ความกังวลของฉันเรื่องการปลดผู้นำเทียมเท็จ

วันที่ 22 เดือน 12 ปี 2024

เมื่อเดือนกันยายน ปี 2020 ฉันเป็นผู้ประกาศในคริสตจักร รับผิดชอบงานของคริสตจักรสี่แห่ง หลี่ อิ๋งหนึ่งในผู้นำของคริสตจักรเหล่านี้ มีขีดความสามารถที่ดีและกระตือรือร้น ฉันประทับใจเธอมาก แต่ต่อมาไม่นาน ฉันพบว่าคริสตจักรแห่งนี้มีผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดบางคน ที่ยังไม่ถูกเอาตัวออกไป และกำลังขัดขวางชีวิตในคริสตจักร ดังนั้นฉันจึงสามัคคีธรรมกับหลี่ อิ๋ง ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์นี้ และบอกเธอถึงแก่นแท้และผลที่ตามมาของการไม่เอาคนพวกนี้ออกไป หลี่ อิ๋งตกลงที่จะเอาผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่ชั่วเหล่านี้ออกไปให้เร็วที่สุด แต่สองเดือนต่อมา เมื่อฉันตรวจดูงานของพวกเขาอีกครั้ง ก็พบว่าหลี่ อิ๋งยังไม่ได้เอาคนพวกนั้นออกไป เธอถึงขั้นอยู่ข้างเดียวกับผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่ชั่ว โดยโต้เถียงแทนพวกเขา ผลลัพธ์ก็คือ คนเหล่านี้ที่ควรถูกเอาตัวออกไปยังคงอยู่ที่นั่น และได้รับอนุญาตให้ก่อเรื่องได้ตามใจชอบภายในคริสตจักร นอกจากนั้น ยังมีปัญหาในหน้าที่ของพี่น้องชายหญิง แต่หลี่ อิ๋งไม่เคยสามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ปัญหา หรือตัดแต่งคนเหล่านั้นเลย กลับกัน เธอกำลังใส่ใจเนื้อหนังของพวกเขา อำนวยความสะดวกและตามใจ จนพวกเขาไม่รับผิดชอบในหน้าที่ ซึ่งทำให้งานของคริสตจักรได้รับผลกระทบ เมื่อตัดสินจากพฤติกรรมที่มีให้เห็นอย่างต่อเนื่องของเธอ หลี่ อิ๋งเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานจริง และตามหลักธรรมแล้ว ควรถูกปลดทันที แต่ฉันคิดกับตัวเองว่า “เธอเป็นผู้นำเพียงคนเดียวในคริสตจักรนี้ หากฉันปลดเธอตอนนี้ ฉันก็จะต้องกังวลเรื่องโครงการของคริสตจักรนี้ แถมงานเหล่านี้บางอย่างฉันจะต้องไปดำเนินการด้วยตัวเองอีก ฉันจะเอาเวลากับพลังงานจากไหนมาทำเรื่องนั้นล่ะ ยิ่งไปกว่านั้น ฉันมีงานจากคริสตจักรอื่นอีกหลายที่ให้คอยติดตาม ฉันจะยุ่งมากๆ ฉันก็อายุ 60 กว่าแล้ว และสุขภาพก็ไม่สู้ดีนัก หากทำงานมากเกินไป ร่างกายฉันอาจรับไม่ไหว! หากฉันให้หลี่ อิ๋งอยู่ต่อ อย่างน้อยเธอก็ยังสามารถดูธุระทั่วไปได้ และฉันก็จะได้ผ่อนแรงลงไปบ้าง” พอฉันคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่ปลดเธอ จากนั้นในเดือนธันวาคม สามีผู้ไม่มีความเชื่อของหลี่ อิ๋งก็เริ่มเฝ้าสังเกตและติดตามเธอ เธอรู้ชัดเจนว่าเขามีความเป็นมนุษย์ต่ำ แต่เธอก็มายังที่ชุมนุมต่อ โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นเลยสักนิด ผลลัพธ์ก็คือ เธอทำให้กลุ่มชุมนุมหลายกลุ่มตกอยู่ในอันตราย สุดท้ายฉันก็ตระหนักว่าปัญหาของหลี่ อิ๋งนั้นร้ายแรงเพียงใด และให้เธอหยุดทำงานทันที หลังจากเกิดเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกกลัว ฉันตระหนักว่านี่เป็นผลที่ตามมาของการที่ฉันไม่ได้ปลดหลี่ อิ๋งเร็วพอ ฉันก็ต้องรับผิดชอบเหมือนกัน!

ระหว่างการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “วิธีที่เจ้าคำนึงถึงพระบัญชาทั้งหลายของพระเจ้านั้นสำคัญอย่างยิ่งยวด และนี่เป็นเรื่องที่จริงจังมาก  หากเจ้าไม่สามารถทำสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่ผู้คนให้สำเร็จได้ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะใช้ชีวิตอยู่ในการสถิตของพระองค์และเจ้าก็ควรถูกลงโทษ  นี่เป็นเรื่องที่ปกติและชอบด้วยเหตุผลโดยแท้ มนุษย์ควรทำพระบัญชาไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้แก่พวกเขาให้เสร็จสมบูรณ์  นี่คือความรับผิดชอบสูงสุดของมนุษย์ และมีความสำคัญเทียบเท่าชีวิตของพวกเขา  หากเจ้าไม่จริงจังกับพระบัญชาของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระองค์ในหนทางที่ร้ายแรงที่สุด  ในการนี้ เจ้าน่าโทมนัสยิ่งกว่ายูดาส และควรถูกสาปแช่ง  ผู้คนต้องได้รับความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับวิธีปฏิบัติต่อสิ่งที่พระเจ้าวางพระทัยมอบหมายให้พวกเขาทำ และอย่างน้อยที่สุด พวกเขาต้องเข้าใจว่า พระบัญชาทั้งหลายที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้แก่ความเป็นมนุษย์นั้นเป็นการยกย่องและเป็นความโปรดปรานพิเศษจากพระเจ้า ว่าพระบัญชาเหล่านั้นคือสิ่งที่ทรงเกียรติที่สุด  สิ่งอื่นล้วนสามารถทอดทิ้งได้  ต่อให้คนคนหนึ่งต้องพลีอุทิศชีวิตของตนเอง พวกเขาก็ยังคงต้องทำพระบัญชาของพระเจ้าให้ลุล่วง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีที่จะรู้จักธรรมชาติของมนุษย์)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเข้าใจว่า หน้าที่ของคนคนหนึ่งได้รับการไว้วางพระทัยมอบหมายจากพระเจ้า และนั่นก็สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด การปฏิบัติต่อหน้าที่อย่างผิวเผินและขาดความรับผิดชอบคือการทรยศพระเจ้า โดยหลักแล้วการทำเช่นนี้ก็เหมือนกับยูดาส และผู้นั้นจะถูกสาปแช่ง ที่ฉันสามารถปฏิบัติในฐานะผู้ประกาศในคริสตจักรได้ถือเป็นความโปรดปรานของพระเจ้า เมื่อฉันพบผู้นำในคริสตจักรที่ไม่ได้ทำงานจริง ฉันควรปลดหรือย้ายพวกเขาตามความจำเป็น นั่นเป็นหน้าที่ของฉัน ความรับผิดชอบของฉัน ในฐานะผู้นำคริสตจักร  หลี่ อิ๋งพบปัญหาแต่ไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา และถึงขั้นกีดขวางงานการชำระด้วย เธอผัดผ่อนการเอาตัวผู้ไม่เชื่อและผู้คนที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัดออกไป และถึงขั้นยืนหยัดเพื่อพวกเขาด้วย เรื่องนี้ยืนยันว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จและควรถูกปลดโดยทันที แต่สำหรับฉัน ฉันกังวลว่าเมื่อฉันปลดเธอแล้ว ฉันจะไม่สามารถหาคนมาแทนที่เหมาะสมได้ระยะหนึ่ง และฉันก็จะต้องกังวลเกี่ยวกับงานของคริสตจักรมากขึ้น ฉันจึงไม่ได้ปลดเธอในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและเป็นอุปสรรคต่องานของคริสตจักร ฉันทราบดีว่า ผู้นำเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์เป็นอุปสรรคและสิ่งกีดขวางต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง และเมื่อพบแล้ว พวกนั้นต้องถูกกำจัด เราไม่อาจทนต่อพวกนั้นได้แม้แต่นิดเดียว แต่เพื่อให้ตัวเองไม่ต้องกังวลและพบความลำบากบางส่วน ฉันจึงไม่ได้ปลดหลี่ อิ๋ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ ฉันเห็นว่าฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างแท้จริง ท่าทีนี้ที่ฉันมีต่อหน้าที่ของตัวองทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงอย่างแท้จริง การตระหนักรู้เหล่านี้ทำให้ฉันกลัวมาก ฉันจึงอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้า แล้วก็รีบปลดหลี่ อิ๋ง ฉันยังเปิดโปงและสามัคคีธรรมเรื่องแก่นแท้และผลที่ตามมาของการกระทำของเธอด้วย ส่วนคนอื่นๆ ก็ได้รับวิจารณญานบางอย่างเกี่ยวกับเธอ หลังจากนี้ คริสตจักรก็คัดเลือกผู้นำคนใหม่ และงานของคริสจักรก็ค่อยๆ ถูกสานต่อในที่สุด

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021 ผู้ประกาศคนหนึ่งที่รับผิดชอบคริสตจักรในเฉิงซีถูกปลดเพราะเขาไม่สามารถทำงานจริงได้ ส่วนผู้นำก็ให้ฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักรนั้น หลังจากฉันรับช่วงต่อ พี่น้องหญิงเสวี่ย หมิงบอกฉันถึงปัญหาเกี่ยวกับผู้นำคริสตจักรและมัคนายกให้น้ำว่า “มัคนายกให้น้ำทำหน้าที่แบบขาดความรับผิดชอบและสุกเอาเผากินอยู่เสมอ เธอไม่ได้ให้น้ำผู้มาใหม่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองมา 20 กว่าวันแล้ว บางคนฟังคำบอกเล่าแล้วก็ละทิ้งความเชื่อ ผู้นำคริสตจักรก็ยุ่งกับงานของตัวเองอยู่ตลอด และแทบจะไม่ชุมนุมกับคนอื่นหรือติดตามงานเลย พี่น้องชายหญิงเตือนและสามัคคีธรรมกับเธอแล้ว แต่เธอก็ไม่ฟัง อีกอย่าง เธอทราบว่ามัคนายกให้น้ำไม่ได้ทำงานจริงและควรถูกปลด แต่ไม่เพียงแค่ไม่ปลดมัคนายก เธอยังเข้าข้างและปกป้องมัคนายกด้วย พวกเธอจึงเป็นผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานจริง และทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าแล้ว” หลังจากฟังรายงานของเสวี่ย หมิง ฉันก็คิดว่า “ดูจากพฤติกรรมของพวกเธอแล้ว สองคนนี้ควรถูกปลด แต่การคัดเลือกผู้นำและคนทำงานใหม่ไม่ใช่งานง่าย หากฉันปลดทั้งสองคนและเราไม่สามารถคัดเลือกคนมาแทนที่เหมาะสมได้ระยะหนึ่ง ฉันก็จะต้องจัดการงานของคริสตจักรนี้ไม่ใช่เหรอ? พลังงานของฉันมีจำกัด ดังนั้นไม่ว่าจะกดดันแค่ไหน ฉันก็จะต้องทำไปทีละขั้น” พอเห็นว่าฉันไม่ตอบโต้ เสวี่ย หมิงจึงพูดอย่างวิตกว่า “ถ้าผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จไม่ถูกปลดโดยทันที ก็จะส่งผลเสียทั้งต่องานของคริสตจักรและการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง คุณไม่รู้สึกถึงความเร่งด่วนบ้างเหรอ? เรื่องนั้นไม่สำคัญกับคุณเลยเหรอ? คุณจะเป็นเหมือนผู้ประกาศคนก่อนที่ไม่ได้ทำงานจริงไม่ได้นะ” ฉันรู้สึกว่าหน้าฉันร้อนผ่าวหลังจากได้ยินการวิจารณ์รัวๆ นี้ และคิดว่า “ฉันเพิ่งมาที่นี่ ยังมีอีกหลายอย่างที่ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่สามารถทำอะไรที่เกินตัวได้ ฉันต้องทำงานนี้ทีละขั้น ยังไงก็เถอะ ฉันไม่ได้บอกว่าฉันจะไม่จัดการเรื่องนี้” ต่อมา ฉันก็ตระหนักได้ว่าสภาวะของฉันนั้นผิด ฉันจึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้า “พระเจ้า พระองค์ทรงอนุญาตให้เกิดสถานการณ์ที่ข้าพระองค์ได้เผชิญในวันนี้ แต่ข้าพระองค์เอาแต่หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง ข้าพระองค์รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระองค์ ได้โปรดทรงชี้นำให้ข้าพระองค์นบนอบ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจจะได้ทบทวนและเรียนรู้จากเรื่องนี้” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็หวนนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง พระเจ้าตรัสว่า “ในปัจจุบันมีบางคนที่ไม่แบกภาระให้คริสตจักร  ผู้คนเหล่านี้ย่อหย่อนและเหลวไหล และสนใจแต่เนื้อหนังของพวกเขาเองเท่านั้น  คนเช่นนี้เห็นแก่ตัวอย่างที่สุด และพวกเขายังตาบอดอีกด้วย  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน เจ้าย่อมจะไม่แบกภาระอันใด  ยิ่งเจ้าคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ภาระที่พระเจ้าจะวางพระทัยมอบหมายให้เจ้าทำก็ยิ่งจะมีมากขึ้น  ผู้ที่เห็นแก่ตัวย่อมไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับสิ่งต่างๆ ดังกล่าว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะยอมลำบากและผลก็คือ พวกเขาจะพลาดโอกาสที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  พวกเขามิได้กำลังทำร้ายตัวเองอยู่หรอกหรือ?  หากเจ้าเป็นใครบางคนที่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะเริ่มแบกรับภาระอันแท้จริงเพื่อคริสตจักร  อันที่จริง แทนที่จะเรียกการนี้ว่าภาระที่เจ้ารับมาทำเพื่อคริสตจักร คงจะดีกว่าหากจะเรียกว่าภาระที่เจ้ารับมาทำเพื่อชีวิตของเจ้าเอง เพราะจุดประสงค์ของภาระที่เจ้าพัฒนาให้เกิดขึ้นแก่คริสตจักรนี้ คือการให้เจ้าใช้ประสบการณ์ดังกล่าวมารับการทำให้มีความเพียบพร้อมจากพระเจ้า  ดังนั้นใครก็ตามที่แบกภาระยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อคริสตจักร ใครก็ตามที่แบกภาระเพื่อการเข้าสู่ชีวิต—พวกเขาจะเป็นผู้ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  เจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจนแล้วหรือยัง?  หากคริสตจักรที่เจ้าอยู่ด้วยกระจัดกระจายเหมือนเม็ดทราย แต่เจ้ากลับไม่เป็นห่วงหรือวิตกกังวล และเจ้าถึงกับทำเป็นไม่เห็นเมื่อพี่น้องชายหญิงของเจ้าไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าตามปกติ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่ได้กำลังแบกภาระใดๆ อยู่  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่คนประเภทที่พระเจ้าทรงปีติยินดีด้วย  คนประเภทที่ยังความปีติยินดีให้แก่พระเจ้าย่อมหิวกระหายความชอบธรรมและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม)  การได้ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันละอายใจ ฉันไม่เคยกังวลหรือวิตกเกี่ยวกับงานของคริสตจักรเลยเหรอ? ตอนที่ฉันได้ฟังรายงานของเสวี่ย หมิงเกี่ยวกับปัญหาของผู้นำและมัคนายกให้น้ำ ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักร และไม่ได้รีบปลดผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จ ฉันกลับคำนึงถึงผลประโยชน์ทางเนื้อหนังของตัวเองก่อน กังวลว่าเมื่อฉันปลดพวกเขาแล้ว ก็จะมีการคัดเลือกคนมาแทน ฉันจะต้องกังวลและใช้พลังงานไปกับเรื่องนั้น และงานของฉันก็จะเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยให้ตัวเองไม่ต้องแลกด้วยอะไรและพบความยากลำบากทางกาย ฉันจึงรู้สึกว่าการปลดพวกเธอไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน ถึงฉันจะรู้ว่าพวกเธอเป็นคนเทียมเท็จก็ตาม โดยแก่นแท้แล้วฉันแอบกำบังและตามใจพวกเธอ ปล่อยให้พวกเธอก่อเรื่องได้ตามใจชอบในคริสตจักร และขัดขวางงานของคริสตจักร ที่เสวี่ย หมิงตัดแต่งฉันว่าไม่ปฏิบัติต่อหน้าที่ด้วยความเร่งด่วนนั้น เป็นการเตือนที่มีประโยชน์กับฉัน ทำให้ฉันรีบทบทวนและรู้ถึงอุปนิสัยเสื่อมทราม แล้วก็กลับใจต่อพระเจ้า หากยังให้ผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จอยู่ในคริสตจักรต่อ ไม่รู้ว่างานของคริสตจักรจะเกิดความสูญเสียใหญ่หลวงขนาดไหน ฉันยังตระหนักด้วยว่าคราวก่อนฉันก็ใส่ใจเนื้อหนังของตัวเองเหมือนกัน การที่ฉันไม่เปลี่ยนผู้นำเทียมเท็จโดยทันทีนั้น กีดขวางงานของคริสตจักร นี่ฉันทำผิดพลาดแบบเดิมไม่ใช่เหรอ? ด้วยความที่อยากให้ตัวเองไม่ต้องพบความลำบากทางกาย ฉันเลยไม่ได้นึกถึงงานของคริสตจักรเลยแม้แต่นิดเดียว หรือนึกถึงการสูญเสียที่เกิดกับการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันก็ไม่ได้ทำงานจริงด้วยเหมือนกัน ฉันทำตัวเหมือนกับผู้นำเทียมเท็จ ท่าทีต่อหน้าที่ของฉันนั้นทำให้พระเจ้าทรงขยะแขยงอย่างแท้จริง ถ้าฉันไม่ได้รับการตัดแต่ง ฉันคงจะไม่รู้จักที่จะทบทวนตัวเอง พอตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ ฉันจึงกล่าวคำอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ พูดว่าฉันอยากกลับใจและทำหน้าที่ให้ดี วันต่อมา ฉันไปคริสตจักรกับเสวี่ย หมิง หลังจากการสืบสวน ฉันได้รับการยืนยันว่าผู้นำและมัคนายกให้น้ำไม่ได้ทำงานจริงแน่นอน พวกเธอมีทัศนะเดียวกับผู้ไม่มีความเชื่อ วิเคราะห์ผู้คนกับสิ่งทั้งหลายมากเกินเหตุ และไม่ยอมรับความจริง พวกเธอเป็นผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ ไม่นานหลังจากนั้นพวกเธอก็ถูกปลด และมีการเลือกคนมาแทน

หลังจากเรื่องทั้งหมดนั้น ฉันสงสัยว่า “ทำไมเมื่อใดก็ตามที่ฉันพบผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานจริงในคริสตจักร ฉันถึงไม่หาคนมาแทนพวกเขาโดยทันที? อะไรเป็นสาเหตุของเรื่องนี้กันแน่?” ต่อมาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในไปจนกว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและเข้าใจความจริงแล้ว  สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ?  ตัวอย่างเช่น  เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว?  เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความรู้สึกรุนแรงเช่นนั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น?  เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น?  อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว?  สิ่งเหล่านี้มาจากไหน?  เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้?  ถึงตอนนี้พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่าเหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งทั้งปวงนี้ก็คือว่า มีพิษของซาตานอยู่ภายในตัวมนุษย์  ดังนั้น อะไรคือพิษของซาตาน?  สามารถแสดงมันออกมาในทางใดได้บ้าง?  ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร?  ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’  ผู้คนก็จะตอบว่า ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’  วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา  ปรัชญาและตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว  ไม่ว่าผู้คนจะไล่ตามเสาะหาสิ่งใด พวกเขาก็ทำเช่นนั้นเพื่อตัวเอง—ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น  ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือปรัชญาชีวิตของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย  คำพูดเหล่านี้ได้กลายเป็นธรรมชาติของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว และเป็นภาพเหมือนของธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามโดยแท้  ธรรมชาติเยี่ยงซาตานนี้ได้กลายเป็นบาทฐานสำหรับการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามไปแล้ว  มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามดำรงชีวิตตามพิษของซาตานนี้มาเป็นเวลาหลายพันปีจวบจนปัจจุบัน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร)  การได้ไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันกระจ่างชัดว่า ฉันไม่ได้ปลดผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ หลักๆ เป็นเพราะฉันเห็นแก่ตัวและขี้เกียจ ไม่ว่าจะทำอะไร ฉันแค่อยากทำแบบง่ายๆ และไม่ต้องทนทุกข์หรือแลกด้วยอะไร “ตัวใครตัวมันและปีศาจจะรอจัดการผู้รั้งท้าย” และ “ดื่มไวน์ของวันนี้วันนี้ พรุ่งนี้ค่อยกังวลเรื่องวันพรุ่งนี้” เป็นปรัชญาของซาตานที่ฉันใช้นำชีวิต ฉันคำนึงถึงแค่เพียงประโยชน์ส่วนตนและหาความสบายทางกาย ฉันไม่ได้คำนึงถึงงานของคริสตจักรเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนการปลดผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จสองครั้งที่เพิ่งเกิดขึ้น ฉันทราบดีว่าพวกเธอไม่ได้ทำงานจริงและควรถูกปลดโดยทันที แต่ฉันกลับคอยกังวลว่าเราจะไม่สามารถหาคนมาแทนที่เหมาะสมได้ระยะหนึ่ง จากนั้นฉันก็จะต้องกังวลมากขึ้นกับงานของคริสตจักรเหล่านี้ นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องแรงกายที่ต้องใช้นะ ฉันอายุ 60 กว่าปีแล้ว แถมสุขภาพฉันก็ไม่ได้ดีมาก ถ้าฉันกดดันตัวเองมากไป ฉันต้องลำบากแน่ ดังนั้นเพื่อให้ร่างกายฉันได้พัก และไม่ต้องให้ตัวเองพบความลำบาก ฉันจึงให้พวกเธออยู่ต่ออย่างไม่เต็มใจ และไม่ได้เร่งรีบหาคนมาแทนพวกเธอ ฉันรู้สึกว่าการมีพวกเธอคอยประคับประคองงานของคริสตจักรเหล่านี้ ฉันก็อาจจะเป็นกังวลและทนทุกข์น้อยลง ฉันเห็นว่าฉันคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ทางเนื้อหนังในหน้าที่ของตัวเอง และใส่ใจเนื้อหนังของฉัน ฉันแอบกำบังและปกป้องผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ โดยการตามใจพวกเขาในขณะที่พวกเขายังคงรบกวนงานของคริสตจักรต่อ ฉันไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันกระทำชั่ว! ฉันเคยกังวลเรื่องอายุของฉันอยู่ตลอด ว่าร่างกายของฉันจะไม่สามารถรับมือกับภาระงานหนักได้ แต่จริงๆ แล้ว ฉันก็แค่หาข้ออ้างเพื่อที่จะขาดความรับผิดชอบและเพิกเฉยต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าไม่ทรงให้ภาระงานที่หนักเกินกว่าที่พวกเขาจะแบก  หากเจ้าสามารถแบกหามได้หนึ่งร้อยปอนด์ พระเจ้าก็จะไม่ทรงให้ภาระงานซึ่งหนักกว่าหนึ่งร้อยปอนด์แก่เจ้าอย่างแน่นอน  พระองค์จะไม่ทรงกดดันเจ้า  นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงเป็นกับทุกคน  และเจ้าก็จะไม่ถูกสิ่งใดควบคุมโดยสิ่งใด—บุคคลใด หรือความคิดและทัศนะใดเลย  เจ้าเป็นอิสระ(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (15))  แม้ว่าสุขภาพของฉันจะย่ำแย่ และบางครั้งฉันก็เหนื่อยเล็กน้อยทันทีที่งานยุ่ง แต่ฉันก็สามารถรับมือกับสิ่งเหล่านี้ได้ ความรับผิดชอบของฉันอยู่ในขอบเขตความสามารถที่ฉันทำได้สบายๆ ตราบใดที่ฉันจัดการเวลาได้อย่างเหมาะสมและร่วมมือกับผู้อื่นให้มากๆ ร่างกายฉันก็จะรับมือกับภาระงานได้ ส่วนใหญ่ฉันเคยคิดแบบนั้นเพราะฉันขี้เกียจและใส่ใจเนื้อหนังของตัวเองเกินไป ซึ่งทำให้ฉันรังเกียจแรงกดดัน ความลำบาก และการต้องแลกอะไรบางอย่างในหน้าที่ ฉันนึกถึงตอนที่พระเจ้าทรงให้โมเสสนำชนชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสอายุ 80 ปีแล้ว แต่เขาไม่ได้พูดว่าเขาแก่เกินไปและปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้าเพราะเขากังวลเรื่องความตึงเครียดทางกาย ในทางกลับกัน เขาตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้า และสามารถทำตามพระบัญชาของพระเจ้าตามที่พระองค์ทรงมีพระประสงค์ได้เต็มความสามารถของเขา สุดท้ายเขาก็นำชนชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ บางคนก็อายุพอๆ กับฉัน และบางคนก็อายุมากกว่าฉันเสียอีก พวกเขายังรับภาระงานหนักเลย พวกเขายังคงทุ่มสุดตัวให้หน้าที่เหมือนที่เคยทำมาตลอด และฉันไม่เคยเห็นใครเหนื่อยล้าอย่างแท้จริงจากหน้าที่เลย พวกเขากำลังมีประสบการณ์กับการทำงานหนักกว่าและทนทุกข์ยิ่งกว่าฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ? แต่สำหรับฉัน ฉันกำลังใช้อายุที่เยอะและสุขภาพที่แย่เป็นข้ออ้างที่จะไม่ปลดผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จเหล่านี้ เลือกที่จะให้พวกเขาอยู่ในคริสตจักรต่อ ทำให้งาน และการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิงล่าช้า ฉันนี่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างแท้จริง อันที่จริง พระเจ้าทรงทราบอายุของฉันและหน้าที่ที่ฉันสามารถทำได้ และฉันหมดสิ้นแรงหรือไม่นั้นก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ในฐานะผู้นำคริสตจักร ฉันต้องทำหน้าที่ตามหลักธรรมตลอดเวลา และปกป้องงานของคริสตจักร ไม่ว่าสุขภาพฉันจะเป็นเช่นไร ฉันก็ควรนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เป็นเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี เมื่อเข้าใจเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว ฉันแค่ต้องการปฏิบัติความจริง ขัดขืนเนื้อหนังของฉันและทำหน้าที่ให้ดี

หลังจากนี้ ฉันก็ทบทวนต่อ เมื่อฉันพบผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จแล้ว ทำไมฉันถึงใช้งานพวกเขาอยู่ และไม่รีบปลดพวกเขาออก? เมื่อไตร่ตรองแล้ว ฉันก็พบว่าฉันมีทัศนะที่ผิดพลาด ฉันคิดว่าการปลดผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ และคัดเลือกคนอื่นมาสานต่องานของพวกเขาจะเป็นเรื่องยาก หากฉันให้พวกเขาอยู่ต่อสักระยะหนึ่ง อย่างน้อยพวกเขาก็สามารถทำธุระทั่วไปได้ ซึ่งดีกว่าไม่มีใครเลย พี่น้องหญิงคนหนึ่งส่งพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับปัญหานี้มาให้ฉัน และทำให้สิ่งต่างๆ แจ่มชัดขึ้นมากสำหรับฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บุคคลชนิดที่เป็นผู้นำเทียมเท็จไม่ทำงานจริง และไม่สามารถทำงานได้จริง  ขีดความสามารถของพวกเขาอ่อนด้อย ดวงตาและหัวใจของพวกเขามืดบอด พวกเขาไม่สามารถค้นพบปัญหาและไม่สามารถมองผู้คนนานาประเภทออกอย่างทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไร้ความสามารถที่จะเข้ารับภาระงานอันสำคัญแห่งการส่งเสริมและบ่มเพาะผู้ที่มีความสามารถพิเศษนานาชนิด ซึ่งยังเป็นการทำอันตรายต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าด้วยเช่นกัน และมีผลกระทบต่อการเข้าไปสู่ชีวิตของผู้คนที่แตกต่างกัน โดยก่ออุปสรรคกีดขวางการเข้าสู่ของพวกเขา  เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าผู้นำเทียมเท็จไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะทำงานนี้  ยังมีผู้นำเทียมเท็จบางคนอีกเช่นกันที่ไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับงานเฉพาะบางอย่าง ผู้ที่รักษาระยะห่างจากบรรดาผู้ที่ควบคุมดูแลงานเฉพาะ และด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้เลยว่าผู้คนต่างจำพวกกันสามารถเข้ารับภาระงานใดได้ และว่าพวกเขาดำเนินงานนานาอย่างถูกต้องเหมาะสมและตามหลักธรรมหรือไม่  นี่คือความเกียจคร้านส่วนหนึ่ง และคือขีดความสามารถอ่อนด้อยส่วนหนึ่ง ซึ่งนำไปสู่การที่ผู้นำเทียมเท็จไร้ความสามารถที่จะทำงานได้จริง  กับพวกเขา งานเฉพาะไม่สามารถเคลื่อนไปข้างหน้าได้ แต่กลับติดหล่มอยู่ในความหยุดนิ่งและการเป็นอัมพาต ซึ่งส่งผลให้ประสิทธิภาพงานอ่อนด้อย  การนี้ล้วนแต่เชื่อมโยงโดยตรงกับผู้นำเทียมเท็จที่ส่งเสริมและบ่มเพาะผู้คนผิดคน  ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระนิเวศของพระเจ้าได้เน้นย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าว่าคนเลวและผู้ปราศจากความเชื่อต้องถูกชำระล้าง และผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จต้องถูกแทนที่  เหตุใดนานาผู้คนที่เลวและผู้ปราศจากความเชื่อจึงต้องถูกชำระล้าง?  เพราะหลังจากเชื่อในพระเจ้ามาหลายปี ผู้คนเหล่านี้ยังคงไม่ยอมรับความจริงแต่ประการใด และบัดนี้หมดหวังที่จะได้รับการช่วยให้รอด  และเหตุใดเล่าผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จทั้งหมดจึงต้องถูกแทนที่?  เพราะพวกเขาไม่ทำงานจริง และไม่เคยส่งเสริมหรือบ่มเพาะบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งเป็นเหตุให้งานของคริสตจักรตกอยู่ในความอลหม่าน โดยมีผู้คนมากมายเกินไปที่ขัดจังหวะและทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก และถึงขั้นทำให้การเข้าสู่ชีวิตของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีอันช้าลง  ทันทีที่ผู้ปราศจากความเชื่อและผู้คนที่เลวเหล่านี้ถูกชำระล้าง และผู้นำเทียมเท็จและคนทำงานเทียมเท็จถูกแทนที่ ชีวิตคริสตจักรย่อมดีขึ้นมาก ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรก็สามารถกินและดื่มพระวจนะแห่งพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของตนได้อย่างเป็นปกติ และก้าวเท้าไปบนร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งความเชื่อในพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะทอดพระเนตร(พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (5))  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันจึงเห็นว่า ผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จนั้นไม่ทำงานจริงและไม่สามารถทำงานจริงได้ ถึงแม้คุณจะถูกบีบบังคับให้เก็บพวกเขาไว้ ก็มีแต่เสียมากกว่าได้ ไม่เพียงแค่พวกเขาไม่สามารถปกป้องงานของคริสตจักรได้ แต่พวกเขายังทำได้เพียงขัดขวางและรบกวนงานเท่านั้น สำหรับการปลดหลี่ อิ๋ง ฉันกังวลว่าถ้าฉันปลดผู้นำเทียมเท็จคนนี้ การคัดเลือกคนมาแทนที่ดีจะใช้เวลา ซึ่งทำให้งานล่าช้า ฉันคิดว่าการให้เธออยู่ต่อชั่วคราว อย่างน้อยก็ช่วยพยุงงานไว้ได้ ซึ่งดีกว่าไม่มีคนดูงานเลย ขอบคุณพระวจนะของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่เผยเรื่องนี้ออกมา ในที่สุดฉันก็เห็นว่าทัศนะนี้ไม่เพียงแค่ผิดพลาด แต่ไร้เหตุผล ผิด และไม่เป็นไปตามความจริงเลยสักนิด เมื่อพบผู้นำและคนทำงานเทียมเท็จ พวกเขาควรถูกปลดโดยทันที และคัดเลือกคนมาแทนที่เหมาะสมเพื่อสานต่องานให้เร็วที่สุด ถึงแม้จะเลือกคนมาแทนไม่ได้ การฝึกอบรมใครสักคนก็ดีกว่าการให้ผู้นำเทียมเท็จอยู่ต่ออย่างมาก นี่เป็นการปกป้องงานของคริสตจักร ก่อนหน้านี้ฉันไม่สามารถเห็นเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน ฉันเคยคิดว่าการให้ผู้นำเทียมเท็จอยู่ต่อจะช่วยแบ่งเบางานและผ่อนคลายได้บ้าง ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่า การทำแบบนั้นไม่เพียงแค่ไม่ช่วยให้ฉันไร้ปัญหา แต่ยังทิ้งให้ฉันเหนื่อยและยุ่งกว่าเมื่อก่อนอีก เนื่องจากมีการเบี่ยงเบนและข้อบกพร่องในงานของพวกเขาเสมอ สุดท้ายแล้วปัญหามากมายก็ต้องถูกจัดการ ปัญหาไม่ได้ถูกจัดการจนมีคนมาแทนพวกเขา งานของคริสตจักรจึงค่อยๆ ดีขึ้น หนำซ้ำ ข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของฉันต่อเหล่าผู้นำก็สูงเกินไป ฉันนึกว่าผู้นำควรที่จะสามารถทำงานได้ทันทีที่ได้รับคัดเลือก ฉันจึงไม่เคยรู้สึกว่ามีตัวเลือกที่เหมาะสมเลย และผลัดการเปลี่ยนผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นออกไป แต่อันที่จริง ขอแค่คนคนนั้นไล่ตามความจริง มีความตั้งใจที่ถูกต้อง เป็นคนที่เหมาะสม และมีขีดความสามารถที่เพียงพอ พวกเขาก็สามารถเข้ารับการอบรมได้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะใหม่ต่อความเชื่อหรือไม่เคยเป็นผู้นำมาก่อนก็ตาม เนื่องจากคนประเภทนี้สามารถรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หากพวกเขาไล่ตามความจริง และดำเนินหน้าที่ของพวกเขาต่อไป พอตระหนักถึงเรื่องเหล่านี้ ทัศนะที่ผิดพลาดของฉันที่ว่า “ผู้นำเทียมเท็จก็ยังดีกว่าไม่มีผู้นำ” ก็ได้รับการแก้ไขอย่างถี่ถ้วน

ต่อมา พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรแห่งหนึ่ง รายงานว่าผู้นำที่ชื่อหลิว ลี่ไม่ได้ทำงานจริง เธอเป็นผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาอยากให้ฉันปลดเธอให้เร็วที่สุด ฉันคิดกับตัวเองว่า “คริสตจักรนี้ขาดมัคนายกและผู้นำอยู่แล้ว และฉันยังต้องปลดคนอื่นอีกเหรอ? ฉันจะต้องกังวลเรื่องคัดเลือกคนอีกไม่ใช่เหรอ? หนำซ้ำ คริสตจักรอีกแห่งก็ยังต้องการผู้นำ ซึ่งที่แห่งนั้นเองก็มีงานมากมาย หากฉันปลดหลิว ลี่ ก็จะเพิ่มภาระงานให้ฉันไม่ใช่เหรอ?” ฉันอยากคำนึงถึงเนื้อหนังของฉันอีกครั้ง แต่แล้วฉันก็รู้ตัวว่าสภาวะของฉันนั้นผิด ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! แต่ละครั้งที่ข้าพระองค์ต้องปลดผู้นำ ข้าพระองค์คำนึงถึงเนื้อหนังตัวเอง ข้าพระองค์ไม่สามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระองค์หรือปกป้องงานของคริสตจักรได้ พระเจ้า โปรดประทานกำลังให้ข้าพระองค์ขัดขืนเนื้อหนัง ปฏิบัติความจริง และทำให้พระองค์พอพระทัยด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็หวนนึกถึงพระวจนะของพระเจ้านั้นที่ว่า “สำหรับทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความจริงจะลุ่มลึกหรือตื้นเขินเช่นไร หนทางที่เรียบง่ายที่สุดของการปฏิบัติเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงก็คือ การคิดถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และการปล่อยมือจากความอยากได้อยากมีอันเห็นแก่ตัว เจตนาส่วนตน เหตุจูงใจ ความภาคภูมิใจ และสถานะของตน  จงวางผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าไว้อันดับแรก—อย่างน้อยที่สุดคนเราควรทำเช่นนี้  หากแม้เพียงเท่านี้ คนที่ปฏิบัติหน้าที่ก็ไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วจะพูดได้อย่างไรว่าพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน?  นั่นย่อมไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถได้รับอิสรภาพและการปลดปล่อยก็ด้วยการปลดเปลื้องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนทิ้งเท่านั้น)  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจว่า เมื่อผลประโยชน์ส่วนตนขัดแย้งกับงานของคริสตจักร ฉันควรละวางผลประโยชน์ส่วนตนและให้ความสำคัญกับงานของคริสตจักรก่อน ฉันควรคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าก่อนและปลดผู้นำเทียมเท็จโดยทันที มีเพียงการทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ดังนั้นฉันจึงเริ่มจากการสามัคคีธรรมกับหลิว ลี่ เปิดโปงและชำแหละแก่นแท้และผลที่ตามมาร้ายแรงจากการที่เธอไม่ทำงานจริง แต่ต่อมาไม่นาน ฉันเห็นว่าเธอยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่นิดเดียว ฉันจึงปลดเธอตามหลักธรรม ฉันยังสามัคคีธรรมกับคนอื่นแล้วเราก็เลือกผู้นำคนใหม่ด้วย เมื่อฉันกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่เพียงแค่ไม่รู้สึกหมดสิ้นแรง แต่ฉันกลับรู้สึกโล่งใจและสงบสุขแทนด้วย การสามารถปรับปรุงและเข้าสู่หนทางนี้ได้ ล้วนต้องขอบคุณการชี้นำจากพระวจนะของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การเข้าใจว่าการเป็นคนดีหมายถึงอะไร

ตั้งแต่เด็ก พ่อแม่สอนให้ฉันเป็นธรรม มีเหตุผล ใจดีต่อผู้อื่น เข้าใจความยากลำบากของคนอื่น และไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกท่านว่านั่นคือการเป็นคนดี...

ติดต่อเราผ่าน Messenger