พระคัมภีร์กล่าวว่า “หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” (1 เธสะโลนิกา 4:17) พวกเราเชื่อว่า ทันทีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาถึง พวกเราจะได้รับการรับกลับเข้าไปในหมู่เมฆในท้องฟ้าโดยตรงเพื่อพบกับพระองค์ พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว ดังนั้นแล้วทำไมพวกเราจึงยังไปได้รับการรับกลับไปเล่า?

วันที่ 26 เดือน 10 ปี 2021

ตอบ:

การต้อนรับของพวกเราในการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าควรที่จะมีพื้นฐานอยู่บนคำเผยวจนะแห่งองค์พระเยซูเจ้า—นั่นน่าจะถูกต้องที่สุด เจ้ากำลังอ้างอิงถึงคำพูดของใครหรือ? พระวจนะแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า หรือคำพูดของมนุษย์? “หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ” พูดโดยเปาโล ทั้งนี้ ทั้งองค์พระเยซูเจ้าและพระวิญญาณบริสุทธิ์ต่างก็ไม่เคยได้ดำรัสวจนะดังกล่าว เปาโลกล่าวแทนองค์พระเยซูเจ้าหรือไม่? คำพูดของเขาสามารถเป็นตัวแทนพระวจนะแห่งพระเจ้าได้หรือไม่? มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ความล้ำลึกเกี่ยวกับวิธีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงอุ้มชูบรรดาผู้เชื่อเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ในระหว่างยุคสุดท้าย หากพวกเราพวกมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีความกล้าที่จะตีความและสรุปปิดตัวสิ่งทั้งหลายดังกล่าวอย่างหูหนวกตาบอด เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีปัญหาที่ร้ายแรง เปาโลไม่ใช่พระคริสต์ เขาเป็นแต่เพียงมนุษย์ที่เสื่อมทราม สิ่งที่เขาพูดนั้นไม่มีหลักพื้นฐานในพระวจนะแห่งพระเจ้า และดังนั้นจึงไม่มีข้อกังขาเลยที่สิ่งนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยจุดด่างพร้อยและการจินตนาการของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ คำพูดของเปาโลจึงไม่ใช่ความจริง และคำพูดเหล่านั้นก็ไม่สามารถทำหน้าที่เป็นหลักพื้นฐานประเภทใดได้เลย ทั้งนี้ หนทางที่ถูกต้องเพียงหนทางเดียวในการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือ การปฏิบัติตนตามพระวจนะแห่งพระเจ้าในพระคัมภีร์

พวกเรามาดูกันที่สิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกันเถิด ความว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก(มัทธิว 6:9-10) องค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัสบอกพวกเราอย่างชัดเจนว่า ราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลก ไม่ใช่ในสวรรค์ และน้ำพระทัยของพระเจ้าก็จะทำจนแล้วเสร็จบนแผ่นดินโลก ดังเช่นที่ทำจนแล้วเสร็จในสวรรค์ ตอนนี้พวกเรามาดูที่วิวรณ์ 21:2-3 กันเถิด ความว่า “และข้าพเจ้าได้เห็นนครบริสุทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า นครนี้เตรียมพร้อมเหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับสามี ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า ‘นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะสถิตกับเขา [และจะทรงเป็นพระเจ้าของเขา]’” และในวิวรณ์ 11:15 กล่าวไว้ว่า “อาณาจักรของโลกนี้กลับกลายเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” การเอ่ยถึง “ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว” “นครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า และอาณาจักรของโลกนี้กลับกลายเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และเป็นของพระคริสต์ของพระองค์” ในคำเผยวจนะเหล่านี้พิสูจน์ได้อย่างเพียงพอว่าราชอาณาจักรของพระเจ้านั้นสร้างขึ้นบนแผ่นดินโลก พระองค์จะดำรงพระชนม์ชีพกับมนุษย์อยู่บนแผ่นดินโลก และราชอาณาจักรทั้งหลายของโลกจะกลายเป็นราชอาณาจักรของพระคริสต์ตลอดไปและตลอดไป ตามมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเรา ราชอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ และเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงอุ้มชูพวกเราเข้าสู่สวรรค์ หากเป็นเช่นนั้น แล้วพระวจนะแห่งพระเจ้าจะได้รับการทำให้ลุล่วงอย่างไร? ในความเป็นจริงแล้ว การสัมฤทธิผลสุดท้ายของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ก็คือสรรพสิ่งที่ทรงสร้างแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์เพื่อที่จะสร้างกลุ่มผู้ชนะบนแผ่นดินโลก ทั้งนี้ ผู้ชนะเหล่านี้ ที่ได้รับการช่วยให้รอดและทำให้ครบบริบูรณ์โดยพระเจ้า ก็คือบรรดาผู้ที่ปฏิบัติพระวจนะแห่งพระเจ้าและติดตามหนทางแห่งพระเจ้าบนแผ่นดินโลก—พวกเขาคือประชากรของราชอาณาจักรของพระเจ้า เมื่อผู้ชนะเหล่านี้ได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ น้ำพระทัยของพระเจ้าจะทำจนแล้วเสร็จบนแผ่นดินโลก ซึ่งหลังจากนั้นราชอาณาจักรของพระคริสต์จะเป็นจริงขึ้นบนแผ่นดินโลก และพระเจ้าจะทรงได้รับพระเกียรติอย่างเต็มเปี่ยม คำเผยวจนะแห่งหนังสือวิวรณ์คือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ในท้ายที่สุด—เจ้าไม่สามารถมองเห็นข้อเท็จจริงนี้ได้จริงๆ หรือ?

อาจมีบางคนที่ถามว่า หากราชอาณาจักรอยู่บนแผ่นดินโลก เหตุใดหรือองค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสว่า “เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย(ยอห์น 14:2-3)? องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์เพื่อทรงตระเตรียมสถานที่สำหรับพวกเรา ดังนั้นเหตุผลจึงสั่งการว่าสถานที่นี้ก็ควรอยู่ในสวรรค์ด้วยเช่นกัน—พระวจนะเหล่านี้จะเป็นที่เข้าใจกันได้อย่างไรหรือ? เป็นการยุติธรรมที่จะพูดว่าไม่มีใครสามารถหยั่งลึกถึงคำเผยวจนะแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ พวกเราเข้าใจสิ่งที่พระวจนะขององค์พระเยซูเจ้ากำลังอ้างอิงถึงจริงๆ หลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายและมองเห็นข้อเท็จจริงทั้งหลายเกี่ยวกับการทำให้ลุล่วงในพระราชกิจของพระองค์แล้วเท่านั้น การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตระเตรียมสถานที่สำหรับพวกเรานั้นอ้างอิงถึงการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อตรัสและทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกในยุคสุดท้าย ดังนั้น พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดพิจารณาไว้ล่วงหน้าด้วยเช่นกันว่าพวกเราจะถือกำเนิดในระหว่างยุคสุดท้าย และเมื่อพระองค์ทรงปรากฏและทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พวกเราก็ได้รับการฟูมฟักเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อยอมรับการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระวจนะแห่งพระเจ้า และได้รับการสร้างให้เป็นผู้ชนะก่อนการมาถึงของความวิบัติ กระบวนการของการที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงรับพวกเราคือกระบวนการของการชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และการทำให้พวกเราเพียบพร้อม พวกเรากิน ดื่ม และชื่นชมพระวจนะแห่งพระเจ้า พวกเราได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเราเข้าร่วมงานเลี้ยงกับพระเจ้า—นี่ไม่ใช่การที่พวกเราพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ? เมื่อวันนั้นมาถึงที่พระราชกิจของพระเจ้ามาถึงปลายทาง และพวกเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการทำให้เพียบพร้อม พวกเราจะถูกนำพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า ณ เวลานั้น ราชอาณาจักรทั้งหมดของแผ่นดินโลกจะกลายเป็นราชอาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์จะครองราชย์ในราชอาณาจักร และพวกเราจะเป็นประชากรของพระเจ้าที่นมัสการพระองค์ในราชอาณาจักรของพระองค์ “เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกท่านจะได้อยู่ที่นั่นด้วย” นี่ไม่เป็นการลุล่วงพระวจนะแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ? ราชอาณาจักรของพระเจ้าสร้างขึ้นบนแผ่นดินโลก พระเจ้าได้ทรงประกาศกฤษฎีกาไว้ว่าพวกเราจะดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลก ความดึงดันของพวกเราให้พวกเราขึ้นไปสู่สวรรค์ไม่วิ่งสวนทางกับพระราชกิจและน้ำพระทัยของพระเจ้าหรอกหรือ?

ดังนั้น การถูกรับขึ้นไปนั้นหมายความว่าอะไรกันแน่? สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้วนี่ไม่ชัดเจน มีเพียงเมื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาเท่านั้น ความล้ำลึกนี้ของการถูกรับขึ้นไปจึงได้ถูกเปิดเผยต่อพวกเรา โดยตรัสว่า “‘การถูกรับไว้’ ไม่ได้หมายถึงการถูกนำไปจากที่ต่ำต้อยไปสู่ที่สูงส่ง ดังที่ผู้คนอาจจินตนาการ นั่นเป็นมโนคติที่ผิดมโหฬาร ‘การถูกรับไว้’ หมายถึงการลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วตามด้วยการคัดสรรของเรา มันมุ่งตรงไปที่ทุกคนที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าและเลือกสรรไว้ บรรดาผู้ที่ถูกรับไว้ทั้งหมดคือผู้คนที่ได้รับสถานะของบรรดาบุตรหัวปีหรือบรรดาบุตร หรือผู้ที่เป็นประชากรของพระเจ้า การนี้เข้ากันไม่ได้มากที่สุดกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน บรรดาผู้ที่จะมีส่วนแบ่งในบ้านของเราในอนาคตก็คือผู้ที่ได้ถูกรับไว้เบื้องหน้าเราทั้งหมด นี่เป็นจริง ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และมิอาจปฏิเสธได้อย่างแน่นอน มันเป็นการตีโต้ซาตาน ผู้ใดก็ตามที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าจะถูกรับไว้เบื้องหน้าเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 104) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงระบุอย่างไม่กำกวมว่า “การถูกรับขึ้นไป” ไม่ใช่ดังเช่นที่พวกเราจินตนาการ—นั่นไม่ใช่หมายความว่าพวกเราได้รับการอุ้มชูจากพื้นดินและยกชูเข้าไปในเมฆเพื่อพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้า นับประสาอะไรที่นั่นจะหมายความว่าพวกเราได้รับการอุ้มชูเข้าสู่สวรรค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น นั่นกลับอ้างอิงถึงการที่พวกเราได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและการติดตามพระเจ้า การยอมรับและการเชื่อฟังพระราชกิจของพระองค์ในยุคสุดท้าย และการติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกเมื่อพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อตรัส ทรงปรากฏ และทรงพระราชกิจ นี่คือความหมายที่แท้จริงของการถูกรับขึ้นไปเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า ทุกคนที่มีความสามารถที่จะระลึกรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าได้ และผู้ที่สามารถค้นพบและยอมรับความจริงและหันไปหาพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ท่ามกลางพระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือหญิงพรหมจารีมีปัญญา พวกเขาล้วนแต่เป็น “ทองคำ เงิน และอัญมณี” ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรง “ขโมยไป” และได้หวนคืนสู่พระนิเวศของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ล้วนแต่มีความสามารถที่จะเข้าใจและยอมรับความจริง และเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาก็คือบรรดาผู้ที่ได้รับการฟูมฟักเบื้องพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง ตั้งแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงเริ่มเข้าสู่พระราชกิจในยุคสุดท้าย ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่โหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้ระลึกรู้พระสุรเสียงของพระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ละคนได้ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ได้รับการนำพามาพบกับพระเจ้าตัวต่อตัวเบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ ยอมรับการให้น้ำและการบำรุงเลี้ยงของพระวจนะของพระเจ้า ครองความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้ได้รับการสร้างให้เป็นผู้ชนะก่อนความวิบัติแล้ว พวกเขาได้กลายเป็นดอกผลแรกที่พระเจ้าทรงได้รับ พวกเหล่านั้นที่เกาะติดมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเอง ผู้ที่รออย่างโง่เขลาให้องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาและทรงยกชูพวกเขาขึ้นสู่สวรรค์ และผู้ที่ปฏิเสธที่จะยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย—พวกเขาคือหญิงพรหมจารีโง่เขลา พวกเขาจะถูกพระเจ้าทรงละทิ้ง และย่อมไม่แคล้วที่จะถูกผลักลงสู่ความวิบัติ โดยร่ำไห้อย่างขมขื่นและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพวกเขา นี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger