ท่ามกลางความทรมาน ฉันได้เห็นว่า…

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย หลี่หัว, ประเทศจีน

วันหนึ่งในเดือนกันยายน ค.ศ. 2017 ฉันไปชุมนุมที่บ้านของพี่น้องหญิงฟางหมิง  ทันทีที่ฉันเคาะประตู ประตูก็เปิดพรวดออกและมีมือหนึ่งดึงฉันเข้าไปในบ้าน  ฉันตกใจเสียขวัญมาก และพอตั้งสติได้ ฉันก็ตระหนักว่าพวกเขาคือเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบ และฟางหมิงถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้แล้ว  หลังจากนั้น พวกเขาก็พาตัวฉันไปยัง “ฐานฝึกอบรมทางกฎหมาย” ซึ่งเป็นศูนย์ล้างสมองสำหรับคริสตชน  ที่นั่น ฉันได้พบพี่น้องชายหญิงหลายคนที่โดนจับมา  พี่น้องหญิงคนหนึ่งบอกฉันว่าพวกตำรวจยึดเงินของคริสตจักรไปกว่า 30,000 หยวน แล็ปท็อปสี่เครื่อง รวมถึงเงิน 210,000 หยวนของเธอกับพี่น้องหญิงอีกสองคน  ฉันโกรธมากที่ได้ยินเช่นนี้ เพราะพญานาคใหญ่สีแดงกำลังจับกุมชาวคริสเตียนอย่างบ้าคลั่งและยึดเงินของคริสตจักรไป  ช่างชั่วจริงๆ!  ฉันสาบานกับตัวเองเงียบๆ ว่าฉันจะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่นในคำพยานของตน และฉันจะไม่มีวันประนีประนอมกับซาตาน!

ที่ศูนย์ล้างสมอง ตำรวจให้พวกเราแยกกันอยู่คนละห้อง และมอบหมายให้ผู้คุมคนหนึ่งคอยเฝ้าดูพวกเราแต่ละคนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  ทุกสิ่งที่เรารับประทาน เวลาที่เราเข้านอน และแม้แต่ตอนที่เราไปเข้าห้องน้ำ ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา  หนำซ้ำพวกเขายังจ้างคนมายืนคุมที่นอกห้องของพวกเราอีกด้วย  ทุกๆ วัน ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนห้าทุ่มเที่ยงคืน พวกเขาเปิดละครชีวิตเสียงดังลั่น แล้วสลับไปเปิดละครวิทยุหรือรายการที่พวกเขาชอบจนถึงเวลาตีสามตีสี่  ระหว่างช่วงเวลานี้ เจ้าหน้าที่คอยเทียวมาสอบปากคำเรื่องการเชื่อในพระเจ้าของฉัน  พวกเขาจะข่มขู่ฉัน เมื่อเห็นว่าฉันไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูด  พวกเขาถึงกับให้เรามารวมตัวกันและประกาศสอนเรื่องแนวคิดแบบอเทวนิยม  จุดประสงค์ก็เพื่อทำให้เราปฏิเสธและทรยศพระเจ้า  การได้ฟังคำพูดเหล่านั้นทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้

พวกเขาบังคับล้างสมองพวกเราอยู่ยี่สิบกว่าวัน ฉันไม่สามารถกินหรือนอนได้เต็มอิ่มเลยสักวัน ทั้งยังรู้สึกวิตกจริตอยู่เสมอ  ต่อมา พวกตำรวจเจอข้อมูลที่ระบุตัวตนของฉัน กู้คืนบันทึกการโทรจากโทรศัพท์ของฉัน และเริ่มสอบปากคำฉัน  เช้าวันหนึ่งตำรวจดึงรูปของพี่น้องหญิงสองสามคนออกมาและถามฉันว่า “รู้จักพวกเขาไหม?”  ฉันเห็นว่าพี่น้องหญิงเหล่านี้ล้วนเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการควบคุมดูแลเงินของคริสตจักร  ฉันจะไม่มีวันทรยศพวกเธอ จึงตอบไปว่า “ฉันจำไม่ได้”  เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งโผนเข้ามาตบฉันอย่างแรงสองครั้ง แล้วชกที่แขนข้างขวาของฉันซ้ำๆ ตรงที่เดิมสิบกว่าครั้ง  ฉันรู้สึกเจ็บปวดราวกับแขนหัก  เขากัดฟันกรอดขณะทุบตีฉัน พลางถามว่า “ไม่รู้จักหรือ?  แกติดต่อกับพวกมันเมื่อหกเดือนก่อน  คิดว่าเราไม่รู้หรือไง?  ถ้าแกไม่ยอมบอกเราในสิ่งที่แกรู้ ฉันจะหักแขนแก”  จากนั้นเขาก็ให้ฉันนั่งยองและยื่นแขนทั้งสองข้างไปข้างหน้า  แขนข้างขวาของฉันเจ็บมากจนยกไม่ขึ้นเลย  เขาใช้ไม้แบดมินตันฟาดเข้าที่แขนและขาของฉัน รวมไปถึงปากและคาง จนกระทั่งริมฝีปากและปลายคางของฉันชาไปหมด  หลังจากอยู่ในท่านั้นนานกว่าสิบนาที พวกเขาก็ถามฉันว่ารู้จักพี่น้องชายคนหนึ่งไหม  ฉันใจหายวาบ  พวกเขาต้องเจอชื่อของพี่น้องชายคนนี้ในบันทึกการโทรของฉันเป็นแน่  หากไม่บอกพวกเขา ฉันก็จินตนาการไม่ออกเลย ว่าการทรมานแบบไหนจะมาเป็นอันดับถัดไป แต่ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไม่อาจกลายเป็นยูดาสและทรยศพี่น้องชายของตนเองได้  ฉันพูดอย่างใจเย็นว่า “ฉันไม่รู้จักเขา”  เจ้าหน้าที่ตำรวจสามนายจึงเข้ามากลุ้มรุมและขยุ้มคอเสื้อของฉัน และผลักฉันกลับไปกลับมาระหว่างพวกเขาจนฉันวิงเวียนและซวนเซ  ฉันรู้สึกตื่นกลัวไม่น้อยเลยพลางคิดว่า “ตัวฉันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร หากการทรมานนี้ดำเนินต่อไป ฉันจะทนไหวหรือ?”  ฉันเฝ้าอธิษฐานอยู่ในใจ ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน  ฉันนึกถึงตอนที่ดาเนียลถูกโยนเข้าไปในถ้ำสิงโต เขาอธิษฐานถึงพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงปิดปากของสิงโตเอาไว้ มันจึงไม่กัดเขา  ฉันได้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต พวกตำรวจก็ทำอะไรฉันไม่ได้  ด้วยความคิดเหล่านี้ ฉันจึงทุเลาความรู้สึกประสาทเสียและหวาดกลัวลง  พวกเขาฉุดกระชากฉันอยู่อย่างนั้นกว่ายี่สิบนาที หลังจากนั้น นายตำรวจยศร้อยเอกก็โพล่งขึ้นมาว่า “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำ ไว้พรุ่งนี้ฉันกลับมาจัดการแกต่อ!”  หลังจากนั้นเขาก็รีบรุดจากไป  ฉันนึกถึงการที่ตำรวจจะทรมานฉันในวันพรุ่งนี้หากฉันไม่บอกพวกเขา  ฉันจะทนไหวหรือ?  พอคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็สติแตกและหวาดกลัวมาก ฉันจึงเฝ้าอธิษฐานกับพระเจ้า  ฉันทนทุกข์อยู่กับความคิดเหล่านี้จนรุ่งสาง  ฉันรู้สึกเวียนหัว แน่นหน้าอก และหายใจแทบไม่ออก  คนที่เฝ้าคุมฉันอยู่ตกใจมาก จึงเรียกหัวหน้าครูฝึกและแพทย์ประจำศูนย์ล้างสมองมา  พอถึงพวกเขาก็ตรวจความดันโลหิตของฉัน และพบว่าตัวเลขต่ำสุดอยู่ที่ 110 และตัวเลขสูงสุดอยู่ที่ 180 หัวหน้าครูฝึกกลัวฉันจะตายอยู่ที่ศูนย์และความรับผิดชอบจะมาตกอยู่ที่เขา เขาจึงรีบพาฉันไปโรงพยาบาล แพทย์บอกว่าฉันเป็นโรคหัวใจขาดเลือดและจำเป็นต้องอยู่เพื่อพักฟื้น จากนั้นก็ให้ยาทางหลอดเลือดดำและให้ออกซิเจนฉัน หลังจากฟังสิ่งที่แพทย์พูด ตำรวจก็เห็นว่ามันคงไม่ทำให้ฉันตายในทันที จึงขอให้พยาบาลถอดออกซิเจนและถอดสายให้ยาออกทันที แล้วพวกเขาก็พาฉันกลับมายังศูนย์ล้างสมองดังเดิม

หลังกลับมายังศูนย์ล้างสมอง ความดันโลหิตของฉันยังคงสูงอยู่มากและไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลย  ฉันยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะเป็นที่สุดและถึงขั้นที่ไม่สามารถเดินเองได้หากไม่พยุงตัวไว้กับกำแพง  แต่พวกตำรวจก็ไม่ได้ห่วงใยชีวิตของฉันเลย  ในระหว่างวัน พวกเขาบังคับให้ฉันดูโทรทัศน์  การประชุมรัฐสภาครั้งที่ 19 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนออกอากาศอยู่ตลอดเวลา และในยามวิกาล พวกเขาก็เปิดวิทยุอยู่จนถึงตีสามหรือตีสี่  ฉันถูกทรมานอย่างหนักจนร่างกายฉันย่ำแย่ลงทุกที  บ่อยครั้งที่ฉันรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจลำบาก  ทุกครั้งที่อาการกำเริบ พวกเขาให้ฉันกินยาโรคหัวใจฉุกเฉินเจ็ดถึงแปดเม็ดแค่เพื่อยับยั้งไม่ให้ฉันเสียชีวิตคาที่  ตำรวจก็มาข่มขู่ฉันบ่อยครั้ง สั่งให้ฉันทรยศพี่น้องชายหญิงของตนเอง และบังคับให้ฉันบอกที่เก็บเงินของคริสตจักรแก่พวกเขา  การสอบปากคำและการทรมานอย่างต่อเนื่องในรูปแบบนี้ทำให้ฉันประสาทเสียสุดขีด และสุขภาพของฉันก็เสื่อมถอยลงไปทุกวัน  ร่างกายส่วนบนของฉันทั้งบวมเป่งและเจ็บปวดไปหมด และรู้สึกเหมือนแม้เพียงการเคลื่อนไหวที่แผ่วเบาที่สุด อวัยวะภายในของฉันก็ทำท่าจะเลื่อนหลุดจากตำแหน่งเสียให้ได้  ทุกวันฉันต้องใช้แขนโอบรัดรอบลำตัวเอาไว้ และต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว  ยามนอน ไม่ว่าจะการนอนราบหรือนั่งหลับ ต่างก็ไม่เป็นผลกับฉันเลย  ฉันจะลองเปลี่ยนท่านอนไปท่าแล้วท่าเล่า และทำซ้ำอยู่อย่างนั้นจนไม่เหลือพลังงานและหมดสติไปชั่วขณะ  เมื่อเวลาผ่านไปหัวใจของฉันก็ยิ่งอ่อนแอลงมาก และฉันรู้สึกว่าอาจจะผ่านมันไปไม่ได้  ฉันเฝ้าอธิษฐานและขอให้พระเจ้าประทานความเชื่อให้แก่ฉัน

วันหนึ่ง ฉันก็นึกถึงบทเพลงสรรเสริญที่ชื่อ “การติดตามพระคริสต์ถูกกำหนดโดยพระเจ้า” ซึ่งมีเนื้อร้องว่า “พระเจ้าได้ทรงกำหนดให้พวกเราติดตามพระคริสต์และก้าวผ่านบททดสอบและความทุกข์ลำบาก หากพวกเรารักพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเราควรนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระองค์ การก้าวผ่านบททดสอบและความทุกข์ลำบากเป็นไปเพื่อที่จะได้รับพรโดยพระเจ้า และพระเจ้าตรัสว่า ยิ่งเส้นทางที่พวกเราเดินขรุขระมากขึ้นเท่าใด มันก็สามารถแสดงให้เห็นความรักของพวกเราได้มากขึ้นเท่านั้น เส้นทางที่พวกเราเดินวันนี้ได้รับการกำหนดไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้า การติดตามพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายคือพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพระพรทั้งหมด” (ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ)  ขณะที่ฉันขับร้องบทเพลงนี้ซ้ำๆ กับตนเองอยู่ในหัว ฉันได้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงกำหนดไว้ล่วงหน้านานมาแล้วว่า สภาพแวดล้อมชนิดใดที่แต่ละบุคคลต้องเผชิญในชีวิตของพวกเขาที่เชื่อในพระเจ้า ภาวะอารมณ์ชนิดใดที่พวกเขาต้องก้าวผ่าน และความทุกข์มากมายเพียงใดที่พวกเขาต้องสู้ทน  ฉันต้องนบนอบและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อรับประสบการณ์กับเรื่องนี้  ขณะที่ร้องเพลง ฉันก็ได้รับความเชื่อขึ้นมาบ้าง

ต่อมา หัวหน้าครูฝึกให้ฉันอ่านหนังสือและดูวิดีโอที่หมิ่นประมาทพระเจ้าและให้ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพาผู้คนเข้ามาจัดชั้นเรียนล้างสมองฉันด้วย  ในช่วงเวลานั้น ฉันถูกล้างสมองในตอนกลางวัน และถูกระดมทุบด้วยเสียงรบกวนจากโทรทัศน์และวิทยุในตอนกลางคืน  ที่เพิ่มเติมจากนั้นก็คือ ฉันเป็นกังวลว่า ตำรวจอาจจะมาสอบปากคำฉันได้ทุกเมื่อ ฉันจึงรู้สึกประสาทเสียมาก  ช่วงเวลาที่ฉันเกิดอาการแน่นและเจ็บหน้าอกเริ่มถี่ขึ้น  ราวสองสามวันต่อมา หัวหน้าครูฝึกก็ขอให้ฉันเขียนจดหมายให้สัญญาว่าจะไม่เชื่อในพระเจ้าอีก  ฉันไม่ยอมเขียนอะไรทั้งสิ้น เขาจึงพูดว่า “ป่วยขนาดนี้แล้วแกก็ยังจะแข็งขืนอยู่อีก ช่างเถอะ ฉันจะเขียนฉบับร่างให้แก แกก็จะได้แค่ลอกมันไป  สิ่งที่เขียนจะไม่ใช่สิ่งที่แกพูดหรือคิดจริงๆ  จากนั้นฉันจะพูดถึงแกในทางที่ดี ให้แกถูกปล่อยตัวออกไป  นี่คือการโกงระบบเข้าใจไหม?  ฉันจะช่วยเพราะแกดูเหมือนเป็นคนที่ดีพร้อมคนหนึ่ง  เอาละ ลอกลงไป แล้วกลับบ้านไปหาหมอเสีย”  ฉันคิดว่าสิ่งที่เขาพูดก็เข้าท่าดี  ฉันก็เพียงจะแสร้งทำให้มันผ่านๆ ไปเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าในหัวใจของฉันกำลังทรยศพระเจ้าอยู่  ดังนั้นฉันจึงบอกเขาไปว่า “ขอกลับไปคิดดูก่อน”  เมื่อกลับมาถึงห้อง ฉันเฝ้าคิดกลับไปกลับมาอยู่ในใจว่า “ก่อนหน้านี้ ฉันเคยได้ยินเรื่องที่ตำรวจให้ยาฉีดและยารับประทานชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการทางจิตเภทแก่พี่น้องชายหญิง  นี่คือวิธีการประเภทที่น่าดูหมิ่นซึ่งพวกเขาใช้เพื่อทำให้พวกเราทรยศพี่น้องชายหญิงของตนและยกเงินของคริสตจักรให้  ส่วนใหญ่คนที่ฉันเคยติดต่อสัมพันธ์ด้วยก็คือบรรดาผู้นำและคนทำงาน รวมถึงพี่น้องชายหญิงบางคนที่เก็บเงินของคริสตจักรเอาไว้  หากวันหนึ่งตำรวจฉีดยากระตุ้นให้เกิดอาการทางจิตเภทกับฉันมากเข้าหรือให้ฉันกินยา และฉันเกิดสูญเสียสติสัมปชัญญะและขายความลับของพวกเขาออกไป ฉันก็อาจจะสร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่ผลประโยชน์ของคริสตจักรได้  นั่นคงเป็นการกระทำความชั่วอันใหญ่หลวง และฉันก็คงจะถูกลงโทษในภายหน้าอย่างแน่นอน  หากเขียนจดหมาย ฉันก็คงจะออกไปได้เร็วขึ้น และคงจะไม่ทรยศพี่น้องชายหญิงของตนเอง  อย่างไรก็ตาม ฉันก็คงจะกำลังทรยศพระเจ้าและปฏิเสธพระเจ้า แล้วการดำรงชีวิตอยู่หลังจากนั้นจะเป็นไปเพื่ออะไรเล่า?  ไม่ ฉันยอมให้ตัวเองเขียนจดหมายนี่ไม่ได้”  วันรุ่งขึ้นเมื่อหัวหน้าครูฝึกเห็นว่าฉันยังไม่เขียนจดหมาย เขาก็โกรธ และตะคอกว่า “รัฐบาลสั่งว่า ก่อนได้รับการปล่อยตัว พวกผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแกต้องเขียนและลงชื่อในจดหมายก่อน ไม่ว่าจะป่วยแค่ไหนแกก็ต้องทำตามระเบียบราชการ เพราะฉะนั้นรีบเขียนเสีย!”  เขาเรียกผู้คุมสามคนเข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมฉันและพูดว่า “แกจะออกไปไม่ได้ถ้าไม่ลงชื่อในจดหมายนี้  รัฐบาลทุ่มเงินตั้งมากมายเพื่อให้การศึกษาใหม่แก่คนอย่างพวกแก และถึงกับออกแบบชั้นเรียนพิเศษขึ้นมา  พวกเรารับเงินของรัฐบาลมา  เราก็ต้องทำตามสิ่งที่รัฐจ่ายเงินจ้างเรา ดังนั้นหากแกไม่ลงชื่อ พวกเราก็จะทรมานแกทุกวันจนกว่าแกจะทำ”  การข่มขวัญและหว่านล้อมของพวกเขาทำให้ฉันหวั่นวิตกมาก และฉันก็ไม่อาจทนความเจ็บปวดจากอาการแน่นหน้าอกไหว  แม้ว่าฉันจะอธิษฐานอยู่ในใจ ฉันก็เพียงแสร้งทำท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น มันไม่ได้จริงใจ  ในความเป็นจริงนั้น ฉันไม่ต้องการทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว และฉันก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้า  ฉันกังวลอยู่ตลอดว่าตำรวจจะใส่ยาในอาหารของฉัน  จะเกิดอะไรขึ้นหากฉันคุมสติไม่ได้และทรยศพี่น้องชายหญิงของตนเองไป?  ในภายหน้า การลงโทษฉันคงจะยิ่งรุนแรงขึ้น ดังนั้นฉันก็อาจจะแค่เขียนและลงชื่อในจดหมายนั่นเสียก็ได้  ทันที่ที่ฉันคิดเรื่องนี้ ฉันก็ยอมประนีประนอมและลงนามในจดหมายนั้น  ทว่าจู่ๆ ฉันก็รู้สึกเหมือนหัวใจของฉันถูกควักจนกลวงโบ๋ และความมืดก็พลันเคลื่อนลงปกคลุมจิตใจของฉัน  ฉันรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกใจคอไม่สู้ดี  ฉันตระหนักว่า การลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” ได้ประทับตราของสัตว์ร้ายบนตัวฉันเรียบร้อยแล้ว  ฉันเป็นยูดาสผู้ที่ได้ทรยศพระเจ้า และฉันก็ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าไปแล้ว  ฉันรู้สึกสำนึกผิดอย่างสุดซึ้ง ทั้งยังเกลียดตนเอง รู้สึกว่าฉันไม่สมควรมีชีวิตอยู่  ฉันได้กลืนยาต้านความดันโลหิตสูงที่เหลืออยู่ราวสิบห้าหรือสิบหกเม็ดลงไปขณะที่ผู้คุมกำลังหลับ  ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ฉันก็รู้สึกวิงเวียนจึงนอนลงบนเตียง  และอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยน้ำตาคลอดวงตาว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ได้ลงชื่อใน ‘จดหมายสามฉบับ’ นั่นไปแล้ว  ข้าพระองค์ดูหมิ่นเหยียดหยามพระนามและทรยศพระองค์  ข้าพระองค์ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่  ข้าแต่พระเจ้า!  หากข้าพระองค์ได้เกิดมาชาติหน้า  ข้าพระองค์ก็ยังต้องการที่จะเชื่อและติดตามพระองค์เช่นเดิม…”  ฉันผล็อยหลับไปโดยไม่ทันรู้ตัว  เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันก็ได้ยินเสียงนกหวีดปลุกให้ตื่นขึ้นอย่างกระทันหัน  ฉันลืมตาขึ้นพลางหยิกตนเองสองครั้ง  ปรากฏว่าฉันยังไม่ตาย  ฉันเกลียดตนเอง  ทำไมฉันยังไม่ตาย?  ตอนนั้นเองที่ฉันนึกขึ้นได้ถึงบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ชื่อว่า “สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมนั้นก็คือความเชื่อ” ความว่า “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย  พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต  ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ  พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย  เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))  พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเกิดความรู้สึกซับซ้อนขึ้นมา น้ำตาของฉันจึงเริ่มรินไหล  ฉันร้องไห้และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  พระองค์ทรงคุ้มครองข้าพระองค์  ข้าพระองค์รู้ว่านี่คือความกรุณาของพระองค์  ตราบเท่าที่ข้าพระองค์ยังทำงานปรนนิบัติเพื่อพระองค์ได้ ข้าพระองค์ก็พร้อมที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป  ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากงานปรนนิบัติ ข้าพระองค์ก็จะไม่พร่ำบ่นเลย”

ถึงแม้ฉันไม่ได้อยากตายอีกต่อไปแล้ว แต่ฉันก็ยังคงอยู่ในสภาวะที่ซึมเศร้าอย่างมาก  ตลอดสองสามวันนั้น ฉันได้แต่หลับตาลงเอนพิงหัวเตียงอย่างอย่างกระปลกกระเปลี้ย และนั่งมึนงงไม่ขยับเขยื้อน  ฉันรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันเลย  วันหนึ่งขณะที่ฉันไปห้องอาบน้ำ ฟางหมิงที่ถูกจับกุมมาด้วยเหมือนกันก็โยนกระดาษชำระที่ปั้นเป็นก้อนมาให้ฉัน  ฉันเปิดดูขณะที่ผู้คุมไม่อยู่ ในกระดาษนั้นมีข้อความเขียนไว้ว่า “พี่น้อง อย่าเพิ่งหมดกำลังใจและอย่าเข้าใจพระเจ้าผิดไป  ฉันเขียนบทเพลงสรรเสริญที่แต่งจากพระวจนะของพระเจ้าให้คุณอ่านค่ะ”  ฉันร้องไห้พลางอ่านสิ่งที่เธอเขียนมาว่า

พระเจ้าทรงโปรดบรรดาผู้ที่มีความแน่วแน่

1  การติดตามพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริงนั้นพวกเราต้องมีความแน่วแน่ที่ว่า ไม่ว่าพวกเราจะเผชิญสภาพแวดล้อมที่หนักหนาเพียงไรและเผชิญความยากลำบากในรูปแบบใด และไม่ว่าไม่ว่าพวกเราจะอ่อนแอหรือคิดลบแค่ไหน เราก็ไม่อาจสูญเสียความเชื่อในความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยหรือในพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ได้  พระเจ้าทรงให้คำมั่นสัญญากับมวลมนุษย์ และสิ่งนี้พึงให้มนุษย์ต้องมีความแน่วแน่ มีความเชื่อ และความอุตสาหะที่จะอดทน  พระเจ้าไม่ทรงโปรดพวกขึ้ขลาด พระองค์ทรงโปรดคนที่มีความแน่วแน่  ต่อให้เจ้าเปิดเผยความเสื่อมทรามมากมาย ต่อให้เจ้าเลือกเดินเส้นทางที่ผิดหลายครั้งหรือกระทำการฝ่าฝืนหลายหน พร่ำบ่นพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้าจากในศาสนาหรือซ่อนเร้นการหมิ่นประมาทพระองค์อยู่ในใจ และอื่นๆ—พระเจ้าก็ไม่ทรงมองดูสิ่งเหล่านั้นเลย  พระเจ้าทรงดูเพียงว่าใครบางคนไล่ตามเสาะหาความจริงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในวันหนึ่งหรือไม่

2  พระเจ้าทรงเข้าใจทุกคนแบบเดียวกับแม่ที่เข้าใจลูก  พระองค์ทรงเข้าใจความยากลำบากของแต่ละคน จุดอ่อนของพวกเขา รวมถึงความต้องการของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าทรงเข้าใจว่าในกระบวนการเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยนั้น ผู้คนจะเผชิญความยากลำบาก ความอ่อนแอ และความล้มเหลวอันใดบ้าง  สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเข้าใจดีที่สุด  นี่หมายความว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจส่วนลึกของผู้คน  ไม่ว่าเจ้าจะอ่อนแอเพียงใด ตราบใดที่เจ้าไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าหรือไปจากพระองค์และหนทางนี้ เจ้าก็มีโอกาสที่จะสัมฤทธิ์ความเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัยอยู่เสมอ  หากเจ้ามีโอกาสนี้ เช่นนั้นเจ้าก็มีความหวังที่จะมีชีวิตรอดแล้วได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, เส้นทางปฏิบัติไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนเรา

พระวจนะของพระเจ้าช่างปลอบประโลม—ข้อความเหล่านั้นช่างอบอุ่นและชูใจฉัน  ฉันร่ำไห้ด้วยความขมขื่นและขับร้องบทเพลงสรรเสริญอยู่ในหัวหลายรอบ  ฉันได้ในทำบางสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้แก่พระเจ้า แต่นอกจากพระเจ้าจะไม่ทรงลงโทษฉันแล้ว พระองค์ยังทรงดลใจให้พี่น้องคนนี้คัดลอกพระวจนะของพระเจ้ามาเกื้อหนุนฉันในชั่วขณะที่ฉันเจ็บปวดและสิ้นหวังที่สุด  ฉันเดินไปที่มุมระเบียงและทรุดลงกับพื้น พลางร้องไห้และอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ลงชื่อใน ‘จดหมายสามฉบับ’ และทรยศพระองค์ไปแล้ว  ข้าพระองค์ไม่ควรค่ากับพระกรุณาที่ทรงมีต่อข้าพระองค์เลย  ข้าพระองค์ไม่มีคำพูดที่จะถ่ายทอดความรักและความรอดที่พระองค์ทรงมีให้แก่ข้าพระองค์ได้  ข้าแต่พระเจ้า!  ข้าพระองค์ปรารถนาจะกลับใจต่อพระองค์  ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ด้วยเถิด”

ต่อมา ตำรวจปล่อยตัวฉันเนื่องจากพวกเขาไม่ได้ข้อมูลอะไรจากการสอบปากคำฉันเลย  ตอนที่ฉันได้รับการปล่อยตัว พวกเขาเตือนฉันไม่ให้เชื่อในพระเจ้าอีก ทั้งยังสั่งให้สามีจับตาดูฉันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง  หลังจากที่กลับมาบ้าน ทางเทศบาลได้ขอให้คณะกรรมการหมู่บ้านแจ้งลูกบ้านทุกคน ว่าฉันเป็นนักโทษทางการเมืองเพราะเชื่อในพระเจ้า และขอให้ทั้งหมู่บ้านคอยสอดส่องฉัน  ผู้คนต่างจ้องฉันเขม็งในทุกแห่งหนที่ฉันไป และฉันต้องทนการชี้นิ้ว สายตาแปลกๆ การถากถาง การปรามาส การรังแก และความไม่น่ายินดีในทุกลักษณะ  สามีเคยสนับสนุนฉันในการเชื่อในพระเจ้า แต่หลังจากที่ฉันถูกปล่อยตัวมา เขาก็ข่มเหงและมักจะด่าทอฉันบ่อยครั้งอย่างไร้เหตุผลเหตุผล  ลูกชายของฉันทนการเยาะเย้ยและดูถูกจากคนในหมู่บ้านไม่ไหว เขาจึงทำราวกับฉันเป็นศัตรูและเมินเฉยใส่ฉัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนที่ลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” ภายใต้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง จนได้กระทำบาปร้ายแรงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไป  ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าคงไม่ทรงช่วยฉันให้รอดโดยแน่ และรู้สึกว่าบรรดาพี่น้องชายหญิงคงจะดูแคลนฉัน ฉันรู้สึกเหมือนตกลงสู่บาดาลลึก และฉันก็ผ่านทุกวันไปราวกับซากศพเดินได้  ฉันดำรงชีวิตอยู่ในสภาวะที่เจ็บปวดและทรมานอย่างถึงที่สุด และรู้สึกเหมือนทั้งสองตาของฉันเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาในทุกวัน  ระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันไม่สามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่กล้าติดต่อพี่น้องชายหญิงเลย ดังนั้น บ่อยครั้งที่ฉันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้ได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์

หลังจากนั้น ฉันมีโอกาสได้ไปบ้านของแม่ฉัน ท่านสามัคคีธรรมกับฉัน บอกฉันไม่ให้เข้าใจพระเจ้าผิด โดยพูดว่าฉันต้องเรียนรู้บทเรียนในสถานการณ์เช่นนี้  ท่านยังแอบยื่นหนังสือพระวจนะของพระเจ้าเล่มหนึ่งให้ฉันนำกลับมาบ้านด้วย  อยู่มาวันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “ผู้คนส่วนใหญ่ฝ่าฝืนและทำให้ตัวเองมีมลทินในบางหนทาง  ตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้าและพูดสิ่งที่เป็นการหมิ่นประมาททั้งหลาย ผู้คนบางคนปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้าและไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน และถูกพระเจ้าเดียดฉันท์ ผู้คนบางคนทรยศพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการทดลอง บางคนทรยศพระเจ้าด้วยการลงนามใน ‘จดหมายสามฉบับ’ เมื่อพวกเขาถูกจับกุม บางคนลอบลักเครื่องบูชา บางคนผลาญเครื่องบูชา บางคนก่อกวนชีวิตคริสตจักรและก่อความเสียหายให้แก่ผู้คนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่บ่อยครั้ง บางคนแบ่งพรรคแบ่งพวกและจัดการกับคนอื่นอย่างหยาบคาย สร้างความโกลาหลให้กับคริสตจักร บางคนมักจะเผยแพร่มโนคติอันหลงผิดและความตาย ทำความเสียหายให้พี่น้องชายหญิง และบางคนมีส่วนร่วมในการผิดประเวณีและความมักมาก และเป็นอิทธิพลที่เลวร้าย  พอจะกล่าวได้ว่า ทุกคนมีการฝ่าฝืนและความด่างพร้อยทั้งหลายของตน  แต่ผู้คนบางคนยังสามารถยอมรับความจริงและกลับใจ ในขณะที่คนอื่นไม่สามารถทำได้และคงตายเสียก่อนที่จะได้กลับใจ  ดังนั้นผู้คนควรได้รับการปฏิบัติตามแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขาและพฤติกรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพวกเขา  บรรดาผู้ที่สามารถกลับใจคือผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้กลับใจอย่างแท้จริง ผู้ที่ควรถูกคัดออกและไล่ออกไปจะถูกคัดออกและไล่ออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  “แต่ละบุคคลที่ยอมรับการพิชิตจากพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะมีโอกาสเกินพอที่จะได้รับความรอด ความรอดของพระเจ้าสำหรับผู้คนเหล่านี้แต่ละคนจะเป็นการให้ความกรุณาอันสูงสุดของพระองค์  กล่าวได้อีกนัยว่า พวกเขาจะมองเห็นการยอมผ่อนปรนอย่างถึงที่สุด  ตราบเท่าที่ผู้คนหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด และตราบเท่าที่พวกเขาสามารถกลับใจได้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้พวกเขาได้รับความรอดของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรละมือจากพรเกี่ยวกับสถานะและทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าเรื่องการนำความรอดมาสู่มนุษย์)  หลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกตื้นตันใจเป็นพิเศษ  ฉันคุกเข่าลงกับพื้นและอธิษฐานถึงพระเจ้าด้วยน้ำตาแห่งความขมขื่นคลอดวงตา  ฉันได้เห็นว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นไม่ได้มีเพียงพระบารมีและพระพิโรธเท่านั้น ทว่ามีความกรุณาและความยอมผ่อนปรนต่อผู้คนด้วย พระเจ้าทรงชอบธรรมและพระองค์ไม่ทรงกำหนดพิจารณาจุดจบของผู้คนตามการฝ่าฝืนเพียงชั่วยามของพวกเขา แต่ทรงกำหนดพิจารณาไปตามเหตุจูงใจและเบื้องหลังการกระทำ ผลที่ตามมาของการกระทำ ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อความจริง และการที่พวกเขากลับใจอย่างแท้จริงหรือไม่  พระเจ้าทรงเกลียดชังและดูหมิ่นการทรยศของผู้คน แต่พระเจ้าก็ทรงช่วยผู้คนให้รอดในขอบข่ายกว้างใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยเช่นกัน  หากใครบางคนเพียงทรยศพระเจ้าในวินาทีที่อ่อนแอ แต่ไม่ได้ปฏิเสธและทรยศพระองค์จากใจ อีกทั้งเต็มใจที่จะกลับใจแล้วนั้น พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมด้วยความกรุณา และประทานโอกาสให้พวกเขาอีกครั้ง  เมื่อระลึกได้เช่นนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้าและยิ่งเปี่ยมด้วยความสำนึกผิด  ฉันให้คำสัตย์ปฏิญาณแก่พระเจ้าว่าไม่ว่าพระองค์ทรงต้องการฉันหรือไม่ ฉันก็จะติดตามพระองค์ ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างมั่นคง และไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย  ต่อให้ฉันไม่มีบทอวสานที่ดีในอนาคต ฉันก็จะไม่เสียใจเลย

หลังจากนั้น ฉันก็เฝ้าฉงนว่าเหตุใดฉันจึงลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” และทรยศพระเจ้าในยามที่ถูกจับกุมและข่มเหงโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน  ฉันนึกถึงการที่ฉันต้องการตั้งมั่นในคำพยานของตนเมื่อคราวที่โดนจับกุมครั้งแรก แต่เมื่อตำรวจข่มขวัญและขู่ฉันอย่างเผ็ดร้อนขึ้นทุกที  และเมื่ออาการเจ็บป่วยของฉันร้ายแรงขึ้น ฉันก็สูญสิ้นความเชื่อและนบนอบต่อความขลาดและความหวาดกลัวโดยสมบูรณ์  ฉันใจคอไม่สู้ดีว่า หากตำรวจฉีดยากระตุ้นให้เกิดอาการทางจิตเภทหรือให้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทกับฉัน แล้วจากนั้น ฉันก็ทรยศเหล่าพี่น้องชายหญิงของตนเองไปโดยไม่รู้สึกตัว  การลงโทษฉันในภายหลังก็คงยิ่งรุนแรงกว่าเดิม ฉันจึงคิดว่าการลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” ย่อมเป็นการดีกว่า  ฉันเชื่อว่าตราบใดที่ผลประโยชน์ของคริสตจักรไม่ได้รับความเสียหาย การลงโทษที่ฉันได้รับในอนาคตก็คงเบาลง  ดังนั้น เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ฉันได้จึงลงชื่อในจดหมายและทรยศพระเจ้าลงไป  ในความเป็นจริงนั้น พระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงฉัน เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม เพื่อให้ฉันสามารถใช้ชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าและมีชัยเหนือซาตาน  แต่ฉันกลับไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเลย และไม่ได้พิจารณาถึงสิ่งที่ฉันควรทำเพื่อตั้งมั่นในคำพยานและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย  ทั้งหมดที่ฉันคิดก็คือบทอวสานและบั้นปลายของตัวฉันเอง  ฉันได้เห็นว่า ฉันช่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นเหลือเกิน!  อีกอย่างฉันก็คิดเสมอมาว่า ไม่ว่าจะในรูปการณ์แวดล้อมใด หากใครบางคนทรยศพระเจ้า บทอวสานของพวกเขาก็คงเป็นเช่นเดียวกับยูดาส  คิดว่าพวกเขาคงจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน  แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของฉันเองโดยทั้งหมดทั้งสิ้น  พระเจ้าทรงชอบธรรม และพระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ถึงส่วนลึกของหัวใจผู้คน  พระองค์ทรงเฝ้าดูทุกคำพูดและการกระทำของฉัน  หากฉันทรยศเหล่าพี่น้องชายหญิงเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และกลายเป็นผู้สมคบคิดและลูกสมุนของพญานาคใหญ่สีแดงไปด้วยเหตุนั้น เช่นนั้นแล้ว ฉันก็คงจะลงเอยเหมือนยูดาสและถูกลงโทษอย่างแน่นอน  แต่หากฉันถูกตำรวจบังคับวางยาและฉันก็ทรยศพระเจ้าในยามที่ฉันไม่อาจควบคุมตนเองได้ เช่นนั้นพระเจ้าก็จะทรงปฏิบัติต่อฉันต่างออกไปตามสถานการณ์และบริบท  แต่ฉันไม่รู้ถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า และไม่รู้ถึงเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงใช้กำหนดพิจารณาบทอวสานของผู้คน  ฉันดำรงชีวิตแบบติดกับอยู่ในมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของตนเอง หลงกลซาตาน และกระทำการฝ่าฝืนที่ร้ายแรง  อย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็ยังคงประทานโอกาสให้ฉันได้กลับใจ  นี่คือความกรุณาที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกหนึ่งบทตอน ความว่า “ไม่ว่าซาตานจะ ‘ทรงพลัง’ เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะมีมากเพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปสัณฐานที่มันใช้ในการดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่กำเนิดจากมัน หรือดำรงอยู่เพราะมัน ไม่มีบุคคลใดหรือวัตถุใดที่อยู่ใต้ปกครองของมัน หรือในการควบคุมของมัน  ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องนบนอบคำสั่งและพระบัญชาทั้งหมดของพระเจ้าอีกด้วย  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1)  ฉันได้ตระหนักจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้มีสิทธิ์ขาดในทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล  ไม่ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะเคลือบแฝงหรือแผลงฤทธิ์เพียงใด มันก็เป็นเบี้ยหมากรุกตัวหนึ่งในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงใช้มันเป็นเครื่องมือทำให้ประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเพียบพร้อม  แต่ฉันไม่รู้ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และกังวลอยู่เสมอว่าตำรวจจะฉีดยาและให้ฉันกินยากระตุ้นให้เกิดอาการทางจิตเภท และหากฉันทรยศพี่น้องชายหญิงของตนเองในยามที่ฉันไม่มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ผลประโยชน์ของคริสตจักรก็อาจจะเสียหายอย่างหนักได้  อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าตำรวจจะให้ยาเช่นนั้นกับฉันหรือไม่ และไม่ว่าฉันจะสูญเสียสติสัมปชัญญะในการควบคุมตนเองหรือไม่ ก็ล้วนแต่อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต พวกตำรวจก็ไม่อาจทำอะไรฉันได้  ฉันได้เห็นว่ายามที่เกิดสิ่งต่างๆ กับตนเอง ฉันก็ไม่มีความเชื่อในพระเจ้าเลยจริงๆ ฉันมองกลอุบายของซาตานไม่ออก และวุฒิภาวะของฉันก็น้อยอย่างน่าเวทนา  ครั้นฉันได้รับรู้สิ่งนี้ ความสำนึกผิดของฉันยิ่งมีแต่ดิ่งลึกลง  ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและได้ชื่นชมยินดีกับการให้น้ำและการจัดหาแห่งพระวจนะของพระเจ้ามากมายเหลือเกิน แต่ตามที่เป็นจริงนั้น ฉันไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้ามากนัก  ฉันถึงกับลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” และทรยศพระเจ้า  เมื่อคิดเช่นนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกเป็นหนี้พระเจ้ามากกว่าเดิม จึงอธิษฐานไปว่า “ข้าแต่พระเจ้า!  หากโอกาสยังมี ข้าพระองค์ก็เต็มใจที่จะก้าวผ่านการจับกุมอีกหน ข้าพระองค์ต้องการละทิ้งร่างกายของตนเอง หมิ่นเกียรติพญานาคใหญ่สีแดง และลบมลทินให้กับบาปของฉัน”

วันหนึ่งในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018 จู่ๆ ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบเจ็ดนายบุกเข้ามาจับกุมฉันในบ้าน  ฉันรู้ว่านี่คือการที่พระเจ้าประทานโอกาสให้ฉันได้กลับใจ  ไม่ว่าตำรวจจะทุบตีฉันจนตายหรือส่งฉันเข้าคุก หนนี้ ฉันก็ต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่น  ตำรวจพาฉันไปยังห้องสอบปากคำและใส่กุญแจมือฉันเข้ากับเก้าอี้เสือสำหรับทรมาน ขยุ้มผมฉัน และตบหน้าฉันนับสิบครั้ง  อาการปวดแสบปวดร้อนจากการตบทิ่มแทงเข้ามา และใบหน้าของฉันก็บวมปูดขึ้นมาทันที  เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งถามฉันว่าฉันรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้บ้างไหม  ฉันพูดไปว่าฉันไม่รู้ เขาบันดาลโทสะพลุ่งขึ้นมาและปรี่เข้ามาลงมือตบฉันอย่างแรง  ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายก็ขอให้ฉันยืนยันชื่อของผู้นำ แต่ฉันไม่ได้ตอบ  เขาขยุ้มหูของฉันกำไว้ด้วยความโกรธ ใช้เล็บจิกไล่ไปตามขอบใบหูของฉันทีละนิด และกดดันให้ฉันตอบขณะที่จิกบิดใบหูของฉันไปพลาง  ฉันเอาแต่ส่ายหน้าและไม่ปริปากอะไรเลย  เขาโกรธจัดจนไปหาตัวหนีบที่ทำจากโลหะมากำมือหนึ่ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยว่า “ถ้าไม่พูด แกเจ็บตัวแน่!”  เขาใช้ตัวหนีบพวกนั้นหนีบขอบใบหูของฉัน  ทุกครั้งที่ตัวหนีบคีบลงมา  มันเจ็บปวดราวกับกำลังแทงเข้าตรงหัวใจ ใบหน้าของฉันกระตุกเกร็งไม่หยุด และทั้งศีรษะของฉันรู้สึกเหมือนกำลังถูกอบอยู่ในเตา  ฉันหลับตาและกัดฟันแน่น ขณะที่ร่างกายของฉันสั่นเทิ้มไปเองอย่างควบคุมไม่ได้นั้น  ฉันวนเวียนอธิษฐานอยู่ในใจ ขอให้พระเจ้าประทานความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์ให้กับฉัน  ฉันนึกขึ้นได้ถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล  หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  ฉันได้ตระหนักว่า พวกตำรวจกำลังทรมานฉันในหนทางนี้เพราะต้องการให้ฉันทรยศพระเจ้าและขายพี่น้องชายหญิงของตนเอง  ฉันไม่อาจทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้  ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่น  หลังผ่านไปไม่กี่นาที ตำรวจก็ดึงตัวหนีบออกและหยิบรูปของพี่น้องหญิงอีกคนออกมาให้ฉันระบุตัวตน  ฉันพูดว่า “ฉันไม่รู้จักเธอ”  ตำรวจกระชากมือฉันออกไปข้างหน้าด้วยความโกรธ และใช้กำลังบังคับดัดนิ้วของฉันให้ชี้ขึ้น  ฉันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด และกำมือแน่นโดยสัญชาตญาณ  แต่เขาแงะแต่ละนิ้วของฉันออกมาให้ตรงและดัดให้มันชี้ขึ้น  ฉันรู้สึกเหมือนกำลังโดนหักนิ้ว  มันเจ็บมากเสียจนฉันกำลังจะทนไม่ไหวแล้ว  ครั้นพวกเขาเห็นว่าฉันยังคงไม่ปริปาก ตำรวจสองนายก็เข้ามาปลดกุญแจมือของฉัน บิดมือของฉันไพล่หลัง ให้ลอดผ่านรูซึ่งอยู่ด้านล่างของพนักเก้าอี้เสือ และใส่กุญแจมือฉันอีกครั้ง แล้วจากนั้นก็กดกุญแจมือเต็มแรง  นั่นให้ความรู้สึกเหมือนมือและแขนของฉันถูกฉีกออกจากกัน ฉันจึงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด  ในหัวใจของฉันรู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน  ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยน้ำตาคลอดวงตา เพื่อขอให้พระองค์ประทานความเชื่อและความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์แก่ฉัน  ตอนนี้เอง ฉันก็นึกได้ถึงบทเพลงสรรเสริญที่มาจากพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ องค์ประธานแห่งสรรพสิ่งทั้งปวง ทรงใช้ฤทธานุภาพแห่งความเป็นกษัตริย์ของพระองค์จากพระบัลลังก์ของพระองค์  พระองค์ทรงปกครองเหนือจักรวาลและสรรพสิ่งทั้งปวง และพระองค์กำลังทรงนำพวกเราทั้งแผ่นดินโลก  พวกเราจะอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในทุกชั่วขณะ และจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ในความนิ่งสงบ ไม่มีวันพลาดแม้ชั่วขณะเดียว และพร้อมด้วยบทเรียนสำหรับให้พวกเราเรียนรู้ตลอดเวลา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  พระวจนะของพระเจ้าให้ความรู้แจ้งที่ฉันจำเป็นต้องมี และหัวใจฉันก็รู้สึกแจ่มใสขึ้นโดยฉับพลัน  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งยังทรงมีสิทธิ์ชี้ขาดต่อทุกสรรพสิ่งในจักรวาลนี้  ชีวิตและความตายของฉันก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าเช่นกัน  หากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต พวกตำรวจย่อมไม่อาจทำอะไรฉันได้  พระเจ้าทรงอนุญาตให้มารร้ายเหล่านี้ทรมานฉันเช่นนี้ ก็เพราะพระเจ้าทรงต้องการทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม  ฉันยังจำได้ด้วยว่าก่อนหน้านี้ฉันเคยลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” และทรยศพระเจ้าภายใต้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงกำจัดฉันออกไปเพราะการฝ่าฝืนของฉัน และได้ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อชูใจและจัดเตรียมให้กับฉัน  ครั้งนี้ฉันไม่อาจทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้อีก  ฉันต้องตั้งมั่น หมิ่นเกียรติซาตาน และชูพระทัยพระเจ้า  พวกเขากดกุญแจมือสี่ครั้งติดกัน หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกวิงเวียน ตัวสั่นเทาและมีอาการกระตุกไปทั้งร่าง และฉันรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย  แล้วจากนั้น พวกตำรวจก็สาดน้ำแร่ใส่หน้าฉัน  ทั้งยังดึงปกคอเสื้อของฉันเปิดออกแล้วราดน้ำเย็นเข้าไปในเสื้อ  ตัวฉันชุ่มไปด้วยเหงื่อ และสะดุ้งเฮือกอย่างแรงเพราะน้ำที่เย็นจัด จนถึงกับสั่นสะท้านระริกระรัวไปทั้งตัว  ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ตำรวจก็ปิดไฟห้อง เปิดไฟฉายสองกระบอก และเล็งลำแสงสว่างจ้าใส่หน้าฉัน แล้วสั่งให้ฉันลืมตาไว้และห้ามขยับเขยื้อน  ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในใจ ขอให้พระองค์ทรงคอยกันฉันไม่ให้ขายพี่น้องชายหญิงและทรยศพระองค์

ตอนนี้เองที่ฉันนึกขึ้นได้ถึงบทเพลงสรรเสริญที่ชื่อว่า “ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะรักพระเจ้า” ความว่า

1  โอ้พระเจ้า!  ข้าพระองค์ได้เห็นแล้วว่า ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระองค์น่ารักชื่นชมยิ่งนัก  ข้าพระองค์ตั้งใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง และข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะรักพระองค์  ขอพระองค์ทรงเปิดดวงตาฝ่ายวิญญาณของข้าพระองค์ และขอพระวิญญาณของพระองค์ขับเคลื่อนหัวใจของข้าพระองค์เพื่อที่ว่า เมื่อข้าพระองค์มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ข้าพระองค์จะโยนทุกสิ่งที่เป็นลบทิ้งไป ยุติการถูกจำกัดโดยบุคคลใดๆ เรื่องใดๆ หรือสิ่งใดๆ และแผ่วางหัวใจอันเปลือยเปล่าอย่างสมบูรณ์ของข้าพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระองค์ และเพื่อที่ข้าพระองค์จะได้ถวายการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของข้าพระองค์เฉพาะพระพักตร์พระองค์  ข้าพระองค์พร้อมแล้ว ไม่ว่าพระองค์อาจทรงทดสอบข้าพระองค์ในลักษณะเช่นไรก็ตาม  บัดนี้ ข้าพระองค์ไม่ได้คำนึงถึงโอกาสที่มองว่าเป็นไปได้ในอนาคตของข้าพระองค์อีกทั้งข้าพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ภายใต้แอกแห่งความตาย  ด้วยหัวใจที่รักพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะแสวงหาหนทางชีวิตนั้น

2  ทุกเรื่อง ทุกสิ่ง—ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์  ชะตากรรมของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และพระองค์ทรงกุมชีวิตที่แท้จริงของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์  บัดนี้ ข้าพระองค์พยายามที่จะรักพระองค์ และโดยไม่คำนึงว่าพระองค์จะทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์รักพระองค์หรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงว่าซาตานก่อกวนอย่างไร ข้าพระองค์มุ่งมั่นที่จะรักพระองค์  ตัวข้าพระองค์เองเต็มใจที่จะแสวงหาพระเจ้าและติดตามพระองค์  ตอนนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทอดทิ้งข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะยังคงติดตามพระองค์  ข้าพระองค์จะยังคงรักพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะทรงต้องการข้าพระองค์หรือไม่ก็ตาม และในท้ายที่สุด ข้าพระองค์จะต้องได้รับพระองค์  ข้าพระองค์มอบถวายหัวใจของข้าพระองค์แด่พระเจ้า และไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดก็ตาม ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ไปชั่วชีวิตของข้าพระองค์ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ข้าพระองค์ต้องรักพระเจ้าและข้าพระองค์ต้องได้รับพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่หยุดพักจนกว่าข้าพระองค์จะได้รับพระองค์แล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยการปฏิบัติการอธิษฐาน

ขณะที่ฉันเฝ้าฮัมเพลงนี้อยู่ในใจ ฉันก็นึกถึงการพลีชีพของเหล่าธรรมิกชนจากทุกยุคสมัยในอดีต  สเทเฟนถูกปาหินใส่จนถึงแก่ความตาย ยาโคบโดนตัดศีรษะ เปโตรถูกตรึงกางเขนกลับหัวเพื่อพระเจ้า…  พวกเขาล้วนพลีอุทิศชีวิตตนเพื่อเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า ทว่าหลังจากฉันทนทุกข์ไปเพียงเล็กน้อย ฉันก็กลับรู้สึกว่าไม่อาจรับได้อีกต่อไป  ฉันได้เห็นว่าฉันมีความเชื่อที่น้อยเกินไป ฉันจึงให้คำสัตย์ปฏิญาณกับตนเองเงียบๆ ว่า ไม่สำคัญว่าตำรวจทรมานฉันอย่างไร ฉันก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้าหรือขายพี่น้องชายหญิงของตนเอง  ราวกับปาฏิหาริย์ ลำแสงแรงกล้าจากไฟฉายสองกระบอกกำลังจ่อหน้าฉันอยู่ แต่ฉันกลับไม่รู้สึกตาพร่าเลย  ราวกับฉันกำลังมองแสงไฟจากเทียนสองเล่ม  ฉันรู้สึกปลื้มปีติและขอบคุณพระเจ้าอยู่ในใจ  ฉันรู้ว่านี่ล้วนเป็นการดูแลและการคุ้มครองของพระเจ้า  ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ลูกชายและลูกสาวของพวกคนที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแกจะไม่สามารถเข้าร่วมกับกองทัพหรือรับราชการได้”  เขายังบอกด้วยว่าเขาจะโพสต์รูปของฉันลงบนอินเทอร์เน็ต และกระจายข่าวลือว่าฉันทรยศคริสตจักร  บรรดาพี่น้องชายหญิงทุกคนจะได้ปฏิเสธฉัน  ฉันรู้ว่านี่ก็แค่หนึ่งในกลอุบายของพวกเขา และฉันก็ไม่ยอมจำนน

วันต่อมาในเวลาราวบ่ายสองโมง เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งก็เข้ามาและพยายามเล่นเล่ห์กับฉันด้วยการพูดว่า “ถ้าไม่อยากบอกอะไรเราตอนนี้ก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าแกเขียนจดหมายประกาศตัดความเชื่อในพระเจ้า พวกเราจะปล่อยแกกลับบ้าน และจะไม่ไปวุ่นวายกับแกอีก  ฉันมีอำนาจที่จะให้คำมั่นนั้นกับแก”  เขาเอาแต่กดดันให้ฉันเขียนจดหมาย แต่ฉันไม่ยอม  เขาจึงพุ่งเข้ามาตบฉันถึงเจ็ดแปดครั้งด้วยความเดือดดาล  จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกนายก็เข้ามาเตะที่หน้าแข้งฉันอย่างเลวทราม ส่งความเจ็บปวดเสียดแทงพล่านไปทั่วร่างฉัน  ฉันถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้ แล้วเขาก็ใช้มือข้างหนึ่งกดแผ่นหลังของฉันลงโดยใช้กำลัง จนศีรษะฉันแตะแผ่นโลหะซึ่งแนบติดอยู่ด้านหน้าของเก้าอี้เสือ พลางเขาก็ใช้มืออีกข้างของเขายกกุญแจมือของฉันขึ้นสุดแรง  ฉันรู้สึกเหมือนเนื้อตรงข้อมือฉันกำลังจะถูกถลกลอกออกจากกระดูก  ฉันหวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด  ตอนนี้เองที่เจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่กำลังสอบปากคำฉันก็เข้ามาเตะหน้าแข้งของฉันและตะคอกว่า “แกต้องการกลับบ้าน หรือต้องการพระเจ้า?  เลือกได้อย่างเดียว ตอบมาเดี๋ยวนี้!”  ฉันไม่ได้ตอบอะไร พวกเขาจึงดันหลังของฉันให้แอ่นไปข้างหน้าอย่างสุดแรง รวมทั้งยกกุญแจมือของฉันขึ้นสี่ครั้ง  เมื่อเห็นฉันเริ่มชักกระตุกพวกเขาถึงยอมหยุด  ฉันรู้สึกวิงเวียน มือชาไปหมดทั้งสองข้าง ฉันเริ่มรู้สึกแน่นหน้าอก ฉันกำลังชักกระตุกไปทั้งตัว และเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะ  ฉันเฝ้าอธิษฐานอยู่ในใจ ขอให้พระเจ้าทรงกันไม่ให้ฉันทรยศบรรดาพี่น้องชายหญิงและพระเจ้า  ไม่ว่าตำรวจทรมานฉันอย่างไร ฉันก็จะตั้งมั่นและหมิ่นเกียรติพญานาคใหญ่สีแดงให้จงได้  ตำรวจยังคงคาดคั้นให้ฉันตอบคำถาม ว่าฉันต้องการกลับบ้านหรือต้องการพระเจ้า  ฉันพูดไปว่า “ฉันจะไม่มีวันไปจากพระเจ้า!”  หนึ่งในเจ้าหน้าที่โกรธจัดจนถลึงตาใส่ฉัน พลางตะคอกว่า “แกมันดื้อด้านเสียสติไปแล้ว!  แกมันเกินเยียวยาจริงๆ!”  สุดท้ายพวกเขาก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรจากฉันเลย ฉันจึงถูกส่งตัวไปยังศูนย์กักกัน และแล้วก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาหลังถูกกักกันอยู่ 15 วัน  ฉันรู้ว่าเป็นการทรงคุ้มครองและการทรงนำของพระเจ้านั่นเอง ที่เปิดโอกาสให้ฉันตั้งมั่นได้ในครั้งนี้

หลังกลับมาบ้าน ตำรวจก็คอยสอดส่องฉันอย่างใกล้ชิดมากกว่าเก่า  ผู้อำนวยการสหพันธ์สตรีประจำหมู่บ้านมาที่บ้านฉันเพื่อถามถึงสถานการณ์ของฉันอยู่บ่อยครั้ง  ครอบครัวและบรรดาเพื่อนบ้านต่างก็คอยสอดส่องฉันเช่นกัน  พวกตำรวจแวะมาที่บ้านฉันเกือบทุกเดือนเพื่อดูว่าฉันยังเชื่อในพระเจ้าอยู่ไหม  ฉันจำได้ว่าในหนึ่งเดือน ตำรวจได้แวะมาหาฉันที่บ้านถึงสี่ครั้ง  ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2020 ตัวแทนสามคนจากทางเทศบาลได้มาหาฉันและพูดว่า “เราสอดส่องดูคุณมาสามปีแล้ว  วันนี้เรามาเพื่อขอให้คุณเขียนจดหมายให้คำมั่นว่าคุณไม่เชื่อในพระเจ้า จดหมายวิจารณ์และเปิดโปง รวมถึงจดหมายตัดสัมพันธ์กับทางคริสตจักร  เขียนซะ แล้วเราจะเอาชื่อคุณออกจากบัญชีดำ  เราจะไม่คอยสอดส่องดูคุณอีกต่อไป คุณสามารถใช้ชีวิตได้อิสระเหมือนคนปกติ และอนาคตของลูกชายคุณก็จะไม่ได้รับผลกระทบ”  พอได้ยินเช่นนี้ฉันก็โกรธมาก  ฉันคิดว่า “พวกคุณนี่มันน่าดูหมิ่นเสียจริง!  คุณพยายามทุกวิถีทางเท่าที่จะนึกออกเพื่อทำให้ฉันทรยศพระเจ้า แต่คุณหลอกฉันไม่ได้หรอก!”  ฉันปฏิเสธไปในทันควัน  จากนั้น เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำอำเภอก็พูดว่า “ถ้างั้นให้เราเขียนแทนดีไหม?  คุณก็แค่แสร้งทำเป็นลอกมันลงไป เราจะได้ถ่ายรูปคุณไปรายงานแก่ระดับสูงของเรา ว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว  เราไม่อยากคอยมากวนใจคุณที่นี่หรอก”  คำพูดฟังดูหน้าซื่อใจคดของเขาทำให้ฉันคลื่นไส้  ฉันนึกถึงก่อนหน้านี้ ที่ฉันหลงกลซาตานเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง และลงชื่อใน “จดหมายสามฉบับ” รวมถึงทรยศพระเจ้า  ตราบาปแห่งความอัปยศนั้นฝังลึกอยู่ในใจฉัน  ฉันคิดกับตนเองว่า “ต่อให้คุณสอดส่องฉันไปทั้งชีวิต ต่อให้คุณจับกุมและตัดสินโทษฉัน ฉันก็จะไม่มีวันทรยศพระเจ้าอีก”  ในที่สุดพวกเขาก็เห็นว่าฉันตั้งปณิธานแน่วแน่ จึงคอตกกลับออกไป

หลังถูกจับกุมถึงสองครั้ง แม้ฉันได้ถูกทรมานและทุกข์ทนอย่างมาก ฉันก็ได้รับอะไรมากมายเช่นกัน  ฉันได้เห็นว่าฉันนั้นเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นยิ่งนัก ทั้งยังเห็นว่าฉันไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลย  ฉันยังได้เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าด้วย ว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นไม่เพียงแต่เปี่ยมพระบารมีและพระพิโรธ ทว่ายังเปี่ยมด้วยความกรุณาและความรอดสำหรับผู้คนอีกด้วย  ตลอดการเดินทางไกลในครั้งนี้ ฉันได้รับประสบการณ์กับความรักแท้จริงที่พระเจ้าทรงมีต่อฉัน ซึ่งนี่ทำให้ฉันสำนึกบุญคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ  ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะลำบากยากเย็นและเข็ญใจเพียงใด ฉันก็จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หลังจากถูกจับ

โดย โจว ลี่, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน...

ยี่สิบวันแห่งความทุกข์ทรมาน

โดย เย่หลิน, ประเทศจีนราวสี่โมงเย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่ผมยืนโทรศัพท์อยู่ริมถนน จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากผมและแขนจากด้านหลัง...

เมื่อแม่ถูกจองจำ

โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger