ผู้เชื่อชาวคาทอลิกฟังพวกปุโรหิต พวกปุโรหิตฟังบิชอป และเหล่าบิชอปฟังสันตะปาปา  ไม่สำคัญว่าพวกคุณสามัคคีธรรมเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างดีเพียงใด พวกเราไม่สามารถยอมรับการเสด็จมาถึงขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เว้นเสียแต่ว่าสันตะปาปาและเหล่าปุโรหิตประกาศแจ้ง—พวกเราชาวคาทอลิกฟังปุโรหิตและสันตะปาปา

วันที่ 17 เดือน 03 ปี 2021

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กิจการ 5:29)

“แต่ประชาชนก็ไม่ได้หันมาหาพระองค์ผู้ทรงตีพวกเขา และไม่ได้แสวงหาพระยาห์เวห์จอมทัพ พระยาห์เวห์จึงทรงตัดหัวและตัดหางของอิสราเอลออก ทั้งใบตาลและต้นอ้อเล็กในวันเดียว ผู้ใหญ่และคนมีตำแหน่งสูงคือหัว ส่วนผู้เผยพระวจนะและผู้สอนเท็จคือหาง เพราะพวกคนที่นำชนชาตินี้ได้นำเขาทั้งหลายให้หลง และคนที่ถูกพวกเขานำก็ถูกกลืนกินไป” (อิสยาห์ 9:13-16)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ผู้คนบางคนไม่ได้ชื่นบานในความจริง นับประสาอะไรกับคำพิพากษา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับชื่นบานในอำนาจและความมั่งคั่ง ผู้คนเช่นนั้นเรียกกันว่าผู้แสวงหาอำนาจ พวกเขาค้นหาเฉพาะบรรดานิกายในโลกที่มีอิทธิพล และพวกเขาก็ค้นหาเฉพาะบรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งหลาย แม้ว่าพวกเขาจะได้ยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว พวกเขาก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาได้ทั้งหมด ปากของพวกเขาพูดถึงการสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่บรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่ได้ชายตามองมาที่พระคริสต์อีกเลย หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ความมีโชคและความรุ่งโรจน์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะสามารถพิชิตได้มากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นจะสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ พวกเขาคิดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พวกนอกสายตาเหล่านี้ท่ามกลางฝุ่นและกองขยะจะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนเช่นนั้นคือวัตถุแห่งความรอดของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นแล้วสวรรค์และโลกก็คงจะกลับด้านกัน และผู้คนทุกคนก็คงจะหัวเราะจนท้องแข็ง พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนอกสายตานั้นเพื่อที่จะทำให้มีความเพียบพร้อม ถ้าอย่างนั้นแล้วบรรดามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าไปเสียเอง มุมมองของพวกเขานั้นด่างพร้อยไปด้วยการไม่เชื่อเกินกว่าที่กำลังไม่เชื่อ พวกเขาเป็นแค่สัตว์ป่าที่วิปริตผิดแปลก เพราะว่าพวกเขาเห็นคุณค่าเฉพาะสถานภาพเกียรติยศและอำนาจเท่านั้น และพวกเขาก็เคารพนับถือเฉพาะบรรดากลุ่มและนิกายใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความนับถือสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระคริสต์แม้แต่น้อย พวกเขาเป็นแค่เหล่าคนทรยศที่หันหลังให้กับพระคริสต์ กับความจริง และกับชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีจุดยืนอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปรีชาญาณของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนังคำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้า และไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราพูดเลยว่า ผู้คนทุกคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของความจริงคือพวกที่ไม่เชื่อและพวกที่หักหลังความจริง พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์ บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้ว เจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยจินตนาการของพวกเขาเอง พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ? จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเองและหลอกลวงผู้คนเหล่านั้น ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา” มนุษย์เป็นสื่อกลางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา นั่นมิใช่ปัญหาหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า? พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ? ผู้คนเช่นนี้เป็นจำพวกเดียวกันกับเปาโล…

ก่อนหน้านั้น บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าอาจจะได้ติดตามบุคคลผู้หนึ่ง หรือพวกเขาอาจจะไม่ได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า ในช่วงระยะสุดท้ายนี้ พวกเขาจะได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หากรากฐานของเจ้าคือการที่เจ้าได้รับประสบการณ์กับช่วงระยะแห่งพระราชกิจนี้ แต่เจ้าก็ยังคงติดตามบุคคลผู้หนึ่งต่อไป เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่อาจได้รับการอภัยได้ และจะมีจุดจบเช่นเดียวกับที่เปาโลมี

ตัดตอนมาจาก “มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

บรรดาผู้ที่ไม่เข้าใจความจริงมักจะติดตามผู้อื่นอยู่เสมอ กล่าวคือ หากผู้คนกล่าวว่านี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อนั้น เจ้าเองก็จะกล่าวว่ามันเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน หากผู้คนกล่าวว่ามันเป็นงานของวิญญาณชั่ว เมื่อนั้น เจ้าเองก็จะเริ่มกังขา หรือกล่าวว่ามันเป็นงานของวิญญาณชั่วเช่นกัน เจ้ามักจะพูดตามคำพูดของคนอื่นๆ แบบนกแก้วนกขุนทองอยู่เสมอ และไม่สามารถที่จะแยกแยะสิ่งใดด้วยตัวเองได้เลย และเจ้าไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้ นี่คือใครบางคนที่ไม่มีจุดยืน ที่ไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้—บุคคลเช่นนั้นเป็นคนเข็ญใจผู้ไร้ค่า! เจ้าพูดตามคำพูดของคนอื่นๆ อยู่เสมอ กล่าวคือ วันนี้มีการกล่าวว่านี่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่มีความเป็นไปได้ที่ว่าสักวันหนึ่งใครบางคนจะกล่าวว่านั่นไม่ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และกล่าวว่าอันที่จริงแล้วมันไม่ใช่สิ่งใดนอกจากความประพฤติของมนุษย์เท่านั้น—กระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถหยั่งรู้สิ่งนี้ได้ และเมื่อเจ้าเป็นประจักษ์พยานว่าคนอื่นกล่าวสิ่งนี้ เจ้าก็จะกล่าวสิ่งเดียวกัน แท้ที่จริงแล้วมันเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เจ้ากล่าวว่ามันเป็นงานของมนุษย์ เจ้าไม่ได้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่หมิ่นประมาทพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไปแล้วหรอกหรือ? ในการนี้ เจ้าไม่ได้ต่อต้านพระเจ้าเพราะเจ้าไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้หรอกหรือ? บางทีสักวันหนึ่งคนโง่บางคนจะปรากฏขึ้น ผู้ซึ่งกล่าวว่า “นี่เป็นงานของวิญญาณชั่ว” และเมื่อเจ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้เจ้าก็จะจนปัญญา และเจ้าจะถูกจองจำด้วยคำพูดของคนอื่นอีกครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ใครบางคนก่อให้เกิดการรบกวน เจ้าก็ไม่สามารถยืนหยัดต่อจุดยืนของเจ้าได้ และทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าไม่ถือครองความจริง การเชื่อในพระเจ้าและการพยายามที่จะรู้จักพระเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถบรรลุถึงได้เพียงโดยการมาชุมนุมกันและการฟังคำเทศนา และเจ้าไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้โดยแรงปรารถนาเพียงอย่างเดียว เจ้าต้องรับประสบการณ์ และรู้จัก และมีหลักการในการกระทำทั้งหลายของเจ้า และได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเจ้าได้ก้าวผ่านประสบการณ์ต่างๆ มาแล้ว เจ้าก็จะสามารถวินิจฉัยหลายสิ่งได้—เจ้าจะสามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่วได้ ระหว่างความชอบธรรมและความเลว ระหว่างสิ่งที่เป็นของเนื้อหนังและเลือดและสิ่งที่เป็นของความจริง เจ้าควรสามารถที่จะแยกแยะระหว่างสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้ และในการทำเช่นนั้น ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร เจ้าก็จะไม่มีวันหลงทางเลย นี่เท่านั้นเป็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เท่านั้นที่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้

ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าและนมัสการพระองค์ จงอย่ายกย่องหรือนิยมบูชาบุคคลใด จงอย่าวางพระเจ้าเป็นลำดับแรก ผู้คนที่เจ้าเคารพนับถือเป็นลำดับที่สอง และตัวเจ้าเองเป็นลำดับที่สาม ไม่มีบุคคลใดที่ควรมีความสำคัญในหัวใจของเจ้า และเจ้าไม่ควรพิจารณาผู้คน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ที่เจ้าเคารพเทิดทูน—ว่าเสมอกับพระเจ้าหรือเทียบเท่าพระองค์ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจทนยอมรับได้สำหรับพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการซึ่งประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักรต้องเชื่อฟัง

ความสำคัญหลักในการติดตามพระเจ้าคือ ทุกสิ่งควรเป็นไปอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะกำลังไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตหรือการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วง ทุกสิ่งควรมีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ หากสิ่งที่เจ้าสื่อสารและไล่ตามเสาะหาไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนแปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้า และสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือผู้คนที่ติดตามรอยพระบาทของพระองค์ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจมาก่อนนั้นจะมหัศจรรย์และบริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนั้น และหากเจ้าไร้ความสามารถที่จะละสิ่งเหล่านั้นได้ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ของเจ้าในอนาคต บรรดาผู้ที่มีความสามารถที่จะติดตามความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ก็ได้รับพร ผู้คนในยุคก่อนๆ ยังได้ติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าด้วยเช่นกัน แต่กระนั้นก็ดีพวกเขาก็ไม่สามารถติดตามได้จนถึงวันนี้ นี่คือพรของผู้คนในยุคสุดท้าย บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ และผู้ที่มีความสามารถที่จะติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าได้ เฉกเช่นที่พวกเขาติดตามพระเจ้าไม่ว่าพระองค์จะนำทางพวกเขาไปยังที่ใด—เหล่านี้คือผู้คนที่ได้รับพรจากพระเจ้า บรรดาผู้ที่ไม่ติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เข้าสู่พระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมากมายเพียงใด หรือความทุกข์ของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใด หรือพวกเขาวิ่งวุ่นดำเนินงานมากเพียงใด สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรกับพระเจ้า และพระองค์จะไม่ชมเชยพวกเขา วันนี้ บรรดาผู้ที่ติดตามพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้านั้นอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกที่เป็นคนแปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ต่างอยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้คนเช่นนั้นไม่ได้รับการชมเชยจากพระเจ้า…“การติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์” หมายถึง การทำความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ การมีความสามารถที่จะกระทำการอันสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ปัจจุบันของพระเจ้า การมีความสามารถที่จะเชื่อฟังและติดตามพระเจ้าของวันนี้ และการเข้าสู่ที่สอดคล้องกับถ้อยดำรัสใหม่ล่าสุดของพระเจ้า นี่คือใครคนหนึ่งที่ติดตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไม่เพียงสามารถรับการสรรเสริญจากพระเจ้าและมองเห็นพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังสามารถรู้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากพระราชกิจล่าสุดของพระเจ้าได้ และสามารถรับรู้มโนคติที่หลงผิดและการไม่เชื่อฟังของมนุษย์และธรรมชาติและเนื้อแท้ของมนุษย์จากพระราชกิจล่าสุดของพระองค์ได้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีความสามารถที่จะค่อยๆ สัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาในระหว่างการปรนนิบัติของพวกเขา เฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นคือบรรดาผู้ที่มีความสามารถที่จะได้รับพระเจ้า และเป็นผู้ที่ได้พบหนทางที่แท้จริงโดยแท้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์

มันคงจะดีที่สุดสำหรับบรรดาผู้คนที่อ้างว่าติดตามพระเจ้าในการที่จะเปิดตาของตนและมองให้ดีเพื่อให้เห็นว่าใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อ กล่าวคือ จริงแท้หรือที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในซาตาน? หากเจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นรูปเคารพของเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่อ้างว่าเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง หากเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าใครที่เจ้าเชื่อแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็อีกเช่นเคย มันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ได้อ้างว่าเป็นผู้เชื่อ การพูดเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นศาสนา! ไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า จงอย่าพูดว่าพวกเจ้าเชื่อในเรา เราเลิกทนกับการพูดเช่นนั้นแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อคือรูปเคารพในหัวใจของพวกเจ้าและบรรดาอันธพาลประจำถิ่นในหมู่พวกเจ้า พวกที่ส่ายหน้าของตนเมื่อได้ยินความจริง ผู้ที่แสยะยิ้มเมื่อได้ยินการพูดถึงความตาย ล้วนเป็นลูกหลานของซาตาน และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะถูกกำจัดไป หลายคนในคริสตจักรไม่มีการหยั่งรู้ เมื่อมีบางสิ่งที่ลวงตาเกิดขึ้น พวกเขาจะยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาถึงขั้นมีความขุ่นเคืองกับการถูกเรียกว่าสมุนของซาตาน แม้ว่าผู้คนอาจจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีการหยั่งรู้ พวกเขาก็มักจะยืนอยู่ในฝ่ายที่ปราศจากความจริง พวกเขาไม่เคยยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงในยามวิกฤติเลย พวกเขาไม่เคยยืนหยัดและโต้แย้งเพื่อความจริงเลย พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างจริงแท้หรือ? เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยพูดสักคำหนึ่งที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนความจริง? สถานการณ์นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสับสนเพียงชั่วขณะของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ? ยิ่งผู้คนมีการหยั่งรู้น้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงน้อยลงเท่านั้น การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนที่ปราศจากการหยั่งรู้นั้นรักความชั่ว? มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานที่จงรักภักดีของซาตาน? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานและพูดภาษาของมันได้ตลอดเวลา? ทุกถ้อยคำและการกระทำของพวกเขา การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ล้วนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้รักความจริงประเภทใดเลย ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานได้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซาตานนั้นรักมารตัวน้อยเหล่านี้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตของตนต่อสู้เพื่อประโยชน์ของซาตาน ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดอย่างท่วมท้นหรอกหรือ? หากเจ้าคือบุคคลหนึ่งที่รักความจริงอย่างจริงแท้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง และเหตุใดเจ้าจึงติดตามพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงทันทีที่พวกเขามองมาเพียงนิดเดียว? นี่เป็นปัญหาประเภทใดกันแน่? เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีการหยั่งรู้หรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าได้จ่ายไปในราคาแพงเท่าใด เราไม่ใส่ใจว่ากำลังบังคับของเจ้าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน และเราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะเป็นอันธพาลประจำถิ่นหรือว่าเป็นผู้นำที่ถือธง หากกำลังบังคับของเจ้ายิ่งใหญ่ นั่นก็เป็นเพียงด้วยความช่วยเหลือจากพละกำลังของซาตาน หากศักดิ์ศรีของเจ้าสูงส่ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่รอบตัวเจ้ามากเกินไป หากเจ้ายังไม่ถูกขับไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับงานแห่งการขับไล่ แต่ทว่า นี่เป็นเวลาแห่งงานของการกำจัด ไม่มีความรีบร้อนที่จะขับไล่เจ้าในตอนนี้ เราเพียงแค่กำลังรอคอยวันที่เราจะลงโทษเจ้าหลังจากที่เจ้าได้ถูกกำจัดไปแล้ว ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ในโลกศาสนานั้น พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสถือครองอำนาจ พวกเขาเดินในเส้นทางของพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด และถึงแม้พวกเราติดตามพวกเขาและทำตามที่พวกเขาพูด แต่พวกเราก็เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ไม่ใช่เชื่อในพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส เช่นนั้นแล้ว พวกคุณสามารถพูดได้อย่างไรเล่าว่าพวกเราก็เดินในเส้นทางของพวกฟาริสีด้วยเช่นกัน? พวกคุณกำลังพูดหรือว่า พวกเราเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าที่อยู่ในศาสนาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดจริงๆ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “เขาทั้งหลายเป็นผู้นำที่ตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger