถถูกปลุกให้ตื่นมากขึ้นเท่านั้น การปลุกวิญญาณของผู้คนที่ถูกทำให้เสื่อมทรามสุดขีดและถูกหลอกลวงอย่างลึกล้ำมากที่สุดเหล่านี้ให้ตื่นคือเป้าหมายของการพิพากษาประเภทนี้ มนุษย์ไม่มีวิญญาณ นั่นคือวิญญาณของเขาได้ตายไปนานแล้ว และเขาหารู้ไม่ว่ามีฟ้าสวรรค์ หารู้ไม่ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่ง และหารู้ไม่อย่างแน่นอนว่าเขากำลังดิ้นรนอยู่ในห้วงเหวแห่งความตาย เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าเขากำลังมีชีวิตอยู่ในนรกชั่วนี้บนแผ่นดินโลก? เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าศพเน่าเหม็นของเขานี้ได้ตกลงไปในแดนคนตายโดยผ่านทางการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน? เขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลกได้ถูกมวลมนุษย์ทำให้ย่อยยับจนเกินกว่าจะซ่อมแซมได้นานแล้ว? และเขาจะสามารถรู้ได้อย่างไรกันว่าพระผู้สร้างได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในวันนี้ และกำลังทรงค้นหากลุ่มคนที่เสื่อมทรามที่พระองค์จะสามารถช่วยให้รอดได้? แม้หลังจากที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับทุกกระบวนการถลุงและทุกการพิพากษาที่เป็นไปได้ แต่จิตสำนึกที่ทึมทึบของเขาก็ยังคงแทบไม่รู้สึกตัว และจริงๆ แล้วไม่ตอบสนองแต่อย่างใดเลย มนุษยชาติช่างเสื่อมนัก! และแม้ว่าการพิพากษาประเภทนี้จะเป็นเหมือนลูกเห็บโหดร้ายที่ตกลงมาจากฟ้า แต่ก็เป็นประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดต่อมนุษย์ หากไม่เป็นเพราะการพิพากษาผู้คนเยี่ยงนี้ก็คงจะไม่มีผลลัพธ์และคงจะเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาดที่จะช่วยผู้คนให้รอดจากห้วงเหวแห่งความระทมทุกข์ หากไม่เป็นเพราะพระราชกิจนี้ก็คงจะยากยิ่งที่ผู้คนจะออกมาจากแดนคนตาย เพราะหัวใจของพวกเขาได้ตายไปนานแล้ว และวิญญาณของพวกเขาได้ถูกซาตานเหยียบย่ำนานมาแล้ว การช่วยพวกเจ้าที่ได้จมลงสู่ก้นบึ้งที่ลึกที่สุดของความเสื่อมให้รอดพึงต้องมีการร้องเรียกพวกเจ้าอย่างแข็งขัน พิพากษาพวกเจ้าอย่างแข็งขัน เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะปลุกหัวใจที่เย็นจนแข็งของพวกเจ้าให้ตื่น
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มีเพียงผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วเท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตอันเปี่ยมความหมายได้
เจ้าควรรู้ว่าความเพียบพร้อม ความครบถ้วนบริบูรณ์ และการได้มนุษย์มาของพระเจ้า ไม่นำอะไรมานอกจากดาบและการเฆี่ยนตีบนเนื้อหนังของพวกเขา เช่นเดียวกับความทุกข์ที่ไม่รู้จบ กองเพลิง การพิพากษาที่ไร้ความปรานี การตีสอน และการสาปแช่ง และบททดสอบอันไร้ขอบเขต นั่นคือเบื้องลึกและความจริงของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมนุษย์ อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งเหล่านี้ทั้งมวลถูกชี้นำไปที่เนื้อหนังของมนุษย์ และลูกศรแห่งความเป็นศัตรูทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่เนื้อหนังของมนุษย์อย่างไร้ความปรานี (เพราะมนุษย์รู้เท่าไม่ถึงการณ์) ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อเห็นแก่พระสิริและคำพยานของพระองค์ และเพื่อการบริหารจัดการของพระองค์ นี่เป็นเพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์แต่ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่เพื่อแผนทั้งหมดทั้งมวลด้วย ตลอดจนเพื่อทำให้น้ำพระทัยดั้งเดิมของพระองค์ลุล่วงเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้น บางทีร้อยละเก้าสิบของสิ่งที่มนุษย์ประสบนั้นเกี่ยวข้องกับความทุกข์และบททดสอบของไฟ และน้อยมากที่จะมีวันที่แสนหวานและมีความสุขที่เนื้อหนังของมนุษย์โหยหา หรือไม่มีเลยด้วยซ้ำ นับประสาอะไรที่มนุษย์จะมีความสามารถที่จะชื่นชมกับช่วงเวลาแห่งความสุขในเนื้อหนัง ใช้เวลาที่สวยงามกับพระเจ้าได้ เนื้อหนังนั้นโสโครก ดังนั้นสิ่งที่เนื้อหนังของมนุษย์เห็นหรือได้ชื่นชมนั้นไม่มีอะไรนอกจากการตีสอนของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์พบว่าไม่น่าโปรดปราน ราวกับว่ามันขาดสำนึกรับรู้ที่ปกติ นี่เป็นเพราะพระเจ้าจะทรงสำแดงให้เห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ ซึ่งไม่ได้รับความโปรดปรานจากมนุษย์นั้น ไม่ยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ และเกลียดบรรดาศัตรู พระเจ้าทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ด้วยวิถีทางใดๆ ที่จำเป็น ด้วยเหตุนั้นจึงทรงสรุปปิดตัวพระราชกิจแห่งการสู้รบกับซาตานหกพันปีของพระองค์—พระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง และการทำลายล้างซาตานแห่งอดีตกาล!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จุดประสงค์ของการบริหารจัดการมวลมนุษย์
พระเจ้าทรงใช้การพิพากษาของพระองค์เพื่อทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงรักมนุษย์ และทรงช่วยมนุษย์ให้รอด—แต่มีอยู่มากเพียงใดภายในความรักของพระองค์? มีการพิพากษา พระบารมี พระพิโรธ และการสาปแช่ง ถึงแม้ว่าพระเจ้าเคยสาปแช่งมนุษย์ในอดีต พระองค์ก็มิได้ทรงโยนมนุษย์ลงไปในบาดาลลึกอย่างสิ้นเชิง หากแต่ได้ทรงใช้วิธีนั้นเพื่อถลุงความเชื่อของมนุษย์ พระองค์มิได้ทรงทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย หากแต่ได้ทรงกระทำการเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แก่นแท้ของเนื้อหนังเป็นสิ่งที่เป็นของซาตาน—พระเจ้าได้ตรัสไว้ได้ถูกต้องโดยแท้—หากแต่ข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงดำเนินการมิได้ครบบริบูรณ์ตามพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงสาปแช่งเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้รักพระองค์ และเพื่อที่เจ้าจะได้รู้จักแก่นแท้ของเนื้อหนัง พระองค์ทรงตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ตื่นรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักความขาดตกบกพร่องภายในตัวเจ้า และให้รู้ถึงความไม่คู่ควรอย่างที่สุดของมนุษย์ ดังนั้น คำสาปแช่งของพระเจ้า การพิพากษาของพระองค์ และพระบารมีกับพระพิโรธของพระองค์—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำในวันนี้ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่พระองค์ทรงทำให้ชัดเจนภายในตัวพวกเจ้า—ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นเองคือความรักของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น
พระวจนะของพระเจ้าแต่ละคำกระทบหนึ่งจุดสำคัญในความเป็นมนุษย์ของพวกเรา ทิ้งให้พวกเรามีบาดแผลและเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น พระองค์ทรงเปิดโปงมโนคติที่หลงผิดของพวกเรา การจินตนาการของพวกเรา และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา จากทั้งหมดที่พวกเราพูดและทำ ลงไปถึงทุกๆ ความคิดและความคิดเห็นของพวกเรา ธรรมชาติและธาตุแท้ของพวกเราถูกเปิดโปงในพระวจนะของพระองค์ ทำให้พวกเราตกอยู่ในสภาวะของความกลัวและตัวสั่นปราศจากที่ให้ซุกซ่อนความละอายของพวกเรา ข้อแล้วข้อเล่า พระองค์ทรงบอกพวกเราเกี่ยวกับการกระทำของพวกเรา จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเราทั้งหมด แม้กระทั่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่พวกเราไม่เคยค้นพบ ทำให้พวกเรารู้สึกเหมือนถูกเปิดโปงในความไม่เพียบพร้อมอันน่าสังเวชของพวกเรา และยิ่งไปกว่านั้น ถูกเอาชนะไปอย่างหมดรูป พระองค์ทรงพิพากษาพวกเราที่ต่อต้านพระองค์ ทรงตีสอนพวกเราที่หมิ่นประมาทและกล่าวโทษพระองค์ และทรงทำให้พวกเรารู้สึกว่าในสายพระเนตรของพระองค์ พวกเราไม่มีคุณลักษณะของการไถ่โทษแม้สักอย่างเดียว รู้สึกว่าพวกเราเป็นซาตานที่มีชีวิต ความหวังของพวกเราถูกทำลาย พวกเราไม่กล้าทำการเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลหรือบำเรอความหวังใดๆ ในพระองค์อีกต่อไป และแม้แต่ความฝันทั้งหลายของพวกเราก็มลายวับไปในชั่วข้ามคืน นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครในพวกเราสามารถจินตนาการได้และไม่มีใครในพวกเราสามารถยอมรับได้ ภายในชั่วแวบเดียว พวกเราสูญเสียดุลยภาพภายในของพวกเราไปและไม่รู้วิธีไปต่อบนถนนที่ทอดตัวอยู่ข้างหน้า หรือวิธีไปต่อในความเชื่อของพวกเรา ดูเหมือนว่าความเชื่อของพวกเราได้ถอยกลับไปอยู่ที่จุดเริ่มต้น และราวกับว่าพวกเราไม่เคยพบองค์พระเยซูเจ้าหรือได้รู้จักพระองค์มาก่อนเลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ต่อหน้าต่อตาพวกเราทำให้พวกเราเต็มไปด้วยความงุนงงสับสนและทำให้พวกเราสองจิตสองใจละล้าละลัง พวกเราท้อแท้ พวกเราผิดหวัง และลึกลงไปในใจพวกเรา มีความเดือดดาลและความอับอายที่ไม่สามารถเก็บกดเอาไว้ได้ พวกเราพยายามระบายออก ค้นหาทางออก และยิ่งไปกว่านั้น เฝ้ารอพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราต่อไป เพื่อที่พวกเราอาจจะได้เทใจของพวกเราออกมาให้พระองค์ แม้มีบางครั้งที่ภายนอกพวกเราดูเหมือนมีสมดุล ทั้งไม่หยิ่งผยองและไม่ถ่อมตน แต่ในใจพวกเรา พวกเราทุกข์ใจกับความรู้สึกสูญเสียที่พวกเราไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้บางครั้งพวกเราอาจดูภายนอกว่านิ่งสงบผิดปกติ แต่จิตใจของพวกเรากำลังปั่นป่วนด้วยความทรมานเหมือนทะเลพายุ การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ปลดเปลื้องพวกเราจากความหวังและความฝันทั้งปวงของพวกเรา เป็นการยุติความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อของพวกเราและทิ้งให้พวกเราหมดความเต็มใจที่จะเชื่อว่าพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราและสามารถช่วยชีวิตพวกเราได้ การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้เปิดรอยแยกระหว่างพวกเรากับพระองค์ ซึ่งเป็นรอยแยกที่ลึกเสียจนไม่มีใครเต็มใจที่จะข้ามมัน การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์เป็นครั้งแรกที่พวกเราทนทุกข์กับความล้มเหลวครั้งใหญ่เช่นนี้ ความอัปยศอันใหญ่หลวงยิ่งนักในชีวิตของพวกเรา การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ทำให้พวกเราซาบซึ้งอย่างแท้จริงในพระเกียรติและความไม่ยอมผ่อนปรนของพระเจ้าต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว พวกเราช่างต่ำช้าเหลือเกิน ช่างมีมลทินเหลือเกิน การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ทำให้พวกเราตระหนักเป็นครั้งแรกว่าพวกเราโอหังและอวดตัวเพียงใด และมนุษย์จะไม่มีวันเท่าเทียมกับพระเจ้าหรือตีเสมอกับพระเจ้าอย่างไร การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ทำให้พวกเราโหยหาไม่อยากมีชีวิตต่อไปในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเช่นนี้ โหยหาที่จะกำจัดตัวพวกเราเองออกจากธรรมชาติและธาตุแท้เช่นนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และหยุดทำตัวเลวร้ายและน่ารังเกียจต่อพระองค์ การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ทำให้พวกเรามีความสุขในการเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ ไม่กบฏต่อการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระองค์อีกต่อไป การพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ได้ทำให้พวกเรามีความอยากที่จะอยู่รอดและทำให้พวกเรามีความสุขที่จะยอมรับพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของพวกเราอีกครั้ง…พวกเราได้ก้าวออกจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย ออกจากนรก ออกจากหุบเขาแห่งเงื้อมเงาของความตาย…พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงรับพวกเราผู้คนกลุ่มนี้ไว้แล้ว! พระองค์ทรงมีชัยเหนือซาตานและทำให้บรรดาไพร่พลทั้งหลายของพวกศัตรูของพระองค์พ่ายแพ้!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 4: มองดูการทรงปรากฏของพระเจ้าในการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ