การจงรักภักดีต่อผู้อื่นถือว่าเป็นคนดีจริงหรือ?
เมื่อปี 2012 ตอนที่ผมเป็นผู้นำคริสตจักร เจิ้งซินดึงพี่น้องชายหญิงบางคนเข้ามาและชักพาให้หลงเชื่อ เพื่อที่เขาจะได้ช่วงชิงตำแหน่งผู้นำ โดยตัดสินว่าผมเป็นผู้นำเทียมเท็จและเรียกร้องให้ปลดผม ซึ่งนำไปสู่ความวุ่นวายภายในคริสตจักร ในเวลานั้น หวังเฉินสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นและรายงานให้ผมทราบอย่างทันทีทันใด และเราร่วมกันสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงเพื่อหยั่งรู้และชำแหละธรรมชาติของการกระทำของเจิ้งซิน พี่น้องชายหญิงหยั่งรู้เจิ้งซิน และความวุ่นวายภายในคริสตจักรก็สงบลงในที่สุด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็สำนึกในบุญคุณของหวังเฉิน ถ้าเขาไม่ได้ช่วยยุติความวุ่นวายนั้น ผมก็คงถูกกดข่มและทรมาน โดนปลดออกจากตำแหน่ง และสูญเสียหน้าที่การงานเป็นแน่ เมื่อปี 2019 ภรรยาของผมและตัวผมเองถูกตำรวจไล่ตามจนไม่สามารถพูดคุยกับพี่น้องชายหญิงได้ ขาดการติดต่อกับคริสตจักรไป จนกระทั่งปี 2021 พี่น้องชายหญิงถึงได้ติดต่อมาหาผม และย้ายผมมาอยู่อีกคริสตจักรนึง หัวหน้าคริสตจักรที่มารับพวกเรา ณ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังเฉิน และเขาจัดให้พวกเราเข้าร่วมการชุมนุมและเริ่มปฏิบัติหน้าที่ของเรา ผมสำนึกในบุญคุณของเขามากขึ้น และผมรู้สึกว่าเขาก็โปรดปรานผมด้วย ผมมองเขาเป็นครอบครัว คิดกับตัวเองว่า “ผมไม่รู้ว่าจะขอบคุณเขาสำหรับสิ่งนี้ได้อย่างไรดี ผมต้องตอบแทนเขาอย่างเหมาะสมเมื่อมีโอกาสให้ได้”
ต่อมา ผมได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักร และได้ทำงานร่วมกับหวังเฉินและเฉินโม่ หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็สังเกตว่าหวังเฉินมักจะวิเคราะห์ผู้คนและสิ่งต่างๆ มากจนเกินเหตุและก่อปัญหาอยู่เสมอ เขาปะทะกับเฉินโม่และไม่เคยที่จะทบทวนหรือพยายามที่จะรู้จักตัวเองเลย แถมยังกระจายอคติและความไม่พอใจของเขาที่มีต่อเฉินโม่ในระหว่างการชุมนุมอีก ทำให้พี่น้องชายหญิงเข้าไปพัวพันกับการโต้แย้ง เข้าข้างเขา และตัดสินเฉินโม่ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่เคยปฏิบัติความจริงเลย ซึ่งมักจะปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นโดยอาศัยปรัชญาการดำรงชีวิตทางโลกอยู่เสมอ เมื่อพี่น้องเผชิญความลำบากยากเย็นในการปฏิบัติหน้าที่ เขาไม่สามัคคีธรรมความจริงเพื่อแก้ไขปัญหา แต่จะคำนึงถึงเนื้อหนังของพวกเขาอยู่เสมอแทน และบอกพวกเขาว่าอย่าเข้มงวดกับตัวเองมากเกินไป ทำให้พวกเขาปล่อยตัวและอะลุ้มอล่วยให้จุดอ่อนของตนเอง ผมสังเกตด้วยว่าหวังเฉินแทบจะไม่เคยถามถึงหรือตรวจสอบงาน และไม่แก้ปัญหาตอนที่พบปัญหาเหล่านั้น ถ้าผู้มาใหม่ไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ เขาก็ไม่สนใจเลย เขาไม่จัดเตรียมผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างเหมาะสม และในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้นำระดับสูง เขาใช้เล่ห์เพทุบายและโกหกต่อผู้บังคับบัญชาในขณะที่ปกปิดสิ่งต่างๆ จากผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เมื่อพี่น้องชี้ให้เห็นปัญหาของเขา เขาก็ไม่ยอมรับ หาข้อแก้ตัวต่างๆ และพยายามพิสูจน์ว่าตนบริสุทธิ์ เขาถึงกับเผยแพร่ความคิดลบในหมู่พี่น้องชายหญิง โดยพูดว่าเขาได้ทนทุกข์อย่างหนักในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแต่ไม่ได้รับอะไรเลย และพูดว่าอาจจะดีกว่าที่จะไม่เชื่อในพระเจ้าและหันไปเพลิดเพลินกับชีวิตทางโลกของเนื้อหนังแทน ณ เวลานั้น ผู้เชื่อใหม่บางคนไม่สามารถหยั่งรู้เขาได้และถูกชักพาให้หลงเชื่อ ไม่อยากปฏิบัติหน้าที่ของตนอีกต่อไป ในช่วงนั้น หวังเฉินก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อพี่น้องทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ณ เวลานั้น ผู้นำระดับสูงต่างตระหนักว่าหวังเฉินเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานจริง และเตรียมที่จะปลดเขา แต่จากการที่ผมได้ปฏิสัมพันธ์กับหวังเฉิน ผมก็ตระหนักว่าเขาไม่เพียงเป็นผู้นำเทียมเท็จเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ไม่เชื่ออีกด้วย ปัญหาของเขานั้นร้ายแรง และเขาจำเป็นต้องปลดและเอาตัวออกไปโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นเขาจะก่อกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป ผมคิดที่จะรายงานพฤติกรรมที่ไม่เชื่อของเขาให้ผู้นำระดับสูงทราบ แต่แล้ว ความทรงจำที่หวังเฉินช่วยผมทำให้ความวุ่นวายในคริสตจักรสงบลงและจัดหน้าที่ให้ผมนั้น ก็ท่วมท้นขึ้นในใจผม ทำให้ผมลังเลใจ พลางคิดว่า “ถ้าฉันรายงานปัญหาของเขาแล้วล่ะก็ เขาจะกล่าวหาฉันว่าไม่มีมโนธรรมและไม่รู้จักบุญคุณไหม?” เมื่อคิดเช่นนี้ก็ทำให้จิตใจของผมหาความสงบสุขไม่ได้อยู่นาน ถ้าเขาถูกเอาตัวออกไปจริงๆ นั่นจะหมายถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางแห่งความเชื่อของเขา และเขาจะเคียดแค้นผมเป็นแน่! ผมขัดแย้งอยู่ในใจมาก และไม่สามารถเขียนรายงานขึ้นมาได้ ผมคิดว่า “บางทีฉันควรช่วยเขาอีกครั้งดีไหม? ถ้าเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้บ้าง และหยุดก่อการขัดขวางและการก่อกวน บางทีเขาอาจไม่จำเป็นต้องถูกเอาตัวออกไปก็ได้จริงไหม?” ด้วยความคิดเหล่านี้ ผมจึงงดเว้นการรายงานปัญหาของหวังเฉิน ตอนผมเจอหวังเฉินอีก ผมก็สามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับเขา กระตุ้นให้เขาทบทวนและพยายามรู้จักตัวเองให้มากขึ้นเมื่อสิ่งต่างๆ เกิดขึ้นกับเขา แต่ไม่ว่าผมจะสามัคคีธรรมอย่างไร เขาก็ไม่เอาจริงเอาจัง แถมยังก่อกวนคริสตจักรต่อไปเหมือนที่เขาทำก่อนหน้านี้ ขัดขวางพี่น้องไม่ให้ดำเนินชีวิตคริสตจักรได้อย่างปกติและส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของพวกเขา ผมรู้สึกแย่มากและตำหนิตัวเอง คิดว่า “ฉันเลอะเลือนมากขนาดนั้นได้ยังไง? ทำไมฉันถึงไม่สามารถยืนอยู่ฝ่ายพระเจ้าและคุ้มครองงานของคริสตจักรได้?” นั่นเป็นตอนที่ผมได้เริ่มแสวงหาความจริงและทบทวนตนเอง
วันหนึ่ง ผมเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “ความรู้สึกมีลักษณะอย่างไร? แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เป็นบวก ความรู้สึกเป็นการมุ่งความสนใจไปที่สัมพันธภาพทางกายและการตอบสนองความพอใจของเนื้อหนัง การเลือกที่รักมักที่ชัง การแก้ต่างให้ข้อบกพร่องของคนอื่น การหลงใหล การเอาอกเอาใจ และการปล่อยตัวปล่อยใจล้วนตกอยู่ภายใต้ความรู้สึกทั้งนั้น บางคนใส่ใจในความรู้สึกอย่างมาก พวกเขาตอบสนองต่อสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับตนบนพื้นฐานของความรู้สึกของตน ในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้ดีอย่างเต็มที่ว่าการนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังคงใช้อคติอยู่ดี นับประสาอะไรกับการปฏิบัติตนตามหลักธรรม เมื่อผู้คนถูกตีกรอบโดยความรู้สึกเป็นนิตย์ พวกเขาจะสามารถปฏิบัติความจริงได้หรือไม่? นี่เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งยวด! การที่ผู้คนมากมายไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้นั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากความรู้สึก พวกเขาถือว่าความรู้สึกมีความสำคัญเป็นพิเศษ พวกเขาจึงจัดให้ความรู้สึกอยู่ในอันดับแรก พวกเขาเป็นคนที่รักความจริงหรือไม่? ไม่ใช่อย่างแน่นอน โดยแก่นแท้แล้วความรู้สึกคืออะไร? ความรู้สึกคืออุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทหนึ่ง การสำแดงของความรู้สึกสามารถอธิบายได้ด้วยการใช้คำหลายคำ การเลือกที่รักมักที่ชัง การคุ้มครองผู้อื่นอย่างไร้หลักธรรม การรักษาสัมพันธภาพทางกาย รวมถึงความลำเอียง สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึก” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งใดหรือคือความเป็นจริงความจริง?) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผมก็ตื่นรู้ ในช่วงนี้ ผมใช้ความรู้สึกในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติโดยขาดหลักธรรม ผมตระหนักอย่างชัดเจนว่าหวังเฉินไม่เพียงเป็นผู้นำเทียมเท็จที่ไม่ได้ทำงานจริงเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ไม่เชื่ออีกด้วย ผมควรจะเปิดโปงพฤติกรรมของเขาให้ผู้นำระดับสูงได้รับทราบ อย่างไรก็ตาม ผมกลับเฝ้าคิดถึงความโปรดปรานที่เขาแสดงให้ผมเห็นและใส่ใจกับสิ่งที่เรียกว่ามิตรภาพของเรา ผมจึงไม่ได้รายงานปัญหาของเขา ยอมให้เขาทำชั่วในคริสตจักรและก่อกวนชีวิตคริสตจักรต่อไป ผมปฏิบัติตัวไปตามความรู้สึก ปกป้องและปกปิดให้เขา ด้วยความที่อยากเก็บผู้ไม่เชื่อไว้ในคริสตจักร ผมกลับสมคบคิดกับซาตานและกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของมัน ผมกำลังทำชั่วจริงๆ! พญานาคใหญ่สีแดงจับกุม ข่มเหง และก่อกวนงานของคริสตจักร ส่วนผมเอาแต่ปกป้องผู้ไม่เชื่อไว้ภายในคริสตจักร ทำสิ่งที่พญานาคใหญ่สีแดงอยากทำแต่ทำไม่ได้ นี่ไม่ใช่การเป็นกบฏต่อพระเจ้าและต่อต้านพระองค์หรอกเหรอ? ผมทำตัวเป็นโล่ของซาตาน! จากข้อเท็จจริงที่เผยออกมา ในที่สุดผมจึงเห็นว่า ผมใช้ชีวิตโดยเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง ไม่สามารถแยกแยะสิ่งไหนถูก สิ่งไหนผิด หรือสิ่งไหนดี สิ่งไหนชั่ว ไร้สำนึกแห่งความยุติธรรมใดๆ และปล่อยให้ผู้ไม่เชื่อก่อกวนชีวิตคริสตจักร ผมเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากเกินไป! ผมจำได้ว่าพระเจ้าตรัสว่า “อารมณ์คือศัตรูของพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 28) ผมรู้สึกสำนึกผิดและตำหนิตัวเองอย่างมาก ผมจึงตัดสินใจรายงานปัญหาของหวังเฉินให้ผู้นำระดับสูงทราบ
ไม่กี่วันต่อมา ตอนที่ผู้นำระดับสูงมาปลดหวังเฉินออกนั้น ผมก็รายงานสถานการณ์ของเขา หลังจากตรวจสอบแล้ว พวกเขาพบว่าหวังเฉินเป็นผู้ไม่เชื่อจริงๆ และพวกเขาให้ผมเขียนพฤติกรรมของเขาออกมา เพื่อช่วยรวบรวมข้อมูลสำหรับเอาตัวเขาออกไป พอผมคิดขึ้นว่าหวังเฉินจะถูกเอาตัวออกไป ผมก็อดไม่ได้ที่จะจดจำเวลาที่เขาช่วยผมไว้ในอดีต และก็คิดว่า “เขาแสดงความโปรดปรานต่อผม และตอนนี้ผมกำลังจะเขียนประเมินให้เอาตัวเขาออกไป ถ้าเขาได้ยินเรื่องนี้ เขาจะกล่าวหาผมว่าตอบแทนความใจดีมีเมตตาด้วยการเป็นศัตรูและไม่มีมโนธรรมรึเปล่า? แล้วต่อไปผมจะสู้หน้าเขายังไง?” แต่พอผมนึกถึงการสำแดงของหวังเฉินที่แสดงถึงการเป็นผู้ไม่เชื่อแล้ว ความตระหนักรู้ของผมในเรื่องมโนธรรมก็บอกผมว่าผมควรยึดมั่นในหลักธรรมและเขียนพฤติกรรมของเขาออกมา อย่างไรก็ตาม ผมไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคภายในนี้ไปได้และรู้สึกว่าตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยิ่งคิด ผมก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด และรู้สึกถึงความมืดมิดและความหดหู่ภายใน และแล้ว หลังจากผัดวันประกันพรุ่งมานานกว่า 10 วัน ผมก็ยังไม่ได้เขียนถึงพฤติกรรมของหวังเฉิน ในช่วงนี้ ผมทนทุกข์กับอาการปวดฟันอย่างรุนแรง และบางครั้งก็เจ็บมากจนผมเริ่มเหงื่อออก ผมไม่กล้าที่จะกินและนอนไม่หลับ ผมตระหนักว่าพระเจ้าอาจจะทรงบ่มวินัยผมอยู่ และผมก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า หวังเฉินเป็นผู้ไม่เชื่อ และข้าพระองค์ควรเขียนพฤติกรรมของเขาออกมาและเอาตัวเขาออกไปตามหลักธรรม แต่พอข้าพระองค์คิดถึงความโปรดปรานที่เขาแสดงต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็ไม่อยากจะเขียน หัวใจของข้าพระองค์ช่างแข็งกระด้างและเป็นกบฏยิ่งนัก! ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์อยากกลับไปหาพระองค์ โปรดทรงสอนและทรงชี้แนะให้ข้าพระองค์รู้จักตัวเอง ให้ยึดมั่นในหลักธรรม และให้ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรด้วยเถิด”
หลังจากนั้น ผมก็ทบทวนอยู่ตลอดเวลา คิดว่า “อะไรกันนะที่รั้งฉันไว้ไม่ให้ยึดมั่นในหลักธรรมและปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักร?” ระหว่างการชุมนุม ผมก็พบคำตอบในพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในส่วนลึกของหัวใจผู้คนยังมีมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันมากมาย มีความคิด ทรรศนะ และพิษแห่งวัฒนธรรมดั้งเดิมนานาประการ และมีสิ่งทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ซุกซ่อนอยู่ภายในตัวพวกเขาแต่ยังไม่ได้ถูกขุดออกมา นี่คือต้นกำเนิดของอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และสิ่งเหล่านี้มาจากภายในแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าเมื่อพระเจ้าทรงทำบางสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของเจ้า เจ้าก็จะแข็งขืนและต่อต้านพระองค์ เจ้าจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าถึงทรงกระทำเช่นนั้น และแม้เจ้ารู้ว่ามีความจริงอยู่ในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำและเจ้าปรารถนาที่จะนบนอบ เจ้าก็จะพบว่าตัวเจ้าเองไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เหตุใดเจ้าจึงไม่สามารถนบนอบได้? เหตุผลของการต่อต้านและการแข็งขืนของเจ้าคืออะไร? นี่เป็นเพราะในความคิดและทรรศนะของมนุษย์มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อหลักธรรมที่พระเจ้าทรงกระทำและเป็นปฏิปักษ์ต่อแก่นแท้ของพระองค์ เป็นเรื่องยากที่ผู้คนจะได้รับความรู้ในสิ่งเหล่านี้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) “เรากำลังกล่าวทั้งหมดนี้เพื่อให้ผู้คนตระหนักว่ารากเหง้าและแก่นแท้ของธรรมชาติอันเป็นกบฏของมนุษย์นั้น โดยหลักแล้วมาจากความคิดและทรรศนะของผู้คนซึ่งก่อร่างจากการศึกษาที่พวกเขาได้รับจากครอบครัวและสังคม รวมถึงจากวัฒนธรรมดั้งเดิมด้วย หลังจากสิ่งเหล่านี้ถูกฝังลึกลงในหัวใจของผู้คนทีละน้อยผ่านขนบธรรมเนียนของครอบครัวหรือผ่านอิทธิพลทางสังคมและการศึกษาเชิงวิชาการ แล้วพวกเขาก็เริ่มดำเนินชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ พวกเขาจะเริ่มเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าวัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ไร้ข้อครหา และไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ อีกทั้งเชื่อว่ามีเพียงการกระทำตามข้อกำหนดของวัฒนธรรมดั้งเดิมเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาสามารถเป็นคนที่แท้จริงได้ หากไม่ทำเช่นนั้นพวกเขาก็จะรู้สึกว่าตนเองไร้มโนธรรม ขัดแย้งและไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ใดๆ และพวกเขาจะไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ ความคิดและทรรศนะเหล่านี้ของมนุษย์ไม่ห่างไกลจากความจริงหรือ? สิ่งต่างๆ ในความคิดและทรรศนะของมนุษย์ รวมถึงเป้าหมายที่ผู้คนไล่ตามไขว่คว้านั้นล้วนมุ่งไปทางโลก มุ่งไปสู่ซาตาน ส่วนข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเพื่อให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นมุ่งไปสู่พระเจ้า ไปสู่ความสว่าง นี่คือสองทิศทางที่แตกต่างกัน เป็นสองเป้าหมายที่แตกต่างกัน การกระทำตามเป้าหมายและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ สภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าก็จะเป็นปกติมากขึ้น เจ้าจะมีสภาพเสมือนมนุษย์มากขึ้น และเจ้าจะเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น หากเจ้ากระทำการตามความคิดและทรรศนะของวัฒนธรรมดั้งเดิม เจ้าจะเสียมโนธรรมและเหตุผลของเจ้าไปเรื่อยๆ กลายเป็นคนเทียมเท็จและจอมปลอมยิ่งขึ้น ติดตามกระแสทางโลกมากยิ่งขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังแห่งความชั่ว แล้วจากนั้นเจ้าก็จะใช้ชีวิตอยู่ในความมืดภายใต้อำนาจของซาตานโดยสมบูรณ์ เจ้าจะละเมิดความจริงและทรยศพระเจ้าโดยสิ้นเชิง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) พระวจนะของพระเจ้านำความชัดเจนมาให้ผม ผมตระหนักแล้วว่าผมปฏิบัติตัวไปตามความรู้สึก และไม่อยากลงบันทึกพฤติกรรมของหวังเฉิน เพราะกลัวว่าเขาจะถูกเอาตัวออกไป หลักๆ แล้ว ก็เพราะว่าแนวคิดและทัศนคติที่ซาตานปลูกฝังในตัวผม ผูกมัดและยับยั้งผมเอาไว้ เช่น “คนเราต้องจงรักภักดี” “คนเราจะใจจืดใจดำและไม่รู้จักบุญคุณไม่ได้” “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” เป็นต้น ผมถูกแนวคิดและทัศนคติเหล่านี้ครอบงำอยู่ ผมเลยให้ความใจดีมีเมตตาของผู้คนมาก่อนเสมอ ถึงกับมองว่านี่สำคัญกว่าการปฏิบัติตามความจริงและผลประโยชน์ของคริสตจักรเสียอีก ตอนที่ผมครุ่นคิดว่าจะรายงานเรื่องที่หวังเฉินสำแดงการเป็นผู้ไม่เชื่อออกมา ผมอดนึกถึงไม่ได้เลยว่าเขาเคยช่วยเหลือผมมาก่อน คิดว่าการที่ผมจะรายงานพฤติกรรมของเขา จะดูเลือดเย็นและเป็นการไม่รู้จักบุญคุณ และนั่นจะทำให้ผู้อื่นดูหมิ่นผม แนวคิดและทัศนคติเหล่านี้ตีกรอบผมอยู่ ผมเลยไม่เคยปฏิบัติความจริงและยืนหยัดตามหลักธรรมได้เลย แม้กระทั่งตอนที่ผู้นำให้ผมเขียนพฤติกรรมของหวังเฉินออกมา ผมก็ลังเลเพราะว่าเขาเคยช่วยเหลือผม ยอมให้เขาทำชั่วและก่อกวนพี่น้องในคริสตจักรต่อไป คริสตจักรเป็นสถานที่ให้พี่น้องได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนและไล่ตามเสาะหาความจริง การเอาตัวผู้ไม่เชื่อออกจากคริสตจักรอย่างทันทีทันใดเท่านั้นแหละ ที่จะสามารถปกป้องชีวิตคริสตจักรของพี่น้องชายหญิงเอาไว้ การเขียนถึงการสำแดงของหวังเฉินที่แสดงถึงการเป็นผู้ไม่เชื่อ เป็นการปฏิบัติความจริงและเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมกลับเห็นว่านี่เป็นการทรยศและไม่มีมโนธรรม ผมไม่สามารถแยกแยะความดีออกจากความชั่ว หรือเข้าใจว่าอะไรควรรักและอะไรควรเกลียดได้เลยจริงๆ และผมก็ไม่มีหลักธรรมหรือจุดยืนใดๆ เลย ถ้าผมรายงานปัญหาของหวังเฉินอย่างทันทีทันใดแล้วล่ะก็ เขาก็คงถูกเอาออกจากคริสตจักรเร็วกว่านี้ แต่เพราะว่าผมไม่ได้ปฏิบัติความจริงแถมยังปกป้องเขา ทำให้เขาขัดขวางและก่อกวนคริสตจักรต่อไปอีก ซึ่งนั่นทำให้การเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องเกิดความเสียหายอีกทั้งทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าอีกด้วย ในฐานะผู้นำ ผมไม่เพียงไม่ได้คำนึงถึงชีวิตของพี่น้องหรือปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรเท่านั้น แต่ผมยังปกปิดให้หวังเฉิน โดยเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง เป็นการแสดงความภักดีและมโนธรรมต่อผู้ไม่เชื่อเสียอีกด้วย ผมกำลังกัดมือที่เลี้ยงดูตัวผมเองมาและเสนอความช่วยเหลือให้กับคนนอก สวมบทบาทเป็นลูกสมุนของซาตาน ก่อนหน้านี้ผมยึดถือตามแนวคิดและทัศนคติที่ซาตานปลูกฝังในตัวผม โดยคิดว่าตัวเองเป็นคนสูงส่งและจงรักภักดี เพิ่งตอนนี้เองที่ผมได้ตระหนักแล้วว่า แนวคิดและทัศนคติเหล่านี้ขัดแย้งกับพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ขัดขวางไม่ให้ผมปฏิบัติความจริง ทำให้ผมสูญเสียมโนธรรมและเหตุผลของผม และยังถอดความเป็นมนุษย์ของผมออกไป เพราะยึดถือตามแนวคิดและทัศนคติเหล่านี้ ผมได้แต่ทำชั่ว ต่อต้านพระเจ้า และยังทำให้พระเจ้ารังเกียจเดียดผมท์และกำจัดผมออกไป หากไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงบ่มวินัยผมอย่างทันท่วงที โดยทำให้ผมล้มป่วยลงแล้วล่ะก็ ผมก็คงไม่ได้คิดที่จะทบทวนตนเอง ผมไม่สามารถทำตัวเป็นกบฏได้อีกต่อไป ผมต้องรีบกลับไปหาพระเจ้า
ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอน ที่ช่วยให้ผมเปลี่ยนแปลงทัศนะอันคลาดเคลื่อนของตัวเองไปได้บ้าง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “บางครั้งพระเจ้าก็จะทรงใช้งานซาตานเพื่อช่วยเหลือผู้คน แต่ในกรณีดังกล่าวพวกเราก็ต้องขอบคุณพระเจ้าและไม่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาของซาตาน—นี่เป็นเรื่องของหลักธรรม เมื่อการทดลองมาในรูปของคนชั่วที่มอบความใจดีมีเมตตา เจ้าต้องชัดเจนก่อนว่าใครกันแน่ที่กำลังช่วยเจ้าและให้การอนุเคราะห์ สถานการณ์ของตัวเจ้าเองเป็นเช่นไร และมีเส้นทางอื่นที่เจ้าสามารถใช้ได้หรือไม่ ในกรณีเช่นนั้นเจ้าต้องใช้ไหวพริบ ถ้าพระเจ้าประสงค์ที่จะช่วยเจ้าให้รอด ไม่ว่าพระองค์จะทรงใช้งานใครเพื่อทำให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง เจ้าก็ควรขอบคุณพระเจ้าก่อนและยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เจ้าไม่ควรมุ่งขอบคุณผู้คนเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมอบชีวิตของเจ้าให้ใครบางคนด้วยความรู้คุณ นี่เป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือหัวใจของเจ้านั้นสำนึกขอบคุณพระเจ้า และเจ้าก็ยอมรับความช่วยเหลือจากพระองค์” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ในที่สุดผมก็เข้าใจ ว่าผมมองความช่วยเหลือของหวังเฉินเป็นความใจดีมีเมตตาแบบมนุษย์มาโดยตลอด ผมยังไม่ได้ยอมรับสิ่งนี้จากพระเจ้า ไม่รู้จักอำนาจอธิปไตยของพระองค์ และไม่ได้คิดว่าจะตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างไรเลย ผมช่างเลอะเลือนมากจริงๆ! ระหว่างที่มีความวุ่นวายในคริสตจักร หวังเฉินช่วยผมทำให้สิ่งต่างๆ สงบลง และต่อมาได้จัดหน้าที่ที่เหมาะสมให้ผม นี่เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบที่เขาพึงทำ สิ่งนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นความใจดีมีเมตตา นอกเหนือจากนั้นแล้ว ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการของพระเจ้า ผมควรจะต้องยอมรับสิ่งนี้ที่ได้รับจากพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ และตอบแทนความรักของพระเจ้า แต่ผมกลับมองความรักของพระเจ้าและการคุ้มครองต่อมนุษย์เป็นความใจดีมีเมตตาของมนุษย์ ผมช่างตาบอดเหลือเกิน พอรู้แบบนี้แล้ว ผมรู้สึกสำนึกผิดอย่างมาก และผมก็อธิษฐานต่อพระเจ้า เต็มใจที่จะกลับใจ และปฏิบัติความจริง เพื่อสนองพระทัยของพระเจ้า
ต่อมาผมได้พบหลักธรรมของการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า และได้เข้าใจว่าอะไรที่จะทำให้คนเรามีความเป็นมนุษย์ที่ดีอย่างแท้จริงได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ต้องมีมาตรฐานสำหรับการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี มันไม่เกี่ยวข้องกับการใช้เส้นทางสายกลางในทุกสรรพสิ่ง การไม่ติดอยู่กับหลักการทั้งหลาย การอุตสาหพยายามที่จะไม่ทำให้ใครก็ตามขุ่นเคือง การประจบประแจงในทุกหนแห่งที่เจ้าไป การลื่นไหลและแนบเนียนไปกับทุกคนที่เจ้าพบ และการทำให้ทุกคนพูดถึงเจ้าในทางที่ดี นี่ไม่ใช่มาตรฐาน ดังนั้น สิ่งใดคือมาตรฐาน? คือการสามารถที่จะนบนอบ พระเจ้าและความจริง เป็นการมีท่าทีต่อหน้าที่ของคนเรา ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งต่างๆ ทุกรูปแบบตามหลักธรรมและสำนึกรับผิดชอบ ทุกคนมองเห็นเรื่องนี้ได้ง่าย ทุกคนชัดเจนเกี่ยวกับการนี้ในหัวใจของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจของผู้คน และทรงรู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขาทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร ก็ไม่มีผู้ใดหลอกลวงพระเจ้าได้ ผู้คนบางคนมักจะอวดตัวอยู่เสมอว่าพวกเขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ว่าพวกเขาไม่เคยว่าร้ายผู้อื่น ไม่เคยสร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของผู้ใด และพวกเขาอ้างว่าไม่เคยได้ ละโมบทรัพย์สินของผู้อื่น เมื่อมีการโต้เถียงเกี่ยวกับผลประโยชน์ พวกเขาก็ถึงกับเลือกที่จะทุกข์ทนกับการสูญเสียมากกว่าจะเอาเปรียบผู้อื่น และทุกคนก็คิดว่าพวกเขาเป็นคนดี อย่างไรก็ตาม ขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายและลื่นไหล โดยสร้างอุบายเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดอย่างที่พระเจ้าทรงดำริเลย และพวกเขาไม่สามารถวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองไว้ก่อนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย พวกเขาไม่ละทิ้งผลประโยชน์ของพวกเขาเองเลย แม้ในยามที่พวกเขาเห็นคนชั่วกำลังทำความชั่ว พวกเขาก็ไม่เปิดโปงคนเหล่านั้น พวกเขาไม่มีหลักธรรมอันใดเลย นี่คือสภาวะความเป็นมนุษย์ประเภทใดกัน? นี่หาใช่สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีไม่ จงอย่าสนใจสิ่งที่ผู้คนเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าพวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด พวกเขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของพวกเขาเป็นอย่างไรเมื่อพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน ตลอดจนสภาวะภายในของพวกเขาเป็นอย่างไรและพวกเขารักสิ่งใด หากความรักที่พวกเขามีต่อชื่อเสียงและโชควาสนาของตนเองมีมากเกินกว่าความจงรักภักดีที่พวกเขามีต่อพระเจ้า หากความรักในชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาเองมีมากกว่าผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือหากว่าความรักของพวกเขาที่มีต่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ของพวกเขาเองมากเกินกว่าการคำนึงถึงที่พวกเขาแสดงต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ผู้คนดังกล่าวมีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? พวกเขา ไม่ใช่ผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ พฤติกรรมของพวกเขาสามารถมองเห็นได้โดยผู้อื่นและโดยพระเจ้า จึงลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับผู้คนเช่นนั้นที่จะได้รับความจริง” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เมื่อมอบหัวใจของคนเราแก่พระเจ้า คนเราย่อมจะสามารถได้มาซึ่งความจริง) ก่อนหน้านี้ ผมคิดเสมอว่าผู้ที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาและเห็นคุณค่าของความภักดีนั้น คือคนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดี จนได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ผมถึงได้ตระหนักว่า ทัศนะของผมในเรื่องต่างๆ ค่อนข้างไร้เหตุผล คนที่มีความเป็นมนุษย์ที่ดีอย่างแท้จริงนั้น เป็นผู้ที่ร่วมแบ่งปันพระดำริและความวิตกกังวลของพระเจ้า มีหัวใจที่ซื่อสัตย์ เป็นคนซื่อตรง รักสิ่งที่เป็นบวก มีสำนึกแห่งความยุติธรรม และสามารถค้ำจุนหลักธรรมแห่งความจริง และเข้าใจว่าอะไรควรรักและอะไรควรเกลียด สำหรับผมแล้ว เพื่อพยายามที่จะรักษาภาพลักษณ์ที่ดีของตัวเองให้เป็นคนที่มีความภักดีในสายตาผู้อื่นนั้น ผมไม่ได้ลังเลเลยที่จะทำให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรเสียหาย ผมยอมดูหวังเฉินก่อกวนชีวิตคริสตจักรและขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของพี่น้อง ดีเสียกว่าให้เอาตัวเขาออกไป จะเรียกผมว่าเป็นคนมีความเป็นมนุษย์ที่ดีได้อย่างไร? ผมเป็นเพียงคนที่ขาดความเป็นมนุษย์ คนเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ เมื่อตระหนักเช่นนี้แล้ว ผมไม่คิดว่าตัวเองมีความเป็นมนุษย์ที่ดีอีกต่อไป ต่อมา ผมเจอพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนและได้รับเส้นทางแห่งการปฏิบัติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระวจนะของพระเจ้าเอ่ยขอให้ผู้คนปฏิบัติต่อผู้อื่นตามหลักธรรมใดหรือ? จงรักสิ่งที่พระเจ้าทรงรัก และจงเกลียดชังสิ่งที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง กล่าวคือ นี่คือหลักธรรมที่ควรปฏิบัติตาม พระเจ้าทรงรักบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้ เหล่านี้ยังเป็นผู้คนที่พวกเราควรรักด้วยเช่นกัน พวกที่ไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ที่เกลียดชังและกบฏต่อพระเจ้า—พระเจ้าทรงรังเกียจผู้คนเหล่านี้ และพวกเราก็ควรรังเกียจพวกเขาเช่นกัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอต่อมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, คนเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงก็ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของตนเท่านั้น) จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ผมเข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์มากขึ้นบ้าง พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้ผู้คนรักในสิ่งที่พระองค์ทรงรักและเกลียดในสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด ให้ผู้คนอยู่ฝ่ายพระองค์เมื่อเกิดเรื่องต่างๆ และค้ำจุนหลักธรรมความจริง สำหรับพี่น้องที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจและไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อใครเจอปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน พวกเขาควรสามัคคีธรรมกับความจริงกับผู้นั้นและเกื้อหนุนเขาด้วยความรัก และทำการตัดแต่งเขาเมื่อจำเป็น สำหรับคนชั่ว ผู้ไม่เชื่อ และศัตรูของพระคริสต์ คนเราควรทำการเปิดโปงและรายงานพวกเขา หลีกเลี่ยงและปฏิเสธพวกเขา เฉพาะการปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระเจ้า ตอนนี้ที่หวังเฉินถูกเผยแล้วว่าเป็นผู้ไม่เชื่อและสมุนของซาตาน การเก็บเขาไว้ในคริสตจักรก็เพียงแต่จะรบกวนงานของคริสตจักรเท่านั้น ผมไม่สามารถปฏิบัติตัวไปตามความรู้สึกได้อีกต่อไป ผมต้องเขียนพฤติกรรมที่ไม่เชื่อของเขาออกมาและเอาตัวเขาออกไปจากคริสตจักรให้เร็วที่สุด หลังจากนั้น ผมก็อธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงโปรดปรานข้าพระองค์และทรงประทานโอกาสให้ข้าพระองค์เป็นผู้นำ แต่ข้าพระองค์กลับไม่ปกป้องผลประโยชน์ของคริสตจักรเลยแม้แต่น้อย ข้าพระองค์เต็มใจที่จะกลับใจหาพระองค์ ที่จะปฏิบัติความจริงและปกป้องงานของคริสตจักร” หลังจากอธิษฐานเสร็จ ผมก็เขียนพฤติกรรมของหวังเฉินออกมา หลังจากการสอบสวน ผู้นำระดับสูง พบว่าหวังเฉินเป็นผู้ไม่เชื่อจริงๆ จึงเอาตัวเขาออกไปจากคริสตจักร เมื่อเห็นผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว หัวใจของผมก็สงบและเป็นสุข เพราะในที่สุดผมก็สามารถปฏิบัติความจริงและคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า
ต่อมา เมื่อผู้นำระดับสูงวิเคราะห์เหตุผลของผลการทำงานที่ไม่ดีของเรา ก็เตือนใจผมอีกครั้งถึงทุกครั้งที่ผมไม่ได้ปกป้องงานของคริสตจักร ในฐานะผู้นำคริสตจักร การปฏิบัติตัวไปตามความรู้สึกและยอมให้ผู้ไม่เชื่อยังคงอยู่ในคริสตจักร ทำให้ชีวิตคริสตจักรถูกก่อกวนนั้น เป็นการกระทำผิดต่อพระพักตร์พระเจ้าและเป็นมลทิน ในฐานะผู้นำคริสตจักร ผมไม่ได้ลุล่วงแม้แต่หน้าที่และความรับผิดชอบของตนเองให้ดี เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ผมรู้สึกผิดและตำหนิตนเอง คิดว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้นำคริสตจักร ผมจึงบอกผู้นำระดับสูงว่าผมจะลาออก เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้นำระดับสูงสามัคคีธรรมกับผมว่า “พระเจ้าทรงพิพากษาและเปิดโปงผู้คนเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์จากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่อยู่ภายในพวกเขาซึ่งต่อต้านพระเจ้า เพื่อให้พวกเขากลับใจอย่างแท้จริง นี่คือเจตนารมณ์อันจริงจังของพระเจ้า อย่าเข้าใจพระองค์ผิด” ผมรู้สึกสำนึกในพระคุณของพระเจ้าอย่างแท้จริง ตอนที่ผมแข็งกระด้างและเป็นกบฏนั้น พระเจ้าทรงบ่มวินัยผมผ่านการเจ็บป่วย เพื่อผมจะสามารถทบทวนตัวเองได้ และตอนนี้ พอผมแสดงความอยากที่จะกลับใจออกมาบ้าง พระเจ้าทรงพระกรุณาต่อผม ทรงประทานโอกาสให้ผมปฏิบัติหน้าที่ของผมต่อไป ทำให้ผมซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
จากประสบการณ์นี้ ผมได้เห็นว่าหลายๆ ทัศนะของผมในเรื่องต่างๆ ล้วนไม่เป็นไปตามความจริง และผมก็ต้องการการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าอย่างยิ่ง ส่วนประสบการณ์ในอนาคต ผมปรารถนาที่จะปฏิบัติความจริงให้มากขึ้น ไล่ตามเสาะหาการเป็นคนที่นบนอบต่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนให้ดี
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ